คาถาตะกร ดพระอ นทร หอบสมบ ต หลวงป น ม

พิพิธภัณฑ์เมืองขุนควรตั้งอยู่ ณ วัดธรรมิการาม หรือวัดสบเกี๋ยง ต.ขุนควร อ.ปง จ.พะเยา ซึ่งอยู่ภายในชุมชนบ้านสบเกี๋ยง ต.ขุนควร อ.ปง จ.พะเยา บ้านสบเกี๋ยงเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ปัจจุบันมีครัวเรือนรวมกันทั้งหมด 121 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 395 คน แบ่งเป็นเพศชาย 207 คน เพศหญิง 188 คน จากสถิติการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ปรากฏมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 341 คน บริเวณที่ตั้งบ้านสบเกี๋ยง เป็นชุมชนโบราณมาก่อน มีหลักฐานปรากฏในหลายยุคหลายสมัยทั้งยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคหิน ยุคโลหะ และยุคอาณาจักรล้านนา โดยมีหลักฐานปรากฏในแต่ละยุคสมัย ดังนี้ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปรากฏมีการพบทั้งซากฟอสชิลช้างงาจอบอายุประมาณ 13-15 ล้านปีในบริเวณป่าชุมชน ซึ่งปัจจุบันซากฟอสชิลดังกล่าวจัดแสดงอยู่ที่หอวัฒนธรรมนิทัศน์วัดศรีโคมคำ นอกจากนี้ยังพบซากฟอสซิลต้นไม้โบราณ อีกหลายต้น ยุคหิน พบหลักฐานเครื่องมือมนุษย์ยุคหิน เช่น ขวานหิน ลูกตุ้มหิน กระจายอยู่ทั่วไปตามไร่ ตามสวนของชาวบ้าน ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านที่พบได้นำมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์เมืองขุนควร ยุคโลหะ พบหลักฐานเครื่องมือยุคโลหะหลายชนิดที่ชาวบ้านขุดพบในไหตามไร่ตามสวน เช่น จอบ ขวาน อุปกรณ์ทางการช่าง ยุคอาณาจักรล้านนา อำเภอปง มีชื่อปรากฏอยู่ในพื้นตำนานเมืองพะเยา ตั้งแต่ปี พ.ศ.1639 สมัยพ่อขุนจอมธรรมแยกตัวจากเมืองหิรัญเงินยางเชียงแสน มาตั้งเมืองพะเยาและให้ทำการสำรวจหัวเมืองน้อยใหญ่ ปรากฏชื่อเมืองปง เมืองควร อันเป็นที่ตั้งตำบลขุนควรในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเป็นเมืองหน้าด่านหรือเส้นทางติดต่อระหว่างเมืองน่าน ตั้งแต่ในอดีต แต่หลักฐานที่พบ ส่วนใหญ่อยู่ในยุคล้านนา ดังหลักศิลาจารึกที่พบบริเวณวัดเค้าราชฐาน ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ หอวัฒนธรรมนิทัศน์วัดศรีโคมคำ ซึ่งวัดดังกล่าวตั้งอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านสบเกี๋ยงมากนัก ซึ่งหลักฐานส่วนใหญ่ที่พบตามวัดร้างอยู่ในยุคล้านนา เช่น ซากวัดร้าง ซากอิฐ และพระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา โดยในบริเวณรอบหมู่บ้านพบวัดร้างถึง 3 วัด ที่ยังปรากฏหลักฐานให้เห็นอยู่ถึงปัจจุบัน บ้านสบเกี๋ยง มีประวัติความเป็นมาที่ชัดเจนตามหลักฐานคำบอกเล่าของคนที่เข้ามาอยู่อาศัยในยุคหลังสุดประมาณ 103 ปี จากการสอบถามประวัติความเป็นมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ในหมู่บ้าน คำว่าสบเกี๋ยง มาจากการที่หมู่บ้านตั้งอยู่ตรงปากน้ำห้วยเกี๋ยง ซึ่งเป็นลำห้วยที่มีพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ต้นเกี๋ยง” หรือต้นลำเจียก ที่ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงเรียกว่าห้วยเกี๋ยง ซึ่งลำห้วยดังกล่าวได้ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำควร ตามภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “สบเกี๋ยง” โดยชาวบ้านกลุ่มแรกๆ ได้ย้ายครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านสบเกี๋ยง” ตามลักษณะที่ตั้งของหมู่บ้าน พิพิธภัณฑ์เมืองขุนควร เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่โดย พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ รักษาการเจ้าอาวาสวัดธรรมิการาม, ประธานเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นล้าน เริ่มจากการที่ได้ศึกษาเอกสารตำราคัมภีร์พับสาที่ได้รับการถ่ายทอดจากพระครูรัตนบุญญากร อาจารย์ที่สอนอักษรล้านนาและตำรายันต์ต่าง ๆ ให้ตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร และได้เก็บสะสมยันต์ล้านนาเอาไว้ตามความเชื่อของชาวล้านนา ต่อมาเมื่อปี 2559 ได้ย้ายจากวัดศรีโคมคำ มาจำวัดอยู่ที่ วัดธรรมิการาม ตำบลขุนควร อำเภอปง ก็ได้เริ่มปรับกุฏิไม้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ยันต์ และได้ทำการเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2562 โดยเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มุ่งจัดเก็บรักษายันต์ล้านนาในแต่ละประเภทไว้เพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดองค์ความรู้ ความเชื่อ ของชาวล้านนาผ่านยันต์ ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงยันต์ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งเอกสารโบราณ และเครื่องรางของขลังต่าง ๆ ตามความเชื่อของชาวล้านนา โดยภายในพิพิธภัณฑ์ได้แบ่งการจัดแสดงไว้ ดังนี้ ห้องที่ 1 ห้องครู ภายในห้องจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาครู มีเศียรครูต่าง ๆ และเป็นห้องคลังเก็บยันต์และตำรายันต์ต่าง ๆ ไว้ ห้องที่ 2 ห้องยันต์ผ้า ภายในจัดแสดงผ้ายันต์แบบต่าง ๆ เช่น ยันต์พุทธสิหิงค์หลวง ซึ่งถือว่าเป็นจักรพรรดิแห่งยันต์ล้านนา เป็นยันต์มงคลสูงสุด, ยันต์เมตตามหานิยม , ยันต์เสริมดวงชะตา, เสื้อยันต์ – กางเกงยันต์แบบต่าง ๆ , ยันต์ข่าม/คงกระพันชาตรี และยันต์ป้องกันภัย ห้องที่ 3 ห้องเครื่องรางของขลัง ภายในจัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังตามความเชื่อของชาวล้านนาในแบบต่าง ๆ รวมถึงจัดแสดงพระเครื่องที่หาชมได้ยาก เช่น พระสิงห์หนึ่งทองคำ , พระสังกัจจายทองคำ, พระงาแกะ, พระไม้ล้านนา และยังจัดแสดงตะกรุดล้านนาในแบบต่าง ๆ ด้วย ห้องที่ 4 ห้องยันต์เทียน จัดแสดงตำรายันต์เทียนรูปแบบต่าง ๆ การสาธิตการลงยันต์เทียน และจัดแสดงเกี่ยวกับยันต์ครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย นักบุญแห่งล้านนาไทย เช่น ยันต์ปาทะ / รอยเท้ารอยมือครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นต้น ห้องที่ 5 ห้องพระ ได้แก่ห้องโถงด้านนอกเป็นสถานที่จัดแสดงผ้ายันต์ขนาดใหญ่พร้อมทั้งข้อมูลยันต์ล้านนา และเป็นสถานที่ตั้งพระแก้วมรกตจำลองเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้บูชา บริเวณด้านล่างของอาควรพิพิธภัณฑ์เมืองขุนควร จัดเป็นห้องสมุดสำหรับค้นคว้าเอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และหนังสืออ่านทั่วไป

ช้า

๑๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์เรืองศรี ครั้นสิ้นแสงสุริยาราตรี สถิตย์ที่แท่นทองห้องใน นิ่งนึกคะนึงถึงสีดา ไม่รู้ว่าจะยากเย็นเปนไฉน จำจะใช้ให้ทหารชาญไชย ไปสืบข่าวอรไทยถึงลงกา ทั้งจะได้ดูตำบลหนทาง จะไปล้างอสุรศักดิยักษา พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา จนสุริยาเยี่ยมยอดยุคันธร

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๒๏ จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง รุ่งเรืองจำรัสประภัศร จับพระแสงพรหมมาศนาดกร บทจรออกหน้าพลับพลาไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๓๏ พรั่งพร้อมเสนาพานรินทร์ พวกกระบินทร์บังคมประนมไหว้ จึ่งตรัสเรียกวายุบุตรวุฒิไกร เข้ามาใกล้แท่นสุวรรณแล้วบัญชา ท่านกับองคตชมภูพาล จงตั้งจิตคิดอ่านอาสา คุมโยธาห้าร้อยรีบไคลคลา ไปยังกรุงลงกาธานี สืบข่าวราวเรื่องในเมืองมาร ให้พบพานสีดามารศรี บอกว่าเราเศร้าโศกโศกี ยกโยธีตามนางมากลางไพร ว่าพลางทางหยิบสไบทรง กับทั้งเทพธำมรงค์ส่งให้ แล้วบอกว่าผ้านี้ของทรามไวย ฝากวานรไว้ในหิมวา ธำมรงค์วงนั้นก็ของนาง ทศกรรฐ์มันขว้างเอาปักษา ท่านจงเอาไปให้สีดา แจ้งกิจจาให้สิ้นกินใจ แล้วดูทางกลางป่าพนาเวศ ที่ประเทศน้ำท่าอาไศรย จะสำนักพักพลตำบลใด กว่าจะไปถึงลงกาธานี

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๔๏ บัดนั้น วายุบุตรประนตบทศรี ทูลสนองบัญชาว่าข้านี้ นางเทวีไม่รู้จักภักตรา จะเอาของสองสิ่งไปถวาย เห็นโฉมฉายจะทรงซักหนักหนา ด้วยสไบธำมรงค์อลงการ์ ตกอยู่กลางป่าพนาไลย ถึงจะทูลข้อความตามรับสั่ง ก็เห็นยังจะพะวงสงไสย ขอพระองค์จงดำริห์ตริไตร อย่าให้โฉมยงสงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา ฟังคำขุนกระบี่มีปัญญา พระตรึกตราแล้วดำรัสตรัสไป ซึ่งท่านว่ามานี้ก็ควรนัก ไม่รู้จักแล้วก็คงจะสงไสย แต่ความหลังครั้งหนึ่งอยู่ในใจ ใครใครไม่ประจักษ์แจ้งการณ์ เมื่อคราวท้าวชนกให้ยกศิลป์ ในบุรินทร์มิถิลาราชฐาน เราแลพบสบเนตรนงคราญ นางเยี่ยมอยู่ที่บ้านบัญชรไชย มาทแม้นมิเชื่อเผื่อจะซัก จึ่งประจักษ์เล่าแจ้งแถลงไข ถ้าเสร็จสรรพกลับมาเพลาไร เราทรงเครื่องสิ่งใดจะให้ปัน

ฯ ๘ คำ ฯ

๖๏ บัดนั้น สามกระบี่ฤทธิแรงแขงขัน ถวายบังคมลาพากัน มาจัดสรรพหลพลโยธา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๗๏ เลือกเหล่าบ่าวไพร่เคยใช้สอย ได้ห้าร้อยเรี่ยวแรงแขงกล้า ออกจากที่ประทับพลับพลา บ่ายหน้าไปทิศหรดี

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก เชิด

๘๏ ประมาณมาห้าโยชน์ไม่หยุดหย่อน พอรอนรอนอ่อนแสงสุริย์ศรี บรรลุถึงสระโบกขรณี ประกอบมีโกมุทบุษบัน สารพัดสัตบงบัวหลวง ดอกดวงเขียวแดงดังแกล้งสรรค์ ทั้งน้ำท่าอาไศรยได้ครบครัน ปฤกษากันยั้งหยุดโยธา แล้วสามนายผ่อนพักสำนักนิ์นั่ง ที่ร่มรังบนแท่นแผ่นผา เหล่ากระบี่ที่เหน็ดเหนื่อยมา บ้างอาบน้ำอาบท่าหาฟืนไฟ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๙๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยันจันทร์กระจ่าง ส่องสว่างเวหาป่าใหญ่ ต่างนอนเล่นลมชายสบายใจ ก็หลับไปทั้งพหลพลโยธี

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ พิราบรอน (ยักษ์ออก)

๑๐๏ บัดนั้น อสุรศักดิปักหลั่นในสระศรี ดึกสงัดมัชฌิมราตรี ขึ้นจากชลธีเที่ยวมา เลียบรอบขอบสระปะพวกลิง นอนกลิ้งเกลื่อนกลาดดาดป่า เห็นกระบี่มีเครื่องประดับประดา กายาเขียวขำอำไพ นิ่งพินิจคิดสำคัญมั่นหมาย ไอ้ตัวนี้ดีร้ายเปนนายใหญ่ จะสังหารผลาญมันให้บรรไลย แล้วจะได้จับพหลพลกระบินทร์ คิดพลางย่างย่องมองเมียง ฟังเสียงเงียบระงับหลับสิ้น จึ่งสำแดงแผลงฤทธิ์อสุรินทร์ โถมถีบหลานอินทร์ด้วยศักดา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๑๏ เมื่อนั้น องคตตื่นยืนเขม้นเห็นยักษา จึ่งเรียกพวกพหลพลโยธา ต่างฟื้นตื่นตาขึ้นพร้อมกัน ชมภูพาลลูกพระพายนายใหญ่ ช่วยกันไล่เลี้ยวลัดสกัดกั้น เหล่าลิงเล็กน้อยพลอยพัลวัน จับยักษ์ปักหลั่นสนั่นไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๒๏ ครั้นจับได้ไต่ถามอสุรา มึงนี้มาแต่ตำบลหนไหน นามวงษ์พงษ์ประยูรอย่างไร เหตุใดลอบมาในราตรี ไม่เกรงกูหมู่กระบินทร์สิ้นทั้งหลาย ล้วนทหารพระนารายน์เรืองศรี ฤๅผู้ใดใช้สอยอสุรี จงแจ้งความตามที่จริงไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๏ บัดนั้น ปักหลั่นฟังแจ้งแถลงไข จึ่งล้มกราบขุนกระบี่ด้วยดีใจ จะเล่าให้ท่านฟังแต่หลังมา เมื่อแรกเริ่มเดิมข้าเปนเทวราช รองบาทสหัสไนยไตรตรึงษา ไปเปนชู้สู่สมภิรมยา กับสุรางค์นางฟ้าชื่อมาลี พระเปนเจ้าดาวดึงษ์จึ่งสาปสัน ให้เปนยักษ์ปักหลั่นเฝ้าสระศรี ต่อพบปะทหารพระจักรี ผลาญชีวาข้านี้ให้บรรไลย จึ่งจะได้ไปเกิดเปนเทวัญ อยู่ฉ้อชั้นวิมานทองผ่องใส ได้พบท่านวันนี้ก็ดีใจ จงโปรดให้ข้าพ้นทนทรมาน

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๔๏ เมื่อนั้น สามกระบี่มีจิตรคิดสงสาร จึ่งตอบว่าถ้าจะใคร่บรรไลยลาญ จะช่วยท่านให้พ้นเวทนา ว่าแล้วลูกพาลีมีศักดิ ฉวยชักพระขรรค์เงื้อง่า กระหยับย่างสามขุมเข้ามา พิฆาฏฆ่ากุมภัณฑ่ให้บรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง โอด

๑๕๏ เสร็จสังหารผลาญยักษ์ปักหลั่น สุริยันแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล จึ่งตรวจตราพาพหลพลไกร คลาไคลไปตามมรคา

ฯ ๒ คำ ฯ รุกร้น

๑๖๏ ล่วงตำบลหนทางมาโยชน์หนึ่ง บรรลุถึงเมืองร้างที่กลางป่า ทั้งสามกระบี่มีศักดา เพ่งพิจารณาดูไป เห็นเขตรขัณฑ์เสมาปราการ ภูมิฐานที่ทางกว้างใหญ่ จึ่งเร่งรีบรี้พลสกลไกร เข้าไปหยุดอยู่นอกบุรี

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๑๗๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญไชยศรี ปฤกษาว่ากับสองกระบี่ เมืองนี้น่าฉงนเปนพ้นรู้ ช่างเย็นเยียบเงียบสงัดชอบกล เหมือนไม่มีประชาชนคนผู้ เราจะเข้าไปผู้เดียวเที่ยวดู ร้ายดีก็จะรู้เปนแน่นอน องคตชมภูพาลชาญไชย จงพักพลไกรอยู่นี่ก่อน ว่าพลางขุนกระบี่มีฤทธิรอน บทจรเข้าไปในประตู

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๑๘๏ ลดเลี้ยวเที่ยวทั่วทั้งจังหวัด เงียบสงัดประชาชนคนผู้ ยิ่งพะวงสงไสยจะใคร่รู้ จึ่งขึ้นสู่ปราสาทแก้วแววฟ้า

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

ชมโฉม

๑๙๏ เห็นนางหนึ่งงามชแล่มแช่มช้อย นั่งร้อยดอกดวงพวงบุบผา ทรงโฉมประโลมเลิศลักขณา ภักตราจิ้มลิ้มยิ้มแย้ม ผิวเนื้อนวลลอองเปนสองสี โอษฐนางอย่างลิ้นจี่จีนแต้ม ขอบขนงก่งเหมือนดังเดือนแรม ทั้งสองแก้มเพียงพระจันทร์วันเพ็ง เอวบางร่างรัดกำดัดสวาดิ ดูผุดผาดสารพัดครัดเคร่ง เข้าแอบฉากแพรแสแลเล็ง ยิ่งเพ่งยิ่งพิศยิ่งติดใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๒๐๏ แล้วคิดว่านางอยู่แต่ผู้เดียว ถึงมิรักจักเกี้ยวให้จงได้ จึ่งออกจากฉากกั้นทันใด เข้าใกล้กัลยาแล้วพาที

ฯ ๒ คำ ฯ

ชาตรี

๒๑๏ โฉมเอยโฉมเฉลา จะถามเจ้าหน่อยนะน้องอย่าหมองศรี อันกรุงไกรใหญ่กว้างถึงอย่างนี้ มีทั้งที่ปรางมาศปราสาทไชย อย่างไรอยู่ผู้คนจึ่งไม่เห็น สงัดเปนป่าดงน่าสงไสย อนึ่งนางโฉมงามนี้นามใด ร้อยดอกไม้สันทัดได้หัดปรือ น่าเอนดูอยู่แต่ลำพังตัว เจ้าหากลัวผีหลอกไม่ดอกฤๅ ว่าพลางทางทำเปนแบมือ ขอมาลีที่ถือเถิดเปนไร

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๒๒๏ เมื่อนั้น นางบุษมาลีศรีใส กระถดถอยหนีลิงทิ้งดอกไม้ ทรามไวยประหวั่นครั่นคร้าม แม้นมิบอกออกอรรถบัดนี้ จะเซ้าซี้ซักไซ้ไต่ถาม รำคาญจิตรจึ่งแถลงแจ้งความ เรานี้นามนางบุษมาลี เปนข้าองค์อมรินทร์ปิ่นเมรุมาศ รับราชการเปนงานที่ เหตุด้วยท้าวเจ้าเมืองมายันนี้ ผู้มีชื่อว่าตาวัน ขึ้นเฝ้าองค์อินทราสามิภักดิ แล้วริรักสุรางค์นางสวรรค์ ให้ข้าช่วยสื่อชักให้รักกัน เนื้อความนั้นทราบถึงเจ้าตรึงษ์ไตร จึ่งสาปท้าวเจ้าเมืองด้วยเคืองขัด ให้วิบัติยศศักดิตักไษย แต่ข้าผู้รู้เห็นเปนใจ ต้องอยู่ในธานีไม่มีคน เราแจ้งความตามจริงเจ้าลิงป่า จงกลับไปเที่ยวหาผลาผล อย่าเฝ้าเซ้าซี้ทังวี้ทังวล มิใช่กลใช่การรำคาญใจ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

โอ้โลม

๒๓๏ ทรามเอยทรามสงวน เจ้าสำนวนหนักหนาจะหาไหน สมเปนนางฟ้าสุราไลย ไม่มีใครทัดเทียบเปรียบนาง ถึงตัวพี่เปนลิงก็จริงอยู่ แต่ว่ารู้สารพัดไม่ขัดขวาง ถ้าโทษทัณฑ์ของเจ้าพอเบาบาง ช่วยแก้ไขได้บ้างอยู่นะน้อง ถึงมาทแม้นยังมิได้ไปสวรรค์ พอพูดกันเช้าเย็นอยู่เปนสอง จะขอถามทรามสงวนนวลลออง เจ้าสิต้องโทษาอยู่ช้านาน ไฉนนางนฤมลจะพ้นทุกข์ ไปเมืองฟ้าผาศุกเกษมสานต์ ขอเชิญเจ้าเล่าแถลงให้แจ้งการ เยาวมาลย์อย่าอายชม้ายเมิน

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๒๔๏ เมื่อนั้น นางบุษมาลีให้ขวยเขิน เห็นลิงพูดสัพยอกหยอกเอิน สทกสเทินเมินหน้าแล้วว่าไป มาซักไซ้ไต่สวนเอาถ้วนถี่ เออนี่จะประสงค์ที่ตรงไหน เฝ้าพูดจาน่าเบื่อเหลือใจ ถ้าบอกให้แล้วเจ้าอย่าเซ้าซี้ อันตัวข้าถ้านารายน์วายุกูล ลงมาปราบประยูรยักษี ให้ทหารอาสามาทางนี้ ชื่อกระบี่หณุมานชาญชิต ช่วยอุ้มข้าขว้างไปในอากาศ จะสิ้นชาติสิ้นกรรมที่ทำผิด อันผู้อื่นจะช่วยป่วยการคิด จงแจ้งจิตรเถิดเจ้าอย่าเฝ้าล้อ

ฯ ๘ คำ ฯ

โอ้โลม

๒๕๏ น้องเอยน้องรัก ไม่รู้จักพี่ยาน่าหัวร่อ มิใคร่จะบอกออกอรรถตัดพ้อ จะต้องง้อเรามั่งแล้วครั้งนี้ พี่ฤๅคือคำแหงหณุมาน ยอดทหารพระนารายน์เรืองศรี รับสั่งใช้ไปลงกาธานี ถวายแหวนเทวีสีดา จริงนะนงลักษณ์อย่าควักค้อน มาวิงวอนวานพี่ดีกว่า จะช่วยส่งสาวสวรรค์ไปชั้นฟ้า ตามคำอินทราเธอว่าไว้ แต่ฝ่ายเจ้าจะให้อะไรพี่ ต้องมีค่าจ้างบ้างจึ่งได้ ว่าพลางทางฉวยชายสไบ ถอยหนีพี่ไยกัลยา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๒๖๏ เมื่อนั้น นางบุษมาลีเสนหา ฟังคำรำพรรณจำนรรจา จึ่งแกล้งว่าแนมเหน็บให้เจ็บใจ นี่ฤๅหณุมานชาญฉกรรจ์ วานอย่าว่าข้ากลั้นยิ้มไม่ได้ เชิญกลับไปป่าหาลูกไม้ ข้าไม่เคยพบประจบประแจง จะบอกเจ้าเอาบุญขุนกระบี่ เมื่อโกสีย์สาปไว้เราได้แจ้ง หณุมานชาญชิตฤทธิแรง แล้วก็แผลงฤทธิ์หาวเปนดาวเดือน ไม่ว่าเล่นเช่นเจ้าเรารู้จัก อยู่สำนักนิ์ยูงยางกลางเถี่อน ถ้าแม้นดีมีฤทธิ์อย่าบิดเบือน ทำดาวเดือนดูเล่นก็เปนไร

ฯ ๘ คำ ฯ

๒๗๏ น้องเอยน้องแก้ว ไม่พ้นมือพี่แล้วอย่าสงไสย มาตบมือพนันกันไว้ จะหาวให้เจ้าเห็นเปนสำคัญ ว่าพลางทางแผลงสำแดงเดช หิมเวศเวียงไชยไหวหวั่น เหาะหาวเห็นเหมือนเดือนตวัน อยู่ตรงบัญชรแก้วแววไว

ฯ ๔ คำ ฯ คุกภาษ

๒๘๏ เมื่อนั้น นางบุษมาลีศรีใส เห็นประจักษ์ทักแท้แน่แก่ใจ อรไทยขวยเขินเมินเมียง

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๙๏ เมื่อนั้น หณุมานกระแอมไอให้เสียง มาจูงนางนฤมลขึ้นบนเตียง แล้วกล่าวเกลี้ยงสัพยอกหยอกเย้า

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้โลม

๓๐๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ ทีนี้จะสงไสยฤๅไม่เล่า ที่สัญญาว่าไว้อย่างไรเรา อย่ามาเฝ้าอายเอียงเมียงมัน ท้าวโกสีย์สาปจำเภาะเจาะจง ให้พี่ส่งทรามไวยไปสวรรค์ ไหนไหนก็รู้อยู่ด้วยกัน จงผินผันภักตรามาพาที ว่าพลางทางประโลมลูบต้อง อุยหน่าน้องอย่าหยิกพลิกผลักพี่ สาวสวรรค์ขวัญตาจงปรานี ผินหน้ามาข้างนี้เถิดนงลักษณ์

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๓๑๏ เมื่อนั้น นางบุษมาลีมีศักดิ ได้ฟังลิงวิงวอนทำค้อนควัก ขวยเขินเมินภักตร์แล้วตอบไป ถึงเจ้าหาวให้เห็นเปนสำคัญ แต่เท่านั้นเชื่อฟังยังไม่ได้ แม้นส่งน้องไปถึงตรึงษ์ไตร เหมือนอินทราว่าไว้จะเห็นจริง เจ้าใช้สอยสิ่งใดก็ไม่ขัด สารพัดจะประนอมยอมทุกสิ่ง เอออะไรนี้เล่าเฝ้าแอบอิง นางสบิ้งสบัดปัดป้องกัน

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้โลม

๓๒๏ สุดเอยสุดสวาดิ แสนฉลาดลิ้นลมคมสัน ลวงล่อเลือกว่าสารพัน ถ้าเช่นนั้นโฉมฉายสบายใจ ขึ้นอยู่ถึงสวรรค์ชั้นอินทร์พรหม ใครจะตามไปชมเชยได้ จะลวงกันให้เก้อเอออะไร พอรู้เท่าเข้าใจอยู่ดอกน้อง ว่าพลางทางทำทอดสนิท แนบชิดเชยชมสมสอง ระทวยทอดกอดเกี่ยวกรตระกอง ตามทำนองเสนหาประสาลิง บังเกิดเปนคลื่นคลั่งฝั่งสมุท กุมภาผุดฝ่าละลอกกลอกกลิ้ง ฟ้าลั่นครั่นครื้นดังปืนยิง พยุยิ่งฮือฮือกระพือพัด ประเดี๋ยวดลฝนตกลงซู่ซู่ ท่วมคูขอบวังทั้งจังหวัด ถ้อยทีภิรมย์โสมนัศ ตามกำหนัดเสนหาอาวรณ์

ฯ ๑๐ คำ ฯ นางนก

ช้า

๓๓๏ เมื่อนั้น นางบุษมาลีศรีสมร ร่วมภิรมย์สมสวาดิวานร บังอรประดิพัทธผูกพัน ลืมถวิลสิ้นกังวลที่ทนทุกข์ เปนศุขกว่าได้ไปสวรรค์ อิงแอบแนบนั่งนวดฟั้น เกษมสันต์สมถวิลยินดี เห็นวานรหลอนหลอกหยอกเอิน นางอายเอียงเมียงเมินภักตร์หนี สัพยอกหยอกหยิกซิกซี้ แย้มสรวลยวนยีปรีดา

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๓๔๏ เมื่อนั้น วายุบุตรสุดแสนเสนหา เชยชมสมสวาดิไม่คลาศคลา ด้วยนางเทพธิดายาใจ แล้วคิดถึงราชการพระผ่านเกล้า ให้สร้อยเศร้าสท้อนถอนใจใหญ่ จำเปนจำพรากจากไป จึ่งลูบไล้โลมนางพลางพูดจา เจ้าพี่เอ๋ยเคยแอบแนบข้าง ถ้าอยู่ได้ไม่ร้างเสนหา นี่จนจิตรจำใจไปลงกา ส่วนสุดาก็จะไปไตรตรึงษ์ จะแลลับนับปีมิได้เห็น ทุกเช้าเย็นพี่จะนึกลำฦกถึง แต่โฉมตรูอยู่แดนดาวดึงษ์ จะคนึงนึกบ้างฤๅอย่างไร

ฯ ๘ คำ ฯ

๓๕๏ เมื่อนั้น นางบุษมาลีศรีใส ได้ฟังคำร่ำว่ายิ่งอาไลย กราบไหว้วิงวอนชอ้อนลา ซึ่งตัวน้องต้องสาปท้าวโกสีย์ จะพึ่งบุญขุนกระบี่เปนศุขา แต่ทุกข์ถึงท่านจะไปในหิมวา มรคากันดารสงสารนัก ถึงตัวน้องจะได้ไปสวรรค์ ไม่วายวันวิตกเพียงอกหัก ว่าพลางนางกรรแสงซบภักตร์ ร่ำรักพระยาวานร

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๓๖๏ เมื่อนั้น วายุบุตรสุดเสียดายสายสมร จึ่งโลมเล้าลูบหลังบังอร สท้อนถอนใจใหญ่อาไลยลา เปนบุญพี่กับเจ้าเท่านั้น ค่อยประสบพบกันต่อชาติหน้า จะช่วยส่งสาวสวรรค์ไปชั้นฟ้า แล้วจะลาทรามไวยไปราชการ ว่าพลางอิงแอบแนบสนิท จุมพิตเชยภักตร์สมัคสมาน พิไรร่ำล่ำลาอยู่ช้านาน แล้วจูงองค์นงคราญลีลามา

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๓๗๏ ถึงพระลานพื้นล่างข้างปราสาท ใจจะขาดด้วยความเสนหา ต่างสอื้นยืนเช็ดชลนา ขอษมาพาทีพิรี้พิไร แล้วกลับนึกมานะสละรัก จะพิศภักตร์กัลยาก็หาไม่ ประคองกรช้อนองค์อรไทย ขว้างไปยังสวรรค์ชั้นวิมาน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๓๘๏ ครั้นเสร็จส่งนางบุษมาลี ขุนกระบี่เปล่าจิตคิดสงสาร บทจรจากชลาน่าพระลาน รีบออกนอกทวารเวียงไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๓๙๏ ครั้นพบสองกระบี่กับรี้พล ต่างตนยินดีจะมีไหน วายุบุตรบอกยุบลแต่ต้นไป โดยได้ประสบพบนารี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๔๐๏ แล้วให้ตรวจตราวานร พรั่งพร้อมนิกรกระบี่ศรี คลี่คลายขยายยกโยธี จรลีไปตามพนาวา

ฯ ๒ คำ ฯ รุกร้น

๔๑๏ ครั้นถึงฝั่งสมุทไทยใหญ่กว้าง แลเห็นนางแน่งน้อยเสนหา เหมือนคำบุษมาลีที่บอกมา ก็รู้ว่าพระสมุทหยุดถามไป ดูก่อนกัลยาในวารี เมืองลงกาธานีไปทางไหน เรานี้ชื่อหณุมานชาญไชย ทหารใหญ่องค์พระหริรักษ์ รับสั่งใช้ให้เอาธำมรงค์ ไปเฝ้าองค์มเหษีมีศักดิ แล้วจะยกทวยหาญไปผลาญยักษ์ จงประจักษ์แจ้งให้เราไคลคลา

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๒๏ เมื่อนั้น พระสมุทฟังคำที่ร่ำว่า นิ่งรฦกนึกได้ในวิญญา เหมือนคำเจ้าโลกาว่าไว้ ปางนี้นารายน์อวตาร จะมาผลาญพวกยักษ์ให้ตักไษย จึ่งร้องบอกหณุมานชาญไชย หนทางไปข้างทิศหรดี ที่ดูเหมือนเมฆาเมื่อสายัณห์ คือเขาเหมติรันคิรีศรี ครั้นเสร็จคำร่ำบอกขุนกระบี่ ก็หายไปในที่ชโลธร

ฯ ๖ คำ ฯ รัว

๔๓๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญสมร จึ่งปฤกษาสองกระบี่มีฤทธิรอน อันมหาสาครนี้กว้างครัน เราจะนิมิตรหางต่างตะพาน ให้ทวยหาญทั้งหลายผายผัน ว่าแล้วหณุมานชาญฉกรรจ์ ยืนยันร่ายเวทวิทยา

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๔๔๏ บันดาลกายใหญ่เยี่ยมเทียมเวหน หางกระหวัดรัดต้นพฤกษา ตัวไปอยู่ฟากขโน้นตะโกนมา ให้โยธาเร่งข้ามตามไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๕๏ บัดนั้น บรรดาพวกพหลพลไพร่ ไต่ตามหางนายสบายใจ ถือกิ่งไม้รำต่างหางนกยูง บ้างทำทีไต่ลวดอวดกันเล่น นี่แน่ดูกูจะเปนพวกไม้สูง บ้างกลัวตกต้องคลานวานเพื่อนจูง ข้ามไปได้ทั้งฝูงวานร

ฯ ๔ คำ ฯ ปี่กลอง

๔๖๏ เมื่อนั้น วายุบุตรห้าวหาญชาญสมร ครั้นเสร็จข้ามโยธาพ้นสาคร ก็รีบร้อนพาพลด้นเดินไพร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๗๏ ล่วงทางกลางป่าพนาวัน มาถึงเหมติรันเขาใหญ่ ไม่มีมรคาจะคลาไคล ล้วนหนามไหน่รกรอบขอบคิริน จะไปโดยป่าชัฏก็ขัดขวาง ต้องเดินทางชง่อนก้อนหิน ทั้งสามนายพาพหลพลกระบินทร์ เลียบตามเนินคิรินรีบไป

ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน

๔๘๏ ถึงยอดเหมติรันบรรพต พร้อมหมดพลนิกายนายไพร่ ดูสูงเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ อยู่ใกล้ฝั่งมหาวารี เห็นศิลาลายเลื่อมเงื้อมง้ำ เปนปากถ้ำที่อยู่หมู่ปักษี วายุบุตรหยุดพักพวกกระบี่ ให้คลายคลี่ที่เหนื่อยเลื่อยล้า

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๙๏ บัดนั้น พวกวานรเหน็ดเหนื่อยเมื่อยขา บ้างนั่งยืนเหยียดหยัดดัดกายา ต่างโหยหิวนิ่วหน้าเข้าหากัน บ้างก็ว่ามาถึงทเลกว้าง สิ้นตำบลหนทางจะผายผัน เห็นแต่น้ำกับฟ้าน่าอัศจรรย์ จะพากันมาค้างอยู่อย่างนี้ ที่ใจฅอท้อแท้ก็ทุกข์ร้อน มาทแม้นม้วยมรณ์อยู่ที่นี่ ลูกเมียจะเห็นใจก็ไม่มี พวกกระบี่บ่นบ้าต่อหน้านาย

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๐๏ เมื่อนั้น หณุมานเห็นพลระส่ำระสาย จึ่งแกล้งพูดชักทำเนียบเปรียบปราย เราอาสาพระนารายน์มาครั้งนี้ จงดูเยี่ยงสดายุที่วายปราณ จึ่งควรเปนทหารผลาญยักษี ถึงม้วยมุดสุดสิ้นชีวี ความดีก็จะอยู่คู่ดินฟ้า

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๕๑๏ เมื่อนั้น สำพาทีที่อยู่ในคูหา ได้ยินว่าสดายุมรณา ก็ออกมาจากถ้ำอำไพ

ฯ ๒ คำ ฯ คุกภาษ

๕๒๏ หยุดยืนยังชวากปากเหว เห็นลิงเลววิ่งตะเพิ่นเนินไศล แต่สามนายยืนขวางทางไว้ จึ่งปราไสไต่ถามเนื้อความพลัน ดูราวานรสามนาย ท่านผันผายมาไยในไพรสัณฑ์ ซึ่งสุดายุตายวายชีวัน ใครฆ่าฟันช่วยแถลงแจ้งกิจจา

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๓๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานหาญกล้า จึ่งเล่าเรื่องทศภักตร์ลักสีดา จนปักษาสิ้นชีวันบรรไลย บัดนี้องค์พระอวตาร จะตามผลาญโคตรยักษ์ให้ตักไษย จึ่งใช้เราผู้ทหารชาญไชย ไปสืบข่าวอรไทยในเมืองมาร เออไฉนไยขนจึ่งหล่นร่วง ไม่เหมือนนกทั้งปวงน่าสงสาร นี่เปนเพศพืชพันธุ์สันดาน ฤๅเหตุการณ์เคืองเข็ญเปนอย่างไร

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๔๏ เมื่อนั้น สำพาทีฟังกระบินทร์สิ้นสงไสย รู้ว่าน้องร่วมครรภ์บรรไลย สลดใจเปนพ้นคณนา แล้วเล่าความตามตัวต้องสาปสัน มาอยู่เหมติรันภูผา ต่อนารายน์วายุกูลลงมา ใช้ทหารไปลงกาธานี ให้พร้อมพรั่งตั้งโห่ขึ้นสามหน จึ่งขนจะงอกงามตามที่ บัดนี้ท่านก็มาจงปรานี เราจะชี้ทางให้ไปลงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๕๏ เมื่อนั้น สามกระบินทร์ยินดีเปนหนักหนา จึ่งเรียกพวกพหลพลโยธา มาพร้อมหน้าแล้วโห่ขึ้นสามที

ฯ ๒ คำ ฯ รัว เจรจา

๕๖๏ เมื่อนั้น สำพาทีราชปักษี ขนงอกออกสิ้นก็ยินดี จึ่งพาทีกับสามวานร ท่านสงเคราะห์เพราะเมตตาการุญ เปนบุญคุณใหญ่ยิ่งกว่าศิงขร ซึ่งสงไสยไม่แจ้งทางจร เราจะบอกวานรอย่าร้อนใจ อันลงกาธานีไม่มีทาง เปนเกาะตั้งอยู่กลางทเลใหญ่ พอรุ่งแสงสุริยาจะพาไป ช่วยบอกให้เห็นทวีปเมืองมาร

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๗๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ จึ่งว่ากับองคตชมภูพาล เราท่านอาสามาครั้งนี้ เปนความลับรับสั่งให้สืบสาว พอรู้ข่าวองค์พระมเหษี ไปมากนักยักษ์มารมันรู้ที เสียแรงที่เราท่านป่วยการมา พี่จะใคร่ให้น้องทั้งสองคน คุมพลคอยอยู่ที่ภูผา แต่ตัวพี่นี้จะลอบไปลงกา สืบข่าวนางสีดายาใจ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๕๘๏ ครั้นปฤกษาพร้อมเสร็จสำเร็จการ หณุมานยินดีจะมีไหน จึ่งว่ากับปักษาช่วยพาไป บอกให้เห็นเกาะลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๙๏ เมื่อนั้น สำพาทีเกษมสันต์หรรษา จึ่งให้ขุนกระบี่มีศักดา ขึ้นบนหลังสกุณาทันใด ทยานยืนเหยียบชง่อนก้อนหิน เผ่นกระพือปีกบินแผ่นดินไหว ผันผยองล่องฟ้านภาไลย ลอยไปคว้างคว้างกลางอัมพร

ฯ ๔ คำ ฯ แผละ

๖๐๏ มาถึงกึ่งกลางเวหา สกุณาราปีกเรื่อยร่อน แล้วบอกว่าดูราวานร โน่นนครลงกาธานี เหมือนจอกน้อยลอยอยู่กลางสมุท แลสุดสายเนตรในวิถี นั่นนินทกาลาคิรี อยู่ที่ท่ามกลางเมืองมาร

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๑๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ แลเขม้นเห็นยอดนินทกาล หณุมานยินดีปรีดา จึ่งว่ากับพระยาสำพาที ครั้งนี้มีคุณข้าหนักหนา เรารู้แห่งเมืองยักษ์ประจักษ์ตา จะขอลาท่านเร่งรีบไป ว่าแล้วเลื่อนลงจากหลังนก ให้วิหคกลับมาที่อาไศรย ลูกพระพายหมายมุ่งกรุงไกร เหาะไปลงกาธานี

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด พิราบรอน (ยักษ์ออก)

๖๒๏ เมื่อนั้น นางผีเสื้อสมุทยักษี กายาใหญ่หลวงพ่วงพี เที่ยวอยู่ที่กลางสมุทผุดขึ้นมา ผันแปรแลเหลือบเห็นวานร จะเหาะข้ามไปนครยักษา กระเดาะปากกระดากลิ้นเหลือกตา ขึ้นขวางหน้าหณุมานชาญชิต ดุเดือดเงือดเงื้อกระบองเหล็ก แล้วว่าเหวยลิงเล็กกระจิหริด ไม่เกรงหมู่อสุรีมีฤทธิ์ บังอาจจิตรจะตรงไปลงกา กูอยู่ในวังวนชลธาร เปนแดนด่านทศภักตร์ยักษา จะสังหารผลาญมึงให้มรณา ว่าพลางแกว่งคทาเข้าโถมตี

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๖๓๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญไชยศรี แขงข้อต่อสู้อสุรี ถ้อยทีสัปรยุทธยุทธแย้ง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๖๔๏ บัดนั้น ผีเสื้ออสุรากล้าแขง ยิ่งพิโรธโกรธเกรี้ยวเรี่ยวแรง ทำอำนาจผาดแผลงศักดา นิ่วหน้าอ้าโอษฐใหญ่กว้าง มืดมิดปิดทางขวางหน้า ทลึ่งโลดโดดไล่ไขว่คว้า จะคาบเคี้ยวกายาวานร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๖๕๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญสมร รบรับจับประจัญฟันฟอน หมายสังหารราญรอนอสุรา แล้วเข้าไปในปากกุมภัณฑ์ ออกทางข้างกรรณเบื้องขวา กลับเข้ากรรณซ้ายด้วยศักดา ทลุออกกระบอกตาอสุรี แล้วลงตามลำไส้ด้วยไวว่อง เอาตรีแตระแหวะท้องยักษี ลากไส้ออกมาจากนาภี อสุรีล้มดิ้นสิ้นชีวา

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๖๖๏ เสร็จสังหารผลาญผีเสื้อสมุท วายุบุตรเกษมสันต์หรรษา ผาดแผลงสำแดงเดชา เหาะข้ามคงคาสาคร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๖๗๏ มาถึงโสฬศศีขรินทร์ คิดว่านินทกาลาศิงขร ก็เคลื่อนคล้อยลอยลงจากอัมพร หยุดยืนยังชง่อนก้อนศิลา พอเหลือบเห็นหลังคาอาศรม ที่เชิงไศลใต้ร่มพฤกษา ขุนกระบินทร์ยินดีปรีดา ก็อ่านเวทวิทยาอาคม

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๖๘๏ จำแลงกายกลายกลับเปนลิงน้อย กระจ้อยร่อยหงอยเหงาเกาผม ลงจากเขาเขินเนินพนม ตรงเข้ามาอาศรมพระสิทธา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๖๙๏ เมื่อนั้น พระมุนีนารทพรตกล้า อยู่ปลายแดนแผ่นดินเมืองลงกา วิทยาสารพัดจัดเจน พวกชาวป่ามาเปนศิษย์ติดสอย ทั้งลูกเล็กเด็กน้อยเณรเถร ครั้นรอนรอนอ่อนแสงสุริเยนทร์ เล่าสวดมนต์กนเกนก้องไป

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๗๐๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานทหารใหญ่ แลเห็นพระมุนีก็ดีใจ จึ่งเขาไปกราบลงตรงภักตรา

ฯ ๒ คำ ฯ

๗๑๏ เมื่อนั้น องค์พระอาจารย์ฌานกล้า ไม่รู้จักว่าใครใส่แว่นตา มองเขม้นเห็นหน้าวานรน้อย จึ่งทักถามไปพลันทันใด มาแต่ไหนไอ้ลิงกระจ้อยร่อย ไม่มีเพื่อนพวกพ้องเที่ยวกรองกรอย ฤๅเปนง่อยเปนเปลี้ยเสียหูตา

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๒๏ บัดนั้น วายุบุตรเสแสร้งแกล้งว่า ได้ยินเขาเล่าเรื่องเมืองลงกา อุประมาเหมือนสวรรค์ชั้นวิมาน จะใคร่ไปดูเล่นให้เห็นแจ้ง ไม่รู้แห่งนัคเรศเขตรสถาน จึ่งหลงมาอาศรมพระทรงญาณ จงโปรดปรานชี้แจงให้แจ้งใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๓๏ เมื่อนั้น พระมุนีมิทันสงไสย จึ่งว่าเคอะจริงจริงไอ้ลิงไพร ช่างผิดเพื่อนเหมือนไม่มีลูกตา โน่นแน่แลดูตรงกูชี้ คือบุรีทศภักตร์ยักษา เองจำเอาเขานินทกาลา อยู่ท่ามกลางลงกาธานี

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๔๏ บัดนั้น หณุมานหมายจำคำฤๅษี แล้วเสแสร้งสนทนาพาที วันนี้สุริยนสนธยา ถึงจะไปในค่ำจำมิได้ ขออาไศรยพระองค์ทรงสิกขา หลับนอนให้สบายหายเลื่อยล้า พอรุ่งแสงสุริยาจะลาไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๕๏ เมื่อนั้น องค์พระสิทธาอัชฌาไศรย จึ่งว่ากับวานรอย่าร้อนใจ ศาลามีกว้างใหญ่ไอ้กะโต กูทำไม้ทองหลางไว้ต่างหมอน เองหลับนอนให้บรมศุโข แล้วเลือกหยิบส้มสูกลูกตะโก เอาใส่โอให้กระบินทร์กินตามจน

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๗๖๏ ครั้นค่ำจึ่งว่ากับวานร กูจะจำเริญพรแผ่ผล เองไปนอนให้สบายหายร้อนรน ที่บนศาลาหน้ากุฎี

ฯ ๒ คำ ฯ

๗๗๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานชาญไชยศรี คำนับรับคำพระมุนี จรลีตรงมาศาลาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๗๘๏ นั่งเอกเขนกนิ่งอิงเสา กอดเข่าคิดพะวงสงไสย ไฉนหนอพระมุนีชีไพร มาอยู่ในแว่นแคว้นแดนยักษ์มาร จะเปนแต่แก่แล้วออกสร้างพรต ฤๅปรากฎวิทยาจึ่งกล้าหาญ จำจะต้องลองฤทธิ์พระอาจารย์ ให้แจ้งการว่าเจ้ากูรู้อย่างไร ดำริห์พลางทางนิ่งสำรวมกาย ลูกพระพายนบนิ้วประนมไหว้ อ่านอาคมขลังตั้งใจ ให้กายใหญ่คับบรรณศาลา

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๗๙๏ แล้วร้องว่าเจ้าคุณพระมุนี ศาลาหลังนี้เล็กหนักหนา มิรู้ที่จะขยับกลับกายา ต้องงอขาคุดคู้อยู่อย่างไร

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๘๐๏ เมื่อนั้น พระดาบศหลากจิตรคิดสงไสย เมื่อศาลาห้าห้องเขาสร้างไว้ ไฉนไอ้ลิงป่าว่าอย่างนี้ มันจะแกล้งกวนกูอยู่ไม่ศุข ฉวยเทียนจุดผุดลุกขึ้นจากที่ จับไม้ท้าวก้าวลงจากกุฎี จรลีมาศาลาน่าวัด

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๘๑๏ เขม้นมองป้องหน้าเห็นวานร ทั้งกายกรโตใหญ่ไอ้สนัด น้อยฤๅแกล้งข้าสารพัด ทุดไอ้สัตวเดรฉานเจ้ามารยา แม้นมิแผลงฤทธิไกรให้มันดู จะหลบหลู่ฤๅษีชีป่า ดำริห์พลางทางสำรวมวิญญา โอมอ่านคาถาทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๘๒๏ เดชะวิทยาพระอาจารย์ ศาลานั้นบันดาลกว้างใหญ่ จึ่งว่าเหวยไอ้ลิงนิ่งอยู่ไย มิมุดหัวนอนให้เต็มศาลา เมื่อตะกี้น้อยฤๅร้องอื้อฉาว จะใคร่แพ่นด้วยไม้ท้าวให้หัวผ่า จองหองลองฤทธิ์กับสิทธา บ่นพลางทางมายังกุฎี

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๘๓๏ บัดนั้น หณุมานหัวร่อล้อฤๅษี จำจะลองเจ้ากูดูอิกที แล้วกระบี่สำรวมกายร่ายมนตรา

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๘๔๏ ตัวโตเต็มศาลาทั้งห้าห้อง แล้วแกล้งร้องว่าช่วยด้วยเจ้าข้า ที่เล็กกระจิริดให้นิทรา มิเชื่อมาดูเอาเถิดเจ้าคุณ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๘๕๏ เมื่อนั้น พระนักสิทธิคิดโมโหหันหุน จะสวดมนต์ภาวนาหาส่วนบุญ ไอ้เจ้ากรรมทำวุ่นทั้งวัดวา จำจะไปดูแลแก้เผ็ด เอาให้เข็ดให้ได้ไอ้ลิงป่า ฉวยไม้ท้าวก้าวลงจากศาลา บ่นด่าพึมพำพร่ำไป

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๘๖๏ มองเขม้นเห็นลิงเผือกผู้ คุดคู้คับศาลาอาไศรย จึ่งคิดว่าวานรนี้อาจใจ จำจะให้ตากฝนทนเวทนา ดำริห์แล้วพระอาจารย์อ่านอาคม บังเกิดลมตึงตังไปทั้งป่า พระพิรุณร่วงโรยโปรยลงมา ต้องวายุบุตรวุฒิไกร

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ รัว

๘๗๏ บัดนั้น หณุมานถูกฝนทนไม่ได้ รูปจำแลงแปลงกายก็หายไป เหมือนจับไข้สั่นท้าวหนาวสท้าน ให้เยือกเย็นเปนเหน็บทุกขุมขน สุดทนทรมาจึ่งว่าขาน เท่านั้นเถิดเจ้าข้าพระอาจารย์ ทีนี้ฉานหลาบเข็ดจงเมตตา

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๘๏ เมื่อนั้น พระนารทหัวเราะพลางทางว่า เปนไรไม่โตเต็มศาลา สมน้ำหน้าจองหองร้องทำไม

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๘๙๏ ครั้นเห็นตัวสั่นท้าวหนาวเต็มที เวทนาปรานีเสียไม่ได้ จึ่งว่าเหวยไอ้ลิงมาผิงไฟ แล้วพาไปกุฎีที่เพลิงกอง

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๙๐๏ บัดนั้น วายุบุตรสุดทนขนสยอง เข้าผิงหน้าผิงหลังนั่งยองยอง อุส่าห์มองโก่งฅอก่ออัคคี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๙๑๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายหายหนาว จึ่งแกล้งกล่าวสรรเสริญพระฤๅษี คุณของผู้เปนเจ้าคราวนี้ ให้อัคคีผิงกายสบายใจ ว่าพลางทางลาพระนักธรรม์ จรจรัลมาศาลาที่อาไศรย เอนเอกเขนกนอนกับหมอนไม้ ก็หลับไปในเพลาราตรี

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๙๒๏ เมื่อนั้น พระมหานารทฤๅษี จึ่งคิดว่าวานรตัวนี้ ท่วงทีทนงนึกฮึกฮัก มันลองกูกูจะต้องลองมันมั่ง ดูกำลังฤทธิไกรให้ประจักษ์ แล้วออกจากกุฎีที่สำนักนิ ฉวยชักไม้ท้าวก้าวเดินมา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๙๓๏ ครั้นถึงสระโบกขรณี จึ่งหยุดยืนอยู่ที่แผ่นผา บริกรรมสำรวมวิญญา เศกไม้ท้าวพระสิทธาด้วยฤทธี

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๙๔๏ แล้วทิ้งน้ำซ้ำสาปให้เปนปลิง จงคอยลิงลงมาท่าสระศรี คเนเมื่อหมอบก้มอมวารี เกาะเอาที่ลูกคางอย่าวางมัน ถึงมาทแม้นมีฤทธิ์จะปลิดปลด อย่าหลุดหมดเหมือนคำพร่ำสาปสัน แล้วงกเงิ่นเดินกลับมาฉับพลัน คืนเข้าอรัญกุฎี

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๙๕๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรไชยศรี ครั้นรุ่งรางส่างแสงพระรวี ขุนกระบี่ฟื้นกายสบายใจ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเหยียดแขนขา ตามประสาเพศลิงนิ่งไม่ได้ แล้วลงจากศาลาคลาไคล ตรงไปสระโบกขรณี

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๙๖๏ แต่พอก้มอมน้ำที่ในสระ ชัลลุกะเกาะคางกระบี่ศรี สดุ้งโดดโลดลอยขึ้นทันที ขุนกระบี่เห็นปลิงวิ่งวุ่นวาย สองมือจับหลับตากระชากฉุด ปลิงไม่หลุดล้มคว่ำคมำหงาย กลัวจะคืบเข้าปากขากน้ำลาย ลูกพระพายปลิดปลิงเปนสิงคลี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๙๗๏ ยิ่งดึงยิ่งลื่นยิ่งคลื่นไส้ เปนจนใจวิ่งมาหาฤๅษี นั่งลงตรงหน้าแล้วพาที พระมุนีโปรดด้วยช่วยปลิดปลิง

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๘๏ เมื่อนั้น พระดาบศบริกรรมทำนั่งนิ่ง จะฉุดชักผลักไสไม่ไหวติง แกล้งให้ลิงวอนว่าอยู่ช้านาน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๙๙๏ แล้วทำเปนเขม้นมองป้องหน้า ถามว่าอะไรไอ้เดรฉาน ไยมิแผลงฤทธิไกรไชยชาญ แต่ปลิงเท่าสายพานต้องวานกู นี่ทำไว้ให้รู้จักสำนึก เองอย่าฮึกต่อไปนะไอ้หู แล้วปลิดปลิงจากคางวางให้ดู คือไม้ท้าวของกูไปเกาะมึง

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๐๏ บัดนั้น ขุนกระบี่มิรู้ที่จะโกรธขึ้ง หัวเราะพลางทางนิ่งนึกรำพึง เราคิดไปไม่ถึงพระสิทธา จึ่งก้มเกล้ากราบไหว้อไภยโทษ ขอพระองค์จงโปรดเกษา ซึ่งได้คิดผิดพลั้งแต่หลังมา อย่าเปนเวราแก่ข้าน้อย สายอยู่แล้วจะลาพระอาจารย์ ไปเที่ยวชมเมืองมารเล่นสักหน่อย แล้วออกจากอาวาศคลาศคล้อย เหาะลอยลิ่วตรงไปลงกา

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด กราว (ยักษ์ออก)

๑๐๑๏ เมื่อนั้น นางอังกาศตไลมารหาญกล้า เปนปิศาจเสื้อเมืองเรืองฤทธา สี่หน้าแปดมือถืออาวุธ เห็นลิงเหาะลอยลงมาตรงวัง ให้แค้นคั่งขัดใจดังไฟจุด ร้องเรียกพลพวกผีมีฤทธิรุตม์ ขึ้นขวางหน้าวายุบุตรแล้วถามไป เหวยเหวยสวาวานร จะเหาะข้ามนครไปไหน กูคือเสื้อเมืองเรืองฤทธิไกร จะสังหารมึงให้วายปราณ

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๒๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ โกรธาว่าเหวยปิศาจมาร กูเปนหลานพาลีมีศักดา มึงเปนแต่ปิศาจชาติยักษ์ มาฮึกฮักกีดทางขวางหน้า เร่งหลบหลีกไปอย่าได้ช้า แม้นขืนอยู่กูจะฆ่าเสียบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๓๏ เมื่อนั้น เสื้อเมืองเคืองคำกระบี่ศรี จึ่งว่าเหม่ไอ้ลิงหยิ่งเต็มที มึงจะมีฤทธิไกรกะไรมา พลางทำอำนาจประกาศก้อง สั่งพวกพ้องผีพรายร้ายกล้า จงจับไอ้ลิงไพรอย่าได้ช้า พิฆาฏฆ่าให้มันบรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๔๏ บัดนั้น อสุรีปีศาจน้อยใหญ่ พรั่งพร้อมล้อมลิงเข้าชิงไชย หมายใจจะฆ่าวานร

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๐๕๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญสมร โจนจับประจัญบานราญรอน หลอกหลอนไล่กระชิดติดพัน ทยานขึ้นยืนเหยียบพวกผี แกว่งตรีป้องปัดผัดผัน แขงข้อต่อแย้งแทงฟัน พลกุมภัณฑ์ผีพรายตายเต็มไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ตีกาก

๑๐๖๏ เมื่อนั้น เสื้อเมืองเคืองขัดอัชฌาไศรย ถือคทาธรแกว่งดังแสงไฟ เข้าชิงไชยรบรุกคลุกคลี หวดซ้ายป่ายขวาสามารถ ลิงฉลาดหลอกโลดโดดหนี ยิ่งโกรธาดาแดงดังอัคคี ตามตีติดพันกระชั้นมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๗๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า รบรับสัปรยุทธยุทธนา แกล้วกล้ากลอกกลับจับประจัญ ขึ้นเหยียบบ่าคว้าฉวยชิงกระบอง ปัดป้องเปลี่ยนผลัดผัดผัน ว่องไวไล่กระชิดติดพัน หักโหมโรมรันราวี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๘๏ ปิศาจเสื้อเมืองมารซานทรุด วายุบุตรยุดเหยียบยักษี แกว่งพระขรรค์ฟันเศียรอสุรี สุดสิ้นชีวีวายปราณ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๐๙๏ เสร็จสังหารอสุราเพลาเย็น จึ่งแลเห็นลงการาชฐาน มีพวกยักษ์รักษาป้อมปราการ หณุมานนิ่งพินิจแล้วคิดพลาง จำจะแปลงปลอมปนพลกุมภัณฑ์ มันจะพูดจากันอย่างไรบ้าง เผื่อจะรู้เรื่องราวข่าวนาง ดำริห์พลางลูกพระพายร่ายมนต์

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๑๑๐๏ เปนยักษ์หนุ่มนุ่งลายตะพายย่าม ลงเดินตามแถวทางกลางถนน เข้าพวกอสูรเหล่าชาวพล ปลอมปนเที่ยวดูในบูรี

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๑๑๏ บัดนั้น พวกยักษ์รักษาน่าที่ ครั้นสิ้นแสงสุริยาราตรี เสียงอึงมี่ตีฆ้องกองไฟ พวกชาวป้อมล้อมวังทั้งหลาย มีหมื่นขุนมุลนายกำกับไพร่ สารวัดเที่ยวตรวจทุกหมวดไป เห็นใครนอนหลับจับตัวตี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๑๑๒๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี สถิตย์แท่นไสยาในราตรี กับเทวีมณโฑโสภา ครั้นเสื้อเมืองม้วยชีวันบรรไลย พเอิญให้เยือกเย็นทุกเส้นหญ้า พระยายักษ์ตึงเศียรเวียนไนยนา นิทราเคลิ้มระงับหลับไป

ฯ ๔ คำ ฯ กล่อม

ร่าย

๑๑๓๏ เมื่อนั้น หณุมานมีศักดาอัชฌาไศรย เที่ยวฟังข่าวคำพหลพลไกร ไม่มีใครออกนามนางสีดา เห็นแต่พวกนั่งยามตามตะเกียง รายเรียงพิทักษ์รักษา จึ่งอ่านอาคมขลังบังนิทรา สกดหมู่อสุราทั้งเวียงไชย

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๑๑๔๏ เดชะพระเวทอันเชี่ยวชาญ ทั้งเมืองมารเงียบระงับหลับใหล จึ่งกลับรูปเปนกระบี่มีฤทธิไกร ตรงขึ้นปราสาทไชยที่ใกล้ทาง

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ รัว เชิดฉิ่ง

๑๑๕๏ เห็นยักษ์หนึ่งนอนเตียงเคียงผู้หญิง มีกระดานชนวนพิงอยู่ข้าง ๆ จึ่งพิศดูนรลักษณ์ภักตร์นาง เห็นรูปร่างแก่ไปใช่สีดา ริมแท่นที่มีดินสอสมุดอยู่ พลิกขึ้นดูเห็นล้วนแต่เลขผา อสุรีนี้ชรอยเปนโหรา จึ่งตรงมาปราสาทสองเข้าห้องใน

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๖๏ เห็นยักษ์หนึ่งนอนกรนอยู่บนแท่น แขนแมนรูปร่างช่างโตใหญ่ กับนางหนึ่งนอนชิดพิศดูไป เปนสาวใหญ่ใช่สีดานารี มีคทาธรวางไว้ข้างอาศน์ กลางปราสาทล้วนเหล่าสาวศรี จึ่งลงจากอัฒจันท์ทันที ขึ้นสู่ที่ปราสาทสามไม่ขามใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๗๏ เห็นอสุรีสีเขียวเคี้ยวขบฟัน เปนหนุ่มน้อยผิวพรรณผ่องใส ริมข้างที่มีธนูศิลป์ไชย ฤทธิไกรจะทายาดดูลาดเลา แล้วดูนางที่เคียงบนเตียงนอน ถึงหน้าอ่อนก็เห็นทีมีลูกเต้า จึ่งเดินลัดแลงแฝงเงา ตรงไปเข้าปราสาทที่สี่พลัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๘๏ เห็นอสูรหนึ่งสนิทนิทรา ยี่สิบกรสิบหน้าขบขัน รู้ประจักษ์ทักแท้ว่าทศกรรฐ์ แล้วเห็นนางหนึ่งนั้นแนบอินทรีย์ พินิจดูรูปโฉมประโลมจิตร สำคัญคิดว่าสีดามารศรี เอะไฉนไยมาเปนเช่นนี้ ขุนกระบี่ลูบอกตกใจ จึ่งเข้าชิดพิศดูเปนครู่พัก ก็รู้จักมั่นคงไม่สงไสย มณโฑเมียพาลีที่บรรไลย ทศกรรฐ์มันไปขอมา แต่องค์พระมเหษีมีศักดิ ฤๅมันให้อยู่ตำหนักรักษา จึ่งลงจากปราสาทไชยไคลคลา เที่ยวค้นคว้าทั่วทั้งวังใน

ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๑๙๏ ไม่ประสบพบองค์นงคราญ หณุมานหลากจิตรคิดสงไสย เห็นแสงทองส่องฟ้านภาไลย จะนิ่งอยู่มิได้ในลงกา จำจะกลับไปป่าพนาลี ลวงถามพระมุนีดูดีกว่า คิดพลางทางแผลงฤทธา เหาะมายังอรัญบรรพต

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๒๐๏ ถึงอาศรมพระสิทธาเวลาสาย จึ่งลงท้ายจงกรมอาศรมบท ตรงเข้าไปหาพระนารท ก้มเกล้าประนตบทมาลย์ แล้วทำเสแสร้งแกล้งว่า ข้าไปถึงลงกามหาสถาน แสนสนุกศุโขมโหฬาร นิเวศน์วังดังวิมานเมืองฟ้า แต่ข้าได้ยินข่าวคราวหนึ่ง เขาเลื่องฦๅอื้ออึงหนักหนา ว่าทศกรรฐ์นั้นไปเที่ยวหิมวา ได้นางสีดามาไว้ งามล้ำสัตรีไม่มีคู่ จะใคร่ดูรูปเล่นหาเห็นไม่ พระมุนีนี้อยู่ริมกรุงไกร รู้มั่งฤๅไม่พระอาจารย์

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๒๑๏ เมื่อนั้น พระนารทหัวเราะร่าแล้วว่าขาน ถึงตัวกูอยู่ทวีปเมืองมาร ไม่คบไอ้ใจพาลพวกยักษ์ แต่ได้ยินคำเขาชาวเมือง มาเล่าเรื่องให้กูรู้ประจักษ์ อันไอ้ใจคดทศภักตร์ มันไปลักเมียเขาเหล่าโคธา ชื่อว่าสีดานารี รูปร่างนางนั้นดีหนักหนา มันลดเลี้ยวเกี้ยวพานพูดจา เขาด่าว่าไม่ยอมพร้อมใจ เดี๋ยวนี้ให้ไปอยู่เสียสวนขวัญ หาได้อยู่ด้วยมันในเมืองไม่ จะสูงต่ำดำขาวคราวใคร กูก็ไม่เห็นแก่ตาว่าตามจริง เออก็เองนี้หนักหนาน่าหัวร่อ ทำใจฅอเฟื่องฟุ้งสุงสิง ไม่เจียมตัวว่าเปนแต่เช่นลิง จะอยากดูผู้หญิงไปทำไม

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๑๒๒๏ บัดนั้น หณุมานได้ยินสิ้นสงไสย ก้มกราบพระสิทธาแล้วว่าไป จะเล่าให้แจ้งความตามตรง ซึ่งข้ามาลงกาด้วยปรารภ ตั้งใจจะใคร่พบนวลหง ด้วยสามีสีดาโฉมยง พระองค์ทรงนามพระรามา คือสมเด็จพระนารายน์วายุกูล มาล้างเหล่าประยูรยักษา บัดนี้พระองค์ทรงศักดา ยังประชุมโยธาพลากร ทั้งขีดขินชมภูหมู่กระบี่ ล้วนฤทธีห้าวหาญชาญสมร ได้พร้อมพรั่งตั้งแรมประทับร้อน อยู่ศิงขรคันธมาทน์คิรี จึ่งใช้ข้าวานรลูกพระพาย มาถวายแหวนพระมเหษี สืบข่าวราวเรื่องว่าร้ายดี แล้วจะยกโยธีมาชิงไชย คืนนี้ข้าเที่ยวดูไม่รู้ความ จึ่งมาถามพระองค์ด้วยสงไสย บัดนี้แจ้งกิจจาจะลาไป ให้พบองค์อรไทยเทวี

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๑๒๓๏ เมื่อนั้น พระมหานารทฤๅษี ได้ฟังคำคิดดูรู้คดี ปางนี้ต้องในไตรดายุค นารายน์อวตารมาผลาญยักษ์ ไตรจักรจะอยู่เย็นเปนศุข ตบมือหัวร่อร่าว่าพ้นทุกข์ จะสวดมนต์ให้สนุกน้ำใจกู จึ่งอวยพรลูกพระพายนายทหาร ยักษ์มารอย่ารอต่อสู้ แม้นขัดขวางข้างน่ามาหากู จะช่วยบอกให้รู้ทุกประการ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๑๒๔๏ บัดนั้น วายุบุตรคำนับรับบรรหาร ก้มเกล้ากราบลาพระอาจารย์ เหาะรเห็จเตร็จทยานไปลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๕๏ ครั้นถึงสวนจวนเวลาสายัณห์ เห็นกุมภัณฑ์เฝ้าแหนแน่นหนา มีตำหนักสามหลังทั้งพลับพลา ต้นโสกค้อมข้ามหลังคาพาไล จึ่งนึกว่าองค์พระมเหษี อยู่ที่นี่มั่นคงไม่สงไสย จำจะบังกายเราเข้าไป อย่าให้ใครพะวงสงกา คิดพลางทางสำรวมอารมณ์ นบนิ้วประนบเหนือเกษา โอมอ่านพระเวทวิทยา กำบังตาพหลพลไกร

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๑๒๖๏ แล้วลงต้นโสกใหญ่ใกล้ตำหนัก พวกยักษ์หาเห็นกายไม่ ค่อยย่องเหยียบเลียบตามกิ่งไม้ ลอบแลเข้าไปในพลับพลา เห็นเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล นั่งพูดจากันอยู่พร้อมหน้า กับนางหนึ่งนั่งแท่นแสนโสภา ประไพภักตร์ลักขณาลาวรรณ จะพิศไหนไม่เสียแต่สักอย่าง งามสรรพสรรพางค์ดังนางสวรรค์ จึ่งตรึกไตรในจิตรคิดสำคัญ เห็นแม่นมั่นองค์นี้นางสีดา ดูลาดเลาเศร้าซูบโศกนัก นึกสงสารนงลักษณ์หนักหนา จะตรงเข้าเฝ้าแหนกัลยา เห็นกิจจาจะแจ้งแพร่งพราย อย่าเลยต่อย่ำค่ำลง จึ่งจะเอาธำมรงค์ไปถวาย ตริพลางทางนิ่งอิงแอบกาย มุ่งหมายคอยเวลาราตรี

ฯ ๑๐ คำ ฯ รัว

ช้า

๑๒๗๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี ตั้งแต่ได้สีดานารี มาไว้ในที่อุทยาน สุดแสนเสนหาอาไลย หมายจะใคร่ร่วมรักสมัคสมาน ดูเหล่าสาวสุรางค์นางยักษ์มาร ไม่เห็นการรูปร่างช่างพีโต ทั้งนางอยู่งานพัดดัดจริต เกลียดกระบิดกระบวนกวนโทโส ยิ่งเคืองขุ่นงุ่นง่านพาลพาโล จนสิ้นแสงสุริโยอโนไทย

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๑๒๘๏ จึ่งตรัสเรียกท้าวนางมาข้างที่ จงไปบอกเสนีนายใหญ่ ให้ตำรวจตรวจตราเตรียมไว้ จะคลาไคลไปยังอุทยาน

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๙๏ บัดนั้น ท้าวนางคำนับรับบรรหาร ลงจากไพชยนต์ลนลาน ออกไปที่สั่งการทวารวัง

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๑๓๐๏ จึ่งร้องเรียกเสนีที่ข้างน่า เข้ามาบอกความตามรับสั่ง กระซิบกันเปนในมิให้ดัง จะเสด็จไปยังอุทยาน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๓๑๏ บัดนั้น เสนีแจ้งความตามว่าขาน ออกมาที่กรมวังสั่งหมู่มาร พนักงานของใครไปให้ครบ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๑๓๒๏ จัดตำรวจน่าหลังคั่งคับ กำชับเกณฑ์กันเข้าบรรจบ รักษาองค์ถือพลองส่องไต้คบ สบทบทุกหมวดตรวจตรา พวกปืนแดงนั่งหลามตามฉนวน เขนงเขาเต้าชนวนลูกสบ้า เหล่ามารมหาดเล็กเด็กชา ตรวจตราจัดแจงพระแสงง้าว พวกถือทวนล้วนด้ามเงินงาม ปลายผูกภู่จามรีขาว แล้วต่างนุ่งสองปักชักพกยาว เตรียมคอยท่าท้าวเจ้าลงกา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๓๓๏ เมื่อนั้น ทศเศียรเกษมสันต์หรรษา เสด็จจากแท่นที่ลีลา มาสระสรงคงคาวาริน

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๑๓๔๏ สถิตย์แท่นแผ่นผาศิลาทอง อาบลอองสุหร่ายสายสินธุ์ ขัดสีวารีรดหมดมลทิน ทรงสุคนธารประทิ่นกลิ่นเกลา น้ำดอกไม้เทศทาอ่าองค์ บรรจงทรงพระสางเศียรเกล้า พระฉายตั้งคันฉ่องส่องเงา เวียนแต่เฝ้ากรีดพระหัดถ์ผัดภักตรา ทรงภูษาผ้าต้นพื้นตอง เขียนทองเรืองอร่ามงามหนักหนา คาดเข็มขัดรัดองค์อลงการ์ ประดับพลอยถมยาราชาวดี คล้องพระคอสีดอกคำร่ำอบ หอมตระหลบอบองค์ยักษี ใส่แหวนเพ็ชรเม็ดแตงแต่งเต็มที่ จะไปอวดมั่งมีนางสีดา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๑๓๕๏ ถือพัดด้ามจิ้วจันทน์บรรจง พวงมาไลยใส่ทรงพระกรขวา แล้วลงจากปราสาทยาตรา ขึ้นทรงรัถาคลาไคล

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

๑๓๖๏ ครั้นถึงซึ่งสวนอุทยาน ให้หยุดพลมารน้อยใหญ่ ลงจากรถแก้วแววไว ตรงไปตำหนักห้างนางสีดา

ฯ ๒ คำ ฯ ฉุยฉาย

๑๓๗๏ แอบลับแลกั้นชั้นเฉลียง มองเมียงยิ้มละไมอยู่ในหน้า กระซิบเรียกสาวสรรค์กัลยา ออกมาซักถามเปนความใน ค่อยตระโบมโลมเล้าเยาวมาลย์ เปนการเหมือนว่าฤๅหาไม่ ฤๅยังคุมแค้นขัดตัดอาไลย เปนกะไรท่วงทีนางสีดา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๘๏ บัดนั้น กำนัลนางต่างทูลจะเอาหน้า ได้พูดพาดดูลองสองเวลา ก็เห็นว่าจะไม่กะไรนัก ตะกี้ดอกออกพระนามถามไถ่ ทีจะใคร่พบองค์พระทรงศักดิ ดูชั้นเชิงโฉมยงนงลักษณ์ แววจะรักมั่นคงไม่สงกา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๑๓๙๏ เมื่อนั้น ทศเศียรเกษมสันต์หรรษา พลางดำเนินเดินนาดยาตรา ขึ้นนั่งเตียงเคียงสีดาแล้วพาที

ฯ ๒ คำ ฯ

ชาตรี

๑๔๐๏ โฉมเอยโฉมเฉลา ยุพเยาว์ยอดฟ้ามารศรี พี่คิดถึงทุกทิวาราตรี จนวันนี้นอนกลางวันก็ฝันไป จึ่งอุส่าห์มาง้อขอโทษ หมายว่าเจ้าเล่าจะโกรธไปถึงไหน คำบุราณท่านย่อมว่าไว้ มิตรจิตรมิตรใจกะไรน้อง จะรังเกียจเดียดฉันกันไยเล่า บุญเราเคยภิรมย์สมสอง พี่จะรับทรามสงวนนวลลออง ไปครอบครองวังในเหมือนใจคิด จะจัดแจงแต่งการอภิเศก เปนองค์เอกมเหษีที่สนิท ว่าพลางทางขยับจะเข้าชิด ให้ร้อนดังเพลิงพิศม์ติดกายา ถอยหลังเหลียวมาคว้าหยิบพัด โบกปัดพระกายทั้งซ้ายขวา แล้วปลอบโยนโอนอ่อนด้วยวาจา แก้วตาอย่าสลัดตัดอาไลย

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๑๔๑๏ เมื่อนั้น นางสีดานารีศรีใส ได้ฟังคำแค้นนักจึ่งชักไม้ มาปักไว้ตรงหน้าด่าเปรียบปราย เหวยเหวยไอ้ไม้ใจฉกรรจ์ มึงอย่าคิดสำคัญมั่นหมาย อันใจกูสู้สิ้นชีวาวาย ไม่ขอเห็นเช่นชายชาตินี้ หากว่าอยู่ผู้เดียวที่ศาลา มึงจึ่งหาญอหังกาพาหนี แม้นพบพระหริรักษ์จักรี ชีวีมึงจะม้วยมรณา อย่าพักพูดเกี้ยวพานป่วยการปาก กูไม่อยากเชื่อฟังชังน้ำหน้า ว่าพลางนางเมินภักตรา ฟูมฟายชลนาไม่พาที

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

โอ้โลม

๑๔๒๏ สุดเอยสุดสวาดิ ช่างฉลาดเลมียดเสียดสี เสนาะคำน้ำเสียงเพียงดนตรี เออเช่นนี้ฤๅว่าจะน่าฟัง เห็นรักแล้วฤๅไม่ถือโทษ จงเหือดหายคลายโกรธลงเสียมั่ง มิใช่พี่นี้ทำด้วยชิงชัง จะปลูกฝังโฉมยงนงลักษณ์ อย่าครวญคร่ำรำพึงถึงพระราม ถึงรูปงามก็จนคนต่ำศักดิ ไม่ควรอยู่คู่เคียงเรียงภักตร์ เจ้าหลงรักเปล่าเปล่าไม่เข้ายา จงไปชมสมบัติพัศถาน ในเมืองมารมั่งมีดีหนักหนา อย่าสลัดตัดรักชักช้า สาวสวรรค์ขวัญตาจงปรานี

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๑๔๓๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี ยิ่งเดือดด่าว่าเหวยไอ้ไม้นี้ มึงไม่มีอายเจ็บเท่าเล็บมือ ยังแค่นขืนฝืนหน้ามาหัวเราะ พูดออกไปให้เพราะเสียเถิดฤๅ ตายไหนตายไปให้เขาฦๅ สมที่ดื้อด้านดีไม่มีอาย เพี้ยงเอ๋ยให้พระรามตามมาโปรด พิฆาฏโคตรไอ้ไม้ให้ฉิบหาย นางบ่นแช่งแกล้งประเทียบเปรียบปราย หยาบคายด่าว่าไม่ปรานี

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๔๔๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี เหลือที่อ้อนวอนว่าพาที เทวีด่าร่ำรำพรรณ ให้คิดอับอายขายหน้า อสุราเคืองขุ่นหุนหัน พลางเสด็จจากที่แท่นสุวรรณ ออกมาจากฉากกั้นนอกลับแล กริ้วเหล่าสาวสรรค์กำนัลนาง ดูดู๋ช่างสอพลอตอแหล ซักซ้อมพร้อมหน้าสารแน ล้วนแต่โฉมยงคงเอนดู นางกลับเคืองขัดตัดเยื่อใย ทำให้อัปรยศอดสู มึงไม่เล้าโลมโฉมตรู ให้มาอยู่นอนกินสิ้นทั้งนั้น แม้นกูมาทีหลังยังเช่นนี้ จะสังหารชีวีให้อาสัญ ตรัสพลางทางเสด็จจรจรัล ลงจากตำหนักพลันทันใด ขึ้นทรงรถสุวรรณบัลลังก์ พร้อมพรั่งเสนาน้อยใหญ่ เร่งรีบรัถาคลาไคล เข้าในลงกาธานี

ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด

๑๔๕๏ บัดนั้น เหล่านางกำนัลสาวศรี ร้อนตัวกลัวไภยอสุรี เห็นทีจะถูกเฆี่ยนเจียนตาย แล้วพากันเข้าไปในตำหนัก ตั้งกระทู้ขู่ซักนางโฉมฉาย เออจะมาพาเราให้หลังลาย ปากร้ายเกินตัวไม่กลัวใคร จนเสด็จออกมาว่าวอน ยังเคืองขัดตัดรอนไม่รักใคร่ ทังสมบัติวัดถาไม่อาไลย จะพอใจอยู่ป่าน่าทุบตี บ้างว่าบุญหนักหนาหาไม่ปะ ข้าก็อยากเปนพระมเหษี เสียแต่รูปร่างไม่อย่างนี้ เออนี่น้อยฤๅยังดื้อดึง อุส่าห์สู้อยู่พิทักษ์รักษา ก็หมายว่าถ้ากะไรจะได้พึ่ง แค้นใจหนักหนาน่าหยิกทึ้ง ต่างพิโรธโกรธขึ้งอึงไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๑๔๖๏ เมื่อนั้น องค์ภัควดีศรีใส สุดแสนเจ็บช้ำระกำใจ ชลไนยคลอเนตรนางโฉมยง ให้กลุ้มกลัดอัดอั้นตันจิตร พ่างเพียงชีวิตรจะผุยผง แล้วแกล้งคลี่คลุมประธมห่มองค์ ซบลงครวญคร่ำร่ำโศกา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้ปี่

๑๔๗๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช พระคุณเคยปกเกษเกษา เหตุไฉนไม่ตามเมียมา ให้มันหยาบช้าสารพัน แต่ครองใจไว้ท่าพระสามี ก็เหลือทนพ้นที่จะอดกลั้น ชรอยเวรเวรามาทัน จะสุดสิ้นอาสัญบรรไลย เปนกรรมของน้องแล้วจึ่งแคล้วคลาศ ขอรองลอองบาทต่อชาติใหม่ ยิ่งคิดยิ่งแค้นแน่นฤไทย ทรามไวยซบลงทรงโศกี

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๔๘๏ ครั้นเวลาล่วงสามยามเศษ ชำเลืองเนตรดูเหล่าสาวศรี เห็นหลับใหลไม่รู้สมประดี ลงจากที่แท่นทองย่องย่างมา

ฯ ๒ คำ ฯ ทยอย

๑๔๙๏ ถึงต้นโสกยิ่งสลดกำสรดเศร้า เข้าหยุดนั่งบังเงาพฤกษา จะผูกสอเสียให้ตายวายชีวา แล้วคิดถึงภัศดาโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้ปี่

๑๕๐๏ โอ้พระทูลกระหม่อมของเมียแก้ว วันนี้แล้วน้องรักจะตักไษย เสียแรงเปนเพื่อนลำบากยากไร้ ไม่เห็นใจเมียแล้วพระจักรี สิ่งใดแต่หลังได้พลั้งพลาด ให้ขัดเคืองเบื้องบาทบทศรี จะทูลลาอาสัญเสียวันนี้ ขออย่ามีเวราแก่ข้าไป ร่ำพลางนางทรงแสนเทวศ ชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล โศกศัลย์รันทดสลดใจ สอึกสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๕๑๏ บัดนั้น วายุบุตรอยู่บนต้นพฤกษา ได้ยินคำรำพรรณโศกา ก็รู้ว่านางสีดายาใจ สงสารพระมเหษีมีศักดิ เพราะเคืองแค้นทศภักตร์จะตักไษย จะผูกสอวายวางฤๅอย่างไร คิดแล้วแกล้งแฝงไม้เมียงมอง

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๕๒๏ เมื่อนั้น นางสีดาเปลี่ยวเปล่าเศร้าหมอง เห็นเวลาจวนแจ้งแสงทอง กลัวกำนัลมันจะย่องตามมา จึ่งสพักสไบบางที่นางทรง จีบจัดรัดพระองค์โจงภูษา แขงพระไทยไม่เสียดายชีวา อุส่าห์ปีนขึ้นบนต้นไม้

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๕๓๏ จึ่งเอาผ้าผูกพันกระสันรัด เกี่ยวกระหวัดไว้กับกิ่งโสกใหญ่ ชายหนึ่งผูกสออรไทย แล้วทอดองค์ลงไปจะให้ตาย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๕๔๏ บัดนั้น วายุบุตรแก้ได้ดังใจหมาย จึ่งเข้ามานบนอบยอบกาย กราบถวายบังคมก้มภักตร์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๕๕๏ เมื่อนั้น นางสีดานารีมีศักดิ แลเห็นลิงไพรสงไสยนัก ไม่รู้จักจึ่งถามเนื้อความไป เหวยไอ้สวาวานร เที่ยวด้นดั้นสัญจรมาแต่ไหน กูจะม้วยชีวันบรรไลย การอะไรของมึงจึ่งจัณฑาล

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๕๖๏ บัดนั้น วายุบุตรฟังบัญชาว่าขาน จึ่งทูลว่าข้าชื่อหณุมาน เปนทหารพระรามสุริวงษ์ เสด็จยกโยธาพลากร มาแรมรอนอยู่ในไพรระหง พระทรงฤทธิ์คิดคนึงถึงโฉมยง กรรแสงทรงโศกาทุกราตรี จึ่งตรัสใช้ให้ข้าวายุบุตร ข้ามสมุทมานครของยักษี แสวงหวังฟังข่าวพระเทวี ทุกวันนี้เคืองเข็ญเปนอย่างไร

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๕๗๏ เมื่อนั้น องค์ภัควดีศรีใส ได้ฟังลิงนิ่งนึกตรึกไตร เห็นไม่สมความจึ่งถามซัก ซึ่งท่านว่าเปนข้าพระสามี เหตุไฉนเรานี้มิรู้จัก ดีร้ายเองออเจ้านี้เหล่ายักษ์ ทศภักตร์มันใช้ให้ปลอมมา จึ่งแกล้งบอกออกนามพระผ่านเกล้า มิให้เราสิ้นชีวังสังขาร์ ชะช่างคิดอ่านเจ้ามารยา อย่าพักมาสอพลอไม่ขอฟัง

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๕๘๏ บัดนั้น หณุมานทูลไปดังใจหวัง เมื่อแรกสามกระษัตริย์พลัดเวียงวัง คราวนั้นยังมิได้มาเปนข้าไท ต่อเมื่อยักษ์ลักพระองค์มาลงกา ข้าจึ่งได้เปนข้าเข้าอยู่ใหม่ แล้วหยิบธำมรงค์รัตน์ตรัจไตร กับสไบกรองทองของสำคัญ จึ่งทูลว่าผ้านี้กระบี่ป่า ถวายพระจักรารังสรรค์ กับพระยาสดายุนกนั้น ให้สำคัญธำมรงค์วงนี้ จึ่งใช้ข้าวานรนายทหาร มาประทานองค์พระมเหษี แล้วจะยกโยธามาราวี ผลาญหมู่อสุรีให้บรรไลย

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๕๙๏ เมื่อนั้น นางสีดานารีศรีใส เห็นแหวนก้อยกับภูษาผ้าสไบ ที่ทรามไวยทรงมาจากธานี แต่ของไม่ได้อยู่กับทรงฤทธิ์ ให้นึกแหนงแคลงจิตรนางโฉมศรี จึ่งตรัสตอบวาจาพาที ของนี้ตกค้างอยู่กลางไพร ท่านเปนพวกพ้องของทศกรรฐ์ เที่ยวไปในอรัญเก็บมาได้ จะกล่าวแกล้งแต่งอุบายให้ตายใจ เรามิได้ลุ่มหลงอย่าสงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๖๐๏ บัดนั้น วายุบุตรเห็นยังกังขา จึ่งว่าพระหริรักษ์จักรา ก็สั่งมาสารพัดเมื่อตรัสใช้ ถ้าแม้นพระมเหษีมิเชื่อฟัง ให้ยกข้อความหลังแถลงไข เมื่อครั้งไปยกศิลป์ไชย ที่ในธานินทร์มิถิลา เสด็จเดินเข้าไปในนิเวศน์ ทอดพระเนตรชำเลืองแลหา พระองค์แอบบานแกลแลลงมา ไนยนาพอพบประสบกัน จึ่งตรัสบอกกับข้ามาทั้งนี้ ให้เทวีเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ ด้วยเปนความข้อขำสำคัญ รู้กันแต่กับองค์นงคราญ

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๖๑๏ เมื่อนั้น นางสีดาเยาวยอดสงสาร ได้ฟังคำกำแหงหณุมาน ก็แจ้งการว่าพระหริรักษ์ จึ่งรับของสองสิ่งมาเพ่งพิศ ยิ่งคิดถึงองค์พระทรงศักดิ ชลเนตรคลอคลองนองภักตร์ นงลักษณ์ทรุดองค์ทรงโศกี

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้ปี่

๑๖๒๏ โอ้แสนสงสารพระผ่านเกล้า จะโศกเศร้าถึงน้องหมองศรี เคยเปนศุขทุกทิวาราตรี ไม่พอที่จะนิราศคลาศคลา เพราะห้ามเมียไม่ฟังรับสั่งห้าม จึ่งได้ความเคืองแค้นแสนสา โทษน้องผิดพ้นคณนา จะสู้สิ้นชีวาไม่อาไลย หากทหารผ่านฟ้ามาทัน ชีวันน้องรักไม่ตักไษย ถ้าแม้นล่วงเวลาช้าไป ไม่เห็นใจเมียแล้วพระภูมี ร่ำพลางนางหยิบธำมรงค์ สอดทรงหัดถามารศรี ลำฦกถึงพระลักษณ์พระจักรี โศกีสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๖๓๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานหาญกล้า เห็นโฉมยงทรงโศกโศกา รำพรรณถึงภัศดาสามี จึ่งก้มเกล้ากราบลงตรงภักตร์ แล้วทูลองค์นงลักษณ์มเหษี แม่จะใคร่ไปเฝ้าพระจักรี ข้อนี้อย่าประหวั่นพรั่นพระไทย เชิญเสด็จขึ้นบนฝ่ามือข้า จะพาเหาะไปพลับพลาที่อาไศรย ถ้ากุมภัณฑ์มันติดตามไป จะสังหารผลาญให้สิ้นชีวี

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๖๔๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี จึ่งตรัสตอบวาจาพาที ท่านว่านี้ไม่ต้องทำนองใน อันตัวเรายากเย็นเพราะเปนหญิง ไม่สิ้นสิ่งพะวงสงไสย ประเดี๋ยวยักษ์ลักมาลิงพาไป เทพไทจะติฉินนินทา จงทูลพระอวตารผ่านเกล้า ว่าตัวเราบังคมก้มเกษา ไม่ลืมคิดถึงพระคุณกรุณา แต่ครองใจไว้ท่าก็กว่าปี เชิญเสด็จผ่านฟ้ามาโปรด พิฆาฏโคตรทศภักตร์ยักษี ให้สิ้นทั้งลงกาธานี จึ่งสมที่มันอาจอหังกา มาทแม้นทศกรรฐ์มันไม่ตาย เราจะวายชีวังสังขาร์ แล้วตรัสขับขุนกระบี่ให้ลีลา เสด็จมาตำหนักจันทน์ทันใด

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

๑๖๕๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานทหารใหญ่ ครั้นนางเสด็จกลับลับไป อโนไทยแจ่มแจ้งจักรวาฬ จึ่งคิดว่าถ้าจะกลับไปพลับพลา อุประมาเหมือนไม่ใช่ทหาร เสียแรงเราเข้ามาถึงกรุงมาร จำจะผลาญพลเมืองให้เปลืองตา คิดพลางแผลงศักดาถาโถม เข้าน้าวโน้มหักโค่นต้นพฤกษา ถอนรากกระชากฉุดลมุดสีดา ทั้งพวาสาลี่ลิ้นจี่จีน เหนี่ยวหน่วงม่วงปรางลางสาด บ้างหักขาดกระเด็นเปนสีน คว้าฉวยกล้วยตีบถีบด้วยตีน เที่ยวป่ายปีนหักมะพร้าวน้าวตาล

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๑๖๖๏ บัดนั้น อสูรเหล่าเฝ้าสวนล้วนกล้าหาญ แลเห็นลิงทโมนโจนทยาน เที่ยวหักรานต้นหมากรากไม้ ตะโกนก้องร้องบอกกันเอะอะ โน่นแน่วะลิงป่าเข้ามาได้ บ้างว่าจับเอาตัวกลัวมันไย ออกล้อมรอบต้นไม้ทั้งไพร่นาย บ้างวิ่งไปวิ่งมาเที่ยวหาเชือก กูจะคล้องลิงเผือกไปถวาย บ้างยืนยัดปืนไฟใส่ลูกปราย เขม้นหมายมุ่งมองจ้องจะยิง บ้างฉวยได้ไม้แหลมแหลนหลาว โห่ฉาวซัดพุ่งยุ่งยิ่ง บ้างถืออิฐแอบข้างขว้างทิ้ง บ้างก็ยิงด้วยกระสุนวุ่นไป

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๑๖๗๏ เมื่อนั้น หณุมานไม่พรั่นหวั่นไหว เผ่นโผนโจนจากค่าคบไม้ ถอนได้พฤกษาเปนอาวุธ กวัดแกว่งแผลงศักดาถาโถม เข้าหักโหมโจมจับสัปรยุทธ ตีอสูรหมู่มารซานทรุด บ้างม้วยมุดชีวันบรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๖๘๏ บัดนั้น อสูรพลพวกเหล่าบ่าวไพร่ ที่เหลือตายกลัวลิงไม่ชิงไชย วิ่งไปเฝ้าสหัสกุมาร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๖๙๏ ครั้นถึงจึ่งตรงเข้าในวัง พอเสด็จออกนั่งอยู่น่าฉาน บ้างล้มลุกจุกอกอุส่าห์คลาน มากราบกรานโอรสทศกรรฐ์ แล้วทูลว่าบัดนี้ยังมีลิง มาหักกิ่งมิ่งไม้ในสวนขวัญ ท่านหัวสิบทิพผลพลกุมภัณฑ์ เข้าจับมันฆ่าตายวายชีวา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๑๗๐๏ เมื่อนั้น สหัสกุมารหาญกล้า ได้ฟังพวกอสูรทูลมา สำคัญว่าลิงดงพงพี จึ่งชี้หน้าว่าเหม่ไอ้กุมภัณฑ์ จนชั้นแต่ลิงก็วิ่งหนี ให้เจ้านายขายหน้าทั้งตาปี เช่นนี้เฆี่ยนซ้ำจึ่งหนำใจ ว่าพลางทางสั่งเสนามาร จึงเรียกเหล่าทหารที่บ้านใกล้ ทั้งพวกปืนเกณฑ์หัดจัดเอาไป จะล้อมยิงลิงไพรให้มรณา สั่งแล้วแต่งองค์ทรงศร บทจรจากตำหนักยักษา มาร้องเร่งพหลพลโยธา พร้อมหมู่อสุราแล้วรีบไป

ฯ ๘ คำ ฯ กราว

๑๗๑๏ ครั้นถึงซึ่งสวนอุทยาน ทวยหาญโห่สนั่นหวั่นไหว พอเห็นลิงวิ่งมาขวางหน้าไว้ โตใหญ่เผือกผู้ดูพ่วงพี จึ่งคิดว่าถ้าเราจะเข้าจับ ไอ้ลิงอัปรลักษณ์เสียศักดิศรี ดำริห์พลางทางสั่งโยธี จับกระบี่ให้ได้อย่าไว้มัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๗๒๏ บัดนั้น มารหมู่พหลพลขันธ์ ยังไม่รู้ฤทธิ์ลิงชิงกัน เข้าโรมรันรบรุมตลุมบอน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๗๓๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญสมร สัปรยุทธฉุดชิงคทาธร ตีต้อนหมู่มารไม่ทานทน พวกอสูรหนุนเพื่อนเข้าเกลื่อนกลุ้ม จับกุมกลอกกลับสับสน ลูกพระพายเผ่นโผนโจนประจญ สังหารพลยักษ์ตายลงก่ายกัน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๗๔๏ เมื่อนั้น พวกโอรสทศเศียรรังสรรค์ เห็นรากษษตายยับลงนับพัน กรูกันเข้าพร้อมล้อมวานร ต่างต่างต่อแย้งแทงฟัน บ้างฟาดด้วยพระขรรค์รันด้วยศร บ้างเขม้นหมายมุ่งพุ่งโตมร เงื้อง่าคทาธรเข้าโจมตี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๗๕๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรไชยศรี แขงข้อต่อสู้อสุรี ได้ทีถาโถมโจมประจัญ เผ่นโผนโจนทยานขึ้นเหยียบบ่า ย้ายท่าผลัดเปลี่ยนเหียนหัน กลอกกลับรับรองป้องกัน พัลวันหนีไล่กันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๗๖๏ ขุนกระบี่มีกำลังโลดโผน กระโจมโจนจับยักษ์หักแขนขา ชิงหอกดาบประหารผลาญชีวา อสุราทั้งพันบรรไลย

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด โอด

๑๗๗๏ บัดนั้น พวกพลเหลือตายทั้งนายไพร่ กลัวลิงวิ่งหอบหายใจ ตรงไปที่เฝ้าเจ้าลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๗๘๏ ถึงวังพอเวลาห้าโมง เสด็จออกท้องพระโรงข้างน่า พากันก้มกรานคลานเข้ามา วันทาทูลแถลงแจ้งความ บัดนี้มีลิงทโมนใหญ่ มาหักไม้สวนหลวงที่หวงห้าม พระโอรสพันองค์ออกสงคราม ก็ถึงความมรณาพิราไลย

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๑๗๙๏ เมื่อนั้น ทศเศียรเคืองขัดอัชฌาไศรย ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดไป เหม่ไอ้เดรฉานชาญฉกรรจ์ มาหักไม้ในสวนแล้วมิสา ซ้ำสังหารลูกยาจนอาสัญ ลบหลู่ดูหมิ่นถิ่นแคลนครัน แค้นมันกูไม่ไว้ชีวา จะให้องค์อินทรชิตไปคิดอ่าน ล้างผลาญชีวังให้สังขาร์ ตรัสพลางทางสั่งเสนา ไปบอกพระลูกยามาบัดนี้

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๘๐๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งใส่เกษี ก้มเกล้ากราบงามสามที ออกจากที่พระโรงไชยไคลคลา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๘๑๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ ทูลองค์อินทรชิตยักษา รับสั่งพระบิตุรงค์ทรงศักดา ให้ข้ามาเชิญเสด็จไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๘๒๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฟังแจ้งแถลงไข จึ่งแต่งองค์อสุราแล้วคลาไคล สาวสรรค์กำนัลในก็ตามมา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

๑๘๓๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท พระบิตุรงค์ธิราชนาถา เมียงหมอบยอบองค์อสุรา คอยฟังบัญชาพระยายักษ์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๘๔๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ จึ่งดำรัสตรัสบอกพระลูกรัก ไอ้ลิงป่ามาหักสวนเรา ครั้นสหัสกุมารเข้าล้อมจับ มันก็กลับฆ่าม้วยเสียด้วยเล่า แม้นละไว้ไอ้ลิงจะดูเบา จะให้เจ้าไปสังหารผลาญชีวา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๘๕๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา จึ่งบังคมก้มกราบทูลบิดา ทำไมกับลิงป่าพนาวัน ถึงมาทแม้นจะดีมีฤทธิ์ มิได้คิดขยาดหวาดหวั่น จะขอไปไล่สพัดมัดมัน มาถวายทรงธรรม์วันนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๘๖๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี สรวลสันต์หรรษาแล้วพาที มิเสียแรงเจ้ามีฤทธิรอน จงรีบเร่งออกไปให้ทันที หาไม่มันจะหนีไปเสียก่อน ว่าพลางทางสั่งมโหทร เร่งเกณฑ์พลนิกรบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๘๗๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งใส่เกษี ก้มเกล้ากราบงามสามที อสุรีรีบรัดไปจัดแจง

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๘๘๏ ตรวจเตรียมทวยหาญชำนาญศึก ล้วนพิฦกล่ำสันขันแขง เกณฑ์หัดจัดพื้นปืนแดง สพายแล่งเขนงเขาเต้าชนวน บ้างไปชักเลขผามาจากด่าน สับสนอลหม่านเปนการด่วน บ้างถือโล่ห์แหลนหลาวง้าวทวน สารวัดจัดกระบวนโยธา นายไพร่แต่งตนอลหม่าน ปลุกเศกเครื่องอานอ่านคาถา แล้วเตรียมราชรถแก้วแววฟ้า ประทับกับเกยลาน่าพระลาน

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๘๙๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธิไกรใจหาญ ถวายบังคมลาพระยามาร มาชำระสระสนานนที

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๙๐๏ ไขสหัสธาราดังห่าฝน ซาบสกลกายายักษี ทรงสุคนธ์ตระหลบอบมาลี นางอยู่งานพัชนีรำเพยพัด สอดใส่สนับเพลาเพราผจง ภูษาทรงพื้นแดงแย่งรูปสัตว ฉลององค์เกราะเก็จเพ็ชรรัตน ชายแครงแกว่งกวัดสบัดปลาย ห้อยน่าผ้าทิพขลิบสุวรรณ เข็มขัดคาดมั่นกระสันสาย ทับทรวงสังวาลวรรณพรรณราย ตาบประดับสลับลายลงยา ทองกรพาหุรัดกระหวัดวง ธำมรงค์เพ็ชรพรายทั้งซ้ายขวา ทรงมงกุฎกรรเจียกแก้วแววฟ้า ห้อยห่วงพวงบุบผามาลี

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๑๙๑๏ ครั้นเสร็จสรรพจับศรนาคบาศ ลงจากปรางมาศปราสาทศรี เคลื่อนคลายขยายยกโยธี ออกประตูบูรีรีบมา

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

๑๙๒๏ ครั้นถึงซึ่งสวนอุทยาน แลเห็นลิงวิ่งผ่านมาขวางหน้า จึ่งนิ่งนึกตรึกไตรในวิญญา ไอ้กระบี่นี้กล้าไม่กลัวยักษ์ จำจะพูดไต่ถามตามทำนอง มันพวกพ้องผู้ใดให้ประจักษ์ ดำริห์แล้วโอรสทศภักตร์ ประกาศก้องร้องทักถามไป ดูราวานรเผือกผู้ เองอยู่แห่งหนตำบลไหน มาเที่ยวถึงเมืองยักษ์หักต้นไม้ มิได้เกรงพระราชอาชญา แล้วมิหนำซ้ำฆ่าโยธาหาญ ทั้งสหัสกุมารโอรสา บัดนี้มีรับสั่งพระบิดา ให้กูมาสังหารผลาญชีวี

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๙๓๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญไชยศรี ได้ฟังอสุราพาที ขุนกระบี่เสแสร้งแกล้งตอบไป ตัวเราเปนสวาวานร ถิ่นฐานนานดอนหามีไม่ ผู้เดียวเที่ยวเล่นเห็นลูกไม้ ไม่รู้ว่าของใครก็เก็บกิน เมื่อพวกพ้องของท่านทำหยาบช้า พูดจาองอาจประมาทหมิ่น เข้าจับเราเราจึ่งสู้อสุรินทร์ ตายสิ้นสมน้ำหน้าสาแก่ใจ ท่านนี้มีนามไฉนเล่า จะมาม้วยด้วยเขาฤๅไฉน จงเลิกทัพกลับคืนเข้าเวียงไชย แล้วตัวเราก็จะไปไพรวัน

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๙๔๏ เมื่อนั้น อินทรชิตเคืองขุ่นหุนหัน จึ่งว่าเหม่เดรฉานชาญฉกรรจ์ มุทลุดุดันดื้อดึง ไม่รู้จักกูฤๅชื่ออินทรชิต ทศทิศไม่มีที่เปรียบถึง แสนมหาหัสไนยเจ้าไตรตรึงษ์ รบกับกูครู่หนึ่งก็แพ้ฤทธิ์ มึงเปนแต่วานรสัญจรป่า พูดจาอาจองทนงจิตร จะให้พวกพลมารผลาญชีวิตร อย่าพึงคิดที่จะรอดตลอดไป ว่าพลางทางสั่งเสนี จงจับไอ้กระบี่นี้ให้ได้ มันพลบลี้หนีออกข้างด้านใคร จะฆ่าเสียไม่ไว้ทั้งไพร่นาย

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๙๕๏ บัดนั้น เหล่าพวกอสุรินทร์สิ้นทั้งหลาย รับสั่งอินทรชิตไม่คิดตาย ทั้งไพร่นายสมทบเข้ารบรุม บ้างตีรันฟันฟาดด้วยสาตรา บ้างง้างหินศิลาขึ้นทิ้งทุ่ม บ้างแกว่งหอกกลอกกลับเข้าจับกุม เปนกลุ่มกลุ่มกลุ้มตีกระบี่ไพร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๙๖๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานทหารใหญ่ ประจัญจับรับรองว่องไว โลดไล่ตระหลบรบรับ ขึ้นเหยียบยักษ์หักฅอพิฆาฏฆ่า ชิงสาตราฟันฟาดดังฉาดฉับ สังหารพวกพลนิกายลงตายยับ ทรากศพทบทับธรณี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๙๗๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี เห็นหมู่มารล้มตายวายชีวี อสุรีแกว่งศรเข้ารอนราญ เผ่นขึ้นเหยียบบ่าวายุบุตร ยงยุทธย้ายท่ากล้าหาญ รุกรบขบฟันประจัญบาน ตีต้องหณุมานซานไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๙๘๏ เมื่อนั้น หณุมานไม่พรั่นหวั่นไหว สัปรยุทธชิงฉุดศรไชย รบไล่กระชิดติดพัน ทยานขึ้นยืนเหยียบบ่ายักษ์ หาญหักผลัดเปลี่ยนเหียนหัน หลอนหลอกกลอกกลับจับประจัญ พัลวันหนีไล่กันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๙๙๏ เมื่อนั้น โอรสทศภักตร์ยักษา ประจัญบานราญรอนอ่อนระอา จึ่งถอยมานิ่งนึกตรึกไตร ไอ้ลิงนี้มีฤทธิ์ทายาดอยู่ จะต่อสู้เคี่ยวเข็นเห็นไม่ได้ คิดพลางทางเสี่ยงศิลป์ไชย ขึ้นสายแผลงไปมิได้ช้า

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๒๐๐๏ ศรเปนนาคบาศกลาดเกลื่อน ลอยเลื่อนมากลางเวหา เข้ารวบรัดมัดกระบี่มีศักดา ล้มกับพสุธาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๒๐๑๏ จึ่งสั่งไพร่ให้มัดลิงเผือก กระชากเชือกฉุดคร่าไม่ปราไส แล้วเลิกพวกพหลพลไกร เข้าในลงกาธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา เชิด

๒๐๒๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าประนตบทศรี ทูลแถลงแจ้งเรื่องซึ่งราวี บัดนี้จับได้ไอ้ลิงมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๐๓๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสรวลสันต์หรรษา เข้ากอดจูบลูบหลังพระลูกยา ใครจะมาสู้ได้นั้นไม่มี เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาหนักหนาอยู่ จงไปสู่ปรางมาศปราสาทศรี ไอ้ลิงไพรไว้บิดาจะฆ่าตี ให้สมที่หยาบช้าสามาญ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๒๐๔๏ ว่าพลางทางสั่งตั้งสิงหนาท เหวยพวกเพ็ชฌฆาฏอาจหาญ จงเอาไอ้ลิงไพรใจพาล ไปล้างผลาญชีวันให้บรรไลย

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๐๕๏ บัดนั้น เพ็ชฌฆาฏรับสั่งบังคมไหว้ ออกมาพรั่งพร้อมล้อมลิงไพร ฉุดคร่าพาไปตะแลงแกง

ฯ ๒ คำ ฯ เตียว

๒๐๖๏ จึ่งปักเสาเอาลิงเข้าผูกมัด ช่วยกันรัดเชือกปอข้อแขง บ้างถือดาบหอกจ้องลองแรง รุมกันฟันแทงวานร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๒๐๗๏ จนหอกพับดาบบิ่นสิ้นหลายเล่ม เหนื่อยเต็มกำลังนั่งหยุดหย่อน บ้างฉวยได้ขวานพร้าคทาธร พะเนินขอนเหล็กตีกระบี่ไพร

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๐๘๏ เมื่อนั้น วายุบุตรสบัดพลัดออกได้ ชิงอาวุธยุดยักษ์เหยียบไว้ ฟาดฟันบรรไลยด้วยฤทธา

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๒๐๙๏ บัดนั้น นครบาลตัวนายซ้ายขวา เร่งให้กลิ้งครกยกสากมา แล้วจับวานรใส่ลงในนั้น อสูรสำหรับตำล่ำไม่เล็ก ถือสากเหล็กคนละเล่มเข้มขัน ลองแรงแกว่งกวัดกัดฟัน เขย่งยันเยื้องโยกโขลกลงไป

ฯ ๔ คำ ฯ ใช้เรือ

๒๑๐๏ เมื่อนั้น ขุนกระบินทร์ดิ้นโดดโลดขึ้นไล่ ชิงกระชากสากเหล็กว่องไว ตีกุมภัณฑ์บรรไลยทั้งสองรา

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๒๑๑๏ บัดนั้น อสูรเสนามารหาญกล้า จึ่งเร่งให้ไปผูกช้างมา เข้าแทงไอ้ลิงป่าอย่าช้าการ

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๑๒๏ บัดนั้น กรมช้างต่างตนอลหม่าน วิ่งหืดขึ้นฅอทั้งหมอควาญ ผูกสังหารคชสีห์มีน้ำมัน สอดชนักชักสายพานน่า ข้อรารัตคนเครื่องมั่น มารสำหรับขับขี่ขึ้นพร้อมกัน เอาเหล้ากลั่นใส่กระบอกกรอกเข้าไป

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๒๑๓๏ แล้วขับเดินตามทางกลางถนน เห็นผู้คนแปร๋แปร้นแล่นไล่ ที่ขี่พังนำน่ามาไกลไกล ถือหลอดเขาเป่าไปเปนสำคัญ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๑๔๏ ถึงที่ฆ่าวานรเผือกผู้ หยุดอยู่ยืนป่วนหวนหัน ควาญเปิดขอขับฉับพลัน ช้างน้ำมันมุ่งตรงเข้าลงงา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๒๑๕๏ เมื่อนั้น วายุบุตรหลุดออกหลอกยักษา เข้าจับช้างหักฅอมรณา ทั้งหมอน่าควาญท้ายวายชีวัน

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๒๑๖๏ บัดนั้น พวกผู้คุมเข็ดฤทธิ์คิดพรั่น ไปทูลเจ้าลงกาสารพัน ไอ้ลิงป่าฆ่ามันไม่มรณา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๑๗๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา ได้ฟังนิ่งนึกตรึกตรา แล้วตรัสว่าไอ้นี่มีฤทธิไกร ให้ฆ่าฟันมันไม่มอดม้วย ถ้าลวกด้วยน้ำเย็นเห็นจะได้ ว่าพลางทางสั่งเสนาใน จงออกไปเอาตัวมันเข้ามา

ฯ ๔ คำ ฯ

๒๑๘๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกษา มาลากลิงเข้าไปมิได้ช้า เฝ้าเจ้าลงกาพระยามาร

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๑๙๏ เมื่อนั้น ทศเศียรศักดาปรีชาหาญ เห็นลิงไม่นบนอบหมอบกราน กิริยาอาการไม่กลัวใคร จึ่งเสแสร้งแกล้งประภาศพูดจา เปนทีทางเมตตาปราไส ดูก่อนกระบี่มีฤทธิไกร รู้ฤๅไม่โทษมึงนี้ถึงตาย แต่หากเห็นเปนลิงละเลิงอยู่ ยังไม่รู้พระกำหนดกฎหมาย อันโทษที่ทำผิดคิดร้าย กูก็หายโกรธาไม่ฆ่าตี จะเลี้ยงไว้ใช้สอยเปนข้าเฝ้า จะยอมฤๅไม่เล่ากระบี่ศรี แม้นซื่อตรงจงรักภักดี ทั้งเบี้ยหวัดผ้าปีจะให้ปัน

ฯ ๘ คำ ฯ

๒๒๐๏ เมื่อนั้น ลูกลมฉลาดคิดบิดผัน จึ่งเสแสร้งแกล้งทูลทศกรรฐ์ พระคุณนั้นเลิศลบภพไตร แต่หากว่าข้าน้อยนี้บอบช้ำ ด้วยเขาทำโทษาไม่ปราไส ถึงมาทแม้นจะเลี้ยงไว้เวียงไชย ก็เห็นไม่ตลอดรอดชีวา แม้นพระองค์ทรงฤทธิ์คิดสงสาร โปรดประหารชีวังให้สังขาร์ จะได้พ้นทนทุกข์เวทนา ดีกว่าเลี้ยงไว้ในบุรี

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๒๒๑๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ได้ฟังลิงป่าพาที จึ่งมีพจนาดถ์ประภาศไป กูจะช่วยอนุเคราะห์เพราะเอนดู เองก็ว่าหาอยู่ด้วยได้ไม่ จะซ้ำวานผลาญชีวันให้บรรไลย เปนจนใจที่จะขัดทัดทาน เองก็เรืองฤทธิรงค์คงกระพัน แต่สาตราฆ่าฟันไม่สังขาร ซึ่งจะใคร่ให้พ้นทรมาน เองจะให้ประหารด้วยสิ่งใด

ฯ ๖ คำ ฯ

๒๒๒๏ เมื่อนั้น ขุนกระบินทร์ยินดีจะมีไหน สมหวังดังจิตรที่คิดไว้ จะเอาไฟเผาวังเสียครั้งนี้ ตริแล้วทูลปดทศกรรฐ์ อันชีวันข้าบาทบทศรี จะวายวางอย่างเดียวด้วยอัคคี ข้อนี้จริงใจมิได้พราง จงเอาผ้าชุบน้ำมันพันพัว หุ้มให้ทั่วทั้งกายจนปลายหาง ทั้งนุ่นเคล้าเข้ากับน้ำมันยาง ประสมฟางต่างเชื้อมาผูกพัน แล้วจึ่งเอาเพลิงแรงแสงกล้า มาจุดเข้าเผาข้าให้อาสัญ ซึ่งทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน ทรงธรรม์จงทราบบาทบงสุ์

ฯ ๘ คำ ฯ

๒๒๓๏ เมื่อนั้น ทศเศียรเสียเชิงละเลิงหลง จึ่งว่ากับลิงไพรดังใจจง กูก็คงจะช่วยเผาเองเอาบุญ ตรัสพลางทางสั่งพวกกุมภัณฑ์ จงไปเอาน้ำมันมากับนุ่น เสียแรงเราได้เมตตาการุญ ช่วยลงทุนปลงศพให้ครบครัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๒๒๔๏ บัดนั้น เสนารับสั่งแล้วผายผัน วิ่งเรียกเหล่าบ่าวไพร่พร้อมกัน ไปเบิกนุ่นน้ำมันดังบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๒๕๏ ฉีกกระชุกคลุกเคล้าเข้ากับฟาง น้ำมันยางชุ่มชื้นทุกผืนผ้า เอาพันพัวตัวลิงเหลือแต่ตา แล้วจูงไปไว้ชลาน่าพระลาน

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๒๖๏ เมื่อนั้น ทศภักตร์ศักดากล้าหาญ ครั้นเสร็จสรรพจับหอกสุรการ เสด็จมาน่าพระลานทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๒๒๗๏ กวัดแกว่งแสงหอกกลอกกลับ สว่างวับจับแสงสุริย์ใส เอาจุดจี้ที่ฟางเชื้อไฟ เปนเพลิงไหม้รุ่งโรจโชติชัชวาลย์

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๒๒๘๏ เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ พอเพลิงลุกโลดโผนโจนทยาน วิ่งผ่านเข้าไปในพระโรง แกล้งลดเลี้ยวเที่ยวทั่วทุกจังหวัด เผาปรัศเรือนจันทน์ควันโขมง ขึ้นจุดปรางปราสาทไชยไฟโพลง ไปจุดโรงม้ารถคชา ทั้งตึกกว้านบ้านเรือนอาณาราษฎร์ เอาไฟฟาดเข้าไปไหม้เฝืองฝา แล้วสลัดเพลิงพิศม์ที่ติดมา เหาะออกนอกลงกากรุงไกร

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๒๒๙๏ เมื่อนั้น ทศเศียรเวียนวงวิ่งหลงใหล จูงสองมเหษีหนีไฟ กำนัลในวิ่งตามหลามมา กุมภกรรฐ์กับจันทวดี วิ่งหนีเปลวไฟไปข้างน่า อินทรชิตฉุดสุวรรณกันยุมา พิเภกลากตรีชดาออกมาตาม เจ้าขรัวนายท้าวนางต่างเก็บของ เงินทองหีบผ้าให้ข้าหาม พวกโขลนจ่าคว้าฉวยได้ถ้วยชาม วิ่งตามหลวงแม่เจ้าฉาวออกมา นางสาวสาวเข้าของไม่วิตก ฉวยกระจกเครื่องแต่งแป้งผัดหน้า แหนบตะไกรไม้สอยสนงา อุส่าห์วิ่งประคองร้องอึงไป พวกหญิงชายชาวบ้านร้านช่อง บ้างขนเข้าของวิ่งร้องไห้ ต่างเก็บคว้าผ้าผ่อนท่อนสไบ โอ่งไหใส่สาแหรกแบกหามมา บ้างหิ้วหีบหอบมุ้งจูงแม่ยาย เมียหายเที่ยวมองร้องเรียกหา พวกผู้หญิงสาวแก่แม่ค้า แบกตะกร้ากระบุงพะรุงพะรัง พวกขุนนางต่างจูงท่านผู้หญิง นางเมียน้อยพลอยวิ่งตามหลัง บ้างไปบ้างมาละล้าละลัง เสียงอึกกระทึกทั้งเมืองลงกา

ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา

๒๓๐๏ ทศกรรฐ์ครั้นออกมานอกวัง พร้อมพรั่งพระวงษ์พงษา ขึ้นทรงบุษบกแก้วแววฟ้า ไปยังเขาสัตนาเนินคิรี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๒๓๑๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญไชยศรี เหาะออกนอกลงกาธานี เปลวอัคคีติดหางสว่างมา จะปัดเป่าเท่าไรก็ไม่ดับ เที่ยวร่อนรับร่อนเร่บนเวหา พิศม์เพลิงร้อนรุ่มกลุ้มอุรา ก็โถมลงคงคาทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๒๓๒๏ ทลึ่งโลดเล่นน้ำดำดั้น เพลิงนิดเท่านั้นหาดับไม่ วายุบุตรสุดแสนแค้นใจ ก็เหาะไปศาลาพระอาจารย์

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๒๓๓๏ ครั้นถึงจึ่งลงริมกุฎี เห็นฤๅษีผินหลังนั่งขัดป้าน กำลังร้อนร้องนิมนต์ลนลาน พระอาจารย์โปรดด้วยช่วยดับไฟ

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๓๔๏ เมื่อนั้น พระนักสิทธิ์คิดพะวงสงไสย จึ่งว่าไอ้เจ้ากรรมทำอย่างไร ให้เปลวไฟติดหางมาอย่างนี้

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๓๕๏ บัดนั้น หณุมานกรานกราบพระฤๅษี จึ่งแจ้งความตามเรื่องราวี จนลวงเผาบุรีลงกา แต่เพลิงนิดติดหางหาดับไม่ ขัดสนจนใจจึ่งมาหา ขอพระมุนีมีปัญญา ช่วยโปรดข้าให้พ้นทรมาน

ฯ ๔ คำ ฯ

๒๓๖๏ เมื่อนั้น พระนารทหัวเราะร่าแล้วว่าขาน เพราะฤทธิ์หอกออกเปนอัคคีกาล จึ่งบันดาลติดไหม้เหมือนไฟฟ้า จะแก้ไขให้หายก็ง่ายดอก กูจะบอกให้คิดปฤษณา อันน้ำบ่อน้อยที่มีมา เปนคงคาสำหรับดับไฟ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๒๓๗๏ บัดนั้น หณุมานชาญชิตคิดได้ จึ่งจับหางขึ้นอมอัดลมไว้ ประเดี๋ยวไฟดับสิ้นดังจินดา จึ่งสรรเสริญคุณพระมุนี บอกลัทธิครั้งนี้ดีนักหนา ว่าพลางทางก้มกราบลา เหาะข้ามฝั่งมหาสาคร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๒๓๘๏ ถึงเขาเหมติรันบรรพต พบองคตชมภูพาลชาญสมร จึ่งแจ้งเรื่องราชการราญรอน เผานครย่อยยับแล้วกลับมา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๓๙๏ บัดนั้น สองนายเกษมสันต์หรรษา ทั้งลิงพวกพหลพลโยธา ชมปัญญาขุนกระบินทร์ด้วยยินดี

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๔๐๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญไชยศรี จึ่งปราไสปักษาสำพาที ท่านก็มีความชอบเราขอบใจ ช่วยชี้บอกตำบลหนทาง ได้ไปล้างผลาญยักษ์ตักไษย บัดนี้เราจะลาคลาไคล จงอยู่ให้หรรษาสถาวร ว่าพลางทางพาพลนิกาย ผันผายลงจากศิงขร สังเกตจำน้ำท่าป่าดอน แล้วรีบร้อนเร่งพลด้นเดินมา

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๒๔๑๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา อยู่ยังยอดเขาสัตนา ทอดพระเนตรลงกาธานี ครั้นเห็นไฟไหม้เมืองหมดสิ้น อสุรินทร์ตรึกตรองหมองศรี กูเสียรู้ลิงป่าพนาลี เสียบุรีราษฎรก็ร้อนใจ จำจะวานเทวาลงมาสร้าง ให้กว้างขวางรุ่งเรืองเปนเมืองใหม่ ดำริห์พลางทางสั่งเสนาใน จงขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นฟ้า บอกกับท้าวโกสีย์ตรีเนตร ทั้งเทเวศร์ทั่วทศทิศา เราจะสร้างราชฐานวานลงมา ช่วยนิมิตรเมืองลงกาเวลานี้

ฯ ๘ คำ ฯ

๒๔๒๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งใส่เกษี ก้มเกล้ากราบงามสามที อสุรีรีบเหาะรเห็จไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๒๔๓๏ เที่ยวบอกเทวัญชั้นวิมาน สุรารักษ์มัฆวานเปนใหญ่ บัดนี้พระยามารชาญไชย ให้ท่านไปช่วยนิมิตรเมืองลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ยานี

๒๔๔๏ เมื่อนั้น อมรินทร์ปิ่นดาวดึงษา ทั้งเทเวศร์ทุกสถานพิมานฟ้า รู้ว่าเจ้าลงกาให้หาไป ต่างต่างแต่งองค์ทรงเครื่อง อร่ามเรืองรัศมีศรีใส องค์พระอินทร์ออกน่าสุราไลย เหาะตรงลงไปเมืองมาร

ฯ ๔ คำ ฯ โคมเวียน

ร่าย

๒๔๕๏ ครั้นถึงจึ่งท้าวโกสีย์ ให้ปันเปนน่าที่ทั้งสี่ด้าน กะเกณฑ์กันเสร็จสำเร็จการ ต่างอ่านมนต์นิมิตรด้วยฤทธา

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เจรจา

๒๔๖๏ บังเกิดเปนปราสาทราชวัง พร้อมทั้งที่ตำหนักรักษา แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นดังจินดา เทวาไปสวรรค์ชั้นวิมาน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๒๔๗๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรศักดาหาญ เห็นเทวาอารักษ์มัฆวาน นิมิตรบ้านเมืองให้ดังใจจง ดูภาราน่าสนุกสนานนัก พระยายักษ์ชื่นชมสมประสงค์ จึ่งชวนสองอรรคราชญาติวงษ์ กับเอกองค์โอรสบทจร ขึ้นทรงบุษบกแก้วแววฟ้า ออกจากเขาสัตนาเนินศิงขร พวกหญิงชายไพร่ฟ้าประชากร บ้างแบกคอนหาบหามตามกันไป

ฯ ๖ คำ ฯ พระยาเดิน

๒๔๘๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง จึ่งลงยังเกยมณีศรีใส ชวนพระวงษ์พงษาเสนาใน คลาไคลไปตามรัถยา

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๒๔๙๏ ทอดพระเนตรป้อมปราการบ้านเมือง รุ่งเรืองล้วนแก้วแววเวหา ปรางปราสาทสูงเยี่ยมเทียมฟ้า พระปรัศซ้ายขวาน่าพระไชย ท้องพระโรงที่สำราญชานพัก ทั้งตึกแถวแนวตำหนักน้อยใหญ่ ฉนวนลงสู่ท่าชลาไลย ข้างชั้นในมีทิมริมกำแพง สิบสองพระคลังตั้งตามขนัดเนื่อง ทั้งห้องเครื่องทิมตำรวจโรงแสง ข้างทิศเบื้องบุรพาพลับพลาแดง ทุกตำแหน่งโรงรถคชา แถวถนนหนทางก็ราบรื่น พ่างพื้นปัถพีไม่มีหญ้า ลดเลี้ยวเที่ยวทอดทัศนา วงมาจนรอบขอบเวียงไชย

ฯ ๘ คำ ฯ เพลงฉิ่ง

ร่าย

๒๕๐๏ จึ่งดำรัสตรัสสั่งมโหทร จงป่าวร้องราษฎรน้อยใหญ่ ที่ภูมิฐานบ้านช่องของใคร ให้ไปอยู่ตามความสบาย แล้วชวนพระมเหษีสององค์ กับพวกยักษ์ญาติวงษ์ทั้งหลาย ต่างองค์ยุรยาตรนาดกราย ผันผายเข้ายังวังใน

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ วรเชฐ

๒๕๑๏ บัดนั้น ประชาชนจำที่มิใคร่ได้ ทุ่มเถียงชิงกันสนั่นไป สิ้นทั้งเข็ญใจไพร่ผู้ดี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๕๒๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี เสด็จออกพระโรงรัตน์รูจี สถิตย์ที่แท่นแก้วแววฟ้า พร้อมพระวงษ์พงษาข้าราชการ หมอบกรานเฝ้าฝ่ายซ้ายขวา จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา จะสมโภชภาราสักเจ็ดวัน ให้มีงานการเล่นเต้นรำ หกคเมนมวยปล้ำทุกสิ่งสรรพ์ จะเลี้ยงทั้งพวกพหลพลกุมภัณฑ์ จงบอกกันให้รู้ทั้งบูรี

ฯ ๖ คำ ฯ

๒๕๓๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งใส่เกษี ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมานั่งยังที่ศาลา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๒๕๔๏ ให้เขียนหมายรายบอกข้าราชการ พลเรือนทหารถ้วนหน้า พวกเต้นรำสำหรับนัครา จงเร่งมาตามกำหนดจดหมายไป

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๕๕๏ บัดนั้น จึ่งเจ้าพนักงานน้อยใหญ่ พวกตำรวจขนจากลากไม้ รีบไปปลูกพลับพลาที่น่าวัง สนามมวยแผ้วกวาดเอาคราดชัก ข้างขอบนอกตอกหลักขึงเชือกหนัง บ้างปลูกโรงเต้นรำทำใบบัง แล้วจัดทั้งที่คนดูปูกระดาน พวกขุนนางต่างตั้งราชวัตร ปักฉัตรรายรอบราชฐาน บ้างตั้งโรงน้ำทำฉ้อทาน แต่งการพร้อมพรั่งดังบัญชา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๒๕๖๏ บัดนั้น พวกงิ้วหุ่นลครพร้อมหน้า รำเต้นเล่นสมโภชภารา เสียงเฮฮาโห่ร้องก้องไป

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๕๗๏ บัดนั้น ฝูงประชามาดูเดินไขว่ ทั้งผู้ดีขี้ข้าเข็ญใจ หลีกหลบกระทบไหล่กันไปมา พวกผู้หญิงสาวสาวชาวบ้านนอก ห่มขาวมุ้งนุ่งบัวปอกพอกผัดหน้า เดินสดุดซุดเซเขาเฮฮา หน้าตาตื่นเก้อกะเบ้อกะบัง พวกหม่อมเมียขุนนางเดินกางร่ม หวีผมจับเขม่าบ่าวตามหลัง นางข้าหลวงสาวสาวชาววัง มาเที่ยวนั่งดูลครทำอ่อนฅอ พวกขี้เมาโมเยเซซวน เห็นใครชวนชกกันขันข้อ ปะขุนนางขวางหน้าก็ด่าทอ เขาผูกฅอดิ้นสบัดวัดแวง เหล่าเจ้าชู้ผู้ชายหลายพวกพ้อง เที่ยวเมียงมองทุกลเมาะเสาะแสวง บ้างตัดผมสอยสันชันเปนแปลง ทำกล้องแกล้งเกี้ยวผู้หญิงทิ้งดอกไม้ บ้างนุ่งผ้าพกยาวชาวสวน ลอยชายข้ามฉนวนเขาจับได้ นายประตูขู่สำทับจับหวายไว้ ขอให้สี่สลึงจึ่งวางมือ ไอ้เจ๊กเจ้าตังเมเร่ร้องขาย ปะผู้ร้ายฉวยชิงออกวิ่งตื๋อ ไล่จับตัวตามถนนคนแตกฮือ อึงอื้ออลหม่านพล่านไป

ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา

๒๕๘๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรเปนใหญ่ ครั้นบ่ายแสงสุริโยอโนไทย เสด็จไปโสรจสรงคงคา แต่งองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ กระจ่างจับผิวภักตร์ยักษา พร้อมสนมกำนัลกัลยา เสด็จไปพลับพลาที่น่าวัง

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๒๕๙๏ นั่งเหนือพระยี่ภู่ปูลาด หมู่อำมาตย์นอบน้อมพร้อมพรั่ง พอร่มแสงสุริย์ฉายบ่ายบัง จึ่งดำรัสตรัสสั่งให้ทิ้งทาน

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๖๐๏ บัดนั้น เสนีคำนับรับบรรหาร ลุกขึ้นวิ่งแหวกคนลนลาน มาบอกให้ทิ้งทานทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๖๑๏ บัดนั้น พวกประจำกำมพฤกษ์บังคมไหว้ ลุกขึ้นหมดปลดผ้าลงวางไว้ ปลิดได้มนาวโปรยโดยกำลัง

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๖๒๏ บัดนั้น ชายหญิงชิงรับคับคั่ง ไล่ตะครุบทุบถองกันตึงตัง น่าที่นั่งที่ลุกรุกเข้าไป ที่เรี่ยวแรงแขงข้อย่อขยับ โจนประจบตบปับรับเอาได้ บ้างพลัดมือรื้อขยี้เหยียบไว้ เสียงอึกอักผลักไสกันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๒๖๓๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา จงเรียกมวยเข้ามาอย่าช้าการ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๖๔๏ บัดนั้น คู่มวยวิ่งมาตรงน่าฉาน กราบถวายบังคมก้มกราน ต่างคนลนลานลุกขึ้นชก ทำเสียหลักลวงให้ไล่ถลา หมัดคว้าเข้าดักอักเข้าอก ปะเตะตีนต่อยปับกะหมับฟก ได้สองยกหยุดอยู่มวยหมู่มา

ฯ ๔ คำ ฯ แทงวิไสย

๒๖๕๏ ดาบสองมือคู่สู้กับดั้ง ขยับยั้งเยื้องหลอกกลอกหน้า โถมถลันฟันรับจับสาตรา จนสิ้นท่าถึงปล้ำซ้ำต่อยกัน

ฯ ๒ คำ ฯ กลองแขก

๒๖๖๏ เมื่อนั้น ทศเศียรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ครั้นดาบดั้งหยุดยกตกรางวัล แล้วตรัสสั่งกุมภัณฑ์พวกขุนนาง เปรียบมวยผู้หญิงลองสักสองคู่ พอได้ดูตามสบายให้หลายอย่าง เอาที่ดีมีครูรู้ท่าทาง ใครจะรักชกบ้างให้เข้ามา

ฯ ๔ คำ ฯ

๒๖๗๏ บัดนั้น พวกตำรวจรับสั่งใส่เกษา ออกไปที่กว้างข้างศาลา เรียกหามวยผู้หญิงวิ่งวุ่นไป

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๖๘๏ ได้คู่โรงสีวิเสศนอก ตำรวจบอกให้ผัวแต่งตัวให้ ใส่เสื้อกางเกงกันกระสันไว้ แล้วแหวกวงตรงเข้าไปน่าพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๖๙๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสรวลพลางทางว่า ผัวมันมีฤๅไม่ให้เข้ามา ให้น้ำให้ท่ากันตามใจ

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๗๐๏ บัดนั้น มวยผู้หญิงกราบก้มบังคมไหว้ ลุกขึ้นตั้งชั่งหมัดเหมือนแกว่งใน เข้าหลับตาคว้าไขว่ไล่ต่อยตำ ต่างทุบถองพล่องแพล่งแว้งวัด กอดกัดปัดป่ายตะกายปล้ำ ปะเตะตีนติดพกหกคมำ ถองซ้ำถูกขาฮาก้องไป

ฯ ๔ คำ ฯ แทงวิไสย

๒๗๑๏ บัดนั้น พวกยืนดูยัดเยียดเบียดไม่ไหว บ้างเอะอะอึดอัดขัดใจ ผลักไสสรวลเสเสียงเฮฮา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๗๒๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริยา จึ่งให้จุดรทาดอกไม้

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๗๓๏ บัดนั้น พวกยักษ์พนักงานน้อยใหญ่ เอาโคมกลิ้งสิงโตเต้นเข้าไป เลี้ยวไล่เล่นหางอยู่กลางเตียน

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๗๔๏ พวกถือโคมกระถางต่างตั้งท่า ซ้ายขวาไขว่กันหันเหียน บ้างลงล่างขึ้นบนวนเวียน แทรกเปลี่ยนพลัดไพล่กันไปมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๗๕๏ พวกมังกรฬ่อแก้วเปนแถวท่อง ล้วนไวว่องวิ่งวนตามคนน่า ศีศะเสือกเกลือกกลิ้งกลอกในตา เล่นถวายพระยาอสุรี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๒๗๖๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ครั้นย่ำฆ้องสองทุ่มก็จรลี ไปสู่ที่ปราสาทแก้วแพรวพรัน

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๒๗๗๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ ครั้นยามค่ำย่ำแสงสุริยัน ทรงธรรม์สถิตย์ในที่ไสยา คิดคนึงถึงคำแหงหณุมาน กับองคตชมภูพาลไปอาสา จะพบภัควดีสีดา ฤๅว่าจะขัดขวางเปนอย่างไร ยิ่งปรารภรัญจวนป่วนจิตร พระทรงฤทธิ์ไม่ระงับหลับใหล จนแสงทองส่องฟ้านภาไลย ไก่ขันสนั่นในวนาดร หอมตระหลบกลบกลิ่นบุปผชาติ ที่เชิงเขาคันธมาทน์ศิงขร ดาวเดือนเลื่อนลับยุคันธร ทินกรรุ่งรางสว่างฟ้า

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๒๗๘๏ เสด็จจากแท่นทองห้องตำหนัก กับพระลักษณ์ร่วมจิตรขนิษฐา พร้อมบรรดาวานรเสนา ลีลาศมาท่าน้ำลำธาร

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

๒๗๙๏ ต่างผลัดภูษาผ้าชุบสรง เสด็จลงชำระสระสนาน ทั้งพวกพลกระบี่บริวาร เล่นน้ำสำราญริมคิรี

ฯ ๒ คำ ฯ ลงสรง

๒๘๐๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรไชยศรี ล่วงทางกลางป่าพนาลี มาถึงที่ประทับพลับพลา รู้ว่าเสด็จลงสรงสนาน จึ่งตามไปท้องธารที่เชิงผา กับองคตชมภูพาลคลานเข้ามา หมอบอยู่ริมท่าชลาไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๒๘๑๏ เมื่อนั้น พระราเมศรัศมีศรีใส เห็นคำแหงหณุมานชาญไชย ดีพระไทยขึ้นมาจากวารี มิทันผลัดภูษาบัญชาถาม อย่างไรบ้างทั้งสามกระบี่ศรี ท่านไปเกาะลงกาธานี พบสีดานารีฤๅฉันใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๒๘๒๏ บัดนั้น วายุบุตรบังคมประนมไหว้ จึ่งทูลความตามยุบลแต่ต้นไป จนได้เผาเมืองเปนเรื่องมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๘๓๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา ได้ฟังคำเคืองขัดอัธยา ตวาดว่าน้อยฤๅช่างซื้อรู้ เราใช้ให้ไปสืบแต่ข่าวนาง กับดูทางกลางไพรอย่างไรอยู่ ไม่ตามคำทำการให้เกินกู ไปรบสู้กับเขาเผานคร ถ้าแม้นทศกรรฐ์มันโกรธา ว่าเกิดเหตุเพราะสีดาดวงสมร จะตัดศึกสังหารผลาญบังอร ม้วยมรณ์แล้วจะทำประการใด

ฯ ๖ คำ ฯ

๒๘๔๏ บัดนั้น ลูกพระพายสารภาพกราบไหว้ ข้าผิดพลั้งครั้งนี้เพราะเบาใจ มิได้คิดเห็นเช่นบัญชา แต่เมื่อรบกับยักษ์มันซักถาม ข้าลวงหลอกบอกความว่าลิงป่า ตัวคนเดียวเที่ยวเล่นก็หลงมา มิได้ว่าเปนข้าฝ่าธุลี ถ้าแม้นเจ้าลงกาพระยามาร ให้ประหารองค์พระมเหษี จงลงโทษโทษาข้านี้ ให้สุดสิ้นชีวีวายปราณ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๒๘๕๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน ได้ฟังทูลทานบนหณุมาน จึ่งโองการประกาศคาดโทษไว้ พลางดำรัสตรัสเรียกภูษาทรง มาผลัดผ้าชุบสรงแล้วส่งให้ ซึ่งเราสั่งว่ามาเมื่อใด ถ้าทรงเครื่องสิ่งไรจะให้ปัน บัดนี้มีแต่ผ้าชุบอาบ พอเปนลาภลูกพระพายที่ผายผัน แล้วลูบไล้พระสุคนธ์ปนอำพัน กระแจะจันทน์หอมฟุ้งจรุงใจ ประดับองค์ทรงเครื่องเรืองระยับ กระจ่างจับรับแสงสุริย์ใส เสด็จจากธารท่าชลาไลย กลับไปสุวรรณพลับพลา

ฯ ๘ คำ ฯ เพลง

๒๘๖๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาศน์ พร้อมอำมาตย์เฝ้าฝ่ายซ้ายขวา จึ่งมีพระราชบัญชา สั่งสุครีพมหาเสนาใน จงจัดสรรบรรดาวานร สองนครเข้าสลับทัพใหญ่ เราจะยกโยธาคลาไคล ไปตั้งให้ใกล้ฝั่งคงคา

ฯ ๔ คำ ฯ

๒๘๗๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษา ก้มเกล้ากราบงามสามลา ออกมาจัดพหลพลนิกาย

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๒๘๘๏ เกณฑ์กำแหงหณุมานเปนกองน่า ดำเนินนำโยธาผันผาย ปีกขวาวาหุโรมเปนตัวนาย ปีกซ้ายขุนกระบินทร์นิลนนท์ พวกกองหลวงกองหลังทั้งนั้น พลขันธ์คั่งคับสับสน บ้างรีบรัดจัดแจงแต่งตน ใส่เสื้อขนคาดพุงพะรุงพะรัง บ้างถือทวนง้าวหลาวแหลนโล่ห์ พร้าโต้เล่มสนัดขัดหลัง บ้างแบกคอนหาบหามตามกำลัง เสบียงกรังจะได้เอาไปกิน แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพราย สุครีพจัดมาถวายแต่ขีดขิน สารวัดนายหมวดตรวจกระบินทร์ พลพฤนท์พร้อมพรั่งดังบัญชา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๒๘๙๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา ครั้นเสร็จจัดพหลพลโยธา จึงตรัสชวนอนุชายาใจ ต่างองค์ทรงจับพระแสงศร บทจรจากพลับพลาที่อาไศรย ขยายยกโยธาคลาไคล ตรงไปตามทางกลางดงดอน

ฯ ๔ คำ ฯ กราวนอก

๒๙๐๏ ประทับรอนแรมมาสิบห้าวัน ถึงเขาเหมติรันศิงขร จึ่งตรัสสั่งเสนาวานร ให้รีบร้อนตั้งประทับพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๙๑๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษา เกณฑ์กระบี่ที่ถือขวานพร้า เที่ยวตัดไม้ในป่าพนาลี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ยานี

๒๙๒๏ ปลูกพลับพลาห้าหลังตั้งค่าย เรียงรายริมเชิงคิรีศรี มีคูขอบเขื่อนขัณฑ์กันไพรี สนามที่ซ้อมหัดจัตุรงค์ ข้างฝั่งน้ำทำฉนวนแน่นหนา เปนที่สองกระษัตราลงโสรจสรง ทั้งหอรบนางจรัลมั่นคง ปักธงเปนทิวปลิวระยับ ทิมกระท่อมล้อมรอบขอบค่าย ให้ไพร่นายไว้ของเปนห้องหับ เกยคชาพาชีที่ประทับ พอเสร็จสรรพสุริยนสนธยา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๒๙๓๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา ชวนพระลักษณ์ลีลาศยาตรา ขึ้นพลับพลาสุวรรณทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๒๙๔๏ บัดนั้น โยธาวานรน้อยใหญ่ ครั้นราตรีตีฆ้องกองไฟ ตระเวนไปรอบทัพพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก เจรจา

๒๙๕๏ บัดนั้น คงคาสมุทมารหาญกล้า คุมทหารเหาะรเห็จเตร็จมา ตระเวนริมฝั่งมหาสาคร แลเห็นค่ายรายรอบขอบคัน ที่ริมเหมติรันศิงขร สังเกตดูโยธาพลากร ล้วนวานรนับโกฏิโจษจรร ใครหนอนายใหญ่จะใคร่รู้ ตั้งค่ายคูตามตำหรับทัพขัน จึ่งแอบเงาเขาเหมติรัน พวกกุมภัณฑ์ลอบแลมาแต่ไกล เห็นมนุษย์สองคนบนพลับพลา พิเคราะห์ดูรู้ว่านายใหญ่ ชรอยลักษณ์รามที่เปนชีไพร จะข้ามไปรบพุ่งกรุงลงกา คิดจะใคร่โจมทัพให้ยับย่อย แต่พวกพลเราน้อยกว่าหนักหนา จำจะไปทูลแถลงแจ้งกิจจา แล้วเหาะข้ามคงคามากรุงไกร

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๒๙๖๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล ท้าวราพนาสูรเปนใหญ่ บัดนี้มีมนุษย์กับลิงไพร มาตั้งทัพอยู่ใกล้ฝั่งคงคา

ฯ ๒ คำ ฯ

๒๙๗๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษา ได้ฟังนั่งนึกตรึกตรา ชรอยว่าลักษณ์รามมาตามนาง จึ่งตรัสด้วยอสุราคงคาสมุท ทำไมกับมนุษย์ลิงค่าง ไม่รู้จักเหาะเหินเดินตามทาง จึ่งมาค้างอยู่ยังฝั่งชลธี เมืองลงกาสาครเปนคูคั่น น้ำหน้ามันมาไม่ได้ถึงนี่ ตรัสประภาศพูดจาจนราตรี เข้าสู่ที่แท่นแก้วแพรวพรัน

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๒๙๘๏ บัดนั้น ฝ่ายฝูงสุรางค์นางสาวสรรค์ พวกเจ้าจอมหม่อมอยู่งานโปรดปรานครัน เข้านวดฟั้นบั้นพระองค์อสุรี บ้างยกพานพวงบุบผามาไลย ขึ้นไปตั้งวางข้างที่ บ้างหมอบกรานอยู่งานพัชนี ทำท่วงทีแยบคายชม้ายเมียง นางบำเรอสำหรับขับตีนม่าน ก็สีซอขับขานประสานเสียง โอดพันไพเราะห์เพราะพร้อมเพรียง นางจำเรียงบำเรออสุรา

ฯ ๖ คำ ฯ กล่อม

ช้า

๒๙๙๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษา ดึกสงัดปัจฉิมเวลา นิทราระงับหลับไป บังเกิดลางวิปริตนิมิตรฝัน เมื่อไก่ขันจวนแจ้งปัจจุสไสมย สดุ้งตื่นตระหนกตกใจ แต่นิ่งนึกตรึกไตรไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๓๐๐๏ ครั้นเวลาสุริย์ฉายสายแสง ก็จัดแจงแต่งองค์ทรงภูษา จับพระแสงศรสิทธิฤทธา ลีลาออกท้องพระโรงไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๓๐๑๏ นั่งเหนือแท่นแก้วแพรวพรัน พร้อมพระวงษ์พงษ์พันธุ์น้อยใหญ่ เรียกพิเภกอนุชามาทันใด แล้วเล่าความตามในนิมิตร มีแร้งเผือกบินมาในอากาศ ทำอำนาจอาจองทนงจิตร พบแร้งดำท้าวหาญชาญชิต ต่างกล้าแขงแรงฤทธิ์เข้าจิกตี ฝ่ายพระยาแร้งดำนั้นแพ้พ่าย ตกลงดินดิ้นตายอยู่กับที่ ร่างกายกลายกลับไปทันที เปนรูปอสุรีปลาดตา ว่าเราเอากะลาน้ำมันยาง ใส่ไส้แล้ววางกลางหัดถา มีหญิงวิ่งถืออัคคีมา จุดไส้ในกะลาขึ้นทันที เพลิงลุกลามลนจนสิ้นไส้ ติดกะลาตามไปไหม้มือพี่ พิศม์ไฟร้อนรุ่มกลุ้มอินทรีย์ ฝันนี้ดีร้ายประการใด

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๓๐๒๏ เมื่อนั้น พิเภกรับสั่งบังคมไหว้ พิเคราะห์ดูรู้ว่าจะเกิดไภย ตกใจทูลความตามสัจจา ซึ่งแร้งเผือกชนะคือพระราม จะหยาบหยามย่ำยียักษา แร้งดำคือพระองค์ทรงศักดา จะอัปราพ่ายแพ้แก่ไพรี อันกะลาที่ไฟไหม้หมด จะเสียองค์ทรงยศแลกรุงศรี น้ำมันนั้นองค์อสุรี จะสุดสิ้นชีวีมรณา ซึ่งสัตรีที่นำเพลิงเผา คือนงเยาว์เจ้าสำมนักขา อันข้อที่ไฟไหม้กะลา คือสีดาที่เลี้ยงไว้เวียงไชย พิเคราะห์ดูลักษณพระสุบิน ร้ายสิ้นหามีดีไม่ ขอพระองค์จงดำริห์ตริไตร อย่าให้เกิดเหตุเภทพาล

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๓๐๓๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์แจ้งใจดังไฟผลาญ ให้โศกเศร้าเร่าร้อนรำคาญ จึ่งพจนาว่าขานแก่อนุชา เจ้าจะช่วยคิดอ่านประการใด ให้พ้นไภยอันตรายภายน่า จะเสดาะเคราะห์นามตามตำรา ฤๅว่าจะแก้ไขอย่างไรดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๐๔๏ เมื่อนั้น พิเภกประนตบทศรี จึ่งทูลว่าข้าดูในคัมภีร์ อันพระเคราะห์ครั้งนี้หนักครัน ไม่ต้องตามตำหรับดับโพยไภย ด้วยเหตุใหญ่ยิ่งยวดกวดขัน แม้นจะให้ยืนยงคงชีวัน จงฟังน้องครองธรรม์ประเพณี นางสีดาเมียเขาเอาไว้ไย จงส่งไปให้ผัวนางโฉมศรี ก็จะสิ้นสงครามความราคี พระภูมีจะเปนศุขทุกเวลา

ฯ ๖ คำ ฯ

๓๐๕๏ เมื่อนั้น องคท้าวทศภักตร์ยักษา ได้ยินว่าจะให้ส่งองค์สีดา อสุรากริ้วกราดตวาดอึง ชิชะช่างกะไรไอ้พิเภก เจ้าหมอเอกดังกูไม่รู้ถึง มนุษย์นี้ดีร้ายเปนพวกมึง กลศึกฦกซึ้งข้าเข้าใจ ซึ่งฝันร้ายให้ส่งองค์สีดา ในตำราเจ้ามีอยู่ที่ไหน เพราะมึงรักลักษณ์รามลิงไพร จึ่งแช่งให้กูตายวายชนม์ ธรรมดาแก้ฝันกันแต่ก่อน เขาก็ช่วยอวยพรสถาผล นี่ว่าเล่นเปนอัประมงคล จะทำให้ไพร่พลกูเสียใจ ว่าพลางทางสั่งอำมาตย์มาร ไอ้พิเภกพวกพาลไม่เลี้ยงได้ เอาลงเภตราพาข้ามไป ส่งให้ขึ้นยังฝั่งคงคา มันจะได้ไปเปนพวกพระราม สมความมุ่งมาดปราถนา ริบทั้งเงินทองของนานา จนไม้ขว้างกาอย่าให้มี แต่เมียมันนั้นส่งไปไว้สวน เปนข้านวลนางสีดามารศรี ตรัสพลางย่างเยื้องจรลี เข้าสู่ที่ปรางมาศปราสาทไชย

ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ

๓๐๖๏ บัดนั้น มโหทรยักษาเสนาใหญ่ จึ่งเตือนพิเภกว่าช้าอยู่ไย รับสั่งได้ยินอยู่ด้วยกัน เข้าของข้าไทสิ่งใดมี บอกบาญชีตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ แล้วเรียกไพร่ให้คุมกุมภัณฑ์ พากันไปปราสาทอสุรา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๓๐๗๏ ครั้นถึงจึ่งให้ทำบาญชี เครื่องอานพานพระศรีแลเสื้อผ้า เงินทองเข้าของนานา ทั้งตำหรับตำราบรรดามี ข้าผู้ชายจ่ายเดือนให้เหมือนไพร่ พวกสาวใช้นั้นส่งไปโรงสี แล้วสั่งไพร่ให้ขนของดีดี ไปส่งที่พระคลังดังบัญชา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๓๐๘๏ เมื่อนั้น พิเภกเพียงชีวังจะสังขาร์ มาหาลูกสาวศรีกับตรีชดา แล้วเล่าแจ้งกิจจาสารพัน วันนี้พี่ไปเฝ้าทศภักตร์ พระยายักษ์ให้ทายทำนายฝัน พี่ทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน พระทรงธรรม์นึกระแวงแคลงใจ ว่าตัวพี่นี้เปนพวกพระราม จะทูลความผ่อนผันหาทันไม่ ในริบเอาเข้าของข้าไท แล้วขับพี่มิให้อยู่ธานี ทั้งตัวเจ้าเขาให้ไปเปนข้า อยู่ด้วยสีดามารศรี จะพลัดพรากจากกันวันนี้ อสุรีบอกพลางทางร่ำไร

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๓๐๙๏ บัดนั้น สองนางพ่างเพียงจะตักไษย สร้วมสอดกอดบาทพิเภกไว้ ต่างสอึกสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๓๑๐๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช พระคุณเคยปกเกษเกษา ได้อยู่เย็นเปนศุขทุกเวลา เวราสิ่งไรจะไกลกัน มิเสียแรงพระเชษฐานิจาเอ๋ย กระไรเลยมีบุญแล้วหุนหัน ถึงกระไรไล่เลียงให้เที่ยงธรรม์ ถ้าแม้นเปนเช่นนั้นไม่น้อยใจ เมื่อไม่มีความผิดสักนิดหนึ่ง มาโกรธขึ้งสำทับขับไล่ โอ้แสนสงสารพระทรงไชย จะต้องไปเหนื่อยยากลำบากองค์ เมียอยู่หลังตั้งแต่จะตรอมจิตร น่าที่ชีวิตรจะผุยผง ร่ำพลางทางซบภักตร์ลง กรรแสงทรงโศกาจาบัลย์

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๓๑๑๏ เมื่อนั้น พิเภกแสนวิโยคโศกศัลย์ ฟังเมียรักร่ำรำพรรณ อุส่าห์กลั้นชลนาแล้วพาที เปนกรรมแล้วแก้วตาอย่าร้องไห้ จงหักใจเสียเถิดน้องอย่าหมองศรี อยู่ถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงบุตรี จะด่วนตีตนตายไม่ต้องการ แต่ตัวพี่นี้คราวเคราะห์ร้าย จำกำจัดพลัดพรายจากสถาน ถ้าแม้นไม่ล้มตายวายปราณ ถึงเนิ่นนานก็จะมาเห็นหน้ากัน เจ้าจะได้ไปอยู่ด้วยสีดา จงอุส่าห์โอนอ่อนผ่อนผัน แล้วสั่งสอนธิดาวิลาวรรณ อย่าโศกศัลย์นักเลยนะลูกรัก สิ้นบุญพ่อแล้วแก้วแม่เอ๋ย ทรามเชยเจ้าอุส่าห์รักษาศักดิ ว่าพลางทางกรรแสงซบภักตร์ พระยายักษ์สอื้นไห้ไปมา

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๓๑๒๏ บัดนั้น มโหทรสิทธิศักดิยักษา จึ่งสั่งไพร่ให้เลื่อนลำเภตรา เข้ามาจอดทอดท่าเตรียมไว้ แล้วทูลเตือนพิเภกกุมภัณฑ์ จะโศกศัลย์ช้าทีอยู่มิได้ ว่าพลางทางพาคลาไคล ตรงไปน่าวังฝั่งคงคา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๓๑๓๏ ครั้นถึงจึ่งนำลงสำเภา พร้อมเหล่าต้นหนล้าต้า ออกจากปากอ่าวเมืองลงกา แล่นมากลางท้องสมุทไทย

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๓๑๔๏ พอเห็นฝั่งหยั่งดิ่งดูร่องน้ำ ทอดสมอรอลำสำเภาใหญ่ พาพิเภกลงสำปั้นทันใด โล้เข้าไปฝั่งมหาวารี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๓๑๕๏ ครั้นเสร็จส่งองค์พระอนุชา กลับมาสำเภาจอดทอดที่ ถอนสมอขึ้นพลันทันที พอลมดีใช้ใบไปลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๓๑๖๏ เมื่อนั้น พิเภกเศร้าสร้อยลห้อยหา เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจในวิญญา จึ่งรำพึงถึงตำราที่เรียนรู้ เห็นลักษณ์จันทร์ชัณษาพยากรณ์ ไม่ม้วยมรณ์ยังมีที่พึ่งอยู่ จำเภาะให้ไปหาพวกศัตรู จะมีผู้เลี้ยงไว้ให้ได้ดี อันพระรามคือนารายน์วายุกูล จะมาปราบประยูรยักษี จำจะไปเปนข้าฝ่าธุลี อสุรีตรึกตราแล้วคลาไคล

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้ร่าย

๓๑๗๏ เดินตามหาดทรายชายสมุท คิดถึงบุตรภรรยาน้ำตาไหล เคยอยู่พร้อมพรั่งที่วังใน วิบากกรรมจำให้ไกลกัน โอ้สงสารปานนี้ตรีชดา กับลูกยาจะวิโยคโศกศัลย์ ยิ่งคิดยิ่งให้ใจผูกพัน ทุกข์ทนอ้นอั้นตันอุรา พลางคนึงถึงตัวต้องตกยาก น้ำตาพรากพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา สอึกสอื้นออกนามพระรามา โศกาครวญคร่ำร่ำไรไป

ฯ ๖ คำ ฯ โอด วรเชฐ (กองตระเวนออก)

ร่าย

๓๑๘๏ บัดนั้น กองตระเวนวานรน้อยใหญ่ ลดเลี้ยวเที่ยวมาในป่าไม้ พอได้ยินสำเนียงเสียงโศกี ต่างสงไสยไต่ถามกันอึงอื้อ จะเปนนกทึดทือฤๅว่าผี จึ่งหยุดฆ้องมองเมียงมาทันที เห็นยักษีครวญคร่ำร่ำไร เดินสอื้นออกนามพระราเมศ ผิดสังเกตคิดพะวงสงไสย ตะโกนร้องเรียกกันสนั่นไป พรั่งพร้อมล้อมไล่จับกุมภัณฑ์

ฯ ๖ คำ ฯ

๓๑๙๏ บ้างฉุดแขนขวาคร่าแขนซ้าย ตัวนายร้องกำชับจับให้มั่น แล้วมัดด้วยเชือกเขาเถาวัล ช่วยกันลากมาพลับพลาไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา เตียว

๓๒๐๏ ครั้นถึงจึ่งจูงเข้าไปหา ท่านสุครีพเสนาผู้ใหญ่ แลเล่าเรื่องยักษาโศกาไลย ข้าจับได้มัดมาไม่ฆ่าตี

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๒๑๏ บัดนั้น สุครีพนั่งตรวจพลบนเก้าอี้ ได้ฟังคำทำสง่าไม่พาที ให้กระบี่จุดกล้องลองสูบยา แล้วสั่งให้เสมียนเขียนคำถาม จึ่งคุกคามขู่ซักยักษา ไยเองออกพระนามหยามหยาบช้า ตัวผู้เดียวเที่ยวมาริมกองทัพ อันถิ่นฐานบ้านเมืองมึงอยู่ไหน ชื่อไรเร่งบอกอย่ากลอกกลับ ฤๅคิดการกลศึกฦกลับ อย่าให้ต้องเฆี่ยนขับรับดีดี

ฯ ๖ คำ ฯ

๓๒๒๏ เมื่อนั้น พิเภกตอบคำกระบี่ศรี ข้าเปนน้องเจ้าลงกาธานี ชื่อพิเภกเรียนคัมภีร์โหรา ทศกรรฐ์ฝันเห็นให้ทำนาย ว่าฝันร้ายก็พิโรธโกรธหนักหนา ให้ริบจนสิ้นสุดบุตรภรรยา แล้วขับข้ามิให้อยู่ในบูรี จึ่งเที่ยวท่องร้องหาพระราเมศ หวังพระเดชปกเกล้าเกษี จะขออยู่เปนข้าฝ่าธุลี จนชีวีอาสัญบรรไลย

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๓๒๓๏ บัดนั้น สุครีพยังพะวงสงไสย หยิบสมุดที่เสมียนเขียนคำไว้ แล้วพาไปเฝ้าพระหริรักษ์

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๓๒๔๏ เคารพอภิวาทบาทมูล กราบทูลแถลงแจ้งประจักษ์ ตระเวนไพรไปจับได้พวกยักษ์ แล้วอ่านความตามซักอสุรา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๓๒๕๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา จึ่งทรงซักยักษ์ด้วยปรีชา ดูราพิเภกกุมภัณฑ์ เมื่อพี่น้องท้องเดียวกันเจียวนี่ ผิดแต่ที่ทักทายทำนายฝัน ว่าเคืองขัดตัดญาติขาดกัน ฤๅพิเภกเศกสรรจำนรรจา ฤๅจะคิดแยบยนต์กลอุบาย เขาจับตัวกลัวตายจึ่งแกล้งว่า จงเร่งบอกออกความตามจริงมา จึ่งจะไว้ชีวาไม่ฆ่าตี

ฯ ๖ คำ ฯ

๓๒๖๏ เมื่อนั้น พิเภกประนตบทศรี แล้วว่าข้าเซซังมาครั้งนี้ ด้วยภักดีต่อพระองค์ทรงศักดา มิได้คิดกลับกลอกยอกย้อน จะหนีร้อนพึ่งเย็นอยู่เปนข้า มาทแม้นทรงธรรม์ไม่กรุณา น่าที่ชีวาจะบรรไลย ทศกรรฐ์นั้นถึงเปนพี่น้อง ก็หยาบคายร้ายรองไม่พึ่งได้ มาแก้ฝันข้าทายทำนายไป ให้ท้าวไทคืนส่งองค์สีดา ก็เคืองขุ่นงุ่นง่านพาลเอาผิด ว่าเปนพวกปัจจามิตรฤษยา ขับไล่ไม่มีเมตตา ให้เสนาริบราชกวาดลูกเมีย ถึงแต่ก่อนผิดกันก็ฉันญาติ ไม่ตัดขาดกระทำส่ำเสีย ครั้งนี้ร้อนใจดังไฟเลีย แล้วโศกาน้ำตาเรี่ยร่ำไร

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๓๒๗๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย ฟังพิเภกพูดจาโศกาไลย ภูวไนยนึกสมเพชเวทนา แล้วพินิจพิศดูกุมภัณฑ์ เห็นโศกศัลย์สมคำที่ร่ำว่า จะเลี้ยงไว้ใช้สอยเปนโหรา ดูฤกษ์พาสำหรับทัพไชย ดำริห์แล้วปฤกษาพวกวานร อันยักษีหนีร้อนมาอาไศรย ซึ่งเท็จจริงสิ่งนี้ไม่เห็นใจ จะเลี้ยงไว้ดูทีกิริยา ไม่ซื่อตรงคงสัตย์สุจริต จึ่งสังหารผลาญชีวิตรยักษา แต่ให้ถือน้ำพระพัฒน์สัจจา ต่อหน้าท้าวพระยาเสนาใน ว่าพลางทางยื่นพระแสงศร ให้สุครีพวานรนายใหญ่ จงรีบนำอสุราคลาไคล ออกไปถือน้ำตามธรรมดา

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๓๒๘๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษา ทั้งวานรข้าเฝ้าเหล่าเสนา พาพิเภกออกมาน่าพระลาน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๓๒๙๏ ให้ยกเตียงมาตั้งทั้งหม้อน้ำ จุดธูปเทียนเขียนคำอธิฐาน แล้วโสรจสรงศรพระอวตาร ให้ขุนมารอ่านคำสัตยา

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๓๐๏ เมื่อนั้น พิเภกพระยายักษา จงรักภักดีปรีดา อสุรากราบก้มบังคมคัล

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๓๓๑๏ จึ่งตั้งความสัตย์อธิฐาน ขอเทวัญชั้นวิมานเมืองสวรรค์ ทั้งปู่เจ้าเขาเขินเนินอรัญ พร้อมกันช่วยเห็นเปนพยาน ถ้าข้ามิสุจริตคิดกลับกลาย ให้ศรศักดิจักรนารายน์สังหาร ทั้งเทวัญบรรดาเชี่ยวชาญ จงรอนราญผลาญชีพชีวี แม้ข้าตรงจงรักพระจักรา ไม่ชั่วช้าเปนอุบายหน่ายหนี ให้ผาศุกทุกทิวาราตรี แล้วยักษีเคารพอภิวันท์

ฯ ๖ คำ ฯ สาธุการ

ร่าย

๓๓๒๏ จึ่งรับน้ำชำระศรศักดิ พระยายักษ์ดื่มกินจนสิ้นขัน จึ่งกล่าวคำให้ได้ยินสิ้นด้วยกัน จะอาสาทรงธรรม์คุ้มวันตาย

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๓๓๓๏ บัดนั้น สุครีพชื่นชมสมหมาย เห็นพิเภกสามิภักดิ์รักนารายน์ จึ่งภิปรายปราไสเปนไมตรี นี่แน่ดูราพระยายักษ์ ท่านเปนน้องทศภักตร์ยักษี ตัวเราก็เปนน้องของพาลี ถ้อยทีถิ่นฐานก็ปานกัน บัดนี้เราเข้ามาเปนข้าบาท พระจักรีธิราชรังสรรค์ จะอาสาฆ่าพวกอาธรรม์ ควรผูกพันเปนสหายหมายพึ่งพา จงมาตั้งสัตย์ปฏิญาณ ให้ทหารเขาฟังพรั่งพร้อมหน้า ฤๅจะคิดอย่างไรในวิญญา จงว่ามาให้แจ้งแห่งคดี

ฯ ๘ คำ ฯ

๓๓๔๏ บัดนั้น พิเภกปรีดิ์เปรมเกษมศรี จึ่งอ่อนน้อมยอมใจเปนไมตรี ถ้อยทีให้สัตย์ปฏิญาณ

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๓๕๏ บัดนั้น สุครีพฤทธิไกรใจหาญ ครั้นสมัครักกันกับขุนมาร จึ่งพูดจาว่าขานการธานี อันเจ้ากรุงลงกาเชษฐาท่าน ทั้งพงษ์เผ่าเหล่ามารยักษี ความคิดฤทธิไกรใครจะดี ทั้งโยธีเมืองยักษ์สักเท่าไร

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๓๖๏ บัดนั้น พิเภกจึ่งแจ้งแถลงไข อันองค์ทศกรรฐ์นั้นไซ้ ปราบได้ดินฟ้าบาดาล สุริวงษ์พงษ์พันธุ์มิตรสหาย มากมายหลายบุรินทร์ถิ่นฐาน อันโยธีรี้พลพ้นประมาณ ล้วนห้าวหาญชาญชิตฤทธิรงค์ ถือเทพอาวุธสุดศักดา ใครรบรายับยุ่ยเปนผุยผง อันกระบี่ที่เปนข้าบาทบงสุ์ จะอาจองอย่างไรมิได้รู้ ถ้าฤทธีฝีมือเหมือนหณุมาน เมื่อเผาผลาญลงกาหนักหนาอยู่ แต่นอกนั้นเปนอย่างไรจะใคร่รู้ แม้นได้ดูพอจะเทียบเปรียบมือมาร

ฯ ๘ คำ ฯ

๓๓๗๏ บัดนั้น สุครีพฟังวาจาจึ่งว่าขาน อันพระจอมโยธีปรีชาชาญ คือนารายน์อวตารมาผลาญยักษ์ แต่บรรดาเสนาวานร ฤทธิรอนปราบได้ทั้งไตรจักร ทั้งกระบี่รี้พลก็มากนัก ล้วนเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิสิ้นทั้งนั้น ถึงทำการรบราต้องอาวุธ ไม่รู้สุดสิ้นชีวาอาสัญ พอต้องลมเย็นเย็นเปนขึ้นพลัน ทั้งฤทธิ์นั้นกลับมีทวีมา ซึ่งท่านว่าอสุรีมีฤทธิรอน เปรียบวานรไม่ได้ไกลหนักหนา บอกพลางทางชวนไคลคลา เข้ามาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๓๓๘๏ กราบถวายบังคมก้มเกล้า นบนอบหมอบเฝ้าอยู่ที่นั่น แล้วทูลแจ้งกิจจาสารพัน ข้าพากันถือน้ำสำเร็จการ แต่พิเภกบอกว่าในธานี ยักษีมีศักดากล้าหาญ ปราบได้ทั้งสวรรค์ชั้นบาดาล หมู่มารเหลือล้นคณนา แต่ว่าชมฤทธิรณหณุมาน เมื่อเผาผลาญเมืองยักษ์หนักหนา อันกระบี่ที่อยู่ในพลับพลา จะขอดูศักดาว่าอย่างไร ถ้าแม้นเหมือนหณุมานชาญสนาม จะปราบปรามพวกยักษ์ตักไษย ข้อนี้มิควรประการใด ภูวไนยงดโทษโปรดปราน

ฯ ๘ คำ ฯ

๓๓๙๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน จึ่งว่าท่านอย่าช้าพาขุนมาร ไปดูฤทธิ์ทหารชำนาญยุทธ จงร้องเรียกกันไปทั้งไพร่นาย ที่เชิงผาน่าค่ายชายสมุท ให้ทหารเข้มแขงแผลงฤทธิรุตม์ กว่าจะสุดสิ้นศักดาวานร

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๔๐๏ บัดนั้น สุครีพห้าวหาญชาญสมร พาพิเภกกับกระบี่มีฤทธิรอน บทจรจากน่าพลับพลาพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๓๔๑๏ ครั้นถึงหาดทรายชายฝั่ง พาพิเภกหยุดยั้งนั่งที่นั่น ให้โยธาพานรินทร์สิ้นทั้งนั้น ชวนกันสำแดงแผลงฤทธา

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๔๒๏ บัดนั้น วานรฤทธิไกรใจกล้า ต่างตนประกวดอวดศักดา ก็แผลงฤทธิ์วิทยาวุ่นวาย

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๔๓๏ บ้างไปช้อนเขาสุทัศน์อัศกรรณ ใส่ฝ่ามือเหาะหันผันผาย บ้างโถมถีบภูผาศิลาทลาย เอาหินปรายโปรยขว้างไปกลางแปลง บ้างเหาะลิ่วปลิวไปในอัมพร กำบังสีรวีวรสิ้นแสง บ้างลงน้ำดำอวดประกวดแรง วิดสมุทจนแห้งแล้งไป บ้างจับปลาอานนต์นั้นมาขี่ ถือพระยานาคีตัวใหญ่ บ้างแหวกน้ำดำดั้นสมุทไทย บัดเดี๋ยวใจไปอยู่ยุคันธร

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๓๔๔๏ บัดนั้น ลิงเลวเหล่าทหารชาญสมร ครั้นเห็นนายสำแดงฤทธิรอน พวกนิกรกู่กันสนั่นอึง ลางเหล่าเอาต้นยางใหญ่ มาแล่นไล่ตีขว้างต่างไม้หึ่ง บ้างจับช้างสารขี่ตีตะบึง ครั้นถึงเสยไสให้ชนกัน บ้างไปได้พระยาราชสีห์ มาขับควบตีคลีทีขยัน บ้างได้เสือโคร่งใหญ่ในไพรวัน มาปักเปี้ยวพนันกันวิ่งวาง บ้างได้แรดควายวัวตัวกล้า มาขี่เล่นเช่นม้าสบัดย่าง บ้างอุ้มเอาก้อนศิลามาโยนกลาง ปะเตะต่างตะกร้อเล่นกันเปนวง

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา เชิด

ช้า

๓๔๕๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรสูงส่ง สถิตย์ที่แท่นสุวรรณบรรจง พร้อมพระวงษ์พงษาเสนามาร ได้ยินเสียงสเทือนเลื่อนลั่น เปรี้ยง ๆ เพียงพระกรรณจะแตกฉาน แผ่นดินไหวไตรภพจะแหลกลาญ พระยามารหวั่นหวาดปลาดใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๓๔๖๏ จึ่งเผยแกลแลดูสุริยน เห็นมืดมนท์มัวหมองไม่ผ่องใส แต่ทางทิศบุรพานภาไลย เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งโลกา จึ่งดำรัสตรัสสั่งสุกระสาร อัศจรรย์บันดาลหลากนักหนา เสียงโผงผางข้างเบื้องบุรพา อสุราไปดูให้รู้ความ

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๔๗๏ บัดนั้น อสูรสุกระสารชาญสนาม รับสั่งทศกรรฐ์ไม่ครั่นคร้าม กราบสามลาแล้วก็ลุกมา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๓๔๘๏ หยุดยืนยังพระลานอ่านเวท จำแลงแปลงเพศยักษา เดชะพระมนต์อสุรา กายาเปนเหยี่ยวบินเที่ยวไป

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ รัว แผละ

๓๔๙๏ ครั้นถึงฝั่งสมุทหยุดราร่อน เห็นวานรมากมายทั้งนายไพร่ ต่างตนสำแดงแผลงฤทธิไกร ง้างเอาเขาใหญ่ไล่ทิ้งกัน ศิลาแตกกระจายถูกปลายปีก ก็หลบหลีกลงในไพรสัณฑ์ จึ่งแปลงกายกลายเปนวานรพลัน เข้าปนกันกับลิงวิ่งไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ รัว

๓๕๐๏ เมื่อนั้น พิเภกอสุรศักดิยักษา เขม้นดูรู้แน่ในวิญญา ว่ายักษาปลอมปนพลไกร จึ่งพยักกวักเรียกหณุมาน มาแถลงแจ้งการให้ใกล้ใกล้ ไอ้ยักษีนีฤมิตรเหมือนลิงไพร เข้าปลอมไพร่พลอยู่ดูจับมัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๕๑๏ บัดนั้น วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน จึ่งซักไซ้ไต่ถามกุมภัณฑ์ จำสำคัญรูปร่างมันอย่างไร

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๕๒๏ เมื่อนั้น พิเภกจึ่งแจ้งแถลงไข อันกระบี่รี้พลสกลไกร ทั้งนายไพร่ย่อมกระหยิบพริบตา แต่ยักษีมิได้พริบเนตร จงสังเกตจำคำเราร่ำว่า ท่านคิดอ่านผ่อนผันด้วยปัญญา จับไอ้อสุราอย่าช้าการ

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๕๓๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ สังเกตจำคำพิเภกขุนมาร แล้วโอมอ่านมนตราพานรินทร์

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๓๕๔๏ กายใหญ่เท่าบรมพรหมา เอามือครอบโยธาไว้ทั้งสิ้น ให้นายหมวดตรวจพหลพลพฤนท์ ปล่อยกระบินทร์จากที่ทีละตน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๓๕๕๏ บัดนั้น สุกระสารกลัวฤทธิ์คิดขัดสน อยู่ในหว่างหัดถาเข้าตาจน จะแปลงตนหนีไปก็ไม่ทัน แต่เขยื้อนขยับลับฬ่อ รั้งรอระรัวตัวสั่น พวกวานรออกไปได้ทั้งนั้น แต่กุมภัณฑ์เวียนวนจนใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๕๖๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานทหารใหญ่ นับวานรได้ถ้วนจำนวนไป เหลือแต่ไอ้ลิงแปลงก็แจ้งการ จึ่งจับตัวพินิจพิศดูหน้า ไม่กระหยิบพริบตาเหมือนว่าขาน ก็รู้ว่าศัตรูหมู่มาร ให้ทหารมัดยักษ์แล้วซักไซ้

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๕๗๏ บัดนั้น อสุรินทร์สิ้นแรงแถลงไข ข้าชื่อสุกระสารชาญไชย ทศกรรฐ์นั้นใช้ให้มาดู เห็นวานรแผลงฤทธิ์สิทธิศักดิ จะดูเล่นเปนยักษ์ก็กลัวอยู่ จึ่งแปลงปลอมพลไกรจะใคร่รู้ ท่านผู้เปนใหญ่ได้เมตตา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๓๕๘๏ บัดนั้น หณุมานฤทธิไกรใจกล้า แจ้งความนามกรอสุรา ก็พากันเข้ามาพลับพลาไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เตียว

๓๕๙๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าประนมบังคมไหว้ ทูลแถลงแจ้งความทั้งปวงไป ตามคดีที่ได้ขุนมารมา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๓๖๐๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงตรึกแล้วปฤกษา จะฆ่าฟันมันให้มรณา ก็เห็นว่ากิติศัพท์จะลับไป จงเฆี่ยนเสียสองร้อยให้ย่อยยับ พอเปนสง่าทัพที่จับได้ แล้วเอาหมึกสักหน้าเปนตราไว้ จงปล่อยตัวส่งไปให้นายมัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๖๑๏ บัดนั้น สุครีพฤทธิแรงแขงขัน รับสั่งพระองค์ทรงธรรม์ ร้องเรียกพวกราชมันมาทันที ให้ตอกหลักน่าพาดคายาว บ้างผูกเท้าผูกเอวอึงมี่ เชือกกระหวัดรัดรึงตึงเต็มที จับศีศะอสุรีเข้าใส่คา

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๖๒๏ บัดนั้น ราชมันเหน็บรั้งตั้งท่า แลชำเลืองเยื้องกรายหวายตะค้า ตีขวาตีซ้ายรายเรียง

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๖๓๏ บัดนั้น สุกระสารร้องดิ้นสิ้นเสียง หัวสบัดขัดคาฅอเอียง พ่างเพียงจะพินาศขาดใจ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๓๖๔๏ บัดนั้น สุครีพมหาเสนาใหญ่ เฆี่ยนถามสามยกแล้วหยุดไว้ ให้ปลดเปลื้องเครื่องไม้เอาตัวมา จึ่งสั่งลิงสัสดีมีฝีมือ เขียนหนังสือลงหน้ายักษา เปนใจความตามโทษปลอมโยธา เอาหมึกตราเช็ดซ้ำให้ดำดี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๓๖๕๏ แล้วสุครีพขู่ซ้ำกำชับ มึงจงเร่งกลับไปกรุงศรี ถ้าทีหลังยังทำเช่นนี้ จะตัดหัวไว้ที่กองทัพ

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๖๖๏ บัดนั้น สุกระสารเสียอารมณ์แทบลมจับ อุส่าห์แขงใจไปให้ลับ แล้วเหาะกลับข้ามฝั่งสมุทมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๓๖๗๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง ทั้งเจ็บหลังที่ลายทั้งอายหน้า เข้าในที่เฝ้าเจ้าลงกา กราบบังคมก้มหน้าโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๓๖๘๏ เมื่อนั้น ทศเศียรหลากจิตรคิดสงไสย เห็นเสนาหน้าคล้ำดำไป หลังไหล่ลายยับเปนสับปลา ตกพระไทยไต่ถามสุกระสาร เราใช้ท่านเที่ยวดูในเวหา ใครเฆี่ยนขับจับสักหน้าตา จึ่งกลับมาครวญคร่ำร่ำไร

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๖๙๏ บัดนั้น สุกระสารทูลแจ้งแถลงไข ข้าแปลงกายเปนเหยี่ยวเที่ยวไป จนถึงฝั่งสมุทไทยทิศอุดร เห็นพลรามลักษณ์อักนิษฐ สำแดงฤทธิ์ขว้างหินขึ้นบินว่อน ข้าจึ่งแปลงกายาเหมือนวานร เข้าปลอมปนพลนิกรเที่ยวดูไป เห็นพิเภกองค์พระอนุชา ไปเปนข้ารามลักษณ์รักใคร่ ยังมิหนำซ้ำบอกความใน ให้จับตัวข้าได้แล้วโบยตี อนึ่งทราบว่าพระรามจะข้ามมา ทำศึกชิงนางสีดามารศรี ทั้งไอ้ลิงที่มาเผาธานี ก็เปนข้าอยู่ที่พระรามา อันวานรในทัพนับสมุท แต่กระบี่มีมงกุฏก็หนักหนา บัดนี้ตั้งที่ประทับพลับพลา อยู่ริมฝั่งมหาวารี

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๓๗๐๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ประจักษ์แจ้งพระไทยว่าไพรี จะข้ามมาราวีถึงเวียงไชย ยิ่งร้อนรำคาญจิตรคิดวิตก ให้คับอกไม่ออกปากได้ จึ่งเสด็จลีลาคลาไคล เข้าในแท่นที่ศรีไสยา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๓๗๑๏ เอนองค์ลงเหนือบรรจฐรณ์ ยอกรก่ายภักตร์ยักษา ทุกข์ร้อนถอนฤไทยไปมา ตรึกตราถึงสงครามรามลักษณ์ ครั้งนี้ทีศึกเห็นใหญ่หลวง จะลุล่วงลงกาอาณาจักร เหตุด้วยสีดายุพาภักตร์ จึ่งเกิดการหาญหักชิงไชย จำจะคิดถ่ายเทด้วยเล่ห์กล ตัดรอนผ่อนปรนแก้ไข ให้ข้าศึกเลิกทัพกลับไป จึ่งจะไม่เหนื่อยยากลำบากกาย

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๓๗๒๏ ดำริห์ตริไตรเห็นได้การ พระยามารชื่นชมสมหมาย จึ่งดำรัสตรัสสั่งเจ้าขรัวนาย ให้หานางเบญกายมาบัดนี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๗๓๏ บัดนั้น ท้าวนางประนตบทศรี รับสั่งเจ้าลงกาธานี ถวายอัญชลีแล้วรีบมา

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๓๗๔๏ ครั้งถึงห้องแก้วแพรวพราย จึ่งทูลนางเบญกายยักษา บัดนี้ทรงฤทธิ์บิตุลา ให้หาโฉมยงจงขึ้นไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๗๕๏ เมื่อนั้น เบญกายฟังแจ้งแถลงไข คิดประหลาดหวาดหวั่นพรั่นใจ จะร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ด้วยตกอยู่กลางระหว่างโทษ ท่านกริ้วโกรธบิดาหนักหนาอยู่ แล้วแขงขืนฝืนจิตรโฉมตรู ขึ้นไปสู่ที่เฝ้าเจ้าลงกา

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า

๓๗๖๏ ครั้นถึงปราสาทไชยไพชยนต์ นฤมลบังคมก้มหน้า คอยฟังท่วงทีกิริยา จะบัญชาว่าขานประการใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๗๗๏ เมื่อนั้น ทศภักตร์พงษ์พรหมเปนใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นนัดดายาใจ จึ่งปราไสโฉมยงนงเยาว์ อนิจาสงสารหลานรัก ดูผิวภักตร์ผิดรูปซูบเศร้า เปนเคราะห์กรรมจำให้ลุงใจเบา ขับบิดาเจ้าไปจากไกล เดี๋ยวนี้ค่อยเคลื่อนคลายหายโกรธ จะถือโทษโทษานั้นหาไม่ ครั้นจะรับกลับคืนมาเวียงไชย ก็คิดอดสูใจแก่ไพรี จึ่งให้ไปหาเจ้าขึ้นมา จะให้แปลงเปนสีดามารศรี ทำตายลอยไปในวารี อยู่ที่ฉนวนท่าพลับพลาไชย แม้นพระรามลงสรงคงคา จะคิดว่าเมียรักตักไษย เห็นจะล่าเลิกทัพกลับไป ลุงจะได้รับพ่อเจ้าคืนมา อันอุบายครั้งนี้เห็นดีนัก หลานรักจงรับอาสา เหมือนไว้ยศทดแทนคุณบิดา ให้กลับคืนลงกาธานี

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๓๗๘๏ เมื่อนั้น เบญกายประนตบทศรี จึ่งทูลทศกรรฐ์ไปทันที ซึ่งบัญชามานี้เปนจนใจ อันแยบยนต์กลศึกฦกลับ ข้าจะรับอาสานั้นไม่ได้ ตัวเปนผู้หญิงจะวิ่งไป ถึงกองทัพพลับพลาไชยไพรี ถ้าลักษณ์รามรู้ระแบบแยบคาย เครื่องจะอายขายบาทบทศรี แต่สุกระสารเสนาที่กล้าดี ยังต้องตีนับร้อยปล่อยมา จะซ้ำใช้ให้ข้าไปอิกเล่า คงเขาจะห้ำหั่นฟันฆ่า ไหนเลยจะรอดตายวายชีวา ทรงฤทธิ์บิตุลาจงปรานี

ฯ ๘ คำ ฯ

๓๗๙๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี จึ่งแกล้งกล่าวมารยาพาที ข้อนี้ลุงเห็นไม่เปนไร สุกระสารวานนี้ไปปลอมทัพ พิเภกบอกดอกจึ่งจับตัวได้ ครั้งนี้นัดดาอาสาไป เห็นพ่อเจ้าเขาจะไม่บอกมนุษย์ อย่าได้คิดบิดพลิ้วเกียจคร้าน ราชการครั้งนี้เปนที่สุด เหมือนตัดศึกสิ้นณรงค์ยงยุทธ ให้มนุษย์เลิกทัพกลับไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๓๘๐๏ เมื่อนั้น เบญกายกัลยาอัชฌาไศรย จะขัดขืนขอตัวก็กลัวไภย จำใจคำนับรับบัญชา แต่จะจำแลงแปลงอินทรีย์ ข้านี้นึกพะวังกังขา ด้วยองค์ภัควดีสีดา ไม่เห็นว่ารูปร่างเปนอย่างไร

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๘๑๏ เมื่อนั้น ทศเศียรโสมนัศตรัสปราไส แม้นเสร็จศึกสมหวังดังใจ จะแบ่งสมบัติให้แก่นัดดา ว่าพลางทางสั่งเถ้าแก่ จงไปบอกหุ้มแพรที่ข้างน่า ให้เร่งรัดจัดวอช่อฟ้า นัดดากูจะไปอุทยาน

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๓๘๒๏ บัดนั้น เถ้าแก่คำนับรับบรรหาร ออกมาที่ประตูวังสั่งงาน เตรียมการพร้อมกันดังบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ เจรจา

๓๘๓๏ เมื่อนั้น นางเบญกายยักษา นบนิ้วประนมบังคมลา ออกมาจากที่มณเฑียรทอง จึ่งขึ้นทรงวอสุวรรณพรรณราย วิสูตรสายม่านมิดปิดป้อง โขลนจ่าเถ้าแก่แซ่ซ้อง ออกมาจากห้องฉนวนในไคลคลา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๓๘๔๏ ครั้นถึงสวนศรีที่หยุดยั้ง จึ่งไปยังชนนีเสนหา บังคมก้มกราบกับบาทา ฟูมฟายชลนาโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๓๘๕๏ เมื่อนั้น ตรีชดาหลากจิตรคิดสงไสย ปลอบถามลูกน้อยกลอยใจ ทุกข์ร้อนสิ่งไรจึงโศกี

ฯ ๒ คำ ฯ

๓๘๖๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายโฉมศรี แถลงเล่าเหตุผลชนนี ตามที่บิตุลาบัญชาใช้ จะให้ลูกนฤมิตรเหมือนสีดา ไปลวงพระรามาว่าตักไษย จะบิดพลิ้วหลบลี้มิไป เกรงจะให้ลงอาญาฆ่าฟัน ถึงลูกจะบรรไลยก็ไม่ว่า กลัวจะพามารดาอาสัญ จึ่งมาเฝ้านางสีดาวิลาวรรณ จำสำคัญไปจำแลงแปลงกาย

ฯ ๖ คำ ฯ

๓๘๗๏ เมื่อนั้น ตรีชดาหวาดหวั่นขวัญหาย ได้ฟังดังชีวิตรจะวางวาย จึ่งว่ากับเบญกายลูกรัก อันองค์สมเด็จพระราเมศ ทรงเดชเรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ พ่อเจ้าก็ได้ไปสำนักนิ์ เปนที่พึ่งพักของบิดา ฉวยกระไรไม่พ้นโทษทัณฑ์ จะพากันสิ้นชีวังสังขาร์ ยากเย็นเปนมิรู้ที่พูดจา กัลยาร่ำพลางทางโศกี

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๓๘๘๏ เมื่อนั้น เบญกายตริตรองหมองศรี นบนิ้วทูลสนองชนนี ทั้งนี้ก็ตามแต่เวรา สารพัดขัดข้องทั้งสองข้าง ไปสู้ตายวายวางเอาข้างน่า ว่าพลางทางถวายบังคมลา ไปเฝ้านางสีดานารี

ฯ ๔ คำ ฯ ทยอย

๓๘๙๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ เข้าไปเฝ้าองค์นางโฉมศรี แสร้งทำมารยาไม่พาที อสุรีก้มหน้าโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๓๙๐๏ เมื่อนั้น องค์ภัควดีศรีใส ชำเลืองเห็นเบญกายมาร่ำไร นางมิได้รู้จักภักตรา จึ่งเอื้อนโอษฐดำรัสตรัสถาม ถ้อยความเปนไฉนเจ้าไม่ว่า มาครวญคร่ำกำสรดโศกา เปนน่าฉงนสนเท่ห์ใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๓๙๑๏ เมื่อนั้น เบญกายนารีศรีใส ได้ฟังบังคมอรไทย แล้วกราบทูลไปด้วยใจภักดิ์ ตัวข้าชื่อว่าเบญกาย มาถวายตัวไว้ให้รู้จัก เปนบุตรีพิเภกพระยายักษ์ ที่ไปอยู่ด้วยพระลักษณ์พระรามา อันนางตรีชดานารี นั้นเปนชนนีของข้า ทูลพลางทางชม้ายชายตา ดูรูปร่างนางสีดานารี

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๓๙๒๏ ครั้นจำสำคัญได้มั่นคง จึ่งลาองค์อัคเรศโฉมศรี ออกจากสวนขวัญทันที ทรงวอจรลีเข้าลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๓๙๓๏ ครั้นถึงจึ่งประทับฉับพลัน ลงจากวอสุวรรณเลขา จึ่งจำแลงแปลงกายกายา เหมือนรูปทรงองค์สีดาบังอร

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๓๙๔๏ โฉมงามทรามไวยวิไลยลักษณ์ ไม่เพี้ยนภัควดีศรีสมร แล้วย่างเยื้องยุรยาตรนาดกร ขึ้นเฝ้าเจ้านครลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ ฉุยฉาย

๓๙๕๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา แลเห็นเบญกายจำแลงมา สำคัญคิดว่าสีดานารี แย้มยิ้มพยักหน้าง่าพระหัดถ์ พลางดำรัสตรัสเชิญนางโฉมศรี เห็นหยุดยั้งรั้งรอไม่จรลี อสุรีรีบมารับฉับไว

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๓๙๖๏ เข้าชิดพิศดูไม่วางตา น้อยฤๅงามหนักหนาน่ารักใคร่ ยิ่งแสนพิศวาศจะขาดใจ จึ่งปราไสทอดสนิทติดพัน

ฯ ๒ คำ ฯ

ชาตรี

๓๙๗๏ ยอดเอยยอดมิ่ง เปนความในใจจริงทุกสิ่งสรรพ์ หวังสวาดิมาดหมายไม่วายวัน จะรับขวัญไนยนามาธานี พี่ผูกใจจึ่งไปดลจิตรเจ้า ให้โฉมนางนงเยาว์มาถึงนี่ ขอเชิญดวงดอกฟ้าสุมาลี อยู่เปนศรีนัคเรศนิเวศน์วัง เจ้าจงดูปราสาทราชฐาน ทั้งตึกกว้านมากมายหลายหลัง คลังเงินคลังทองสิบสองพระคลัง ทรัพย์สินมั่งคั่งเรามั่งมี ขอเชิญโฉมเฉลาเปนเจ้าของ ครอบครองสารพัดสมบัติพี่ จงผินผันภักตรามาข้างนี้ พูดจาพาทีกับพี่ยา ควรฤๅทำสเทินเมินเฉย ไม่เห็นเลยว่ารักเจ้าหนักหนา มาหยุดอยู่นี่ไยจงไคลคลา ไปนั่งแท่นแว่นฟ้าเถิดเทวี

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๓๙๘๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายโฉมศรี ทูลสนองบัญชาว่าข้านี้ มิใช่ภัควดีสีดา ยังขืนลดเลี้ยวเกี้ยวพาน วิบากกรรมรำคาญหนักหนา ดูเอาเถิดทรงฤทธิ์บิตุลา อะไรมาหลงใหลได้เช่นนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้โลม

๓๙๙๏ โฉมเอยโฉมเฉลา ยุพเยาว์ยอดฟ้ามารศรี เจ้าอายเหนียมเรียมไยณเทวี เสียแรงพี่จงรักไปลักมา หวังจะเศกสาวสวรรค์ขวัญเนตร เปนเอกองค์อัคเรศเสนหา ครองสมบัติพัศถานทั้งลงกา พี่มิให้แก้วตาอนาทร อันพระรามฤๅษีสามีน้อง ไม่ควรครองคู่เคียงเรียงหมอน พี่จะยกไปสังหารราญรอน ให้มวยมรณ์สิ้นเสี้ยนศัตรูเรา ว่าพลางทางขยับจับต้อง เลียมลองเล้าโลมโฉมเฉลา ฉวยชายสไบทรงนงเยาว์ นิจาเจ้าอย่าสลัดตัดเยื่อใย

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๔๐๐๏ เมื่อนั้น เบญกายกัลยาอัชฌาไศรย อัปรยศอดสูหมู่นางใน ก็ร่ายเวทกลายไปเปนเบญกาย

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เจรจา

๔๐๑๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์ครั้นเห็นก็ใจหาย จึ่งเมินภักตร์ตรัสว่าตาลุงลาย ให้คลับคล้ายเคลิ้มจิตรไม่คิดทัน ผิดจริงเจียวนัดดาเจ้าน่าโกรธ อย่าถือโทษลุงเลยณหลานขวัญ ตรัสพลางทางดูหมู่กำนัล เห็นสรวลสันต์ก็สเทิ้นเขินอาย สู้แขงขืนยืนเก้อเพ้อตรัส แม้นหลานตัดศึกสมอารมณ์หมาย เมืองมารจะเปนศุขสนุกสบาย เร่งผันผายรีบไปให้ทันการ

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๐๒๏ เมื่อนั้น เบญกายรับราชบรรหาร ออกจากปราสาทรัตน์ชัชวาลย์ เหาะข้ามชลธารผ่านมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๐๓๏ ครั้นถึงเหมติรันบรรพต เลื่อนลดลงจากเวหา หยุดยืนอยู่ยังฝั่งคงคา กัลยาจำแลงแปลงอินทรีย์

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๔๐๔๏ เหมือนรูปทรงองค์สีดาวิลาวรรณ ผิวพรรณนวลลอองผ่องศรี ทำตายลอยมาในวารี จนใกล้ที่พระรามสรงคงคา

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

ช้า

๔๐๕๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา บรรธมตื่นจากที่ศรีไสยา พอเวลาล่วงสามยามปลาย เสนาะเสียงสำเนียงนกการเวก ออกจากเมฆแซ่ซ้องร้องถวาย ไก่ขันแจ้วเจื้อยเฉื่อยชาย มยุเรศร้องร่ายบนปลายไม้ เผยพระแกลแลดูดาวเดือน เห็นคล้อยเคลื่อนเลื่อนลับเหลี่ยมไศล แสงทองส่องฟ้านภาไลย จวนจะใกล้ไขสีรวีวรรณ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๔๐๖๏ จึ่งดำรัสตรัสชวนอนุชา ลงจากพลับพลาผายผัน พร้อมพวกกระบี่นี่นัน จรจรัลมายังฝั่งนที

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

๔๐๗๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นรูปจำแลง ที่กลายแกล้งเปนสีดามารศรี ตกพระไทยไม่เปนสมประดี เข้าอุ้มองค์เทวีใส่ตักไว้ แล้วเรียกพระอนุชามาเพ่งพิศ จะเพี้ยนผิดสีดาก็หาไม่ สองกระษัตริย์สลดระทดใจ ต่างครวญคร่ำร่ำไรโศกา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้

๔๐๘๏ โอ้อนิจาสีดาเอ๋ย ไฉนเลยมาม้วยสังขาร์ เสียแรงพี่พยายามตามมา จนถึงฝั่งมหาสาคร หมายจะฆ่าโคตรวงษ์พงษ์ยักษ์ เพราะความรักความเสียดายสายสมร ยังมิทันทำการราญรอน มาม้วยมรณ์มรณาน่าอาไลย เจ้าพี่เอ๋ยอุส่าห์พาทรากศพ มาให้พบผัวรักเมื่อตักไษย พี่ตกยากจากเมืองมาอยู่ไพร จะได้โกษฐที่ไหนมาใส่น้อง ถ้าแม้นอยู่บูรีราชฐาน จะทำการให้พิฦกกึกก้อง ชักศพเจ้าเข้าสู่พระเมรุทอง มีงานการฉลองให้หลายวัน นี่อยู่ป่าสารพัดจะขัดสน เมื่อยามจนเจ้ามาอาสัญ เห็นแต่โขดเขาเขินเนินอรัญ ต่างสุวรรณเมรุรัตน์รจนา พฤกษาสูงยูงยางกลางดง ต่างฉัตรธงเรียงรายซ้ายขวา จักรจั่นเรไรในหิมวา จะต่างสังข์เสภาดนตรี เสียงคลื่นครื้นครั่นสนั่นก้อง จะต่างฆ้องกลองประโคมนางโฉมศรี ร่ำพลางทางทรงโศกี ดังชีวีพระนารายน์จะวายปราณ

ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๔๐๙๏ แล้วคิดครั้งลูกพระพายถวายแหวน ไปทำแค้นทศภักตร์หักหาญ จึ่งบัญชาว่าเหวยหณุมาน ตัวไปผลาญลูกเขาเผานคร บัดนี้เจ้าลงกาก็ฆ่านาง เหมือนอย่างเราว่ามาแต่ก่อน อันคำมั่นสัญญาของวานร ให้ทำโทษโรธกรประการใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๑๐๏ บัดนั้น วายุบุตรอกสั่นหวั่นไหว พินิจพลางทางทูลสนองไป ข้าสงไสยเปนพ้นคณนา แม้นนางม้วยด้วยอาญาฆ่าตี ก็จะมีบาดแผลแน่หนักหนา อันรูปนี้ดีร้ายจะแปลงมา มิใช่องค์สีดานารี

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๑๑๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์เรืองศรี ยิ่งกริ้วโกรธโกรธาพาที ว่าไยอย่างนี้หณุมาน เมื่อเมียเรารู้จักตระหนักแน่ ยังเชือนแชแก้หน้าว่าขาน ซึ่งมิใช่โฉมฉายวายปราณ จงคิดอ่านให้แจ้งที่แคลงใจ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๔๑๒๏ บัดนั้น หณุมานชาญฉลาดเฉลยไข ข้าเห็นว่าลงกากรุงไกร อยู่ใต้กองทัพพลับพลา น้ำลงถ่ายเดียวเชี่ยวคว้าง ศพนางฤๅจะทวนขึ้นมาหา ขอพระองค์จงได้เมตตา ตัวข้าจะขอชัณสูตรดู เอาทรากศพขึ้นใส่ไฟเผา ถ้านงเยาว์ตายจริงจะนิ่งอยู่ แม้นไพรีนีฤมิตรเหมือนโฉมตรู ก็จะจู่หนีไปมิได้ช้า ถ้ามั่นคงองค์พระมเหษี เทวีสิ้นชีวังสังขาร์ ขอพระองค์ลงราชอาชญา ประหารข้าให้ม้วยไปด้วยกัน

ฯ ๘ คำ ฯ

๔๑๓๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ ฟังคำแหงหณุมานชาญฉกรรจ์ เห็นเหมาะมั่นถูกต้องทำนองใน จึ่งตรัสว่าถ้าท่านยังแคลงความ จะชัณสูตรก็ตามอัชฌาไศรย ว่าพลางทางสั่งเสนาใน ช่วยทำเชิงตะกอนไฟขึ้นบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๑๔๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษี ออกมาร้องเรียกบ่าวเหล่ากระบี่ ให้โยธีเร่งรัดตัดไม้

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๔๑๕๏ ครั้นผูกทำสำเร็จเชิงตะกอน เอาฟืนตองกองซ้อนสุมใส่ จงยกทรากศพนางขึ้นวางไว้ จุดไฟแล้วล้อมอยู่พร้อมกัน

ฯ ๒ คำ ฯ ปี่กลอง

๔๑๖๏ บัดนั้น เบญกายปิ้มว่าจะอาสัญ ร้อนแรงด้วยแสงเพลิงนั้น ก็เหาะตามเกลียวควันทันที

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๔๑๗๏ บัดนั้น ลูกลมแลเขม้นเห็นยักษี กริ้วโกรธโดดตามข้ามอัคคี ขุนกระบี่เหาะไล่ไขว่คว้า

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๑๘๏ สกัดกั้นทันนางกลางโพยม จู่โจมจับเปนไม่เข่นฆ่า แล้วเหาะตรงลงยังพสุธา จูงมาเฝ้าพระหริรักษ์

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๑๙๏ เมื่อนั้น พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศักดิ แลเห็นรูปร่างนางยักษ์ มิใช่ภัควดีสีดา พระเคืองขัดตรัสสั่งเสนาใน จงคุมไปถามซักให้หนักหนา คือใครใช้สอยมันมา จึ่งคิดการมารยาอย่างนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๒๐๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษี บังคมลาพานางอสุรี ออกไปที่หาดทรายชายไพร

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๔๒๑๏ จึ่งสั่งบ่าวเหล่าลิงกรมเมือง ให้เตรียมเครื่องเฆี่ยนปักหลักใหญ่ ผูกอียักษ์นักโทษเข้าทันใด ติดไม้แล้วล้อมอยู่พร้อมกัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๒๒๏ สุครีพคุกคามถามซัก เหวยอียักษ์อย่าได้เศกสรร อันชื่อเสียงสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ ของตัวนั้นอยู่ตำบลหนใด ทำไมมึงจึ่งแสร้งแปลงรูปทรง มาลวงพระหริวงษ์ให้หลงใหล มึงตั้งจิตรคิดเองฤๅใครใช้ ที่จริงใจจงรับอย่าอับอาย

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๒๓๏ บัดนั้น เบญกายอกสั่นขวัญหาย จึ่งให้การอิงแอบเปนแยบคาย ข้าชื่อว่าเบญกายนารี เปนบุตรีพิเภกอสุรา แม่ชื่อตรีชดายักษี อยู่ยังลงกาธานี อุส่าห์มาทั้งนี้เพราะทุกข์ร้อน ได้ยินข่าวเล่าว่าบิดาตาย ด้วยอาญาพระนารายน์ทรงศร ครั้นจะเปนยักษ์มาหาบิดร ก็กลัวว่าวานรจะฆ่าตี ข้าจึ่งแสร้งแปลงเปนนางโฉมตรู หวังมิให้ใครรู้ว่ายักษี พอได้ข่าวราวเรื่องร้ายดี จะกลับไปบุรีลงกา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๔๒๔๏ เมื่อนั้น สุครีพซ้ำซักยักษา ซึ่งเองว่ามาเยี่ยมดูบิดา แล้วแกล้งแปลงกายามาไย เหตุใดไม่มาประสาซื่อ ใครไล่จับขับรื้อฤๅไฉน แก้เกี้ยวเปล่าเปล่ากูเข้าใจ ที่ความในนั้นไม่แจ้งแพร่งพราย อันเองนี้มีผู้จะใช้สอย แต่เจ็บน้อยจึ่งไม่บอกออกง่ายง่าย จะทนได้แล้วทนไปจนตาย ตำรวจเร่งลงหวายอย่าไว้ช้า

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๒๕๏ บัดนั้น ราชมันสองนายซ้ายขวา ยืนเขย่งเยื้องกรายหวายตะค้า เฆี่ยนห้าทีถามเอาความจริง

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๔๒๖๏ บัดนั้น เบญกายเจ็บปวดยวดยิ่ง ทั้งถูกตีฝีมือตำรวจลิง จึ่งแจ้งความตามจริงทุกสิ่งไป ทศกรรฐ์นั้นแกล้งให้แปลงกาย มาลวงองค์พระนารายน์ให้หลงใหล หวังจะให้เลิกทัพกลับไป มิได้รณรงค์ในลงกา

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๒๗๏ เมื่อนั้น สุครีพได้ฟังไม่กังขา เห็นจริงจังทั้งหมดจดหมายมา เข้าเฝ้าพระจักราฤทธี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๔๒๘๏ ก้มเกล้าประนตบทมาลย์ แล้วอ่านคำให้การของยักษี เบญกายแสนกลตนนี้ เปนบุตรีพิเภกกุมภัณฑ์ ทศกรรฐ์มันแกล้งให้แปลงมา เหมือนเทวีสีดาอาสัญ หวังจะให้พระองค์ทรงธรรม์ เลิกพหลพลขันธ์คืนไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๒๙๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย นิ่งนึกดำริห์ตริไตร แล้วถามไถ่พิเภกผู้ภักดี อันอีอสุรีเบญกาย ก็เปนเนื้อเชื้อสายของยักษี มันคิดอ่านมารยามาอย่างนี้ เห็นจะมีโทษทัณฑ์ฉันใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๓๐๏ บัดนั้น พิเภกรับสั่งบังคมไหว้ จึ่งทูลพระหริวงษ์ทรงไชย ตามในกำหนดบทไอยการ เบญกายผิดพลั้งครั้งนี้ ถึงที่ชีวังสังขาร ตัดเกษาผ่าทรวงเสียบประจาน หมู่มารจึ่งจะเกรงพระเดชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๓๑๏ เมื่อนั้น พระหริรักษ์จักรแก้วแววเวหา จึ่งว่ากับพิเภกอสุรา ท่านได้มาจงรักภักดี ซึ่งความผิดเบญกายถึงวายปราณ เรายกโทษโปรดประทานยักษี ให้กลับไปนัคราธานี แจ้งคดีกับองค์เจ้าลงกา ตรัสพลางทางมีบัญชาการ สั่งศรีหณุมานหาญกล้า จงไปส่งเบญกายกัลยา ให้ถึงแดนลงกากรุงไกร

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๓๒๏ บัดนั้น วายุบุตรรับสั่งบังคมไหว้ มาอุ้มนางพลางแผลงฤทธิไกร เหาะข้ามฟากไปดังใจปอง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๓๓๏ ครั้งถึงฝั่งพระสมุทก็หยุดยั้ง วางนางลงนั่งสองต่อสอง แล้วกล่าวเกลี้ยงเลี่ยงเลี้ยวเลียมลอง ตามทำนองสนทนาประสารัก

ฯ ๒ คำ ฯ

ชาตรี

๔๓๔๏ เจ้าเอยเจ้าพี่ แต่แรกเริ่มเดิมทีไม่รู้จัก ต่อเห็นหน้าโฉมยงนงลักษณ์ สงสารนักด้วยน้องต้องโทษกร จะทูลขอก็เห็นยังกริ้วกราด ใจจะขาดเพราะเสียดายสายสมร แม้นสั่งให้ไปสังหารราญรอน จะผันผ่อนขอไว้มิให้ตาย พอครั้งนี้มีรับสั่งให้มาส่ง สมจำนงในจิตรที่คิดหมาย จะฝากรักไปกว่าชีวาวาย โฉมฉายอย่าสลัดตัดอาไลย พี่จะถนอมนวลสงวนน้อง เปนคู่ครองเชยชิดพิศมัย ไม่ทิ้งขว้างร้างรักแรมไกล ดวงใจจงเมตตาปรานี

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๔๓๕๏ เมื่อนั้น เบญกายขวยเขินเมินหน้าหนี พลางตอบวาจาพาที มาสงสารปานนี้น่าขอบใจ ฤๅเห็นว่าไม่ม้วยจะช่วยขอ พูดแต่พอให้พะวงหลงใหล ถึงเปนคนโทษโหดไร้ พอรู้เท่าเข้าใจอย่าเจรจา ต้องมาผิดพลั้งครั้งนี้ ก็เปนที่ขายภักตร์หนักหนา ยังมิหนำซ้ำตัวจะชั่วช้า จะเอาหน้าไปแฝงไว้แห่งไร ซึ่งท่านพาข้าข้ามมาถึงฝั่ง เพราะบังคับรับสั่งไม่ขัดได้ ถึงตลิ่งแล้วจะลาคลาไคล ท่านจงไปกองทัพพลับพลา

ฯ ๘ คำ ฯ

โอ้โลม

๔๓๖๏ สุดเอยสุดสวาดิ เฉลียวฉลาดแหลมหลักหนักหนา พี่อุส่าห์มาส่งถึงลงกา หมายจะฝากเสนหาอาไลย ควรฤๅถือแต่ว่ารับสั่ง จะเห็นดีพี่มั่งก็หาไม่ นิจาเอ๋ยอาภัพลับไป เสียน้ำใจจริงเจ้าเยาวมาลย์ เมื่อสุดแสนเสนหาไม่ว่าเล่น หวังจะเปนคู่รักสมัคสมาน มิใช่จะแกล้งแต่งกลเกี้ยวพาน เยาวมาลย์อย่าแหนงแคลงใจ จงผินมาพาทีกับพี่บ้าง จะหมองหมางมึนตึงไปถึงไหน พลางหยอกยุดฉุดฉวยชายสไบ ถูกต้องลองใจกัลยา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๔๓๗๏ เมื่อนั้น เบญกายค้อนพลางทางว่า เฝ้าลดเลี้ยวเกี้ยวพานพูดจา สมเพชเวทนาน่ารำคาญ ก่นแต่ฉวยฉุดยุดยื้อ กระนี้ฤๅว่ารักทำหักหาญ แม้นจะช่วยปลูกฝังจิรังกาล ค่อยค่อยคิดอ่านก็เปนไร ถ้าเสร็จศึกสงครามก็ตามที มิใช่น้องจะหนีไปข้างไหน บอกจริงจริงแล้วเมื่อมิเชื่อใจ ข้าจะให้คำมั่นสัญญา

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้โลม

๔๓๘๏ แสนเอยแสนเฉลียว ช่างเลี่ยงเลี้ยวลวงฬ่อกันต่อหน้า พี่รักเจ้าเท่าเทียมดวงชีวา จะชักช้ามิให้ชมนั้นสุดใจ ว่าพลางอิงแอบแนบน้อง เคียงประคองเชยชิดพิศมัย เมฆตั้งบังแสงอโนไทย ลมประไลยโลกลั่นครั่นครื้น ฝนฝอยพรอยพร่ำซ้ำสาด เย็นทุกรุกขชาติชุ่มชื้น ชลาล้นท้นท่วมพ่างพื้น สองสมภิรมย์รื่นฤๅดี

ฯ ๖ คำ ฯ โลม

ช้า

๔๓๙๏ เมื่อนั้น เบญกายกัลยามารศรี แสนสนิทพิศวาศเปรมปรีดิ์ ด้วยกระบี่วายุบุตรวุฒิไกร หัวเหิ่มเริ่มแรกแปลกปลื้มจิตร เอนแอบแนบชิดพิศมัย เสนหาปลดปลงจงใจ มิใคร่ไปไกลพ้นหณุมาน นางซบทับกับตักแล้ววอนว่า น้องได้มาร่วมรักสมัคสมาน ที่ถ้อยคำก้ำเกินไม่ควรการ จงประทานโทษน้องจะขอลา แม้นนานไปสำเร็จเสร็จราวี แล้วอย่าลืมพาทีที่ท่านว่า ขอฝากแต่พิเภกผู้บิดา เหมือนได้กรุณาแก่น้องนี้

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๔๔๐๏ เมื่อนั้น หณุมานเล้าโลมนางโฉมศรี อย่านึกแหนงแคลงคำพาที ร้อยปีพี่ไม่ลืมเจ้าปลื้มใจ แต่จะจำพลัดพรากจากกันก่อน บังอรอย่าทุกข์ทนหม่นไหม้ แม้นเว้นว่างณรงค์ลงวันใด พี่จะไปสมสู่เปนคู่เคล้า อันพิเภกโหราพระยามาร ไว้เปนภารธุระพี่เถิดเจ้า เชิญนางโฉมยงนงเยาว์ คืนเข้าไปกรุงลงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๔๑๏ เมื่อนั้น นวลนางเบญกายเสนหา นบนิ้วคำนับรับวาจา กราบกับบาทาสามี ลาแล้วลาเล่าเศร้าเสียใจ ชลไนยคลอคลองหมองศรี นางแขงขืนฝืนใจจรลี ขุนกระบี่ก็กลับไปพลับพลา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

ช้า

๔๔๒๏ เมื่อนั้น พระหริรักษ์จักรแก้วแววเวหา เสด็จออกวานรเสนา เฝ้าฝ่ายซ้ายขวาพร้อมกัน จึ่งตรัสปฤกษาว่าเมืองมาร ภูมิฐานเปนเกาะเหมาะมั่น มีทเลล้อมรอบขอบคัน ดังขุนเขาสัตภัณฑ์สีทันดร แต่บรรดาเสนาพานรินทร์ ทั้งชมภูขีดขินชาญสมร จะคิดข้ามโยธาพลากร ไปนครลงกาประการใด

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๔๔๓๏ บัดนั้น เสนาวานรน้อยใหญ่ รับสั่งบังคมภูวไนย แล้วทูลไปตามคิดด้วยฤทธิ์ตน บ้างว่าจะโน้มเอาเขาพระเมรุ ให้เอียงเอนทอดขวางต่างถนน บ้างว่าจะแผลงฤทธิรณ นิมิตรตนเปนตะพานโยธา บ้างจะวิดสมุทไทยให้แห้งหาย ข้ามพลง่ายดายหนักหนา แต่บรรดาวานรเสนา ต่างทูลอาสาทุกหน้าไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๔๔๏ บัดนั้น ชามภูวราชบังคมประนมไหว้ แล้วกราบทูลทานทัดขัดไว้ ขอพระองค์จงได้เงือดงด แม้นจะข้ามตามฤทธิ์พานรินทร์ ก็ได้สิ้นสมเสร็จสำเร็จหมด แต่ว่าอานุภาพเกียรติยศ ไม่ปรากฎโลกาสากล ขอให้ขนศิลามาระดม ทิ้งถมท้องน้ำทำถนน ให้ถึงเกาะลงกากลางชล เปนทางข้ามพหลพลนิกาย ข้าเห็นว่าภูผาศิลานั้น จะอยู่ชั่วกัปกัลป์ไม่รู้หาย เปนถนนหนทางปางนารายน์ ข้ามไปปราบราพร้ายในลงกา

ฯ ๘ คำ ฯ

๔๔๕๏ เมื่อนั้น พระหริรักษ์จักรีนาถา ได้ฟังชามภูวราชทูลมา ต้องตามจินดาพระภูวไนย จึงตรัสสั่งสุครีพฤทธิรอน ให้เกณฑ์พลพานรน้อยใหญ่ เร่งระดมถมท้องสมุทไทย ทำให้เปนถนนจนเมืองมาร

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๔๖๏ บัดนั้น สุครีพฤทธิแรงกำแหงหาญ รับสั่งสมเด็จพระอวตาร ชลีแล้วแคล้วคลานออกมา จึ่งจัดแจงถ้วนทั่วตัวนาย เกณฑ์กระบี่นิกายซ้ายขวา พร้อมพรั่งทั้งสองภารา แล้วออกจากพลับพลาคลาไคล

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๔๔๗๏ ครั้นถึงที่ท่าน้ำตำบล ซึ่งจะข้ามพวกพลทัพใหญ่ สุครีพเสนาจึ่งว่าไป รับสั่งใช้ให้เรามาคุมพล อันการครั้งนี้เปนที่สุด จะถมท้องพระสมุททำถนน ฝ่ายข้างนิลพัทฤทธิรณ จงคุมพลชมภูหมู่กระบินทร์ ให้คำแหงหณุมานชาญสมร เปนนายวานรข้างขีดขิน ผลัดกันอยู่ถมท่าวาริน เปลี่ยนกันไปขนหินศิลามา

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๔๘๏ บัดนั้น นิลพัทหณุมานหาญกล้า สองนายคำนับรับวาจา ต่างคุมโยธาพลากร เที่ยวแรกขีดขินคอยรับ อยู่กับหณุมานนายกองก่อน นิลพัทชวนชมภูพานร ไปเที่ยวขนศิงขรในหิมพานต์

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๔๔๙๏ ครั้นถึงเนินแนวแถวคิรี จึ่งหยุดยั้งโยธีทวยหาญ นิลพัทตริตรึกนึกเดือดดาล คิดแค้นหณุมานแต่เดิมมา วันนี้กูจะดูฤทธิไกร มันจะเปนกะไรไปหนักหนา คิดพลางทางช้อนบรรพตา ใส่บ่าแบกข้างละคิรี แล้วเรียกเร่งโยธาวานร ง้างชง่อนก้อนผาอึงมี่ ได้ครบถ้วนทั่วตัวกระบี่ ก็เหาะกลับไปที่ชลาไลย

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๔๕๐๏ ครั้นถึงจึ่งร้องว่าขาน ดูก่อนหณุมานทหารใหญ่ เราจะโยนคิรีนี้ลงไป เร่งรับฉับไวเถิดนายกอง

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๕๑๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรไวว่อง โลดโผนโจนจับรับรอง ทิ้งส่งลงในท้องธารา

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๕๒๏ แล้วตริตรึกนึกคิดเคืองขัด ไอ้กระบินทร์นิลพัทนี้หนักหนา มันแกล้งอวดกำลังวังชา อหังกาว่าเรืองฤทธิไกร เปนไรมีดีแล้วได้เห็นกัน กูจะแก้มือมันให้จงได้ คิดพลางทางพาวานรไพร ตรงไปภูผาพนาวัน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๔๕๓๏ ครั้นถึงจึ่งแผลงศักดาเดช หิมเวศสเทือนเลื่อนลั่น จู่โจมโถมง้างศิลาพลัน หักสบั้นเกลื่อนกลาดดาษดา แล้วผูกลูกเขาเข้ากับเส้นขน เต็มตัวทั่วตนแน่นหนา พรั่งพร้อมรี้พลขนศิลา ก็เหาะกลับมาท่าวารี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๔๕๔๏ ครั้นถึงจึ่งเรียกนิลพัทไป ท่านผู้เรืองฤทธิไกรไชยศรี เร่งมารับกันให้ทันที เราจะโยนคิรีศิลา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๔๕๕๏ บัดนั้น นิลพัทโจนจับรับภูผา ไม่ทันทิ้งยิ่งโยนประดังมา เกลื่อนกล่นคณนากว่าหมื่นพัน ขุนกระบี่ไขว่คว้าละล้าละลัง แต่กลับหน้ากลับหลังผินผัน จะรับรองสองมือก็ไม่ทัน เอาเท้าช่วยฉวยพัลวันไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๔๕๖๏ บัดนั้น หณุมานดาลเดือดดังเพลิงไหม้ จึ่งชี้หน้านิลพัทด้วยขัดใจ เหวยเหวยเฮ้ยไอ้อหังกา เมื่อทีเองเร่งเรียกโยนคิรี เราก็รับโดยดีด้วยหัดถา ถึงทีกูโยนมั่งดังสัญญา มึงแกล้งเอาบาทาขึ้นรับรอง เองจะอวดฤทธิไกรใครนี้เหวย ไอ้ลิงลูกชเลยจองหอง เฝ้าแต่คอยคิดร้ายหมายปอง มึงจะลองฝีมือกูฤๅไร

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๕๗๏ บัดนั้น นิลพัทหุนหันหมั่นไส้ จึ่งว่าเหวยหณุมานชาญไชย ทนงใจว่าดีมีฤทธิ์ เองแกล้งโยนศิลามาเกินการ ทำแยบคายคิดอ่านพาลเอาผิด ใครจะไม่รู้เท่าอ่อเจ้าคิด จะอวดฤทธิ์ลิงเลวให้มันฦๅ ถ้าแม้นกูทำบ้างเหมือนอย่างนี้ ถึงใครดีก็จะรับจับทันฤๅ กูจึงเอาเท้าฉวยช่วยมือ อย่าพักถือดีเลยเฮ้ยหณุมาน เองก็เปนว่านเครือเชื้อพระพาย ชาติชายเดชาศักดาหาญ กูก็เปนเผ่าพงษ์องค์พระกาล พอต่อต้านกับเองไม่เกรงกัน

ฯ ๘ คำ ฯ

๔๕๘๏ บัดนั้น หณุมานโกรธมุ่นหุนหัน โถมถีบนิลพัทฉับพลัน เสียงสนั่นครั่นครื้นสุธาดล

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๕๙๏ บัดนั้น นิลพัทไม่ระคายปลายขน รับรอต่อต้านทานทน โจนประจญหณุมานรานรบ ถ้อยทีมีฤทธิ์ก้ำกึ่ง โถมถึงต่างปะเตะต่อยตบ เสียงสเทือนเลื่อนลั่นอรรณพ กัดขบรบรับจับประจัญ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๔๖๐๏ บัดนั้น สุครีพวิ่งเข้าขวางกางกั้น ห้ามทั้งสองข้างให้วางกัน จงฟังเราเท่านั้นเถิดนัดดา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๔๖๑๏ เมื่อนั้น พระรามเรืองฤทธิ์ทุกทิศา ได้ยินเสียงครื้นครั่นสนั่นมา พระจินดาประหลาดหลากนัก จึ่งว่าแก่อนุชายาใจ เสียงอะไรอื้ออึงคนึงหนัก ฤๅพวกเราพานพบรบกับยักษ์ น้องรักเร่งไปอย่าได้ช้า

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๖๒๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์เรืองฤทธิ์ขนิษฐา รับสั่งบังคมชลีลา ไปยังท่าวารินสินธู

ฯ ๒ คำ ฯ พราหมณ์เข้า

๔๖๓๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นหณุมาน กับนิลพัทต่อต้านกันอยู่ พระตรัสห้ามแล้วถามสุครีพดู ทั้งสองสู้รบกันด้วยอันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๖๔๏ บัดนั้น สุครีพเสนาอัชฌาไศรย ถวายบังคมคัลทันใด แล้วทูลไปแต่ต้นจนปลาย

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๖๕๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ฟังแถลงแจ้งเงื่อนสาย จึ่งพาวานรทั้งสามนาย ไปเฝ้าพระนารายน์ยังพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๔๖๖๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท แทบบาทพระราเมศเชษฐา แล้วกราบทูลมูลความที่ถามมา ให้ทรงทราบบาทาฝ่าธุลี

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๖๗๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิ์ล้ำพระสุริย์ศรี ได้ฟังเรื่องเคืองข้องสองกระบี่ จึ่งมีสิงหนาทบัญชา ดูดู๋นิลพัทหณุมาน ทำประมาทอาจหาญหนักหนา เหตุใดไปวิวาทวาทา ไม่เกรงกลัวอาญาอย่างนี้ แม้นว่าถ้าศึกไม่ติดพัน กูจะให้ห้ำหั่นบั่นเกษี เสียบประจานไว้ยังฝั่งนที ให้สาสมสองกระบี่ชเลยใจ ว่าพลางทางตรัสปฤกษา แก่สุครีพเสนาผู้ใหญ่ อันกระบินทร์นิลพัทนี้ไซ้ จะเอาไว้ใช้สอยกับหณุมาน เห็นจะไม่ออมอดลดกัน จะดุดันดึงไปด้วยใจหาญ อัปรยศยักษาน่ารำคาญ จะคิดอ่านผ่อนผันฉันใดดี

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๔๖๘๏ บัดนั้น สุครีพประนตบทศรี จึ่งกราบทูลไปพลันทันที อันสองเสนีนี้เกรียงไกร ประมาณเหมือนช้างงาบ้ามัน จะผูกโรงเดียวกันนั้นไม่ได้ แม้นโปรดเกล้าเอาสองกระบี่ไว้ ก็จะเคืองพระไทยไปอัตรา อันเมืองชมภูกับขีดขิน ท้าวชมภูพานรินทร์นั้นรักษา ผู้เดียวปกป้องสองภารา ข้าเห็นจะพว้าพวังใจ ขอให้นิลพัทขุนกระบินทร์ ไปอยู่ยังขีดขินกรุงใหญ่ แต่ตัวหณุมานชาญไชย เอาไว้ใช้ใต้เบื้องพระบาทา

ฯ ๘ คำ ฯ

๔๖๙๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงฟังก็หรรษา จึ่งมีพระราชบัญชา สุครีพว่านี้ชอบเราขอบใจ แล้วตรัสสั่งนิลพัทพานรินทร์ ให้ไปรั้งขีดขินกรุงใหญ่ จงไปอยู่ดูแลระวังระไว อย่าให้มีเหตุเภทพาล ถึงเดือนเร่งหาผลาผล มาส่งพวกพหลทวยหาญ ถ้าขาดไปไม่ทันบัญชาการ ตัวท่านจะม้วยด้วยอาญา

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๗๐๏ บัดนั้น นิลพัทบังคมก้มหน้า อัปรยศอดสูหมู่เสนา ก็ฟูมฟายน้ำตาโศกาไลย ครั้นจะทูลอยู่ทำแก้ตัว ก็เกรงกลัวอาญาไม่ว่าได้ ชลีลาจรดลด้วยจนใจ ก็เดินร่ำร้องไห้ออกมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๗๑๏ จึ่งสั่งพวกพหลพลชมภู ทั่วทุกหมวดหมู่พร้อมหน้า ต่างตนไพร่นายฟายน้ำตา โศการ่ำรักขุนกระบินทร์

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๔๗๒๏ ครั้นระงับดับโศกเศร้าหมอง สั่งเสียพวกพ้องกันเสร็จสิ้น ก็แผลงอิทธิฤทธาพานรินทร์ เหาะไปขีดขินธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๗๓๏ เมื่อนั้น พระสุริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี จึ่งมีบัญชาพาที ดูก่อนกระบี่หณุมาน เราใช้ให้ไประดมถมคงคา จะข้ามพลโยธาทวยหาญ วิวาทกันมี่ฉาวจนร้าวราน ก็เพราะท่านนิลพัทจึ่งพลัดไป สิพอใจจะแบกสองบ่า ก็ได้ดังจินดาอัชฌาไศรย จงเร่งไปถมท้องสมุทไทย แม้นมิได้จะประหารผลาญชีวี

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๗๔๏ บัดนั้น หณุมานประนตบทศรี บังคมลาพาสุครีพเสนี สองกระบี่เร่งรีบไคลคลา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๔๗๕๏ ครั้นถึงที่ทำถนนชลธาร จึ่งจัดแจงทวยหาญซ้ายขวา ให้สุครีพอยู่ยังฝั่งคงคา แล้วพาพลไปป่าพนาดร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๗๖๏ วายุบุตรสำแดงแผลงฤทธี เอาบ่าแบกคิรีศิงขร พร้อมพรั่งทั้งพลพานร เข้าง้างขนคนละก้อนแล้วกลับมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๗๗๏ ครั้นถึงซึ่งฝั่งสมุทไทย ทุกหมู่หมวดตรวจไตรถ้วนหน้า จึ่งให้ทิ้งระดมถมศิลา ลงในท้องคงคาวารี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๔๗๘๏ บัดนั้น ฝ่ายกองคอยเหตุยักษี แฝงกายแลดูหมู่กระบี่ เห็นหามขนคิรีมามี่อึง แล้วชวนกันทิ้งลงคงคาไลย เปนแถวถนนไปจะใกล้ถึง สองอสูรตระหนกตกตลึง กลัวลิงวิ่งตะบึงไปลงกา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๔๗๙๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล ท้าวราพนาสูรยักษา แล้วเล่าความตามมีที่เห็นมา ให้ทราบบาทาพระภูมี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๔๘๐๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ได้ฟังสองอสูรทูลคดี อสุรีนิ่งนึกตรึกตรา ชิชะไพรีนี้สามารถ องอาจจองถนนด้วยภูผา คิดพลางทางสั่งเสนา ไปหานางมัจฉามาฉับไว

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๘๑๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งบังคมไหว้ ชลีลาแล้วแผลงฤทธิไกร ประดาดำลงไปในวารี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๘๒๏ ครั้นถึงจึ่งแถลงแจ้งกิจจา แก่สุพรรณมัจฉาโฉมศรี ว่าองค์พระบิดาธิบดี ให้หานางนารีขึ้นไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๔๘๓๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณมัจฉาศรีใส ได้แจ้งแห่งคำเสนาใน ก็คลาไคลไปเฝ้าพระบิดา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

๔๘๔๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุรศักดิยักษา จึ่งมีพระราชบัญชา ว่าแก่มัจฉายาใจ ซึ่งบิดาหาเจ้าขึ้นมานี้ ด้วยไพรีจ้วงจาบหยาบใหญ่ ยกพหลโยธีกระบี่ไพร ถมท้องสมุทไทยจะข้ามมา เจ้าจงใช้ให้ปลาบริวาร คิดอ่านคาบขนเอาภูผา ไปทิ้งไว้ในอ่าวคงคา อย่าให้ศึกข้ามมาถึงธานี

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๘๕๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณมัจฉามารศรี กราบกับบาทมูลทูลคดี แต่เพียงนี้มิให้เคืองเบื้องบาทา ซึ่งจะทำลายถนนชลธาร ไว้นักงานลูกรักจักอาสา ว่าพลางทางถวายบังคมลา กลับมายังท้องสมุทไทย

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงเร็ว

๔๘๖๏ จึ่งสั่งให้ไปเที่ยวป่าวร้อง พวกพ้องมัจฉาปลาใหญ่ อยู่ที่แห่งหนตำบลใด เร่งให้รีบรัดมาบัดนี้

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๔๘๗๏ ครั้งฝูงปลามาประชุมพร้อมกัน นางสุพรรณมัจฉาเกษมศรี จึ่งพาไปให้คาบขนคิรี มาทุ่มทิ้งเสียที่ทเลฦก

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๘๘๏ เมื่อนั้น สุครีพเห็นผิดคิดตริตรึก เสียงอะไรใต้น้ำคึกคึก แล้วนิ่งนึกพะวงสงกา ครั้นแลดูภูผาศิลาเล่า ก็หายห่างบางเบาไปหนักหนา จึ่งว่าแก่หณุมานนัดดา วันนี้น้าปลาดหลากใจ แถวถนนพ้นภูลหลังสมุท แล้วกลับเคลื่อนเลื่อนทรุดไปเสียไหน ดีร้ายในใต้ท้องสมุทไทย จะเปนเหตุอะไรสักสิ่งอัน เจ้าจงลงไปค้นดู ถ้ากระไรจะได้รู้แม่นมั่น แม้นพบพวกศัตรูหมู่กุมภัณฑ์ จงสังหารผลาญมันให้มรณา

ฯ ๘ คำ ฯ

๔๘๙๏ เมื่อนั้น หณุมานชาญไชยใจกล้า คำนับรับคำทำศักดา ร่ายคาถาประดาน้ำดำลงไป

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๔๙๐๏ พบพวกฝูงปลาน่ากลัว แต่ละตัวโตเท่าภูเขาใหญ่ นับแสนแน่นท้องสมุทไทย คาบศิลาพาไปเปนหมู่กัน ขุนกระบี่พิโรธโกรธหนัก ฉวยชักตรีเพ็ชรระเห็จหัน ถาโถมโจมจับฉับพลัน ไล่พิฆาฏฟาดฟันฝูงปลา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๔๙๑๏ แล้วแลไปในน้ำที่ถ้ำกลาง เห็นโฉมยงองค์นางมัจฉา รูปร่างเปนมนุษย์สุดโสภา มีหางอย่างปลาน่าอัศจรรย์ เอวองค์อรชรอ้อนแอ้น เหมือนแม้นสุรางค์นางสวรรค์ ปลาดกับมัจฉาปลาทั้งนั้น สำคัญคิดเห็นว่าเปนนาย หณุมานนิ่งนึกตรึกไตร จะจับตัวให้ได้ดังใจหมาย ดำริห์ตริแล้วลูกพระพาย แหวกว่ายชลาไลยไล่นาง

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๔๙๒๏ เมื่อนั้น นางมัจฉาหนีไปเสียให้ห่าง ความกลัวตัวสั่นทั้งสรรพางค์ โบกหางวางว่ายร่ายเรียง เห็นง่าเงื้อพระขรรค์จะฟันฟาด ร้องกรีดหวีดหวาดไม่ขาดเสียง ครั้นวานรเลี้ยวไล่เข้าใกล้เคียง สบิ้งสบัดวัดเหวี่ยงวุ่นไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๙๓๏ เมื่อนั้น หณุมานสกัดหน้าคว้าไขว่ ฉวยฉุดหลุดมือก็ขัดใจ รื้อไล่กระชั้นชิดติดตาม

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๔๙๔๏ จับได้นางมัจฉานารี ขุนกระบี่ตั้งกระทู้ขู่ถาม ดูก่อนมัจฉาปลารูปงาม เจ้านี้มีนามกรใด น้อยฤๅนางช่างชวนเอาฝูงปลา มาคาบขนศิลาไปข้างไหน จะธุระประสงค์สิ่งไร อย่าย้อนยอกบอกไปแต่โดยดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๔๙๕๏ เมื่อนั้น นางมัจฉาอกสั่นขวัญหนี จึ่งเสแสร้งแกล้งว่าข้านี้ เคยอยู่ที่ท่าท้องทเลวน เห็นคิรินหินผากีดขวาง จะไปมาท่าทางก็ขัดสน คิดจะใคร่ให้กว้างที่กลางชล จึ่งพาปลามาขนคาบไป อนึ่งเล่าเหล่าพวกพ่อค้า สำเภาเลากาเขาเดินได้ มิใช่จะประสงค์สิ่งใด ท่านจงได้เมตตาปรานี

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๙๖๏ เมื่อนั้น วายุบุตรใคร่ครวญดูถ้วนถี่ เห็นไม่จริงจึ่งว่าแก่นารึ เจ้านี้อำพรางทุกอย่างไป เมื่อภูเขาเราขนมาถมน้ำ หมายจะทำถนนหนทางใหญ่ พระหริวงษ์องค์นารายน์เรืองไชย จะข้ามไปรบพุ่งกรุงลงกา นางนี้ดีร้ายเปนพวกยักษ์ จึ่งพาปลามาลักหินผา ดูรูปร่างท่วงทีกิริยา ก็ผิดกับมัจฉาปลาทั้งนั้น ไม่บอกความตามจริงแล้วฤๅเจ้า อะไรเฝ้าสดุ้งดิ้นผินผัน ทำกริ้วโกรธโกรธาจะฆ่าฟัน ประเดี๋ยวนี้ชีวันจะบรรไลย

ฯ ๘ คำ ฯ

๔๙๗๏ เมื่อนั้น นางมัจฉาอกสั่นหวั่นไหว จึ่งวอนว่าข้าขอชีวิตรไว้ จะบอกให้แจ้งความตามสัจจา ข้าฤๅชื่อมัจฉานารี เปนบุตรีทศภักตร์ยักษา รับสั่งใช้ให้บ่าวฝูงปลา มาลักหินศิลาของท่านไป หวังมิให้ถมน้ำทำถนน ข้ามพลไปเกาะลงกาได้ ข้าผิดพลั้งทั้งนี้เพราะท่านใช้ จงโปรดไว้ชีวาอย่าฆ่าฟัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๔๙๘๏ เมื่อนั้น หณุมานแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ จึ่งคิดว่าถ้าจะผลาญชีวัน ก็เสียคมพระขรรค์ไม่เข้ายา แม้นปลอบให้ไปพาพวกพล คืนขนคิรีมาดีกว่า คิดพลางทางชม้ายชายตา พูดจาโลมเล้าเอาใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

ชาตรี

๔๙๙๏ โฉมเอยโฉมเฉลา ถ้าผิดเจ้าเทวีแล้วที่ไหน นี่ชรอยกุศลดลฤไทย พเอิญให้เมตตาปรานี เมื่อตะกี้พี่ถามเจ้าไม่บอก จึ่งขู่หยอกดอกน้องอย่าหมองศรี เจ้างามสรรพสารพางค์อย่างนี้ จะฆ่าตีเยาวมาลย์ประการใด ซึ่งโทษทัณฑ์ทำผิดพี่คิดโกรธ เจ้างอนง้อขอโทษก็ยกให้ แต่จะขอออกปากฝากอาไลย ด้วยหวังไว้ชีวันกับกัลยา จะปรานีพี่บ้างฤๅไม่เล่า อะไรเฝ้าขวยเขินเมินหน้า ทำฉุดฉวยชายสไบไขว่คว้า แก้วตาอย่าสลัดตัดไมตรี

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๕๐๐๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณมัจฉาโฉมศรี ได้ฟังคำรำพรรณพาที เทวีขวยเขินสเทินใจ ทั้งกลัวทั้งอายชม้ายชม้อย พลางค่อยค่อยพูดจาอัชฌาไศรย อันไมตรีที่จะฝากน้องไว้ เปนจนใจไม่รู้ที่เจรจา เมื่อข้าเปนมัจฉาอยู่สาคร ท่านก็เปนวานรสัญจรป่า ไม่ควรคู่สู่สมภิรมยา จงเมตตาอย่าให้ได้อาย ซึ่งเงือดงดอดโทษไม่โกรธน้อง คุณของขุนกระบี่มีมากหลาย จะขอบใจไปกว่าชีวาวาย ไม่กลับกลายแกล้งว่าจงปรานี

ฯ ๘ คำ ฯ

โอ้โลม

๕๐๑๏ สุดเอยสุดสวาดิ แสนฉลาดเหลือแล้วแก้วพี่ จะต้องขอบใจอยู่ไยมี เชิญช่วยรับไมตรีของพี่ไว้ ถึงมัจฉาวานรเปนคู่ครอง ก็เห็นว่าหาต้องห้ามไม่ จะบิดเบือนเอื้อนอำไปทำไม สุดแท้แต่ใจจะเมตตา ว่าพลางคลึงเคล้าเล้าโลม ร่วมภิรมย์ชมโฉมนางมัจฉา อัศจรรย์บันดาลในคงคา เกิดพยุพัดกล้าสลาตัน คลื่นละลอกกลอกกลิ้งกลางสมุท ปลาวาฬผุดพ่นน้ำดำดั้น สองสมภิรมย์แรกรักกัน เกษมสันต์สำราญบานใจ

ฯ ๘ คำ ฯ โลม

ช้า

๕๐๒๏ เมื่อนั้น นางมัจฉานารีศรีใส ได้ร่วมรักวายุบุตรวุฒิไกร กราบไหว้อภิวันท์จำนรรจา จะขอสืบสนองรองบาท จนสิ้นชาติชีวังสังขาร์ ซึ่งผิดพลั้งทั้งนั้นได้กรุณา ไปเบื้องน่าอย่าให้น้องได้อาย

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๕๐๓๏ เมื่อนั้น หณุมานเล้าโลมนางโฉมฉาย ปลอบพลางทางประคองต้องกาย เจ้าสายสุดสวาดิอย่าอาวรณ์ แม้นรักพี่จงใช้ให้ฝูงปลา ไปคาบขนภูผามาเสียก่อน พี่จะได้พ้นโทษโรธกร พุ่มพวงดวงสมรจงเมตตา

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๐๔๏ เมื่อนั้น นวลนางสุพรรณมัจฉา จึ่งสั่งเหล่าเผ่าพวกฝูงปลา ให้คาบขนศิลามาคืนคง

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๐๕๏ บัดนั้น ฝูงปลาน้อยใหญ่ไม่หลอหลง ต่างคาบภูผามาวางลง เปนทางตรงภูลพ้นชลธี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๕๐๖๏ เมื่อนั้น วายุบุตรปรีดิ์เปรมเกษมศรี พลางตระโบมโลมลูบนารี แล้วมีมธุรศพจนา

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๐๗๏ น้องเอยน้องแก้ว เห็นแล้วว่าเจ้ารักพี่หนักหนา แม้นไม่มีราชกิจติดตัวมา พี่ยาฤๅจะห่างร้างรัก นี่สุดที่จะคิดผันผ่อน พี่อาวรณ์วิตกเพียงอกหัก จะอยู่ชมโฉมเฉลาเยาวลักษณ์ ช้านักก็กลัวราชอาญา จำเปนจำนิราศคลาศแคล้ว พี่จะลาก่อนแล้วนางมัจฉา แม้นสำเร็จเสร็จณรงค์ในลงกา จะกลับมาหาน้องในนที

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๐๘๏ เมื่อนั้น นางมัจฉาเศร้าสร้อยหมองศรี ทอดองค์ลงกับตักขุนกระบี่ แล้วโศกีครวญคร่ำร่ำไร ครั้งนี้มิชั่วก็เหมือนชั่ว กรรมของตัวจะโกรธโทษใครได้ จะมีผัวก็ไม่ทันข้ามวันไป ไปแล้วที่ไหนจะได้มา

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๐๙๏ เมื่อนั้น วายุบุตรสุดแสนเสนหา ปลอบนางพลางเช็ดชลนา เจ้าแก้วตาอย่าทรงโศกี ค่อยอยู่เถิดนวลลอองน้องแก้ว ว่าแล้วโลมลามารศรี จึ่งสำแดงแผลงอิทธิฤทธี ขุนกระบี่ขึ้นจากสมุทไทย

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๕๑๐๏ ครั้นถึงท่าวารีที่ทำการ จึ่งกราบกรานสุครีพผู้ใหญ่ แล้วเล่าเหตุผลแต่ต้นไป โดยได้พบพานฝูงปลา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๕๑๑๏ เมื่อนั้น สุครีพเกษมสันต์หรรษา จึ่งสั่งให้จัดแจงแต่งมรรคา ทุกหมู่หมวดตรวจตราลุ่มดอน ที่สูงนั้นให้เจาะเราะลงเสีย แล้วกลบเกลี่ยเรี่ยรายด้วยทรายอ่อน ก็สำเร็จเสร็จทางบทจร จนนครลงกาธานี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๕๑๒๏ เมื่อนั้น นางสุพรรณมัจฉาโฉมศรี ได้ร่วมรักหณุมานชาญฤทธี เทวีมีครรภ์แต่นั้นมา นางคิดหวาดหวั่นพรั่นใจ ทุกข์ถึงตัวกลัวไภยเปนหนักหนา แม้นความรู้ถึงหูพระบิดา น่าที่ชีวาจะวอดวาย

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๕๑๓๏ จำจะเข้าไปยังฝั่งสมุท สำรอกบุตรให้ครรภ์นั้นแห้งหาย รื้อรำพึงถึงลูกก็เสียดาย คิดพลางนางว่ายแหวกมา

ฯ ๒ คำ ฯ โล้

๕๑๔๏ ครั้นถึงเนินทรายชายสาคร จึ่งยอกรกึ่งเกษเกษา ไหว้ฝูงเทวัญทุกชั้นฟ้า ขอให้ข้าสำรอกออกโดยดี

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๕๑๕๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสไนยเรืองศรี เสด็จออกเทวัญจันทรี บนแท่นที่พิมานไชยไพชยนต์ จึ่งสอดส่องทิพเนตรสังเกตการ ทุกถิ่นฐานสมุทไทยไพรสณฑ์ ก็รู้ว่ามัจฉานฤมล จะสำรอกลูกคนให้พ้นครรภ์

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๕๑๖๏ จึ่งมีเทวบัญชาชวน เทพบุตรกับนวลนางสวรรค์ พรั่งพร้อมล้อมเสด็จจรจรัล ผายผันลงจากฟากฟ้า

ฯ ๒ คำ ฯ โคมเวียน

๕๑๗๏ ครั้นถึงหาดทรายชายฝั่ง จึ่งตรัสสั่งนางอัปศรซ้ายขวา จงช่วยกันอุปถัมภ์นำพา นวลนางมัจฉานารี

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๑๘๏ บัดนั้น ฝูงเทพธิดามารศรี รับคำอำมรินทร์ด้วยยินดี ก็เข้าช่วยเทวีอยู่วุ่นวาย ลางนางบ้างเข้าหนุนหลัง บ้างก็นั่งเคียงข้างนางโฉมฉาย บ้างลงมือถือท้องต้องกาย แปรผันหันย้ายไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๕๑๙๏ เมื่อนั้น นวลนางสุพรรณมัจฉา ครั้นฤกษ์พานาทีถึงเวลา ก็สำรอกออกมาเปนวานร

ฯ ๒ คำ ฯ มโหรี

๕๒๐๏ เมื่อนั้น เทเวศร์สุรางค์นางอัปศร ครั้นเห็นลูกนฤมลพ้นอุทร เปนพานรเผือกผู้โสภา ดูลม้ายคล้ายพ่อทั้งรูปร่าง เหมือนแม่แต่หางเปนมัจฉา จึ่งเอานามตามนางข้างเพศปลา กับบิดาวานรประสมกัน ให้ชื่อมัจฉาณุกุมาร จงห้าวหาญกำแหงแขงขัน เสร็จแล้วฝูงเทพเทวัญ ก็กลับไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้า

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

โอ้

๕๒๑๏ เมื่อนั้น โฉมนางสุพรรณมัจฉา จึ่งอุ้มใส่ตักพิศภักตรา กัลยาสท้อนถอนใจ โอ้พ่อทูลเกล้าเจ้าแม่เอ๋ย จะชมเชยช้านักก็ไม่ได้ จะพาไปกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ ก็เกรงกลัวโพยไภยไอยกา เสียแรงเจ้ากำเนิดเกิดเปนชาย แม่เสียดายลูกรักนี้หนักหนา จะจำพรากจากอกมารดา ชรอยกรรมเวรามาตามทัน เจ้าดูหน้าตาแม่เสียยังแล้ว แม่จะลาลูกแก้วผายผัน ตั้งแต่นี้ตายเปนไม่เห็นกัน ร่ำพลางโศกศัลย์โศกาไลย

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๕๒๒๏ ครั้นค่อยส่างห่างเหือดที่กรรแสง จึ่งรำพรรณบอกแจ้งแถลงไข เจ้าจงจำค่าแม่จะสั่งไว้ สืบไปเบื้องน่าอย่าลืมความ บิดาเจ้าเผ่าพงษ์พานรินทร์ ในแว่นแคว้นแดนดินย่อมเข็ดขาม เปนยอดทหารของพระราม ทรงนามชื่อศรีหณุมาน มีกุณฑลขนแก้วแล้วเหาะหาว เปนเดือนดาวแลดวงสุริย์ฉาน แม้นเจ้าเห็นเช่นแม่แจ้งการ นั้นและแน่แท้ท่านเปนบิดา ร่ำพลางนางยกมือไหว้ ฝากฝูงเทพไททุกทิศา จงช่วยอุปถัมภ์ลูกกำพร้า กัลยาว่าแล้วก็จรลี

ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย

ช้า

๕๒๓๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงพระยาไวยราพยักษี ได้ครอบครองไพร่ฟ้าประชาชี ในธานีบาดาลนานมา วันนั้นพลบค่ำย่ำฆ้อง บรรธมที่แท่นทองเลขา ดึกสงัดปัจฉิมเวลา พอหลับสนิทนิทราก็ฝันไป ว่าเทวัญนั้นขึ้นบนแท่นที่ เอามณีมาวางกลางหัดถ์ให้ พระยามารกำมือถือไว้ ดีใจจนตื่นฟื้นกาย นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องประคองถือ แบมือเปล่าไปก็ใจหาย เกิดมาพึ่งพบปะชะเสียดาย ดีร้ายกูฝันไปมั่นคง

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๕๒๔๏ พอรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยัน กุมภัณฑ์บ้วนพระโอษฐโสรจสรง สอดใส่เครื่องประดับสำหรับองค์ เสด็จตรงออกท้องพระโรงไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๕๒๕๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์รัตน์ จึ่งดำรัสตรัสเรียกโหรผู้ใหญ่ แล้วเล่าความตามฝันทั้งนั้นไป โดยในนิมิตรทุกประการ

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๒๖๏ บัดนั้น ขุนโหรคำนับรับบรรหาร พิเคราะห์ใคร่ในนิมิตรพระยามาร ต้องตามบุราณท่านกล่าวมา จึ่งบังคมทูลพลันทันที พระสุบินดังนี้ดีหนักหนา ว่าจะได้ทหารชาญเดชา ไว้เปนหลักนัคราธานี

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๒๗๏ เมื่อนั้น ไวยราพสิทธิศักดิยักษี ได้ฟังโหรทำนายทายว่าดี อสุรีชื่นชมภิรมยา ด้วยเทวัญบันดาลดลใจ คิดจะใคร่ไปเที่ยวพิพาศป่า จึ่งตรัสสั่งบังคับเสนา จงตรวจตราพลไกรให้พร้อมกัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๒๘๏ บัดนั้น เสนาชำนาญการขยัน ก้มเกล้ารับสั่งบังคมคัล แล้วออกมาเกณฑ์กันดังบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๕๒๙๏ เมื่อนั้น ไวยราพสิทธิศักดิยักษา จึ่งเสด็จลีลาศยาตรา ไปสระสรงคงคาสาคร

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๕๓๐๏ สำอางองค์ทรงเครื่องพระสุคนธ์ ปรุงปนอำพันกลั่นเกสร สอดใส่สนับเพลาเชิงงอน ภูษายกแย่งกินรรำราย ผ้าทิพย์ขลิบทองชายแคลง เกราะเก็จเพ็ชรแดงแสงฉาย เกี้ยวกระหวัดรัดอกกระหนกกราย เฟื่องห้อยสร้อยสายทับทรวง ตาบทิศติดทับสังวาลวรรณ สอดกระสันปั้นเหน่งแน่นหน่วง ทองกรประดับทับทิมรวง ธำมรงค์เรือนควงดวงมณี ทรงมงกุฎเก็จเพ็ชรรัตน์ กรรเจียกจรจำรัสรัศมี ขัดคทาอาวุธอสุรี จรลีออกมาน่าพระลาน

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๕๓๑๏ พรั่งพร้อมเกณฑ์แห่แออัด โบกพระหัดถ์ให้เดินโยธาทาญ ออกจากภาราบาดาล พลมารแห่มาน่ารถ

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๕๓๒๏ รถเอยรถทรง ดุมวงกงแก้วมรกฏ อ่อนแอกแปรกบังบัลลังก์รถ งอนชดชูรหงธงชาย เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละพัน โลทันเตือนต้อนผันผาย เครื่องสูงคู่เคียงเรียงราย ชุมสายสามชั้นกันภิรุม แซ่เสียงสังข์แตรแห่โหม กลองชนะประโคมโครมครุ่ม สเทื้อนท้องธรณีผงคลีคลุ้ม อากาศกลบกลุ้มชอุ่มไป

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

ชมตลาด

๕๓๓๏ เสด็จโดยเนินทรายชายสมุท ขาวสีบริสุทธิแสงใส มีทั้งกรวดแก้วแววไว แลไปปนสลับอยู่กับทราย บ้างเลื่อมเหลืองประหลาดกลาดเกลื่อน ดูเหมือนเพ็ชรฑูรย์ประสานสาย บ้างเปนเช่นทับทิมเพทาย ที่เหล่าลายคล้ายราชาวดี บ้างเขียวเขียวขำน้ำใสสด ดังมรกฏนิลเนียรกันถี บ้างโชติช่วงดังดวงแก้วมณี แสงสีจับแสงสุริยัน ลมจัดพัดพาคงคาคลื่น โครมครื้นสำเนียงเสียงสนั่น ดูพลางทางเลื่อนรถสุวรรณ เลียบคันเนินทรายสบายใจ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๕๓๔๏ จึ่งเหลือบเห็นกุมาราวานร อัศจรรย์สัญจรมาแต่ไหน กะจ้อยร่อยน่ารักเปนพ้นไป เผือกผู้ผ่องใสดังสำลี ประหลาดจริงลิงหางเปนหางปลา แต่หน้าตาตัวเปนกระบี่ศรี ดีร้ายจะสำคัญเหมือนฝันดี คิดพลางทางมีบัญชาไป ดูก่อนกุมารวานร นี่ถิ่นฐานนานดรอยู่หาไหน กระบี่นี้มีนามกรใด เปนลูกเต้าเหล่าใครกุมารา เออทำไมมาอยู่ผู้เดียวดาย ที่กลางเนินหาดทรายชายป่า เรามีจิตรคิดพะวงสงกา จงบอกมาแต่ตามความจริงไป

ฯ ๘ คำ ฯ

๕๓๕๏ เมื่อนั้น มัจฉาณุกุมาราอัชฌาไศรย อภิวันท์อัญชลีด้วยดีใจ บังคมไหว้สนองพระบัญชา อันนามกรมารดรนั้น ชื่อนางสุพรรณมัจฉา ข้าชื่อมัจฉาณุกุมารา จงทรงทราบบาทาพระภูวไนย

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๓๖๏ เมื่อนั้น ไวยราพยิ้มแย้มแจ่มใส จึ่งว่าตัวเจ้ากับเราไซ้ เคยได้เปนบุตรบิดากัน พ่อก็ไร้โอรสสุริวงษ์ จะสืบพงษ์ไปในไอสวรรย์ จะเลี้ยงเจ้าเปนบุตรบุญธรรม์ มาไปด้วยกันเถิดวันนี้ ว่าแล้วลงจากบัลลังก์รัตน์ อุ้มมัจฉาณุกระบี่ศรี ให้ขึ้นนั่งยังท้ายรถมณี แล้วเลิกพลมนตรีไปบาดาล

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๕๓๗๏ ครั้นถึงแดนด่านชั้นใน จึ่งหยุดยั้งสั่งให้โยธาหาญ เร่งขุดสระสร้างสวนอุทยาน ให้กุมารลูกกูอยู่ที่นี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๓๘๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกษี เอาเชือกชักปักปันไปทันที แล้วน่าที่ของใครให้ขุดลง บ้างทำท่อก่ออิฐเสิมสอบ ปักเขื่อนติดกรอบรอบสระสรง บ้างขุดขนต้นไม้กับบุษบง ปลูกลงสรรพสรรพ์ดังบัญชา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๕๓๙๏ เมื่อนั้น ไวยราพเกษมสันต์หรรษา จึ่งสั่งมัจฉาณุกุมารา ให้รักษาแดนด่านชั้นใน แม้นศัตรูจู่จ้วงล่วงด่าน จงสังหารผลาญเสียให้ตักไษย สั่งแล้วแคล้วเคลื่อนรถไชย เข้าในนัคราธานี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๕๔๐๏ เมื่อนั้น ฝ่ายสุครีพหณุมานชาญไชยศรี สองนายจึ่งปฤกษาพาที ว่าการที่มรคาในสาคร เราก็ทำสำเร็จเสร็จสรรพ จำจะกลับคลาไคลไปทูลก่อน ว่าพลางทางพาพวกวานร บทจรมาเฝ้าพระอวตาร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๕๔๑๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ ทูลองค์พระหริรักษ์ศักดาหาญ ว่าที่ทางจองถนนชลธาร แล้วดังโองการพระผ่านฟ้า

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๔๒๏ เมื่อนั้น พระหริรักษ์จักรแก้วแววเวหา ได้ฟังสุครีพทูลมา แสนโสมนัศาเปนพ้นไป จึ่งปฤกษาเสนาวานร ทั้งสองพระนครกรุงใหญ่ เราจะยกโยธาคลาไคล ข้ามไปประชิดติดลงกา จงจัดสรรกระบี่ที่ซื่อตรง ทั้งสามารถอาจองแกล้วกล้า ให้ถือธงนำทัพยาตรา จะเห็นหน้าใครมั่งในครั้งนี้

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๔๓๏ บัดนั้น ไชยามพวานกระบี่ศรี ได้ฟังรับสั่งก็ยินดี อัญชลีสนองพระบัญชา ว่าองค์พระสยมบรมนารถ ทรงประสาทพรไว้ให้ข้า สำหรับถือธงไชยไคลคลา นำเสด็จผ่านฟ้าไปปราบยักษ์

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๔๔๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงฟังแจ้งประจักษ์ ชื่นชมสมถวิลแล้วผินภักตร์ สั่งพิเภกพระยายักษ์ไปทันใด ท่านผู้มีปรีชาจงหาฤกษ์ เราจะเลิกโยธาทัพใหญ่ ข้ามไปตั้งยังเกาะกรุงไกร จะยาตราคลาไคลวันใดดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๔๕๏ บัดนั้น พิเภกรับสั่งใส่เกษี คำนวณดูรู้เพลานาที บังคมคัลอัญชลีแล้วทูลไป พรุ่งนี้เสาร์ห้าอุษาโยค เปนมหาสิทธิโชคฤกษ์ใหญ่ จะมีลาภประเสริฐเลิศไกร ในตำราว่าจะได้ทางอัมพร

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๔๖๏ เมื่อนั้น พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศร ได้ฟังอสุราพยากรณ์ ภูธรศุขเกษมเปรมปรีดิ์ จึ่งตรัสสั่งสุครีพให้ตรวจตรา โยธาวานรสองกรุงศรี เข้ากระบวนถ้วนตามบาญชีมี ทั้งเสนีนายไพร่ให้พร้อมกัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๔๗๏ บัดนั้น สุครีพเชี่ยวชาญการขยัน กมเกล้ารับสั่งบังคมคัล มาเร่งรัดจัดสรรโยธา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๕๔๘๏ ให้คำแหงหณุมานชำนาญยุทธ คุมพลสิบสมุทเปนทัพน่า ชมภูพาลพลสิบสมุทตรา เปนปีกขวาอาจองยงยุทธ เกณฑ์กระบินทร์นิลราชเปนปีกซ้าย คุมกระบี่นิกายสิบสมุท ทัพหลังรั้งท้ายพระทรงครุธ นิลขันฤทธิรุตม์เปนตัวนาย ยุกรบัตรนั้นสัตพลี เคยชำนาญบาญชีได้จดหมาย สุรการสุรเสนเปนเกียกกาย ไพร่นายครบถ้วนกระบวนทัพ ให้ตั้งกองท่องแถวบทจร เปนพยุหมังกรเสร็จสรรพ กองหลวงกองหลังคั่งคับ คอยรับเสด็จยาตรา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ยานี

๕๔๙๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสไนยไตรตรึงษา รู้ว่าพระหริรักษ์จักรา จะยกทัพข้ามมหาสมุทไทย จึ่งสั่งเทพเทวาสารถี พระจักรีจะไปทำสงครามใหญ่ จงเร่งเอารถทรงนี้ลงไป ถวายให้พระรามข้ามคงคา แล้วตัวท่านจงอยู่ด้วยภูมี เปนสารถีสำหรับขับรัถา ต่อการศึกเสร็จสรรพจึ่งกลับมา อย่าช้ารีบไปให้ทันการ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๕๕๐๏ บัดนั้น สารถีรับเทวบรรหาร บังคมลามาขึ้นรถพิมาน แล้วขับอาชาชาญเหาะไป

ฯ ๒ คำ ฯ พระยาเดิน

๕๕๑๏ ครั้นถึงที่น่าพลับพลาพลัน อภิวันท์แล้วทูลแถลงไข ว่าองค์อำรินทร์แจ้งใจ จึ่งใช้ให้รีบเอารถมา ให้พระองค์ทรงข้ามมหาสมุท ไปณรงค์ยงยุทธกับยักษา ให้ข้าอยู่โดยเสด็จพระผ่านฟ้า ไปกว่าจะเสร็จสงครามนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๕๒๏ เมื่อนั้น พระราเมศปรีดิ์เปรมเกษมศรี จึ่งบัญชาปราไสด้วยยินดี เราขอบใจโกสีย์ครั้งนี้นัก เอารถทิพย์มาให้ไปณรงค์ ทั้งองค์พระมาตุลีมีศักดิ ว่าแล้วสมเด็จพระหริรักษ์ ชวนพระลักษณ์ลีลามาสรงชล

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

โทน

๕๕๓๏ ไขสุหร่ายซ่านเซ็นกระเด็นต้อง อาบลอองโปรยปรายดั่งสายฝน เย็นฉ่ำน้ำกุหลาบซาบสกนธ์ ทรงสุคนธ์ปนทองทั้งสององค์ สอดใส่สนับเพลาเพราพราย ภูษาลายเขียนทองก่องก่ง ชายไหวไกวกวัดสบัดทรง ฉลององค์งามงอนอ่อนลมุน ทับทรวงสร้อยสังวาลบานพับ คาดปั้นเหน่งพลอยประดับซับหนุน ธำมรงค์เรืองรองทองนพคุณ ทองกรกุดั่นดุนชมพูนุท พระอนุชาชาญไชยใส่ชฎา พระหริวงษ์ทรงมหามงกุฎ พระลักษณ์จับพระขรรค์เทพอาวุธ พระทรงครุธถือศิลป์สำหรับองค์

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๕๕๔๏ ครั้นเสร็จสรงทรงเครื่องอำไพ พอได้ศุภฤกษ์สูงส่ง ให้ยกโยธาเดินดำเนินธง ยาตราตรงไปถนนชลธี

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๕๕๕๏ รถเอยรถอินทร์ เทียมสินธพเทพทั้งสี่ พระลักษณ์นั่งบัลลังก์ลดรถมณี สารถีขี่ขับยาตรา เครื่องสูงเรียงริ้วเปนทิวท่อง แตรสังข์ฆ้องกลองก้องป่า วานรฮึกโห่เปนโกลา บรรเทิงทำกิริยาเปนท่าทาง บ้างโลดเต้นเผ่นผกหกกลับ กระโดดจับแมลงวันคันสีข้าง บ้างนั่งลงหาเหาเกาแข้งคาง เริงร่ามากลางทางสาคร เสียงรถเสียงพลรนคนอง สเทื้อนท้องสมุทไทยไหวกระฉ่อน ฝูงปลาว่ายแหวกแตกขจร เร่งกระบี่นิกรจรลี

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๕๕๖๏ ครั้นถึงฝั่งฟากเกาะลงกา พระจักราปรีดิ์เปรมเกษมศรี จึ่งสั่งให้พักพลมนตรี อยู่ที่ริมราวอรัญวา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๕๕๗๏ บัดนั้น ฝ่ายกองคอยเหตุยักษา ครั้นเห็นทัพพระรามข้ามมา ก็รีบเข้าลงกาธานี

ฯ ๒ คำ ฯ กราว

๕๕๘๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมทูล ท้าวราพนาสูรยักษี ว่าพระรามข้ามพลโยธี มาถึงที่ฟากฝั่งสาคร ประมาณดูกองทัพนับสมุท เดินไม่สิ้นสุดหยุดหย่อน แต่ล้วนเหล่าโยธาวานร ภูธรจงทราบบทมาลย์

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๕๕๙๏ เมื่อนั้น ทศเศียรอสุราศักดาหาญ ได้ฟังว่าปัจจามิตรคิดรำคาญ พระยามารตรึกไตรไปมา กูจะตัดศึกใหญ่ไว้ยศ ให้ฦๅชาปรากฎไปภายน่า คิคพลางทางมีพระบัญชา สั่งภาณุราชเสนาใน จงไปคิดนิมิตรพนาลี ให้ถูกที่ไชยภูมิ์ทัพใหญ่ ทั้งพฤกษาท่าธารบันดาลไว้ แล้วท่านจงลงไปอยู่ใต้ดิน ถ้าแม้นกองทัพมนุษย์นั้น มายับยั้งตั้งมั่นลงเสร็จสิ้น จงสำแดงแผลงพลิกธรณินทร์ ให้ไพรินมรณาในสาคร

ฯ ๘ คำ ฯ

๕๖๐๏ บัดนั้น ภาณุราชอาจหาญชาญสมร รับสั่งบังคมประนมกร แล้วออกจากนครลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๕๖๑๏ ครั้นถึงที่กลางหว่างบรรพต นอกเขามรกฏภูผา จึ่งร่ายเวทนิมิตรด้วยฤทธา เปนถิ่นฐานธาราพนาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๕๖๒๏ แล้วสำแดงแผลงฤทธิ์อสุรินทร์ ชำแรกแทรกแผ่นดินลงไปได้ สองกรกุมภัณฑ์ดันขึ้นไว้ คอยเขม้นอยู่ในใต้ดิน

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

๕๖๓๏ เมื่อนั้น พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศิลป์ ครั้นข้ามพลโยธาพานรินทร์ ถึงสิ้นพร้อมกันทันใด จึ่งมีพระวาจาบัญชาการ สั่งศรีหณุมานทหารใหญ่ ให้หาที่ตั้งชานพลับพลาไชย ตามในแนวป่าพนาดร

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๖๔๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานชาญสมร รับราชวาทีชลีกร ก็บทจรดูไปในหิมวา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๕๖๕๏ มาประสบพบที่นฤมิตร สำคัญจิตรคิดว่าเปนกลางป่า เห็นภูมิ์ฐานสอ้านสอาดตา ทั้งพฤกษาท่าธารสำราญใจ เดินเที่ยวพินิจพิเคราะห์ดู ชมเล่นเปนครู่แล้วสงไสย ไฉนหนึ่งนกกาคณาใน ไม่จับจิกผลไม้บินไปมา ดีร้ายใต้พื้นปัถพี จะมีหมู่อสุรีอยู่รักษา จึ่งฉวยชักตรีเพ็ชรฤทธา แทงประดาลงไปในธรณี

ฯ ๖ คำ ฯ คุกภาษ

๕๖๖๏ บัดนั้น อสุราภาณุราชยักษี แลเห็นสาตราราวี ก็หลบหนีอาวุธผุดขึ้นมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๕๖๗๏ เมื่อนั้น หณุมานคอยเขม้นเห็นยักษา กระทืบบาทกราดกริ้วโกรธา จู่โจมโถมถาเข้าฟาดฟัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๖๘๏ บัดนั้น ภาณุราชป้องปัดผัดผัน แล่นโลดโดดรับขึ้นจับกัน ถ้อยทีโรมรันไม่ครั่นคราม

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๕๖๙๏ เมื่อนั้น หณุมานว่องไวในสนาม ชิงไชยได้ทีในสงคราม ไล่กระชิดติดตามจะรวบรัด ตีต้องกุมภัณฑ์หันเห ลูกลมสมคเนก้าวสกัด มือขวาคว้าขวางหางตะพัด เกี่ยวกระหวัดมัดฉุดกระชากมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๕๗๐๏ เหยียบอกลงไว้แล้วไต่ถาม มึงมีนามชื่อไรไอ้ยักษา นี่ใครใช้ให้ทำมารยา จงบอกมาอย่าพรางจะวางวาย

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๗๑๏ บัดนั้น ภาณุราชอกสั่นขวัญหาย จึ่งร้องว่าข้านี้ก็ถึงตาย จะบรรยายแต่ตามความจริงไป ข้าชื่อภาณุราชอสุรา ทหารเจ้าลงกากรุงใหญ่ มีรับสั่งดำรัสตรัสใช้ ให้นิมิตรมิ่งไม้ไว้ทั้งนี้ ถ้าพระรามข้ามพลโยธา มาตั้งทัพพลับพลาลงที่นี่ จะพลิกคว่ำแผ่นพื้นปัถพี ให้ไพรีจมลงในคงคา

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๗๒๏ เมื่อนั้น วายุบุตรกริ้วโกรธเปนหนักหนา ฉุดกระชากลากเอาตัวมา ก็ฆ่าภาณุราชเสียทันที

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๕๗๓๏ แล้วเอาตรีเพ็ชรฤทธิรอน ฟันกายฟันกรยักษี ตัดเกล้าเอาเศียรอสุรี ขุนกระบี่หิ้วเดินดำเนินมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๗๔๏ ถึงที่เหล่าเขาแก้วมรกฏ เห็นกว้างขวางหว่างบรรพตภูผา ทั้งถิ่นฐานสอ้านสอาดตา น้ำท่าอาไศรยได้ครบครัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๗๕๏ เดินพินิจพิศดูถ้วนถี่ พอเปนที่หยุดยั้งตั้งมั่น จึ่งปักไม้หมายกรุยเปนสำคัญ แล้วหิ้วเศียรกุมภัณฑ์พามา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๕๗๖๏ ครั้นถึงจึ่งเคารพอภิวาท ถวายเศียรภาณุราชยักษา แล้วทูลความตามพบอสุรา จนเข่นฆ่ากุมภัณฑ์บรรไลย แล้วข้าดูภูผาแห่งหนึ่งนั้น เห็นเหมาะมั่นที่ทางกว้างใหญ่ อุดมทั้งผลหมากรากไม้ ทั้งน้ำท่าอาไศรยพร้อมมูล

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๕๗๗๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์นเรนทร์สูรย์ ฟังกระบี่ชี้แจงกราบทูล ยิ่งเพิ่มภูลยินดีปรีดา จึ่งชำระสระสรงทรงเครื่อง อร่ามเรืองระยับจับเวหา ถือพระแสงศรศรีลีลา ให้ยาตราพหลมนตรี

ฯ ๔ คำ ฯ รุกร้น

๕๗๘๏ ครั้นถึงเขาแก้วมรกฏ พระทรงยศปรีดิ์เปรมเกษมศรี จึ่งตรัสสั่งสุครีพเสนี ให้โยธีตั้งทัพพลับพลาพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๗๙๏ บัดนั้น สุครีพเชี่ยวชาญการขยัน รับสั่งบังคมแล้วจรจรัล ออกมาเกณฑ์กันทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๕๘๐๏ ให้กระบินทร์นิลเอกฤทธิรอน คุมพลพานรเปนนายใหญ่ เที่ยวตระเวนแว่นแคว้นแดนไพร ระวังระไวไพรีจะมีมา กุมมิตันนั้นตั้งเปนกองนอก สามหอกเจ็ดหอกออกเดินป่า ให้สอดแนมนั่งทางข้างลงกา ตระเวนมาสมทบบรรจบกัน แล้วเอาเชือกชักปักน่าที่ ริมคิรีราวป่าพนาสัณฑ์ ให้ก่อทำกำแพงสามชั้น ด้านสกัดจดกันกับบรรพต บ้างไปปลูกตำหนักรักษา ที่ประทับพลับพลาอลงกฎ ทำทั้งที่นั่งเย็นเปนหลั่นลด แล้วหมดครบครันดังบัญชา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๕๘๑๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์องค์นารายน์นาถา ครั้นเย็นย่ำค่ำควรเวลา ก็ขึ้นสู่พลับพลาพนาวัน

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๕๘๒๏ บัดนั้น ฝ่ายอสูรคอยเหตุเข้มขัน เห็นกองทัพยับยั้งอยู่ที่นั้น ก็ผายผันรีบมายังธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๕๘๓๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท แล้วทูลว่าภาณุราชยักษี มีวานรหนึ่งมาราวี ไล่ล้างอสุรีมรณา บัดนี้เดินทัพมายับยั้ง อยู่ยังมรกฏภูผา ตั้งมั่นกองทัพพลับพลา จงทราบบาทาพระยายักษ์

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๘๔๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ ได้แจ้งการร่านร้อนฤไทยนัก จึ่งสั่งเสนายักษ์ไปทันที ให้เร่งรัดจัดแจงโยธา ขึ้นพิทักษ์รักษาทุกน่าที่ ประจำซองป้องกันไพรี ทั้งทิวาราตรีอย่านอนใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๘๕๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งบังคมไหว้ ชลีลามาเกณฑ์พลไกร จัดไว้เสร็จสรรพ์ดังบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา

ช้า

๕๘๖๏ เมื่อนั้น พระทรงภพลบโลกนาถา บรรธมตื่นฟื้นฟังสกุณา แซ่ซ้องก้องป่าพนาดร พระนิ่งนึกตรึกตรองทำนองยุทธ จะสัปรยุทธชิงไชยในสมร แต่ครวญใคร่รำพึงคนึงนอน จนทินกรพวยพุ่งรุ่งเรือง

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๕๘๗๏ เสด็จจากแท่นสุวรรณบรรจง มาเข้าที่โสรจสรงทรงเครื่อง จับพระแสงศรธนูคู่เมือง ย่างเยื้องออกนั่งน่าพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๕๘๘๏ จึ่งมีมธุรศพจนาดถ์ ตรัสประภาศการศึกปฤกษา ดูก่อนข้าเฝ้าเหล่าเสนา แต่บรรดามานั่งพรั่งพร้อมกัน จึ่งเรายกโยธามาครั้งนี้ ก็ได้ที่ตั้งทัพขับขัน ยังแต่จะสังหารผลาญกุมภัณฑ์ จะผ่อนผันคิดอ่านประการใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๘๙๏ บัดนั้น ท้าวพระยาวานรน้อยใหญ่ ต่างทูลว่าข้าขอชิงไชย สังหารให้ปลดปลงทั้งลงกา บ้างว่าอย่าให้ถึงรบรับ จะไปจับทศภักตร์ยักษา ทั้งเผ่าพงษ์วงษ์วานอสุรา มัดมาถวายภูวไนย บ้างว่าข้าขอสำแดงฤทธิ์ นฤมิตรกายาให้โตใหญ่ จะช้อนเกาะลงกาพาไป ทุ่มทิ้งเสียในทเลฦก ต่างคนต่างจะใคร่ได้หน้า ชิงกันขันอาสาออกรบศึก ทั้งลิงเลวเล็กน้อยพลอยพูดฮึก มิได้นึกย่อท้อต่อไพรี

ฯ ๘ คำ ฯ

๕๙๐๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี ฟังบรรดาวานรเสนี ภูมีแย้มยิ้มอิ่มพระไทย จึ่งตรัสว่าถ้าทำเหมือนคำท่าน เข้าหักหาญรณรงค์ก็คงได้ ถึงพวกพลทศภักตร์สักเท่าไร จะบรรไลยไม่ทันพริบตา แต่เราคิดจะใคร่ไว้ยศ ให้ปรากฎฦๅเลื่องไปเบื้องน่า ตรัสพลางทางผินภักตร์มา สั่งพระยาสุครีพเสนี จงแต่งราชสาส์นส่งให้องคต ไปถึงทศภักตร์ยักษี แม้นไม่ส่งองค์สีดานารี จะสุดสิ้นชีวีวายปราณ

ฯ ๘ คำ ฯ

๕๙๑๏ บัดนั้น สุครีพคำนับรับบรรหาร มาสั่งลิงอาลักษณ์พนักงาน แต่งสารแล้วส่งให้องคต

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๕๙๒๏ บัดนั้น ลูกพาลีมีศักดาปรากฎ รับสาราลาองค์พระทรงยศ ออกมาน่าบรรพตแล้วเหาะไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๕๙๓๏ ครั้นถึงลงกาอาณาเขตร จึ่งลงนอกนิเวศน์วังใหญ่ เดินโดยรัถยาคลาไคล เข้าไปยังที่ทวารา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๕๙๔๏ บัดนั้น นายประตูผู้พิทักษ์รักษา บ้างนอนนั่งตีกรับขับเสภา สานตะกร้ากระเช้าเหลาไม้คาน

ฯ ๒ คำ ฯ

๕๙๕๏ พอเห็นกระบี่สีเขียว ตนเดียวเดินมาดูกล้าหาญ ปิดประตูบูรีตะลีตะลาน แล้วช่วยกันลั่นดานดันไว้ บ้างฮึกฮักทักถามว่าวานร ถิ่นฐานนานดรท่านอยู่ไหน จะเข้าไปนิเวศน์ด้วยเหตุใด ชื่อเรียงเสียงไรเร่งบอกความ

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๙๖๏ เมื่อนั้น องคตห้าวหาญชาญสนาม จึ่งว่ากูผู้เปนทูตพระราม มีนามองคตขุนกระบี่ รับสั่งใช้ให้ถือสารมา ถึงเจ้าลงกากรุงศรี จะว่าขานการเมืองแต่โดยดี เปิดประตูบูรีจะเข้าไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๕๙๗๏ บัดนั้น ขุนหมื่นนายประตูผู้ใหญ่ จึ่งห้ามปรามตามทำนองเสนาใน ถึงเปนทูตก็ยังไม่ให้เข้ามา จงรอรั้งยั้งหยุดอยู่นั่นก่อน ตามประเวณีนครยักษา เราจะไปทูลแถลงแจ้งกิจจา ถ้าแม้นโปรดให้หาจะพาไป พลางกำชับพวกพหลพลมาร อย่าให้ลิงหักหาญเข้ามาได้ สั่งแล้วลีลาคลาไคล ตรงไปยังพระโรงรจนา

ฯ ๖ คำ ฯ

๕๙๘๏ ครั้นถึงจึ่งกราบบังคมทูล ท้าวราพนาสูรยักษา บัดนี้มีทูตพระรามมา ชื่อว่าองคตยศไกร จะเข้ามาว่าขานการธานี ทำท่วงทีจ้วงจาบหยาบใหญ่ ข้ากลัวผิดปิดทวารวังไว้ จงทราบใต้บทมาลย์พระผ่านฟ้า

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๕๙๙๏ เมื่อนั้น ทศเศียรทรงฟังไม่กังขา รู้ประจักษ์ตระหนักแน่ในวิญญา ไอ้องคตบุตราพาลี ซึ่งจะมาว่าขานการเมือง ก็ด้วยเรื่องสีดามารศรี แม้นจะให้เข้ามาเวลานี้ น่าที่มันจะทำให้ช้ำใจ ถึงจะห้ามมิให้มาหาเรา มันก็คงขืนเข้ามาจงได้ จำจะเอาดีต่อง้องอนไว้ อย่าให้เคืองขัดอัธยา

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๖๐๐๏ ตริพลางทางสั่งสาวสุรางค์ ไปบอกนางมณโฑเสนหา องคตลูกผัวเก่าของเขามา อยู่ที่ทวาราเวียงไชย ให้แต่งเครื่องโภชนากระยาหาร บรรจงจัดเครื่องอานออกไปให้ ปลอยโยนโอนอ่อนเอาใจ เกลี้ยกล่อมไว้ในนัครา

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๐๑๏ บัดนั้น นางกำนัลนบนิ้วเหนือเกษา กราบกรานคลานคล้อยถอยออกมา ไปปราสาทรัตนานางเทวี

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๖๐๒๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าประนตบทศรี ทูลแถลงแจ้งความตามคดี โดยมีพระราชบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ

๖๐๓๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑเสนหา แจ้งว่าองคตโอรสมา กัลยาตระหนกตกใจ ครั้งนี้ลงกาอาณาเขตร จะเกิดเหตุเสี้ยนหนามสงครามใหญ่ ดำริห์พลางนางสั่งวิเสศใน จงแต่งเครื่องไปให้อย่าได้ช้า

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๐๔๏ บัดนั้น นางวิเสศรับสั่งพรั่งพร้อมหน้า ไปแต่งเครื่องเอมโอชโภชนา แล้วยกมาถวายนางเทวี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๖๐๕๏ เมื่อนั้น นางมณโฑโสภามารศรี จึ่งเลือกสรรบรรดานารี แต่ล้วนลูกผู้ดีมียศ งามจริตรูปร่างเหมือนอย่างหุ่น พึ่งแรกรุ่นสาว ๆ คราวกันหมด ให้เชิญเครื่องโภชนาสุธารศ ไปประทานองคตยศไกร

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๐๖๏ บัดนั้น นางกำนัลรับสั่งบังคมไหว้ เชิญเครื่องครบกันทันใด คลาไคลไปที่ทวารา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๖๐๗๏ ครั้นถึงเปิดประตูบูรี นางสาวศรีออกไปได้พร้อมหน้า เห็นองคตขุนกระบี่มีศักดา ดูท่วงทีกิริยาเหมือนขัดเคือง ให้ขวยเขินขามจิตรคิดพรั่นพรั่น นางกำนัลทรุดนั่งทั้งเครื่อง ทำหลบเลี่ยงเอียงอายชายชำเลือง ยักเยื้องแยบคายให้ตายใจ แล้วว่าของคาวหวานพระมารดา จัดแจงแต่งมาประทานให้ ทั้งลางสาดส้มสูกลูกลำไย ผลไม้ต่าง ๆ ล้วนอย่างดี

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๐๘๏ เมื่อนั้น องคตตอบเหล่าสาวศรี เองกลับไปทูลพระชนนี ว่าของนี้ให้มาเหมือนยาพิศม์ กูเปนข้าฝ่าลอองธุลีบาท นารายน์ราชหริรักษ์จักรกฤษณ์ จะอาสากว่าจะสิ้นชีวิตร พระมารดาอย่าคิดเปนห่วงไย

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๐๙๏ บัดนั้น นางกำนัลกัลยาอัชฌาไศรย จึ่งวอนว่าพาทีพิรี้พิไร ขอพระองค์จงได้โปรดปราน ถึงเข้าปลาว่าไม่เสวยหมด จงชิมรศลิ้มลองแต่ของหวาน พลางประนตน้อมนั่งตั้งเครื่องอาน บ้างอยู่งานโบกปัดพัดวี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๖๑๐๏ เมื่อนั้น องคตคิดเคืองเหล่าสาวศรี จึ่งชี้หน้าว่าเหม่อีเหล่านี้ เฝ้าเซ้าซี้เก้อเก้อเอออะไร น้อยฤๅดัดจริตกระบิดกระบวน อย่ามากวนใจกูดูไม่ได้ ว่าพลางทางแกว่งพระขรรค์ไชย ทำขัดใจจะประหาญผลาญชีวี

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๑๑๏ บัดนั้น นางสาวใช้ตัวสั่นขวัญหนี ฉวยคว้าเครื่องวิ่งทิ้งฝาชี จิตรใจไม่มีอยู่กับกาย เหลียวหลังยังเห็นเงื้อพระขรรค์ พัลวันวิ่งล้มผ้าห่มหาย หมู่มารหมื่นขุนมุลนาย วุ่นวายวิ่งพัลวันไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๖๑๒๏ เมื่อนั้น องคตเคืองขัดอัชฌาไศรย จึ่งว่าเหวยอสุราเสนาใน เจ้ามึงว่ากะไรจะใคร่รู้ เปนไฉนไม่ออกมาบอกเลย ไปนิ่งเฉยเสียหมดไม่อดสู ฤๅสุดสิ้นความคิดปิดประตู ทำให้กูคอยท่าอยู่ช้านาน ว่าพลางทางแผลงสำแดงเดช สเทือนทั่วนัคเรศราชฐาน กระทืบเท้าเผ่นโผนโจนทยาน ถีบปราการด้วยกำลังวังชา

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๖๑๓๏ กำแพงพังทั้งประตูแตกหัก เห็นพวกยักษ์ย่อท้อไม่รอหน้า จึ่งเข้าไปในพระโรงรัตนา เห็นอำมาตย์มาตยาอยู่พร้อมเพรียง แกล้งเดินข้ามข้าเฝ้าเหล่ากุมภัณฑ์ มาตรงแท่นทศกรรฐ์ไม่หลีกเลี่ยง เอาหางขดเข้ามั่งนั่งต่างเตียง ให้สูงเพียงอาศน์องค์เจ้าลงกา

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๑๔๏ แล้วจึ่งร้องพูดจาว่ากล่าว ดูก่อนท้าวสิบภักตร์ยักษา เราเปนทูตถือสารพระรามา มิ่งมงกุฎอยุทธยาธานี เสด็จยกโยธามาพร้อมหมด อยู่เขาแก้วมรกฏคิรีศรี ให้เราถือรับสั่งมาครั้งนี้ ตามประเวณีกระษัตรา แม้นท่านทำความชั่วกลัวตาย ไปถวายบังคมก้มเกษา จะรับแต่โฉมยงองค์สีดา กลับไปอยุทธยาไม่ราวี

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๑๕๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ได้ฟังคั่งแค้นดังอัคคี อสุรีจึ่งดำรัสตรัสไป เหม่ไอ้สวาวานร กูคิดว่าสัญจรมาแต่ไหน มิรู้ว่าองคตยศไกร เหตุใดอหังกาพาที ไม่เกรงกูผู้เปนปิ่นกระษัตริย์ พงษ์จัตุรภักตร์ยักษี ถึงเทพเทวัญจันทรี อัญชลีกูจบภพไตร เองเปนแต่ทูตถือหนังสือสาร ฮึกหาญเกินกูผู้เปนใหญ่ อนึ่งเล่าเข้ามาถึงวังใน เหตุใดไม่ถวายบังคมคัล

ฯ ๘ คำ ฯ

๖๑๖๏ เมื่อนั้น องคตฤทธิแรงแขงขัน หัวร่อร่าว่าเหวยทศกรรฐ์ จะเคารพอภิวันท์ด้วยอันใด เปนกระษัตริย์ขัติยาก็จริงอยู่ แต่จะเปนเจ้ากูก็หาไม่ อย่าทำถือยศศักดิให้หนักไป จะพากันบรรไลยทั้งเมืองมาร จงก้มเกล้าเคารพอภิวาท รับรศพจนาดถ์ราชสาส์น ดึงดื้อถือตัวไม่ต้องการ ว่าพลางทางอ่านอักษรไป

ฯ ๖ คำ ฯ

ช้า

๖๑๗๏ ในสารพระหริวงษ์ทรงสังข์ สถิตย์ยังฝั่งกระเษียรสมุทใหญ่ ฤๅษีเทวาสุราไลย เชิญให้อวตารมาผลาญยักษ์ ทรงพระนามราเมศมิ่งโมฬี ผ่านศรีอยุทธยาอาณาจักร เสด็จออกสร้างพรตทศภักตร์ ไปลักอรรคชายามาธานี พระจึ่งยกพลตามข้ามสมุท มายั้งหยุดเหยียบนครของยักษี แม้นจะลุยลงกาสักนาที ก็จะเปนภัศม์ธุลีแหลกลาญ แต่องค์พระทรงฤทธิ์คิดอนุกูล จึ่งให้ทูตจำทูลราชสาส์น แม้นไม่ส่งองค์สีดาเยาวมาลย์ จะสังหารชีวันให้บรรไลย

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๖๑๘๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์เคืองขัดอัชฌาไศรย ชี้นิ้วกริ้วโกรธตรัสไป มึงเห็นใครลักสีดาพาที เมื่อนางอยู่ผู้เดียวในดงดอน เห็นกูวอนให้พามากรุงศรี ถ้าเจ้าเองงอนง้อขอโดยดี ก็จะมีอนุกูลไม่สูญใจ นี่กลับอวดอ้างฝีมือซื้อรู้ ไปบอกเถิดว่ากูหาให้ไม่ ถึงพาพวกพลลิงมาชิงไชย จะบรรไลยไม่ทันพริบตา อันเจ้ามึงนั้นกูก็รู้หมด หลบลี้หนีพระพรตมาอยู่ป่า ให้ไปรบน้องครองภารา แล้วจึ่งมาต่อสู้กับหมู่มาร

ฯ ๘ คำ ฯ

๖๑๙๏ เมื่อนั้น องคตตอบไปด้วยใจหาญ เหวยท้าวทศกรรฐ์อันธพาล ช่างมุสาว่าขานทุกสิ่งอัน เมื่อครั้งพระหริรักษ์ออกแรมป่า พระพรตติดตามมากรรแสงศัลย์ จึ่งเทวาดาบศประชุมกัน ห้ามสองพระน้องนั้นให้กลับไป แต่พระหริวงษ์องค์พระลักษณ์ จะมาฆ่าโคตรยักษ์ให้ตักไษย อย่าองอาจอวดกล้าชล่าใจ จะพากันบรรไลยทั้งลงกา เหมือนยักษีตรีเศียรทูตขร ก็ต้องศรสิ้นชีวังสังขาร์ ถ้าท่านทำซื้อรู้สู้ศักดา น่าที่ชีวาจะวายปราณ

ฯ ๘ คำ ฯ

๖๒๐๏ เมื่อนั้น ทศเศียรศักดากล้าหาญ ยิ่งคั่งแค้นเคืองใจดังไฟกาล จึ่งว่าไอ้ใจพาลเปนพวกกัน ช่างยกย่องสองมนุษย์ว่านารายน์ ไม่มีอายไอ้โง่โมหันธ์ เขาฆ่าพ่อตัวตายวายชีวัน กลับเห็นเปนธรรม์มาให้ใช้ มึงเปนลูกนางมณโฑโสภา โดยจะว่าก็กูเปนผู้ใหญ่ ยังกลับหลู่ดูถูกทุกอย่างไป อวดอิทธิ์ฤทธิไกรแต่รามา ทำไมกลับสังหารผลาญทูตขร ฤทธิรอนอ่อนแอไม่แก่กล้า เปนยักษ์อยู่บานนอกขอกนา ไม่เหมือนชาวลงกาธานี แต่ล้วนรู้เหาะเหินเดินอากาศ ฤทธิรงค์องอาจดังราชสีห์ ซึ่งเจ้ามึงหมายมาจะราวี เพราะจะถึงที่ตายวายชีวัน

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๖๒๑๏ เมื่อนั้น องคตแสร้งหัวเราะเยาะหยัน แล้วร้องเย้ยเหวยท้าวทศกรรฐ์ อย่าดึงดันอวดดีมีฝีมือ อันทูตขรตรีเศียรกากนา มิใช่น้าพี่น้องของท่านฤๅ เขารู้ทุกบ้านเมืองเลื่องฦๅ ยังพูดดื้อถือตัวไม่กลัวใคร ยังมิหนำซ้ำว่าพระราเมศ ผลาญชีวิตรบิตุเรศตักไษย เนื้อความนี้แจ้งจบภพไตร ว่าพระไทยทรงธรรม์กรุณา แต่หากบิดากูจะสู้ตาย มิให้แผลพานกายเท่าเกษา จึ่งสั่งไว้ให้เรากับพระอาว์ อยู่เปนข้าบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ นี่กลการอะไรที่ไหนเล่า จึ่งเอามาว่าไม่น่าขัน เมื่อครั้งบิดากูยังอยู่นั้น จับได้ไอ้กุมภัณฑ์ตนหนึ่งไป รูปร่างช่างเหมือนพระยายักษ์ สิบเศียรสิบภักตร์เราจำได้ พระบิตุเรศผูกรัดมัดไว้ กูพาไปลากเล่นเหมือนเช่นปู เอาเข้าเย็นเดนนางพระกำนัล ให้กินวันละปั้นจึ่งรอดอยู่ ยังกลับอ้างอวดฝีมือซื้อรู้ ลบหลู่บิดากูว่าไร

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๖๒๒๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์แค้นคั่งฟังไม่ได้ ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดไป เหม่ไอ้ลิงไพรใจพาล ไม่เกรงกูผู้เปนปิ่นกระษัตริย์ สารพัดหยาบช้าว่าขาน ตรัสพลางทางสั่งอำมาตย์มาร จับประหารชีวันให้บรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๒๓๏ บัดนั้น สี่อสูรรับสั่งบังคมไหว้ เข้าพรั่งพร้อมล้อมลิงชิงไชย น่าที่นั่งตั้งใจประจัญบาน ได้ทีถาโถมเข้าโจมจับ กลอกกลับแกล้วกล้าศักดาหาญ เงื้อง่าคทาธรรอนราญ ต่อต้านตีผิดไล่ติดพัน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๖๒๔๏ เมื่อนั้น องคตฤทธิแรงแขงขัน ผู้เดียวเคี่ยวขับจับประจัญ รับรองป้องกันกายา สองเท้าเหยียบสองอสุรินทร์ กรกระบินทร์กุมกระบองสองยักษา เปลี่ยนผลัดปัดป้องไปมา ย้ายท่าทำนองว่องไว

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๖๒๕๏ ลูกพาลีมีกำลังห้าวหาญ ประจัญบานบันบุกรุกไล่ ขึ้นเหยียบยันฟันสี่เสนาใน ล้มดิ้นสิ้นใจบรรไลยลาญ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๖๒๖๏ แล้วตบมือหัวเราะเยาะเย้ย ว่าเหวยเจ้าลงกากล้าหาญ กูจะใคร่ได้เศียรของขุนมาร ไปถวายพระอวตารผ่านฟ้า แต่ครั้งนี้มิได้มีอาญาสิทธิ์ จึ่งจำใจไว้ชีวิตรยักษา ว่าพลางทางแผลงฤทธา เหาะมากองทัพพลับพลาไชย

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๖๒๗๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าประนมบังคับไหว้ ทูลความตามยุบลแต่ต้นไป ดังได้พูดจาราวี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๖๒๘๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี ได้ฟังคำขุนกระบินทร์ก็ยินดี จึ่งมีมธุรศพจมาน อันความคิดฤทธิรงค์องคต ก็ปรากฎแกล้วกล้าปรีชาหาญ เราใช้ไปได้เรื่องราชการ แล้วซ้ำผลาญกุมภัณฑ์บรรไลย ทั้งมิได้เพลี่ยงพล้ำคำโต้ตอบ เปนความชอบนักหนาจะหาไหน ตรัสแล้วลีลาคลาไคล เข้าในแท่นที่ศรีไสยา

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๖๒๙๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา นิ่งนั่งคั่งแค้นแน่นอุรา มันหยาบช้านี่กระไรไอ้องคต สังหารสี่เสนีแล้วมิหนำ ทั้งถ้อยคำสำทับให้อัปรยศ จำจะคิดแก้แค้นแทนทด ฆ่าเสียให้หมดทั้งทัพไชย

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๖๓๐๏ ว่าพลางทางตรัสกับเสนี สงครามครั้งนี้เปนการใหญ่ จำจะทำแยบคายภายใน ให้มีไชยลักษณ์รามด้วยความคิด อันฉัตรแก้วมณีที่คำนับ อยู่สำหรับเมืองยักษ์ศักดิสิทธิ์ ยกขึ้นตั้งบังแสงพระอาทิตย์ ให้มืดมิดเหมือนเวลาราตรี พวกศัตรูดูมาไม่เห็นเรา ดังลับเงาเขาพระเมรุคิรีศรี ข้างพวกเราแลไปเห็นไพรี ด้วยแสงแก้วมณีมีฤทธิไกร แต่ขอบฉัตรชั้นล่างกว้างกว่าโยชน์ คนสักสองสามโกฏิจึ่งยกไหว เร่งระดมสมนอกสมใน หามไปเขานินทกาลา ให้โหรดูฤกษ์งามยามปลอด ยกขึ้นตั้งยังยอดภูผา จงเร่งรีบออกไปอย่าได้ช้า ตรวจตราเกณฑ์กันให้ทันการ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๖๓๑๏ บัดนั้น มโหทรคำนับรับบรรหาร มาสั่งเวรเกณฑ์ไพร่พลมาร สับสนอลหม่านมี่ไป

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๖๓๒๏ ครั้นนายมุลขุนหมื่นมาพร้อมพรั่ง ทั้งไพร่หลวงสมกำลังล่ำใหญ่ จึ่งให้หามฉัตรแก้วแววไว ตรงไปยังนินทกาลา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๖๓๓๏ ครั้นถึงจึ่งขึ้นบนยอดเขา ให้ปักเสาเคียงคู่ที่ภูผา พอฤกษ์ดีตีฆ้องกลองสัญญา อสุรายกฉัตรขึ้นบัดใจ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา รัว

๖๓๔๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์เปนใหญ่ เห็นฉัตรตั้งบังแสงอโนไทย สมหวังดังใจจินดา จึ่งตรัสชวนมณโฑเทวี ทั้งนวลนางอัคคีเสนหา จะพาเจ้าไปที่ฉัตรรัตนา ดูกองทัพพลับพลาพวกไพรี ว่าพลางต่างองค์ทรงเครื่อง รุ่งเรืองจำรัสรัศมี แล้วนำนางย่างเยื้องจรลี ฝูงกำนัลขันทีก็ตามมา

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ กลองโยน

ทองย่อน

๖๓๕๏ ครั้นถึงจึ่งขึ้นบนบรรพต เลี้ยวลดเลียบเดินตามเนินผา สำราญรื่นร่มฉัตรรัตนา อสุราผันแปรแลไป เห็นที่พลับพลาทองกองทัพ คั่งคับนับแสนอสงไขย บอกมณโฑโสภายาใจ เจ้าดูเล่นเปนไรนางเทวี

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๖๓๖๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑมเหษี ผันแปรแลไปเห็นไพรื ตั้งที่ประทับพลับพลาไชย ทั้งพลลิงแลกลาดดาษดื่น ดูดังคลื่นกลิ้งกลางทเลใหญ่ พวกชมภูพาลีมีฤทธิไกร นางตกใจจึ่งทูลภัศดา การณรงค์สงครามครั้งนี้ เห็นไพรีคึกคักหนักหนา จะเปนเสี้ยนศึกใหญ่ในลงกา ผ่านฟ้าอย่าไว้วางพระไทย

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๓๗๏ เมื่อนั้น ทศเศียรยิ้มย่องสนองไข สาวสวรรค์ขวัญตายาใจ เจ้าจะกลัวมันไยกับไพริน พี่รุ่งเรืองฤทธาศักดาเดช ปราบประเทศทิศใดก็ได้สิ้น มนุษย์กับลิงค่างอย่างยุงริ้น จะมาบินเข้าไฟบรรไลยลาญ แล้วพานางเลียบเดินเนินศิงขร ดูโยธาวานรนายทหาร กับทั้งเหล่าสาวสนมนงคราญ ต่างสำราญรื่นเริงบรรเทิงใจ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๖๓๘๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย สถิตย์นั่งยังน่าพลับพลาไชย แลไปมืดสิ้นทั้งดินฟ้า

ฯ ๒ คำ ฯ

ลำหรุ่ม

๖๓๙๏ ไม่ประจักษ์แจ้งความถามพิเภก เหตุใดเมฆหมอกมัวทั่วทิศา ฤๅราหูจู่จับสุริยา ปลาดกว่าแต่ก่อนร่อนชะไร

ฯ ๒ คำ ฯ

ร่าย

๖๔๐๏ บัดนั้น พิเภกกราบก้มบังคมไหว้ จึ่งทูลความตามจริงทุกสิ่งไป มิใช่สุริยุปราคา บัดนี้ทศกรรฐ์มันทำกล ยกฉัตรบังบนพระเวหา อันฉัตรนี้มีเดชเดชา แต่ครั้งพระบิดาข้าให้ไว้ แม้นข้าศึกติดเมืองเคืองขัด ให้ยกฉัตรขึ้นตั้งบังสุริย์ใส จึ่งแต่งเหล่าทหารชาญไชย ออกลุยไล่หักโหมโจมประจญ บัดนี้มืดมิดด้วยฤทธิฉัตร ถ้ามีศึกสารพัดจะขัดสน ไม่ถึงเย็นเห็นยักษ์จักยกพล มาประจญเข่นฆ่าราวี

ฯ ๘ คำ ฯ

๖๔๑๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์เรืองศรี ได้ฟังทูลแถลงแจ้งคดี จึ่งมีมธุรศพจนา ดูก่อนท้าวพระยาพานรินทร์ ทั้งขีดขินชมภูอยู่พร้อมหน้า ใครจะอาสาได้ไปลงกา หักฉัตรอสุราเสียบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๔๒๏ บัดนั้น สุครีพประนตบทศรี จึ่งทูลพระหริรักษ์จักรี ข้านี้จะขออาสาไป ล้างพิธีทศภักตร์หักฉัตร ให้เปนภัศม์ธุลีลงจงได้ ขอพระอวตารชาญไชย จงโปรดให้สมจิตรเจตนา

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๔๓๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา ฟังคำขุนกระบี่มีศักดา ผ่านฟ้าชื่นชมโสมนัศ จึ่งบัญชาว่าขอบใจสุครีพ อย่าช้าการท่านรีบไปหักฉัตร จงแคล้วคลาศสาตราสารพัด ให้อาสัตย์มอดม้วยด้วยฤทธา

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๔๔๏ บัดนั้น สุครีพรับพรอ่อนเกษา ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกมา หมายตรงลงกาแล้วเหาะไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๖๔๕๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นทศกรรฐ์ ยืนอยู่ใต้ชั้นฉัตรใหญ่ กับมณโฑเทวีพี่สใภ้ สาวสรรค์กำนัลในพร้อมพรัก ขุนกระบินทร์ยินดีปรีดา จึ่งเหาะตรงลงมาที่ฉัตรปัก แสร้งตบมือหัวเราะเยาะยักษ์ แล้วว่าเหวยทศภักตร์พาลา มาซุ่มยกฉัตรไชยอยู่ในกรุง ไม่อาจออกรบพุ่งเหมือนปากว่า บัดนี้พระหริวงษ์ทรงศักดา ให้กูมาตัดศีศะอสุรี

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๔๖๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี เห็นสุครีพน้องพระยาพาลี อสุรีคิดพรั่นหวั่นวิญญา แต่มานะกระษัตริย์ตรัสตวาด เหวยไอ้ชาติลิงไพรใจกล้า ซึ่งกูไม่ไปสงครามกับรามา เพราะมิให้ไพร่ฟ้าลำบากใจ จะนิ่งอยู่ดูเล่นตามสบาย เจ้านายมึงจะทำอะไรได้ ซึ่งตัวเองอาสามาชิงไชย จะต้องตัดหัวไว้เสียบประจาน

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๔๗๏ เมื่อนั้น สุครีพฟังคั่งแค้นดังเพลิงผลาญ จึ่งว่าเหวยทศกรรฐ์กุมภัณฑ์พาล ทนงนึกฮึกหาญอหังกา ซึ่งกูรับอาสามาวันนี้ จะตัดเกล้าเกษีของยักษา ว่าพลางแผลงอิทธิฤทธา เข้าหักฉัตรอสุราระยำไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๖๔๘๏ แล้วแกว่งยอดฉัตรเยาะหัวเราะเล่น ทำเปนกริ้วโกรธโลดไล่ ขู่ตะคอกหลอกนางกำนัลใน คว้าไขว่ไล่กระชิดติดพัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๖๔๙๏ บัดนั้น สาวสนมหนีลิงวิ่งตัวสั่น ล้มลุกหลีกหลบกระทบกัน พัลวันแอบองค์เจ้าลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ

๖๕๐๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษา เปนห่วงด้วยสาวสรรค์กัลยา แต่เหลียวหลังเหลียวหน้าราวี แขงใจรบรับจับประจัญ ต่อแย้งแทงฟันกระบี่ศรี แกล้วกล้าถาโถมโจมตี ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๖๕๑๏ เมื่อนั้น สุครีพฤทธิแรงแขงกล้า โจมจับสัปรยุทธยุทธนา ย้ายท่าทำนองว่องไว ได้ทีโถมแทงแพลงพลาด ซ้ำพิฆาฏฟาดฟันกระชั้นไล่ ถีบถูกทศกรรฐ์กำนัลใน ตกไศลล้มกลาดดาษดิน

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๕๒๏ เห็นยักษีเสือกกลิ้งนิ่งนอน กรรเจียกจรมงกุฎก็หลุดสิ้น จึ่งคีบด้วยเท้าขวาพานรินทร์ ขุนกระบินทร์เย้ยเยาะเจ้าลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ กราวรำ

๖๕๓๏ แล้วว่านี่แน่ดูรู้ฤๅไม่ หัวของใครทศภักตร์ยักษา นี่หากไม่ได้อาญาสิทธิ์มา กูจึ่งไว้ชีวาอสุรี จะเอาแต่มงกุฎไปถวาย องค์พระนารายน์เรืองศรี ว่าพลางสำแดงแผลงฤทธี ขุนกระบี่เหาะกลับไปพลับพลา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๖๕๔๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบกราน องค์พระอวตารนาถา ทูลเรื่องรณรงค์ในลงกา จนได้มงกุฎมาจากธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๖๕๕๏ เมื่อนั้น พระราเมศทรงสวัสดิรัศมี จึ่งตรัสชมน้องพระยาพาลี ท่านมีความชอบเราขอบใจ ไปหักฉัตรย่อยยับสัปรยุทธ เอามงกุฎเจ้าลงกามาได้ ประกอบด้วยความคิดฤทธิไกร ควรเปนทหารใหญ่ในพลับพลา ถ้าแม้นการณรงค์สงครามเสร็จ จึ่งจะปูนบำเหน็จให้หนักหนา ตรัสพลางชวนพระอนุชา เข้าพลับพลาสุวรรณทันที

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๖๕๖๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี สถิตย์แท่นไสยาในราตรี อสุรีนิ่งนึกตรึกตรา ครั้งก่อนหณุมานผลาญเผาเมือง ได้แค้นเคืองขายภักตร์หนักหนา ภายหลังยังไอ้องคตมา พิฆาฏฆ่าทั้งสี่เสนีตาย ครั้งนี้สุครีพมันรีบรัด มาหักฉัตรเสียได้ไม่เหมือนหมาย ถึงสามครั้งตั้งแต่จะอับอาย ยิ่งคิดไปไม่สบายวิญญา

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๖๕๗๏ พอรุ่งรางพลางนึกลำฦกได้ ถึงไวยราพยักษา ประกอบทั้งความคิดวิทยา จะหามาสังหารผลาญไพรี ตริแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง รุ่งเรืองรยับสลับสี จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธี ออกมาที่ท้องพระโรงรจนา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๖๕๘๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ อำมาตย์มารเฝ้าแหนแน่นหนา มิได้ตรัสว่าขานการภารา แต่ตรึกตราโกรธลิงจะชิงไชย จึ่งเรียกสองกุมารหลานเอก นนยะวิกวายุเวกเข้ามาใกล้ แล้วว่าเจ้าจงพากันคลาไคล ลงไปภาราบาดาล บอกให้ไวยราพรู้เหตุ ว่าศึกติดนัคเรศราชฐาน ไพร่บ้านพลเมืองเคืองรำคาญ ขอเชิญหลานรักมาช่วยราวี

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๕๙๏ บัดนั้น นนยะวิกวายุเวกยักษี รับสั่งออกมาขึ้นพาชี อสุรีรีบขับไปฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ กราว เชิด

๖๖๐๏ ครั้นถึงนัคราบาดาล ลงจากอาชาชาญผายผัน เข้าไปในท้องพระโรงคัล อภิวันท์มอบเฝ้าเจ้าภารา

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๖๖๑๏ เมื่อนั้น ไวยราพสิทธิศักดิยักษา สถิตย์เหนือแท่นแก้วแววฟ้า พรั่งพร้อมท้าวพระยาเสนาใน ตรัสด้วยการนัคเรศนิเวศน์วัง ที่ปรักหักพังให้ทำใหม่ ทั้งการฟ้องร้องฎีกาว่าไป อย่าให้ราษฎรร้อนรำคาญ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๖๖๒๏ พอเห็นสองอสุรศักดิรู้จักหน้า บุตรพระยาม้ารีศกำแหงหาญ จึ่งปราไสไต่ถามถึงเหตุการณ์ นี่กุมารสองราออกมาไย พระเจ้ากรุงลงกาอาณาจักร พระยายักษ์ยังสำราญฤๅไฉน ฤๅมีเหตุเภทพาลประการใด จงบอกไปให้แจ้งประจักษ์ความ

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๖๓๏ บัดนั้น สองอสูรได้ฟังรับสั่งถาม จึ่งทูลว่าลงกาเกิดสงคราม ด้วยลักษณ์รามพี่น้องสองมนุษย์ ได้ลิงค่างกลางไพรเปนไพร่พล ทั้งพวกพ้องจองถนนข้ามสมุท มาประจญรณรงค์ยงยุทธ ยังยั้งหยุดอยู่ริมภารา อันไพรีมีอำนาจอาจหาญ อหังการเกินศักดิหนักหนา พระยามารจึ่งใช้ให้ข้ามา เชิญเสด็จไปลงกาธานี

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๖๔๏ เมื่อนั้น ไวยราพสิทธิศักดิยักษี ฟังสองอสูรทูลคดี อสุรีโกรธใจดังไฟกาล ชิชะมนุษย์กับลิงป่า อ้างอวดศักดาว่ากล้าหาญ ไม่เกรงเจ้าลงกาพระยามาร กูจะผลาญชีวันให้บรรไลย จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา เร่งตระเตรียมโยธาทัพใหญ่ กูจะยกพหลพลไกร ไปชิงไชยช่วยณรงค์ในลงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๖๕๏ บัดนั้น จิตรโกฏิเสนีมียศถา รับสั่งองค์อสุรีชลีลา มาจัดแจงโยธาบาดาล

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา

ยานี

๖๖๖๏ เกณฑ์ไพร่พลรบครบจำนวน เลือกล้วนฤทธิแรงกำแหงหาญ กองน่าอสูรหมู่มาร กุมคทาทยานยืนยัน ปีกซ้ายปีกขวาโยธาทัพ ถือดาบดั้งคั่งคับแขงขัน กองหลวงเหล่าพหลพลกุมภัณฑ์ ถือเกาทัณฑ์ธนูดูเปนทิว พวกกองหลังแบกปืนดื่นดาษ เขนงคาดใส่กระสุนดินประสิว บ้างถือทวนธงชายปลายปลิว แน่นนั่งตั้งตาริ้วรายไป สารวัดเที่ยวตรวจทุกหมวดหมาย พรั่งพร้อมพลนิกายนายไพร่ แล้วเทียมราชรถแก้วแววไว มาเทียบไว้คอยท่าเจ้าธานี

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๖๖๗๏ เมื่อนั้น ไวยราพฤทธิไกรไชยศรี ครั้นพรั่งพร้อมไพร่พลมนตรี มาโสรจสรงชลธีวารีรด

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๖๖๘๏ ทรงสุคนธารประทิ่นกลิ่นฟุ้ง ปนปรุงน้ำดอกไม้ใสสด สนับเพลาเชิงงอนอ่อนชด ภูษาลายก้านขดเขียนสุวรรณ ห้อยน่าผ้าทิพย์ทองแล่ง ชายแครงเครือกระหนกผกผัน ฉลององค์เลื่อมลายพรายพรรณ สวมเกราะแก้วกันสาตราวุธ ปั้นเหน่งเพ็ชรโพโรจโชติช่วง ทับทรวงสอดซับประดับบุษย์ ทองกรเก้าคู่ชมพูนุท แล้วสวมทรงมงกุฎกรรเจียกเพ็ชร สอดใส่ธำมรงค์ประจงจัด ล้วนค่าเมืองเรืองจำรัสตรัจเตร็จ จับกล้องแก้วกุดั่นกัลเม็ด ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๖๖๙๏ พรั่งพร้อมทุกหมู่จัตุรงค์ ทวนธงม้ารถคชสาร ขยายยกโยธาจากบาดาล พลมารแห่แหนแน่นนัน

ฯ ๒ คำ ฯ กราว

โทน

๖๗๐๏ รถเอยรถทรง เสียงกงก้องกึกพิฦกลั่น เทียมไกรสรสีห์สี่พัน โลทันขับคว้างมากลางทัพ เครื่องสูงสองแถวแพรวพราย อภิรุมชุมสายแทรกสลับ ทวนทองธงทิวปลิวรยับ แตรสังข์คั่งคับฆ้องกลอง ม้าแซงแข่งขับเผ่นโผน กระทืบโกลนแผงพะนังดังก้อง เสียงรถเสียงคชสารร้อง เสียงฆ้องกระแตตีแซ่ไป เสียงโห่โยธาห้าแสน พิภพแผ่นดินดาลสท้านไหว เร่งทัพขับพลสกลไกร ขึ้นไปลงกาธานี

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๖๗๑๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดจัตุรงค์ เสด็จลงจากรถมณีศรี ยุรยาตรนาดกรจรลี เข้ามาที่ท้องพระโรงรจนา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๖๗๒๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา แลเห็นไวยราพนัดดา เสด็จมาต้อนรับฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๖๗๓๏ จูงกรขึ้นนั่งบัลลังก์รัตน์ ประคองหัดถ์โลมลูบหลานขวัญ แล้วปราไสไต่ถามถึงพงษ์พันธุ์ ยังอยู่พร้อมมูลกันฤๅฉันใด ทั้งโฉมยงองค์ชนนีหลาน ค่อยเปนศุขสำราญฤๅไฉน ลำฦกถึงนัดดาว่าจะไป ก็จนใจปัจจามิตรมาติดเมือง

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๗๔๏ เมื่อนั้น ไวยราพทูลความไปตามเรื่อง พระมารดาข้าบาทไม่ขัดเคือง ทั้งบ้านเมืองมีศุขทุกเวลา ได้ทราบว่าข้าศึกมารบพุ่ง พระเจ้าลุงตรัสใช้ให้ไปหา จึ่งรีบรัดจัดทัพแล้วยกมา จะอาสารณรงค์ยงยุทธ

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๗๕๏ เมื่อนั้น ทศเศียรยินดีเปนที่สุด จึ่งบอกว่าบัดนี้มีมนุษย์ ชาวอยุทธยาธานี ได้พวกพลสวาพานรินทร์ ทั้งชมภูขีดขินกระบี่ศรี จองถนนข้ามมาจะราวี อยู่คิรีมรกฏรจนา ลุงจึ่งให้เชิญเจ้ามาด้วย จะได้ช่วยตัดศึกปฤกษา สกดทัพจับองค์พระรามา ไปสังหารชีวาเสียบาดาล ภายหลังเหล่ากระบี่รี้พล ต่างตนจะแยกแตกฉาน ไม่พักออกหักโหมโรมราญ ฤๅหลานจะเห็นเปนอย่างไร

ฯ ๘ คำ ฯ

๖๗๖๏ เมื่อนั้น ไวยราพกราบก้มบังคมไหว้ แล้วว่าอย่าปรารมร้อนฤไทย จะให้ได้ดังจิตรบิตุลา แต่หลานรักจักกลับไปบาดาล ทำการประกอบโอสถา แม้นสำเร็จเสร็จสรรพสัพยา จะกลับมาคิดการราญรอน ลอบสกดหมดสิ้นทั้งกองทัพ ให้ล้มหลับกลาดเกลื่อนเหมือนไม้ขอน ลักมนุษย์นายใหญ่ไปนคร จะได้ต้มต่างสุกรแกล้มสุรา

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๗๗๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสรวลสันต์หรรษา จึ่งว่าหลานนานไปนานมา อยู่พูดจากันสักหน่อยจึ่งค่อยไป อันสงครามรามลักษณ์ที่เจ้ารับ เหมือนเสร็จสรรพหมายชนะกะได้ ว่าพลางทางสั่งเสนาใน ไปบอกให้วิเสศทำสำรับ กูจะเสวยกับพระหลาน ทั้งเมไรยไชยบานให้เสร็จสรรพ แล้วเลี้ยงเหล่าอสุราโยธาทัพ ตามอันดับน้อยใหญ่ไพร่ผู้ดี

ฯ ๖ คำ ฯ

๖๗๘๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งใส่เกษี ออกจากพระโรงคัลทันที มาหมายบอกตามมีบัญชาการ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๖๗๙๏ บัดนั้น พวกวิเสศสับสนอลหม่าน ช่วยกันจัดแจงแต่งเครื่องอาน พแนงห่านหมูหันขยันดี เป็ดต้มทั้งตัวคั่วกะต่าย พล่าควายแกงกวางช้างฉู่ฉี่ แล้วเลือกเหล้ากลั่นเข้มเต็มที ใส่ขวดแก้วมณีตีตรา

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๘๐๏ บัดนั้น สาวสรรค์พนักงานซ้ายขวา ต่างแต่งประกวดอวดกายา แล้วเชิญเครื่องเนื่องมาพระโรงไชย

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๖๘๑๏ ครั้นถึงจึ่งค่อยคุกคลาน ก้มกรานกิริยาอัชฌาไศรย ตั้งเครื่องถวายรายเรียงไป แล้วนางในนบนอบหมอบกราน ลางนางบ้างเข้ารินสุรา ถวายเจ้าลงกาศักดาหาญ แล้วรินให้ไวยราพขุนมาร บ้างอยู่งานโบกปัดพัดวี

ฯ ๔ คำ ฯ

๖๘๒๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรเรืองศรี ชวนนัดดาดื่มซ้ำทำที เสวยช้างฉู่ฉี่ชอบพระไทย ต่างถือตะเกียบทองจ้องจับ แกล้มกับแกงเผ็ดเป็ดไก่ เสวยพลางทางพูดถึงชิงไชย ฮึกฮักยักไหล่ไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เส้นเหล้า

๖๘๓๏ บัดนั้น สาวสุรางค์นางบำเรอซ้ายขวา ครั้นเสวยเอมโอชโภชนา ก็คลานมานอบนบอภิวันท์

ฯ ๒ คำ ฯ

พระทอง

๖๘๔๏ จึ่งจับระบำรำถวาย เยื้องกรายใส่จริตบิดผัน เคล้าคลอรอเรียงเคียงกัน เชิงชั้นชายตาทำท่าทาง ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง เวียนรวันหันวงอยู่ตรงกลาง กำนัลนางนารีปรีดา

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

ร่าย

๖๘๕๏ เมื่อนั้น ไวยราพสิทธิศักดิยักษา เสวยพลางทางทอดทัศนา ดูบรรดาสาวสุรางค์นางบำเรอ ทั้งเอวองค์อ้อนแอ้นแขนอ่อน รำฟ้อนเต็มดีไม่มีเสมอ ดูพลางทางตรัสพูดเพ้อ สำรวลเร่อร่าเริงบรรเทิงใจ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๖๘๖๏ บัดนั้น วิเสศนอกแต่งสำรับไม่นับได้ บ้างใส่คานสาแหรกแบกหามไป เลี้ยงพหลพลไกรทั้งไพร่นาย พวกเจ๊กเจ้ากระทรวงตวงสุรา หามมาท้องสนามตามหมาย กรมวังตั้งตุ่มสุราราย คอยแจกจ่ายโยธาบาดาล

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๖๘๗๏ บัดนั้น พวกกองทัพสับสนอลหม่าน ชุมนุมนั่งตั้งกระพอกจอกจาน รับประทานเหล้าเข้มเต็มตึง บ้างเห็นช้างเท่าหมูกูแล้วฤๅ การฝีมือมวยดีไม่มีถึง บ้างอวดกล้าว่ากูจะสู้มึง ลุกทลึ่งล้มปะทะปะกัน ลางพวกรำเต้นเปนนักเลง ร้องเพลงไก่ป่าฮาสนั่น บ้างชักท่าชาตรีตีประชัน เพื่อนกันตีกรับรับรักแร้ บ้างเดินเที่ยวเกี้ยววิเสศเรดย่า พูดจากลอกฅออ้อแอ้ เข้าฉวยคว้าผ้าห่มขอชมแพร เขาด่าทอกอแกเกะกะไป

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๖๘๘๏ เมื่อนั้น ไวยราพนัดดาอัชฌาไศรย เสร็จเสวยไชยบานสำราญใจ จึ่งกราบทูลท้าวไททศกรรฐ์ หลานรักจักลาไปทำการ คิดสังหารรามาให้อาสัญ ว่าพลางทางถวายบังคมคัล จรจรัลจากพระโรงรจนา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๖๘๙๏ ครั้นถึงที่ประทับจัตุรงค์ เสด็จทรงรถแก้วแววเวหา ขับพลชำแรกแทรกสุธา เร่งทัพกลับมายังธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๖๙๐๏ ครั้นถึงท้ายภาราบาดาล ที่เขาแก้วสุรการคิรีศรี จึ่งยับยั้งสั่งพัทราวี จงปลูกโรงพิธีที่ร่มไทร เอาหัวผีมาวางต่างก้อนเส้า ตั้งเตาโลหะกะทะใหญ่ หาเห็ดเมาเพลาโตงกโขลกไว้ เราจะได้ปนปรุงหุงยา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๖๙๑๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกษา จึ่งเกณฑ์ไพร่ให้ตัดไม้มา ปลูกมหาโรงราชพิธี บ้างเที่ยวเก็บโหรายาเมา บ้างได้เพลาโตงกกะโหลกผี ทำก้อนเส้าเตาไฟไว้ดิบดี ดังมีพระราชบัญชา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๖๙๒๏ เมื่อนั้น ไวยราพฤทธิไกรใจกล้า ครั้นแล้วโรงพิธีก็ปรีดา เสด็จมาโสรจสรงคงคาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๖๙๓๏ ชำระสระสนานน้ำกลั่น ขัดสีฉวีวรรณผ่องใส ทรงสุคนธ์ปนปรุงจรุงใจ ลูบไล้ภักตราพระยามาร จีบประจงทรงผ้าพื้นดำ บงเฉียงสไบคร่ำน้ำว่าน สอดสายธุรำรัตน์ชัชวาลย์ ชฎาธารห่อเกล้าเมาฬี ถือประคำสำหรับร่ายเวท เอาเพศเปนพรหมฤๅษี ครั้นเสร็จสรรพจับกล้องแก้วมณี เข้าสู่โรงพิธีทันใด

ฯ ๖ คำ ฯ พราหมณ์เข้า

ชมตลาด

๖๙๔๏ จึ่งหยิบสรรพยามารคน ปรุงปนลงกลางกะทะใหญ่ ย่างขึ้นบนบัลลังก์ที่ตั้งไว้ ให้โหมไฟเรืองโรจโชตนา ยกพระหัดถ์มัสการเหนือเกษ สำรวมกายร่ายพระเวทคาถา ครั้นถ้วนร้อยแปดจบครบตำรา ก็เป่าลงตรงยาทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ เชิญ

ร่าย

๖๙๕๏ บังเกิดเปนรูปทรงอนงค์นาง ขึ้นกลางโลหะกะทะใหญ่ ไม่ต้องตามตำหรับบังคับไว้ ขัดใจฟาดฟันเสียทันที

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

๖๙๖๏ แล้วรื้อนั่งระงับหลับเนตร โอมอ่านพระเวทของยักษี ให้เปลวเพลิงโพลงกล้าอาหุดี ก็เป่าลงตรงที่กะทะยา

ฯ ๒ คำ ฯ ตระสันนิบาต

๖๙๗๏ เปนสองเสือสู้ฟัดกัดกัน ยืนยันอยู่ตรงภักตร์ยักษา ขัดใจไม่ต้องตามตำรา พิฆาฏฆ่าเสือร้ายวายชนม์

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

๖๙๘๏ แล้วกลับหยุดยั้งตั้งสติ ตามลัทธิครูสั่งไว้สามหน ประนมหัดถ์มัสการอ่านมนต์ นิ่งบ่นบริกรรมซ้ำเป่าลง

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ ประทมไพร

๖๙๙๏ เดชะพระเวทอสุรี บังเกิดเปนราชสีห์สมประสงค์ ทั้งสองสัตวสามารถอาจอง ทยานยงยุทธรบขบกัน ไวยราพตบหัดถ์ฉัดฉาน แสนสำราญสำรวลสรวลสันต์ จึ่งจับสองสิงหราชฟาดฟัน กุมภัณฑ์ผ่าล้วงเอาดวงใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๐๐๏ แล้วประกอบกับสรรพยา วางลงตรงน่าศิลาใหญ่ อ่านอาคมพรหมมานประทานไว้ เศกโอสถบดไปมิได้ช้า

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๗๐๑๏ ครั้นทำสำเร็จเสร็จสรรพ ตามตำหรับรู้หลักของยักษา กำเริบจิตรคิดคนองลองยา ขยี้ทาเนื้อตัวทั่วไป เดชะพระเวทวิเศษขลัง ก็กำบังรูปกายหายได้ แกล้งนั่งดูหมู่พหลพลไกร ใครจะว่าอย่างไรทั้งไพร่นาย

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๐๒๏ บัดนั้น อสุรศักดิยักษ์มารทั้งหลาย ที่ล้อมวงระวังนั่งราย ไม่เห็นนายตกใจกะไรเลย เที่ยวถามกันสับสนอลหม่าน พระยามารหนีไปข้างไหนเหวย จะเล่นข้าท่าไรยังไม่เคย ต่างก้มเงยแหงนชแง้แลไป

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๗๐๓๏ เมื่อนั้น ไวยราพยินดีจะมีไหน ทรงพระแสงกล้องแก้วแววไว เที่ยวไล่เคาะพหลพลกุมภัณฑ์ พลางร้องมาว่ากูอยู่นี่ ไม่พอที่เที่ยวหาจ้าละหวั่น แล้วสรงน้ำสำหรับพิธีกรรม์ ให้กุมภัณฑ์เห็นกายหายสงกา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๗๐๔๏ แล้วจึ่งดำรัสตรัสสั่ง กูเจ็บหลังนั่งนานนักหนา จะเลิกทัพกลับคืนเข้าภารา นิทราผ่อนพักเสียสักวัน พรุ่งนี้ค่ำจึ่งจะได้ไปสงคราม จับพระรามมาฆ่าให้อาสัญ ว่าพลางทางขึ้นรถพลัน ขับพหลพลขันธ์เข้าเวียงไชย

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๐๕๏ ครั้นถึงเกยลาน่าปราสาท ลงจากราชรถทองผ่องใส พอสิ้นแสงสุริโยอโนไทย ก็ตรงไปเข้าที่ศรีไสยา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

พัดชา

๗๐๖๏ เอนองค์ลงเหนือแท่นบรรธม พร้อมสนมกรมในซ้ายขวา สำราญรื่นชื่นจิตรนิทรา อสุราก็ระงับหลับไป

ฯ ๒ คำ ฯ กล่อม

ร่าย

๗๐๗๏ ครั้นเวลาล่วงสามยามเศษ บังเกิดเหตุอัศจรรย์ฝันใฝ่ ผวาตื่นฟื้นตระหนกตกใจ แต่นิ่งนึกตรึกไตรไปมา พอรุ่งรางส่างแสงสุริยง จึ่งชำระสระสรงทรงภูษา ประดับเครื่องเรืององค์อลงการ์ เสด็จมาพระโรงคัลทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

สารถี

๗๐๘๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ จึ่งเรียกโหราจารย์เข้ามาใกล้ แล้วบอกว่าราตรีนี้ไซ้ เราฝันว่าแลไปในท้องฟ้า เห็นดาวดวงหนึ่งน้อยลอยเลื่อน ขึ้นอยู่ตรงวงเดือนบนเวหา แล้วเปล่งแสงแจ้งแจ่มกระจ่างตา พระจันทรานั้นลับดับดวงไป เท่านั้นก็ฟื้นตื่นสดุ้ง พอย่ำรุ่งรู้สึกนึกสงไสย จะร้ายดีมีเหตุประการใด อย่าเกรงใจแจ้งความตามตำรา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๗๐๙๏ บัดนั้น ขุนโหรรับสั่งใส่เกษา ลงเลขไล่ขับนับนาฬิกา แล้วเทียบกับชตาธานี พิเคราะห์ดูรู้ว่านิมิตรร้าย จึ่งทูลทายพระยายักษี ซึ่งเดือนดับลับเมฆเมฆี พระภูมีจะสวรรคาไลย อันดาวดวงช่วงโชติชัชวาลย์ พระวงษ์ยักษ์จักได้ผ่านกรุงใหญ่ ข้าทูลความตามตำราว่าไว้ จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๑๐๏ เมื่อนั้น ไวยราพร้อนใจดังไฟจี้ จึ่งว่าวงษ์พงษาบรรดามี อยู่ที่นี่พร้อมพรั่งทั้งนั้น พระโหราเร่งดูว่าผู้ใด จะได้ผ่านกรุงไกรไอสวรรย์ ถ้าสงไสยไล่เลียงเอาคืนวัน ดูกันเสียให้สิ้นกินใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๑๑๏ บัดนั้น โหรารับสั่งบังคมไหว้ จึ่งถามปีเดือนวันเปนหลั่นไป เอาขับไล่ฤกษ์ยามตามตำรา

ฯ ๒ คำ ฯ

๗๑๒๏ ก็รู้ว่าไวยวิกขุนมาร จะได้ผ่านบ้านเมืองไปเบื้องน่า เห็นพร้อมกันมั่นคงไม่สงกา จึ่งกราบทูลพระยาอสุรี อันไวยวิกวงษ์ของทรงเดช พระราหูอยู่เมษราษี ทั้งได้ราชาโชคโยคเกณฑ์ดี ถึงที่บำรุงกรุงบาดาล

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๑๓๏ เมื่อนั้น ไวยราพฤทธิไกรใจหาญ ได้ฟังโหรเห็นจริงยิ่งรำคาญ จึ่งแกล้งพาลพาโลโกรธา เหม่ไอ้ไวยวิกทรลักษณ์ เสียแรงกูพิทักษ์รักษา ยังคิดร้ายหมายชิงเอาภารา ไม่เจียมตัวชั่วช้าสารพัน ตรัสพลางทางสั่งเสนาใน อันโทษไอ้ไวยวิกถึงอาสัญ ทั้งอีพิรากวนแม่มัน เอาแยกกันตรากตรำจำไว้ ต่อกูได้พระรามลงมา จึ่งจะฆ่าเสียด้วยให้ม้วยไหม้ สั่งแล้วลีลาคลาไคล เข้าในแท่นสุวรรณบัลลังก์

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๗๑๔๏ บัดนั้น อสุรีตรีพัทผู้รับสั่ง จึ่งออกมาที่ทิมริมวัง แล้วทำดังบัญชาพระยามาร

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๗๑๕๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกทุกสถาน เสด็จออกพลับพลาว่าราชการ เหล่าทหารนอบน้อมอยู่พร้อมพรัก

ฯ ๒ คำ ฯ

แขกมอญ

๗๑๖๏ เมื่อเวลาราตรีจะมีเหตุ จึ่งอาเภทลางใหญ่ให้ประจักษ์ ลมกระพือพาผงมาตรงภักตร์ เวียนเปนทักขิณวัฏพัดขึ้นไป

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

ร่าย

๗๑๗๏ เห็นประหลาดหลากอยู่ไม่รู้ความ จึ่งตรัสถามโหราอัชฌาไศรย อันลมลางอย่างนี้จะมีไภย ฤๅจะให้ศรีสวัสดิวัฒนา

ฯ ๒ คำ ฯ

๗๑๘๏ บัดนั้น พิเภกรับสั่งใส่เกษา พิเคราะห์ดูรู้ความตามตำรา จึ่งทูลว่าวันนี้จะมีไภย ไวยราพเรืองฤทธิ์มันคิดอ่าน จะทำการสกดทัพให้หลับใหล แล้วจะลอบลักพระองค์ลงไป ถึงในนัคราบาดาล แต่ไม่ถึงย่อยยับอับจน คงจะพ้นพระเคราะห์เพราะทหาร จะปรากฎยศถากฤษฎาการ ด้วยได้ผลาญกุมภัณฑ์บรรไลย แต่ราตรีนี้เคราะห์ยังกวดขัน จงป้องกันพระองค์ให้จงได้ ต่อล่วงสามยามเศษแล้วเมื่อใด จะพ้นไภยผาศุกทุกเวลา

ฯ ๘ คำ ฯ

๗๑๙๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา ได้ฟังทูลแถลงแจ้งกิจจา จึ่งตรัสสั่งพระยาสุครีพพลัน เร่งตรวจตราว่ากล่าวบ่าวไพร่ ให้นั่งยามตามไฟให้กวดขัน กองตระเวนเกณฑ์เดินประจบกัน รอบสุวรรณพลับพลาพนาลี

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๒๐๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษี บังคมสมเด็จพระจักรี มาตรวจตราน่าที่ทุกแห่งไป สั่งกำชับกำชาพลากร อย่าเห็นแก่หลับนอนทั้งนายไพร่ ผลัดกันนั่งยามตามไฟ ทั้งชั้นนอกชั้นในจงตรวจตรา แล้วมานั่งเก้าอี้ที่ประตู คอยดูมิให้ใครแปลกหน้า แต่คำแหงหณุมานชาญศักดา อยู่ที่ทวาราพลับพลาไชย พวกกระบี่มีมงกุฎทั้งนั้น เปนนายรายกันกำกับไพร่ พอเพลาสายัณห์ลงไรไร ให้ตีเกราะเคาะไม้เปนโกลา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

สมิงทองมอญ

๗๒๑๏ เมื่อนั้น พระยาไวยราพยักษา ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริยา เสียงฟ้าร้องต้องตำราฤกษ์ดี จึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องคร่ำว่าน แก้วประพาฬเพ็ชรรัตน์จำรัสศรี ครั้นเสร็จสรรพจับกล้องแก้วมณี แทรกพื้นปัถพีขึ้นมาพลัน

ฯ ๔ คำ ฯ กราว

ร่าย

๗๒๒๏ ครั้นถึงกองทัพพลับพลา เห็นโยธาเที่ยวตรวจกวดขัน ทั้งแสงเพลิงโพลงสว่างเหมือนกลางวัน กุมภัณฑ์ค่อยย่องมองเข้าไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๗๒๓๏ บัดนั้น ลิงเหล่าพหลพลไพร่ ทุกน่าที่ตีฆ้องกองไฟ ตระเวนไปรอบทัพพลับพลา บ้างเรียกเพื่อนเตือนว่าใครอย่าหลับ อยู่คอยจับไวยราพยักษา สารวัดนายหมวดเที่ยวตรวจตรา ใครหลับตาโบยตีมี่ไป

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๗๒๔๏ เมื่อนั้น ไวยราพฤทธาอัชฌาไศรย ยืนแฝงฟังลิงกริ่งใจ เอะไฉนมันรู้ว่ากูมา อย่าเลยจะแสร้งจำแลงตน เข้าปลอมพลพวกกระบี่ดีกว่า จะได้ยินกับหูรู้กับตา อสุราคิดพลางทางแปลงกาย

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๗๒๕๏ เปนกระบี่พีพ่วงทลวงวิ่ง เข้าปลอมปนพลลิงทั้งหลาย แกล้งทำเทียมหมื่นขุนมุลนาย ถือหวายเที่ยวหวดตรวจตรา เห็นกระบี่ที่เปนนายประตู คอยชูคบส่องมองดูหน้า ตกใจไม่เคยก็เลยมา ละล้าละลังระวังระไว

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๒๖๏ บัดนั้น โยธาวานรน้อยใหญ่ เดินตระเวนวงเลี้ยวเที่ยวไป มิได้หยุดพักตักเตือนกัน บ้างว่าขอพอสามยามปลาย จะสิ้นเคราะห์พระนารายน์รังสรรค์ แต่ยามสองยามค่ำนี้สำคัญ เราป้องกันไปจนพ้นเวลา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๗๒๗๏ เมื่อนั้น ไวยราพฤทธิแรงแขงกล้า ได้ยินลิงเหล่านั้นจำนรรจา อสุรารู้แท้แน่นอน จำจะต่องถ่ายเทด้วยเล่ห์กล ให้ลิงพลพวกมนุษย์หยุดหย่อน คิดแล้วเลี้ยววงเข้าดงดอน เปนยักษ์แผลงฤทธิรอนรเห็จมา

ฯ ๔ คำ ฯ รัว เชิด

๗๒๘๏ ครั้นถึงจึ่งลงเขาโสลาศ องอาจยืนอยู่ยอดภูผา กวัดแกว่งกล้องแก้วแววฟ้า สว่างดังดาราประกายพฤกษ์

ฯ ๒ คำ ฯ กระบองกัน

๗๒๙๏ บัดนั้น พวกวานรสับสนอยู่จนดึก เห็นแสงกล้องร้องบอกกันอึกทึก ดาวประกายพฤกษ์ขึ้นโน่นแล้ว บ้างเงยแหงนชแง้แลดูฟ้า บ้างพลอยว่าแสงทองก็ผ่องแผ้ว สิ้นพระเคราะห์ภูวนารถคลาศแคล้ว ร้องไชโยพ่อแก้วเกรียวไป แล้วต่างตนหยุดหย่อนผ่อนกำลัง ลงนั่งเล่นเอนหลังเอนไหล่ บางพวกก็ยังนั่งผิงไฟ มิได้ตรวจตราว่ากล่าวกัน

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๗๓๐๏ เมื่อนั้น ไวยราพฤทธิแรงแขงขัน ครั้นเสร็จแกว่งกล้องแก้วแพรวพรัน กุมภัณฑ์เหาะกลับมาฉับไว

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๓๑๏ ครั้นถึงจึ่งลงริมพลับพลา จะเห็นเดินตรวจตราก็หาไม่ ทั้งห่างเสียงตีเกราะเคาะไม้ ดีใจสมถวิลจินดา จึ่งเดินด้อมอ้อมขึ้นข้างเหนือลม นบนิ้วประนมเหนือเกษา อ่านอาคมขลังบังนิทรา แล้วเทยาใส่กล้องส่องเป่าไป

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ เชิดฉิ่ง

๗๓๒๏ ต้องพวกพหลพลลิง หลับกลิ้งกลางทรายทั้งนายไพร่ ค่อยย่องยาวก้าวข้ามพลไกร ล่วงเข้าไปได้ในประตู

ฯ ๒ คำ ฯ

๗๓๓๏ เห็นพลับพลาฝากระดานทวารบัง หณุมานยังนั่งระวังอยู่ จึ่งเทยาใส่กล้องมองเมียงดู แล้วเป่าลิงเผือกผู้ผอยหลับไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๗๓๔๏ ค่อยจดจ้องย่องข้ามหณุมาน เสดาะดานทวาราเข้ามาได้ เห็นองค์พระอวตารชาญไชย บรรธมหลับอยู่ในที่ไสยา พินิจดูรู้แน่ว่าพระราม สมความมุ่งมาดปราถนา เข้าอุ้มองค์ลงจากชานพลับพลา แทรกสุธาหมายมุ่งมากรุงไกร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๓๕๏ ถึงพิภพภาราบาดาล จึ่งสั่งมารมหาเสนาใหญ่ จงเร่งพามนุษย์นี้ไป ใส่กรงเหล็กไว้ในดงตาล เกณฑ์ไพร่ให้พิทักษ์รักษา ดูกำชับกำชาว่าขาน แล้วเอากะทะมาน่าพระลาน ตั้งต้มชลธารเตรียมไว้ ให้อีพิรากวนอสุรี ตักน้ำเติมที่กะทะใหญ่ ต่อรุ่งรางส่างแสงอโนไทย จะต้มไอ้ไวยวิกกับรามา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๗๓๖๏ สั่งกำชับสรรพเสร็จสำเร็จการ ขุนมารเกษมสันต์หรรษา จึ่งเสด็จลีลาศยาตรา เข้าที่แท่นไสยาผาศุกใจ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๗๓๗๏ บัดนั้น เสนาข้าเฝ้าน้อยใหญ่ เสด็จขึ้นแล้วหามพระรามไป ใส่ในกรงขังดังบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๗๓๘๏ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า ครั้นลมพัดต้องกายคลายฤทธา ก็ลืมตาตื่นตระหนกตกใจ แลดูประตูเปิดเปนช่อง เห็นแต่ที่แท่นทองผ่องใส ไม่เห็นพระหริวงษ์ทรงไชย จึ่งเข้าไปปลุกพระอนุชา ทั้งพิเภกพวกกระบี่มีมงกุฎ ต่างจุดคบวิ่งมาพร้อมหน้า แล้วแยกกันดั้นด้นค้นคว้า ไม่พบพานผ่านฟ้าก็ตกใจ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๗๓๙๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์แสนโศกศัลย์ไม่กลั้นได้ ลำฦกถึงเชษฐาโศกาไลย สอื้นไห้ครวญคร่ำรำพรรณ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๗๔๐๏ โอ้สงสารผ่านฟ้านิจาเอ๋ย พระไม่เคยวิโยคโศกศัลย์ ต้องตกถึงมือมารชาญฉกรรจ์ น่าที่ชีวันจะบรรไลย เสียแรงน้องระวังนั่งอยู่ด้วย ควรฤๅไม่ช่วยพระองค์ได้ เสียแรงเลี้ยงเหล่าทหารชาญไชย ให้มีไภยถึงองค์พระทรงธรรม์ น้องไม่ขออยู่จะสู้ม้วย ตายด้วยภูวไนยไปสวรรค์ ร่ำพลางโศกาจาบัลย์ พลขันธ์ไพร่นายฟายน้ำตา

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๗๔๑๏ บัดนั้น พิเภกพระยายักษา จึ่งบังคมสมเด็จพระอนุชา แล้วทูลว่าอย่าทรงโศกาไลย อันองค์พระจักรีสี่กร จะม้วยมรณ์มรณานั้นหาไม่ ขอให้แต่งทหารชาญไชย ตามไปภาราบาดาล สังหารไวยราพที่หยาบคาย ให้วอดวายชีวังสังขาร เชิญเสด็จองค์พระอวตาร มาสถานที่ประทับพลับพลา

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๔๒๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ทรงฟังไม่กังขา ค่อยเคลื่อนคลายวายโศกโศกา จึ่งสั่งวายุบุตรวุฒิไกร ท่านรีบตามอสุราไปบาดาล สังหารผลาญยักษ์ให้ตักไษย เชิญเสด็จพระองค์ทรงไชย ขึ้นมาในเวลาราตรี

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๔๓๏ บัดนั้น หณุมานรับสั่งใส่เกษี แต่ยังไม่รู้แห่งแจ้งคดี จึ่งพาทีถามพิเภกโหรา ซักไซ้ได้ความแจ้งประจักษ์ บังคมลาพระลักษณ์ขนิษฐา แผลงฤทธิ์ชำแรกแทรกสุธา ตรงไปภาราบาดาล

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๔๔๏ ถึงตำบลต้นทางกลางไพร เห็นยุงเท่าแม่ไก่กองด่าน เปนกลุ่ม ๆ กลุ้มพงดงดาน ออกบินต้านต่อสู้เปนหมู่มุง ขุนกระบี่ตีตบรบรับ กระโจมจับพิฆาฏฟาดผลุง ว่องไวไล่ขยี้บี้ยุง รบพุ่งหักด่านราญรอน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๔๕๏ ครั้นเห็นยุงวอดวายกระจายหนี ขุนกระบี่มิได้หยุดหย่อน หมายทิศบุรพาพนาดร รีบร้อนไปตามมรคา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๔๖๏ ถึงที่ด่านกั้นชั้นกลาง แลเห็นช้างยืนเยี่ยมเทียมเวหา โก่งหางกางหูฮึดมา แทงถลาไล่เลี้ยวเรี่ยวแรง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๔๗๏ ลูกพระพายโผนจับสัปรยุทธ ทยานยุดหักฅอข้อแขง เปลี่ยนท่าง่าพระขรรค์ฟันแทง เลือดแดงเปนสาดขาดใจตาย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๗๔๘๏ ครั้นเสร็จสังหารผลาญช้าง จึ่งดูทางสำคัญมั่นหมาย กำหนดจำคำพิเภกบรรยาย ลูกพระพายรีบมาในราตรี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๔๙๏ ถึงสระหนึ่งน้ำใสใหญ่กว้าง มีบัวใหญ่ในกลางสระศรี ประกอบกอโกมลจงกลนี ขุนกระบี่ยืนพินิจพิศดู

ฯ ๒ คำ ฯ

๗๕๐๏ บัดนั้น มัจฉาณุซึ่งรักษาสระอยู่ เห็นลิงใหญ่ใจหมายว่าศัตรู ก็โบกหางวางวู่แหวกมา ทยานขึ้นยืนขวางทางไว้ แล้วว่าเหวยลิงใหญ่ใจกล้า ไวยราพให้เราเฝ้าคงคา รักษาด่านกั้นอยู่ชั้นใน ตัวท่านอาจอุกรุกราน จะข้ามด่านไปตำบลหนไหน ไม่รู้ว่าชีวันจะบรรไลย จงเร่งกลับคืนไปอย่าได้ช้า

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๕๑๏ เมื่อนั้น ลูกพระพายเพ่งพิศคิดกังขา วานรนี้มีหางเหมือนอย่างปลา พูดจาองอาจประหลาดใจ จึ่งร้องมาว่าเหวยไอ้ลิงเล็ก จะเจียมตัวว่าเด็กก็หาไม่ มึงอย่ามาขวางทางไว้ กูจะไปภาราบาดาล

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๕๒๏ บัดนั้น มัจฉาณุโกรธใจดังไฟผลาญ จึ่งว่าเหวยลิงใหญ่ใจพาล ไม่รู้จักพระกาลทำหาญฮึก ถึงตัวเราเปนเด็กดังเหล็กเพ็ชร ไม่ขามเข็ดศักดาข้าศึก จะชิงไชยให้รู้จักสำนึก พลางสอึกเข้าประหารราญรอน

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๕๓๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญสมร รบรับจับกุมตลุมบอน เห็นข้ออ่อนอุ่นใจไล่สำทับ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๕๔๏ บัดนั้น มัจฉาณุโลดโผนโจนจับ ตัวเล็กเลี่ยงหลบรบรับ เคี่ยวขับขบกัดฟัดยี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๕๕๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานชาญไชยศรี ไล่ตระหลบรบรุกคลุกคลี เหยียบขยี้ยุดสนัดฟัดฟาดไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๕๖๏ เห็นลิงเล็กไม่ลื้นยืนหัวร่อ กลับผัดเจ้าฬ่อจะให้ไล่ วายุบุตรหยุดหย่อนอ่อนใจ พลางดำริห์ตริไตรในวิญญา ไอ้วานรตัวนี้กระจิริด แต่มีฤทธิ์กว่ายักษ์หนักหนา ดูรูปกายคล้ายเราทั้งกายา ฤๅว่าพงษ์เผ่าไม่เข้าใจ คิดพลางทางว่าเหวยวานร บิดรมารดาอยู่หาไหน นามวงษ์พงษ์ประยูรอย่างไร เหตุใดมีหางเหมือนอย่างปลา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๗๕๗๏ บัดนั้น มัจฉาณุนิ่งฟังไม่กังขา คิดถึงคำมารดรซึ่งสอนมา ว่าบิดาเปนกระบี่มีฤทธิ์ ทรงกุณฑลขนเพ็ชรมาไลย ดูลิงใหญ่ตนนี้ไม่มีผิด ฤๅแล้วจะเปนเหมือนเช่นคิด สงไสยจิตรจึ่งแถลงแจ้งกิจจา เราชื่อมัจฉาณุอายุอ่อน มารดรชื่อสุพรรณมัจฉา ไวยราพรักใคร่ไปเอามา ให้เราเฝ้ารักษาสระนี้ บิตุเรศนั้นฤๅชื่อหณุมาน เปนทหารพระรามเรืองศรี จะขอถามลิงใหญ่ไพรี ท่านนี้มีนามกรใด

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๗๕๘๏ เมื่อนั้น หณุมานฟังแจ้งแถลงไข รู้ว่าบุตรสุดสวาดิเพียงขาดใจ จึ่งเข้าใกล้กล่าวคำรำพรรณ เราฤๅคือคำแหงหณุมาน ยอดทหารพระนารายน์รังสรรค์ เมื่อมัจฉาชนนีเจ้ามีครรภ์ ก็จากกันกับบิดาได้ห้าปี บัดนี้ไอ้ไวยราพทำหยาบคาย ไปลอบลักพระนารายน์มากรุงศรี พ่อจะตามไปประหารผลาญชีวี เจ้าช่วยชี้ทางให้ไคลคลา

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๕๙๏ บัดนั้น มัจฉาณุกุมารหาญกล้า ได้ฟังยังรแวงแคลงวิญญา จึ่งร้องว่าเหม่ไม่เกรงใจกัน โอหังตั้งตัวว่าเปนพ่อ น่าหัวร่อนี่กระไรช่างไม่ขัน ถ้าท่านหาวให้เปนดาวเดือนตวัน เห็นสำคัญจึ่งจะว่าบิดาเรา นี่ถามไถ่ได้ความกระจ่างแจ้ง มาเศกแสร้งมุสาว่าเปล่าเปล่า หากเห็นเปนผู้ใหญ่ไม่ใจเบา หาไม่เราจะว่าบ้างอย่างนั้น

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๗๖๐๏ เมื่อนั้น วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน เห็นมัจฉาณุยังดุดัน จึ่งรับขวัญลูกยาแล้วว่าไป เจ้าอย่าเพ่อเคืองขุ่นวุ่นวาย พ่อจะทำให้หายสงไสย ว่าพลางแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร หาวให้เห็นเหมือนเดือนตวัน

ฯ ๔ คำ ฯ คุกภาษ

๗๖๑๏ บัดนั้น มัจฉาณุเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ สารภาพกราบบาทบิดาพลัน พลางรำพรรณขอษมาพาที ลูกนี้มิได้แจ้งเหตุ ว่าเปนองค์บิตุเรศเรืองศรี ได้จ้วงจาบหยาบช้าราวี ขออย่ามีเวราแก่ข้าไป นิจาเอ๋ยอาภัพอัปรลักษณ์ จะรู้จักบิดาก็หาไม่ ว่าพลางครวญคร่ำร่ำไร สอึกสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๗๖๒๏ เมื่อนั้น วายุบุตรสุดแสนเสนหา เข้ากอดจูบลูบหลังลูกยา แก้วตาอย่าลห้อยน้อยใจ ด้วยสองข้างต่างคนต่างอยู่ พ่อลูกจึ่งหารู้จักกันไม่ ซึ่งหยาบช้าว่าขานประการใด ก็มิได้ถือโทษโกรธลูกรัก แต่ครั้งนี้มีธุระร้อนอก คิดวิตกถึงองค์พระทรงศักดิ เจ้าเปนบุตรบิดาสามิภักดิ ช่วยบอกทางเมืองยักษ์อย่าอำพราง

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๖๓๏ บัดนั้น มัจฉาณุถือสัตย์ขัดขวาง จะบอกออกมิได้แต่ไม่พราง ดำริห์พลางทางตอบคำบิดา แม้นลูกนี้ชี้บอกหนทางให้ ก็เหมือนไม่รู้จักคุณยักษา หนทางใดบิตุรงค์ลงมา อย่าหยุดยั้งตั้งหน้าไปทางนั้น

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๗๖๔๏ เมื่อนั้น หณุมานหาญกล้าปัญญาขยัน คเนนึกตรึกดูก็รู้พลัน จึ่งรับขวัญลูกน้อยกลอยใจ ค่อยอยู่เถิดบิดาจะลาก่อน การร้อนหนักหนาช้าไม่ได้ แล้วหักก้านบุษบงลงทันใด แทรกไปด้วยกำลังวังชา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๖๕๏ ถึงด่านกั้นชั้นสี่มีกำแพง ประตูศิลาแลงปิดแน่นหนา จึ่งเผ่นโผนโจนถีบด้วยบาทา ทวาราหักโค่นไม่ทนทาน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๖๖๏ บัดนั้น พวกยักษ์รักษาประตูด่าน เห็นลิงเข้ามาได้ในปราการ ต่างตนอลหม่านเข้าจับกุม บ้างฉวยได้ดาบหอกกลอกแกว่ง เข้าทิ่มแทงฟันฟาดกลาดกลุ้ม ทั้งน่าหลังล้อมกระทบรบรุม เปนกลุ่มกลุ่มกลุ้มกลัดสกัดสแกง

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๖๗๏ เมื่อนั้น ลูกพระพายห้าวหาญชาญกำแหง ต่อสู้ผู้เดียวเรี่ยวแรง ไม่พลาดแพลงรบรับจับประจัญ เผ่นขึ้นยืนทยานเหยียบบ่า ชิงสาตราป้องปัดผัดผัน ชักตรีเพ็ชรแกว่งแทงฟัน ต้องกุมภัณฑ์ล้มตายกระจายไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๖๘๏ ครั้นเสร็จสังหารมารม้วยมรณ์ จะหยุดหย่อนอยู่ช้าก็หาไม่ สำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร รีบไปเมืองยักษ์ด้วยศักดา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๖๙๏ ครั้นถึงนัคเรศเขตรสถาน เห็นประตูหมู่มารอยู่รักษา จึ่งคิดว่าจะตรงเข้าค้นคว้า มันเห็นหน้าก็จะตื่นครื้นครึก ด้วยพระหริวงษ์ทรงไชย ยังอยู่ในอาญาข้าศึก ค่อยด้อมเดินดูไปดังใจนึก พอพบสระน้ำฦกริมกำแพง เห็นยักษามาตักอยู่ขวักไขว่ จึ่งแอบไม้มองฟังนั่งฟุบแฝง ได้ยินเสียงเอียงหูคอยตะแคง จะใคร่แจ้งเรื่องราวข่าวคำ

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๗๐๏ เมื่อนั้น นวลนางพิรากวนครวญคร่ำ ด้วยลูกเต้าเข้าติดในเวรจำ ตัวก็ต้องตักน้ำดำเนินมา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

โอ้

๗๗๑๏ ครั้นถึงสระสิ้นกำลังลงนั่งหยุด คิดถึงบุตรบ่นพลางเหมือนอย่างบ้า โอ้ว่าไวยวิกของแม่อา เมื่อโทษาไม่ผิดสักนิดเลย มันจะให้ไปต้มกับพระราม ต้องตายตามเขาแล้วลูกแก้วเอ๋ย ทั้งถูกขื่อคาตรวนล้วนไม่เคย กะไรเลยทำได้ไม่ปรานี แม้นลูกยาข้าตายจะตายด้วย ไม่ขออยู่สู้ม้วยไปเมืองผี ยิ่งคิดยิ่งแค้นแสนทวี นางนั่งตีทรวงซ้ำร่ำไร

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๗๗๒๏ เมื่อนั้น วายุบุตรได้ยินสิ้นสงไสย จึ่งออกจากสุมทุมพุ่มไม้ เข้าไปใกล้กัลยาแล้วพาที ลูกชายยายฤๅเราขอถาม จะต้องต้มด้วยพระรามเรืองศรี จงบอกแจ้งกิจจาอย่าโศกี อันเรานี้มาตามพระรามา มันจำไว้ที่ไหนจะใคร่พบ แล้วจะรบสังหารผลาญยักษา ทั้งลูกชายยายจะพ้นมรณา อย่าอยู่ช้าพาเราเข้าไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๗๓๏ เมื่อนั้น พิรากวนจึ่งแจ้งแถลงไข อันพระรามนายท่านนั้นไซ้ เขาใส่กรงเหล็กไว้ในดงตาล ไวยวิกลูกยาของข้านี้ ติดอยู่ที่ในทิมริมราชฐาน แต่ที่จะพาเจ้าเข้าเมืองมาร เราเห็นการเกินตัวกลัวนัก ด้วยนายทวารามีตราชู ชั่งดูมิได้ให้เบาหนัก ถึงจะคิดเหาะข้ามกำแพงยักษ์ ก็ต้องจักรกรดนั้นบรรไลย สารพัดขัดขวางอยู่อย่างนี้ ขุนกระบี่จงคิดแก้ไข ถ้าเห็นดีแล้วข้าจะพาไป แต่ว่าอย่าให้เสียการ

ฯ ๘ คำ ฯ

๗๗๔๏ เมื่อนั้น หณุมานแจ้งจิตรจึ่งคิดอ่าน แล้วตอบคำโฉมยงนงคราญ พอแก้ได้ดอกการแต่เพียงนี้ เราจะแสร้งแปลงกายเปนใยบัว มิให้ยักษ์เห็นตัวทั้งกรุงศรี ติดสไบไปกับนางเทวี จะไม่มีใครระแวงแคลงใจ เมื่อถึงประตูตราชูชั่ง เขาว่าเอียงเถียงมั่งก็จะได้ ไม่เห็นเนื้อเห็นตัวกลัวมันไย จะทำได้ฤๅไม่ได้ให้ว่ามา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๗๗๕๏ ครั้นนางยักษ์ยอมจิตรเหมือนคิดอ่าน หณุมานแปลงกายร่ายคาถา เปนยองใยไม่เห็นกายา ติดสไบไปบนบ่านารี

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๗๗๖๏ เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษี เห็นฤทธิ์ขุนกระบินทร์ก็ยินดี ลงตักน้ำแล้วลีลามา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๗๗๗๏ บัดนั้น นายประตูผู้พิทักษ์รักษา จึ่งให้นางพิรากวนกัลยา ขึ้นตราชูชั่งดังทุกคราว

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๗๗๘๏ คันชั่งนางหนักก็หักผาง นายประตูรูต่างตาขาว เข้าจับตัวนางยักษ์ชักหวายยาว ว่ากล่าวคุกคามถามซัก ตัวเอาสิ่งใดใส่ซ่อนมา จึ่งหนักตราชูยนตร์จนหัก จงบอกความตามจริงอย่าเยื้องยัก ต่างคึกคักขู่รู่ดูที

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๗๗๙๏ เมื่อนั้น พิรากวนขึ้นเสียงเถียงอึงมี่ เมื่อตราชูอยู่มากว่าร้อยปี ไม่ดีเดาะหักจักโทษใคร มารุมขู่กูเล่นเห็นตกยาก เหมือนหนึ่งน้ำท่วมปากไม่เถียงได้ มันจะฆ่าจะฟันฉันใด กูก็ไม่ขอตัวกลัวตาย

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๘๐๏ บัดนั้น นายประตูตันจิตรคิดหมาย ถึงชั่วดีพี่น้องของเจ้านาย ไม่ถือคำหยาบคายนางนงลักษณ์ ทั้งคิดว่าตราชูก็เก่าแก่ มันเปนแต่สบเคราะห์เดาะหัก แล้วนางเถียงถูกรบอบชอบนัก พวกยักษ์นายประตูดูตากัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๘๑๏ เมื่อนั้น พิรากวนลิ้นลมคมสัน เถียงพลางนางรีบจรจรัล เข้าในปราการกั้นทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๗๘๒๏ ถึงเกยช้างข้างชลาน่าพระลาน หณุมานก็กลับเปนลิงใหญ่ นางยินดีชี้แจงให้แจ้งใจ ไวยราพอยู่ในปราสาทนี้ โอรสเราเขาไว้ริมนิเวศน์ หว่างประตูวิเศษไชยศรี โน่นดงต้นตาลรายท้ายบุรี คือที่เขาจำพระรามา จงแก้ไขให้เสร็จสำเร็จคิด แล้วโปรดด้วยช่วยชีวิตรลูกข้า อย่าให้ม้วยมอดรอดชีวา เหมือนคำมั่นสัญญาเจ้าว่าไว้

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๘๓๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานทหารใหญ่ รับคำอสุรีด้วยดีใจ แล้วหมายไม้มุ่งตรงมาดงตาล

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๘๔๏ ครั้นถึงเห็นหมู่อสุรา ตรวจตราสับสนอลหม่าน จึ่งแฝงกายร่ายเวทวิชาการ สกดมารหมู่พหลพลไกร

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๗๘๕๏ บัดนั้น พวกอสูรนับร้อยน้อยใหญ่ ผลัดกันนอนนั่งรวังรไว ตีฆ้องกลองไฟเที่ยวไตรตรา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๗๘๖๏ ครั้นต้องเวทมนต์หณุมาน ให้ซาบซ่านสยองพองเกษา ต่างตนล้มหลับกับสุธา บ้างพูดจาลเมอเพ้อพึม

ฯ ๒ คำ ฯ

๗๘๗๏ เมื่อนั้น ลูกพระพายได้ยินกรนกระหึม จึ่งแฝงเงาเข้าไปตามไม้ครึ้ม เสียงงึมงึมชโงกมองแล้วย่องมา

ฯ ๒ คำ ฯ คุกภาษ

๗๘๘๏ จึ่งเห็นสมเด็จพระหริวงษ์ บรรธมหลับอยู่ในกรงยักษา วายุบุตรทรุดลงตรงบาทา โศการ่ำรักพระจักรี

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้

๗๘๙๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงเดช มีพระคุณอุ่นเกษกระบี่ศรี มาเสื่อมฤทธิ์เสียรู้อสุรี เสียทีเลี้ยงทหารชาญไชย เมื่อรู้ว่าข้าศึกจะลอบลัก แต่เท่านี้มิรักษาได้ จนกุมภัณฑ์มันพาภูวไนย มาลำบากยากไร้ทรมาน นิจาเอ๋ยเคยบรรธมทิพอาศน์ มาไสยาสน์กลางกรงน่าสงสาร ร่ำพลางทางก้มลงกราบกราน หณุมานสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๗๙๐๏ ครั้นส่างโศกสำแดงแผลงฤทธิรงค์ เข้าแหกกรงเหล็กใหญ่ยักษา สอดกรช้อนองค์พระจักรา ขึ้นใส่บ่าแบกออกนอกนคร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๙๑๏ ครั้นถึงคิรีวันบรรพต จึ่งเลื่อนลดลอยลงตรงศิงขร เห็นที่แท่นแผ่นผาน่านอน ดังบรรจ์ฐรณ์ทิพรัตน์ชัชวาลย์ จึ่งวางองค์ทรงธรรม์ให้บรรธม ระรื่นร่มรังใหญ่ไพรสาณฑ์ ประกาศฝากเทพไทในดงดาน แล้วกราบกรานลากลับมาฉับไว

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๙๒๏ ครั้นถึงปราสาทไชยไวยราพ แผลงศักดาอานุภาพแผ่นดินไหว ถีบบานบัญชรบังพังเข้าไป แล้วร้องว่าเหวยไอ้ใจพาล ไปลักพระหริวงษ์ลงมา ไม่รู้ว่าชีวังจะสังขาร อันตัวกูผู้ชื่อหณุมาน เปนทหารตามมาจะฆ่ายักษ์ ชีวิตรมึงวันนี้ไม่มีรอด ยังนอนกอดเมียหลับอัปรลักษณ์ ว่าพลางทางทำคึกคัก หยาบช้าท้ายักษ์ให้โกรธา

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๙๓๏ เมื่อนั้น ไวยราพรู้สึกนึกกังขา จับพระขรรค์เคยทรงตรงออกมา ถึงชาลาพอลิงวิ่งเข้ารบ อสุรีตีรันฟันฟอน วานรปลิ้นปลอกหลอกหลบ กระทืบบาทหวาดไหวไตรภพ ประจัญจับรับรบกันกลางแปลง

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๗๙๔๏ เมื่อนั้น หณุมานต้านต่อข้อแขง ไล่กระชิดติดพันฟันแทง เรี่ยวแรงรอนรันประจัญตี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๗๙๕๏ เมื่อนั้น ไวยราพยับย่อยไม่ถอยหนี แกว่งพระขรรค์ฟันลิงหลายที เห็นกระบี่ยืนยงคงอาวุธ ให้เหนื่อยเหน็ดเข็ดฤทธิ์คิดมายา หวังจะฬ่อลวงฆ่าวายุบุตร จึ่งว่าเหวยลิงขาวบ่าวมนุษย์ เรายงยุทธไม่แพ้ชนะกัน จะรบทางธรรมยุทธสุจริต ให้ฦๅยศทศทิศสรวงสวรรค์ เอาตาลสามต้นตบิดติดพัน แล้วผลัดกันตีคนละสามที ท่านก็เปนชาติทหารชาญไชย จงตริไตรดูเถิดกระบี่ศรี ซึ่งคำมั่นสัญญาว่าทั้งนี้ จะเห็นดีฤๅไรให้ว่ามา

ฯ ๘ คำ ฯ

๗๙๖๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานหาญกล้า ทำคึกคักคั้นคำซ้ำสัญญา นี่แกล้งว่าลวงลิงฤๅจริงใจ กระนั้นตัวเรานี้จะตีก่อน สามตึงจึงจะนอนลงให้ เอาฤๅอสุราว่าอย่างไร จะได้ไปตบิดติดต้นตาล

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๙๗๏ เมื่อนั้น ไวยราพฤทธากล้าหาญ จึ่งตอบคำกำแหงหณุมาน อันตัวท่านอวดกล้ามาแต่ไกล ต้องให้เราเจ้าของพระนคร ตีก่อนสามตึงจึ่งจะได้ ซึ่งกลัวว่าไม่จริงกริ่งใจ เราจะให้ความสัตย์ปัฏิญาณ ถ้ากลับถ้อยคืนคำทำอุบาย ให้ต้องสายสุนีบาตฟาดสังหาร เพียงสามทีถ้าไม่บรรไลยลาญ จะทอดองค์ลงให้ท่านทำเรา

ฯ ๖ คำ ฯ

๗๙๘๏ เมื่อนั้น ขุนกระบี่ดีใจใครจะเท่า จึ่งแกล้งร้องตอบความตามลำเนา ท่านเลือกเอาเปรียบกันสัญญา แต่หากได้ปฏิญาณสาบาลตัว ครั้นมิรับจะว่ากลัวยักษา จะตีก่อนก็ถอนต้นตาลมา จะนอนให้อสุราดังว่าไว้

ฯ ๔ คำ ฯ

๗๙๙๏ เมื่อนั้น ไวยราพยินดีจะมีไหน จึ่งสำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร เข้าถอนต้นตาลใหญ่มิได้ช้า

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๐๐๏ ได้สามต้นตีเกลียวเรี่ยวแรง กวัดแกว่งต่างตะบองแล้วร้องว่า เหวยคำแหงหณุมานชาญศักดา จงเข้ามาสู่กรรมคว่ำลง

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๐๑๏ เมื่อนั้น หณุมานอ่านเวทเศกฝุ่นผง เอาทาตัวทั่วตนทนคง แล้วนอนลงกวักเรียกอสุรา

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๐๒๏ เมื่อนั้น ไวยราพลองกำลังตั้งท่า เงือดเงื้อตะบองตาลทยานมา ตีวานรซ้ำร่ำลงไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๐๓๏ เมื่อนั้น หณุมานไม่ลื้นยืนขึ้นได้ จึ่งว่านอนลงมั่งไอ้จังไร ยื่นตะบองมาให้กูดีดี แม้นรักตัวกลัวตายวายปราณ จงกราบกรานประนตบทศรี จึ่งจะได้ให้ทานชีวี ถ้าแม้นตีสามตึงมึงก็ตาย

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๐๔๏ เมื่อนั้น ไวยราพประหวั่นขวัญหาย แล้วกลั้นจิตรคิดมานะนึกอาย ลูกผู้ชายตายไหนก็ตายไป ดำริห์พลางทางว่าเหวยไอ้ลิง ทำเย่อหยิ่งอย่างกูสู้ไม่ได้ ถึงมาทแม้นม้วยชีวันบรรไลย กูก็ไม่อยากของ้องอน ซึ่งสัญญาว่าไว้จะให้ตี ไม่พาทีกลับกลอกหลอกหลอน ว่าพลางทางยื่นคทาธร แล้วลงนอนให้มั่งดังสัญญา

ฯ ๖ คำ ฯ

๘๐๕๏ เมื่อนั้น ลูกพระพายร่ายตะบองเงื้อง่า ยืนเขย่งเยื้องโผนโจนมา สังเกตตาตีรันลงทันที

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๘๐๖๏ สามตึงตาลหักยักษ์ตาย ลูกพระพายแค้นขัดตัดเกษี เสร็จแล้วหิ้วศีศะอสุรี เข้าสู่ที่ท้องพระโรงรจนา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๘๐๗๏ นั่งเหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ พวกยักษ์มารข้าเฝ้าก็เข้าหา จึ่งสั่งให้ถอดไวยวิกมา มอบแสนสวรรยาธานี แล้วตั้งให้ลูกยามัจฉาณุ ช่วยบำรุบำรุงกรุงศรี เปนฝ่ายน่าว่าขานการบุรี แทนที่กระษัตริย์ขัติยา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๘๐๘๏ ครั้นจัดแจงสำเร็จเสร็จการ หณุมานหิ้วเศียรยักษา พาเหาะละลิ่วปลิวฟ้า ตรงมาคิรีวันทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๐๙๏ ครั้นถึงจึ่งลงเหลี่ยมศิงขร เห็นภูธรไสยาศน์ไม่หวาดไหว ค่อยสอดกรช้อนองค์พระทรงไชย เหาะละลิ่วปลิวไปในราตรี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๑๐๏ ครั้นถึงกองทัพพลับพลา พอเพลารุ่งแจ้งแสงสี ค่อยวางพระหริรักษ์จักรี ลงเหนือที่แท่นแก้วแพรวพรัน แล้วผินหน้ามาเคารพอภิวาท พระอนุชาธิราชรังสรรค์ ถวายเศียรอสุราอาธรรม์ รำพรรณทูลแถลงแจ้งกิจจา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๘๑๑๏ เมื่อนั้น พระจักรรัตน์แก้วแววเวหา ครั้นรุ่งรางส่างเวทวิทยา ผ่านฟ้าฟื้นองค์ดำรงกาย เห็นเสนาวานรกับน้องรัก มาอยู่พรักพร้อมกันไม่ทันสาย มิได้รู้เหตุผลต้นปลาย จึ่งภิปรายถามพระอนุชา เมื่อคืนนี้พิเภกว่าพวกยักษ์ จะลอบลักเราไปไกลหนักหนา บัดนี้สุริยนพ้นเวลา เห็นผิดคำโหราที่ว่าไว้

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๘๑๒๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์กราบก้มบังคมไหว้ จึ่งทูลพระหริวงษ์ทรงไชย เมื่อคืนนี้มีไวยราพมา ลักพระองค์ลงไปถึงบาดาล หากคำแหงหณุมานออกอาสา ตามไปผลาญมารม้วยมรณา เชิญเสด็จกลับมาพลับพลาไชย

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๑๓๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย ได้ฟังน้องนึกตระหนกตกพระไทย จึ่งถามไถ่คำแหงหณุมาน ท่านตามเรามาได้ไม่ทันรุ่ง ช่างรบพุ่งเร็วนักหักหาญ ฤๅพิภพภาราบาดาล ไม่มีด่านรับรองป้องกัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๑๔๏ บัดนั้น วายุบุตรบรรยายเมื่อผายผัน เมื่อรบยักษ์หักด่านถึงสี่ชั้น จนได้องค์ทรงธรรม์มาพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๘๑๕๏ ครั้นแล้วบังคมก้มกราบ ถวายเศียรไวยราพยักษา พลางทูลแกลงแจ้งกิจจา ศีศะเจ้าภาราบาดาล

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๑๖๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน จึ่งดำรัสตรัสกับหณุมาน อันความชอบของท่านเปนพ้นไป อุส่าห์สู้สงครามตามติด เหมือนช่วยชุบชีวิตรเราไว้ได้ แม้นเสร็จศึกสมหวังดังใจ จะเศกให้ผ่านศรีอยุทธยา แล้วถอดทิพธำมรงค์ทรงประทาน ให้คำแหงหณุมานต่อหัดถา ชวนพระลักษณ์ลีลาศยาตรา เสด็จมาแท่นรัตน์ชัชวาลย์

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๘๑๗๏ บัดนั้น ตรีพัทเมฆนาศนายทหาร ครั้นไวยราพตายวายปราณ ก็หนีจากบาดาลแดนไตร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๑๘๏ ครั้นถึงพิภพลงกา พอเพลาสายแสงสุริย์ใส ทั้งสองเสนาก็คลาไคล เข้าในที่เฝ้าเจ้าธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๘๑๙๏ เคารพอภิวาทบาทมูล แล้วกราบทูลทศภักตร์ยักษี ไวยราพนัดดาฝ่าธุลี เมื่อคืนนี้ยามเศษเสด็จมา จับพระรามไปได้ใส่กรงขัง จะต้มทั้งไวยวิกวงษา หณุมานตามไปในภารา สังหารพระนัดดาชีวาวาย แล้วตั้งให้ไวยวิกว่าขาน ราชการแผ่นดินสิ้นทั้งหลาย แต่ตัวมันนั้นพามนุษย์นาย ผันผายกลับมาในราตรี ข้าไม่ยอมน้อมนบคบค้า จึ่งหนีมาพึ่งบาทบทศรี ขอพระองค์ทรงธรรม์พันปี ภูมีจงทราบบาทมูล

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๘๒๐๏ เมื่อนั้น พระปิ่นเกษลงกาพนาสูร ได้ฟังทั้งสองเสนาทูล ให้อาดูรเดือดดิ้นในวิญญา แสนสงสารหลานรักเรืองเดช ชลเนตรนองภักตร์ยักษา กอดกรถอนฤไทยไปมา อสุรารำพึงคนึงใน ชิชะมนุษย์เปนสุดแค้น จักแหล่นมรณาแล้วมาได้ เห็นจะนึกฮึกฮักหนักขึ้นไป ทำไฉนหนอจะชนะมัน แม้นนิ่งอยู่ดูเหมือนไม่มีฤทธิ์ จำจะคิดเข่นฆ่าให้อาสัญ ดำริห์พลางทางสั่งนางกำนัล จงไปหากุมภกรรฐ์มาบัดนี้

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๘๒๑๏ บัดนั้น นางกำนัลรับสั่งใส่เกษี บังคมลาพากันจรลี มาที่ปราสาทพระอนุชา

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๘๒๒๏ ครั้นถึงจึ่งค่อยคุกคลาน มากราบกรานตรงภักตร์ยักษา พลางทูลแถลงแก้งกิจจา รับสั่งพระเชษฐาให้หาไป

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๘๒๓๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ครั้นแจ้งแถลงไข จึ่งจัดแจงแต่งองค์อำไพ แล้วคลาไคลขึ้นเฝ้าเจ้าลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๘๒๔๏ ครั้นถึงจึ่งนั่งเหนืออาศน์ ที่องค์อุปราชฝ่ายน่า ถวายบังคมคัลวันทา คอยฟังพระเชษฐาบัญชาการ

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๒๕๏ เมื่อนั้น ทศเศียรศักดากล้าหาญ จึ่งตรัสบอกอนุชาว่าหณุมาน ฆ่าไวยราพหลานเราม้วยมุด อันสงครามรามลักษณ์เห็นหนักแน่น พี่แสนแค้นครั้งนี้เปนที่สุด เจ้าเร่งจัตุรงค์ไปยงยุทธ สังหารผลาญมนุษย์ให้มรณา

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๒๖๏ เมื่อนั้น พระยากุมภกรรฐ์ยักษา เห็นผิดอย่างทางธรรม์ที่บัญชา จึ่งทูลทัดเชษฐาธิบดี อันลักษณ์รามข้ามสมุทรมารบพุ่ง ใช่จะคิดหมายมุ่งเอากรุงศรี เปนเหตุด้วยสีดานารี ที่ภูมีไปพาเอามาไว้ แม้นส่งนางคืนไปให้มนุษย์ เห็นสิ้นสุดศึกเสือเหนือใต้ ทั้งสองข้างต่างบำรุงกรุงไกร ก็จะได้อยู่เย็นเปนไมตรี

ฯ ๖ คำ ฯ

๘๒๗๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสิบภักตร์ยักษี จึ่งว่าเจ้าพูดผิดคิดเช่นนี้ ไม่ปรานีพี่น้องของเรา เมื่อเขาทำสำมนักขาก่อน แล้วซ้ำฆ่าทูตขรตรีเศียรเล่า ทำจาบจ้วงจู่ลู่ดูเบา ทีหลังเราจึ่งไปลักสีดามา มันซ้ำใช้ให้คำแหงหณุมาน มารอนราญรบยักษ์หักพฤกษา ฆ่ากุมารหลานเจ้าเผาลงกา อนุชาไปไหนจึ่งไม่รู้ แล้วองคตถือสารมาผลาญยักษ์ สุครีพหักฉัตรไชยให้อดสู เจ้าถือสัตย์สัญญาว่าตราชู ใครชอบผิดคิดดูก็เปนไร

ฯ ๘ คำ ฯ

๘๒๘๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ตรึกตรองสนองไข ซึ่งพระองค์ทรงตรัสเช่นนี้ไซ้ ข้าเห็นไม่ต้องตามประเพณี อันอีสำมนักขามันหน้าด้าน ไปเกี้ยวพานผู้ชายขายภักตร์พี่ ข้างเขาเห็นเปนยักษ์ไม่ไยดี จึ่งทุบตีตัดตีนสีนมือ ซึ่งทูตขรตรีเศียรสิ้นชีวา เพราะฟังสำมนักขาหาไม่ฤๅ พระทรงยศทศทิศย่อมเลื่องฦๅ อย่าเชื่อถือหญิงพาลมารยา ถึงองคตสุครีพหณุมาน มันทำการของเจ้าจะเอาหน้า อันรบรับสัปรยุทธยุทธนา ผู้ใดดีมีศักดาได้กัน ไม่ควรยกโทษเขาเอาเปนผิด พระจงคิดดูก่อนผ่อนผัน ข้าทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน ทรงธรรม์อย่าแหนงแคลงฤไทย

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๘๒๙๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์เคืองขัดอัชฌาไศรย ลุกขึ้นกระทืบบาทตวาดไป เหม่ไอ้เจ้าเล่ห์เพทุบาย คิดว่าดีขี้ขลาดดังชาติเนื้อ ได้สาบเสือตัวสั่นขวัญหาย เสียแรงกำเนิดเกิดเปนชาย ไม่มีอายมีเจ็บเท่าเล็บมือ เมื่อข้าศึกมาประชิดไม่คิดรบ จะให้นบนอบมันกระนั้นฤๅ หมายว่าน้องต้องปฤกษาหารือ ชะเจ้าคนซื่อถือสัตย์ธรรม์ จงไปหาลักษณ์รามตามพิเภก จะได้เศกให้ผ่านไอสวรรย์ อันตัวกูสู้ตายวายชีวัน มิขอพันผูกรักกับลักษณ์ราม

ฯ ๘ คำ ฯ

๘๓๐๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์พรั่นจิตรคิดขาม จึ่งก้มกราบบาทมูลทูลความ ข้าห้ามปรามตามตรงอย่าสงกา แม้นพระพี่มิฟังคำน้อง ไม่ขัดข้องข้าคงจะอาสา ถึงมาทแม้นม้วยมุดสุดชีวา มิให้เคืองบาทาสารพัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๓๑๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสำรวลสรวลสันต์ เข้าสร้วมสอดกอดจูบกุมภกรรฐ์ เออกระนั้นฤๅพี่จะดีใจ อันรามลักษณ์ลิงป่าปัจจามิตร ไม่ต่อฤทธิ์รับรองกับน้องได้ พ่อเร่งยกโยธาคลาไคล ออกไปสังหารผลาญชีวา ตรัสพลางทางสั่งมโหทร จงเกณฑ์พวกพลนิกรแกล้วกล้า ตั้งกระบวนพยุหบาตรยาตรา ให้พระอนุชาไปราวี

ฯ ๖ คำ ฯ

๘๓๒๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งใส่เกษี ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาที่จักรวรรดิจัดพล

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๘๓๓๏ เกณฑ์ถ้วนกระบวนทัพคับคั่ง ทั้งซ้ายขวาน่าหลังหลามถนน ขุนข้างขี่ช้างกางสัปรทน เคยบำรูสู้ชนชนะงา ขุนพลพาชีขี่สนธพ ไม่หลีกหลบเลื่อมตื่นปืนผา ขุนรถเทียมโตโคลา โยธาเดินเท้าถือเกาทัณฑ์ ต่างใส่เสื้อแสงแต่งตัว โพกหัวจ้ำม่ำล่ำสัน บ้างก็กินว่านทายาน้ำมัน คงกระพันสาตราสารพัด พวกขุนหมื่นนายหมวดตรวจทหาร อลหม่านเซงแซ่แออัด แล้วเทียมรถพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์ คอยท่าองค์พงษ์กระษัตริย์อสุรา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๘๓๔๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา กราบถวายอัญชลีพระพี่ยา เสด็จมาอ่าองค์สรงน้ำ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๘๓๕๏ ขัดสีฉวีวรรณผุดผ่อง ทรงสุคนธ์ปนทองสุกก่ำ สนับเพลาเนาหน่วงเหน็บประจำ ภูษาตองทองช้ำชายแครง ห้อยน่าตาชุนเชิงขลิบ ผ้าทิพย์ปักกรองทองแล่ง ฉลององค์ทรงเกราะกุดั่นแดง ปั้นเหน่งสายลายแทงทับทิมพราย ตาบทิศทับทรวงห่วงห้อย สอดสร้อยสังวาลประสานสาย พาหุรัดเรียบร้อยพลอยพราย ทองกรจำหลักลายลงยา สวมใส่ธำมรงค์ประจงจัด เพ็ชรรัตน์พร่างพรายทั้งซ้ายขวา ทรงกรรเจียกจรแก้วแววฟ้า ถือคทาธรเทพอาวุธ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๘๓๖๏ ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน ตรวจทหารพร้อมสามสิบสมุท ให้ยกทัพขับพหลพลยุทธ รีบรุดตัดทางไปหว่างเนิน

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๘๓๗๏ รถเอยรถที่นั่ง ดูดังจะลอยฟ้าเวหาเหิน ล้วนเหล็กหล่อห่อหุ้มดุมเดิน กระหนกเกรินแก้วกิ่งพริ้งเพรียว เทียมโตตัวคนองลำพองเผ่น สารถีขี่เขม้นเข่นเขี้ยว นายทหารขานโห่ขึ้นลาเดียว รับเกรียวกราวดังไปทั้งทัพ ม้ารถคชสารแซ่เสียง สำเนียงเพียงลมบรรไลยกัป ดังไกรลาศศิงขรจะอ่อนพับ ราหูจับจันทร์ขยายคายคืน สเทื้อนทุกด้าวแดนแผ่นพิภพ มหรรณพนทีตีคลื่น พลเพียบสุธาทางพ่างพื้น ดาษดื่นเดินทัพขับกันมา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๘๓๘๏ ถึงทุ่งหนึ่งกึ่งกับทัพพระราม จึ่งตั้งที่สีหนามเนินผา สั่งไพร่ให้โห่ขึ้นสามลา ทุกหมู่หมวดตรวจตรากันพร้อมพรัก

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๘๓๙๏ เมื่อนั้น พระรามราชสุริวงษ์ทรงศักดิ สถิตย์เหนือแท่นที่นั่งทั้งพระลักษณ์ พร้อมพรักท้าวพระยาวานร ทั้งสุครีพนิลนนท์หณุมาน องคตชมภูพาลชาญสมร คับคั่งทั้งสองพระนคร ชลีกรกราบก้มบังคมคัล พระทรงฤทธิ์คิดดำริห์ตริการ จะสังหารยักษาให้อาสัญ พอได้ยินสำเนียงเสียงกุมภัณฑ์ โห่สเทื้อนเลื่อนลั่นโลกา คิดสงไสยไม่แจ้งประจักษ์ความ จึ่งตรัสถามพิเภกยักษา เสียงสนั่นครั่นครื้นพื้นสุธา ผู้ใดมารณรงค์สงคราม

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๘๔๐๏ บัดนั้น พิเภกได้ฟังรับสั่งถาม จึ่งลงเลขไล่ขับจับยาม แล้วทูลความตามเคยสังเกตมา อันทัพนี้พี่ยาข้าพระบาท อุปราชทศภักตร์ยักษา อยู่ในยุติธรรม์ไม่ฉันทา ชื่อว่ากุมภกรรฐ์ชาญไชย ชรอยเจ้าลงกาจะว่าขาน หักหาญให้ออกมาจงได้ ขอพระจักรกฤษณ์ฤทธิไกร จงโปรดไว้ชีวาพระยามาร

ฯ ๖ คำ ฯ

๘๔๑๏ เมื่อนั้น พระทรงสังข์ฟังว่าน่าสงสาร จึ่งตรัสตอบวาจาโหราจารย์ แม้นพี่ท่านเที่ยงธรรม์ไม่ฉันทา ผู้ใดทำชอบผิดจะคิดเห็น ไม่ชั่วเช่นทศภักตร์ยักษา ท่านจงไปห้ามปรามตามกิจจา ให้เชษฐาเลิกทัพกลับไป เราทำศึกสำเร็จเสร็จการ สมบัติทั้งเมืองมารจะมอบให้ แม้นขืนอยู่สู้รบฤทธิไกร จะบรรไลยไม่ทันพริบตา

ฯ ๖ คำ ฯ

๘๔๒๏ บัดนั้น พิเภกรับสั่งใส่เกษา ก้มเกล้ากราบงามสามลา แล้วออกจากพลับพลาคลาไคล

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๔๓๏ ถึงกองทัพลับฬ่อแลมอง ดูแซ่ซ้องพลนิกายนายไพร่ เห็นเชษฐาฤทธิรงค์ทรงรถไชย อกใจทึกทึกนึกภาวนา แต่เปนการรับสั่งไม่ยั้งหยุด รีบรุดเข้าไปใกล้รัถา นั่งลงตรงภักตร์พระพี่ยา อสุราบังคมก้มกราน

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๔๔๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ฤทธิแรงกำแหงหาญ เห็นพิเภกมาประนตบทมาลย์ ให้เดือดดาลกริ้วกราดตวาดไป เหม่ไอ้สอพลอทรลักษณ์ จะรู้จักวงษาก็หาไม่ ไปเปนข้ามนุษย์สนุกใจ เดี๋ยวนี้มาว่าไรไอ้อัปรี

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๔๕๏ เมื่อนั้น พิเภกประนตบทศรี จึ่งว่าข้ามาเฝ้าฝ่าธุลี จะทูลความตามที่สัจจา พระรามองค์นี้ฤๅคือนารายน์ จะมาปราบราพร้ายฤษยา พระพี่ทรงสัตย์ธรรม์ไม่ฉันทา จะพลอยมาเกี่ยวข้องไม่ต้องการ บัดนี้พระนารายน์วายุกุล ใช้ข้ามาทูลว่าขาน ให้พระองค์ทรงถือศีลทาน อย่ารอนราญเลิกทัพกลับไป แม้นสำเร็จเสร็จศึกสงคราม ปราบปรามปรปักษ์ตักไษย สมบัติทั้งกรุงลงการาไชย จะมอบให้พระองค์ทรงธรรม์

ฯ ๘ คำ ฯ

๘๔๖๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ฤทธิแรงแขงขัน ได้ฟังอนุชามารำพรรณ ตบหัดถ์สรวลสันต์แล้วว่าไป ช่างยกย่องสองมนุษย์ว่านารายน์ เพราะเปนนายของมึงจึ่งรักใคร่ พระรามเปนเจ้าลงกาฤๅว่าไร จะยกเมืองมาให้แก่กู ช่างเจรจาพาทีไม่มีอาย หยาบคายคนพาลรำคาญหู จะเปรียบเปนปฤษณาว่าให้รู้ พระพี่กูต้องอย่างช้างงารี เมื่อเมียตัวอักนิษฐไม่คิดรัก ไปลอบลักภรรยาเขาพาหนี อันลักษณ์รามพี่น้องสองคนนี้ คือชีเฉาโฉดโหดไร้ เปนชายถึงสองมาท่องเที่ยว แต่หญิงเดียวไม่รักษาได้ ครั้นหาเมียไม่พบตระหลบไป ชิงไชยสังหารผลาญพาลี หญิงโหดโทษร้ายขายหน้า คืออีสำมนักขาบัดสี หนึ่งชายทรชนคนอัปรี คือตัวมึงนี้ไอ้ทรยศ พระพี่ขับกลับเข้าด้วยข้าศึก ที่ข้อขำล้ำฦกก็บอกหมด อันตัวกูสุจริตไม่คิดคด จะแทนทดคุณองค์เจ้าลงกา เองไอ้คนอักตัญญู ตัวกูไม่ควรคบหา จงไปให้นารายน์นายมึงมา กูจะคอยเข่นฆ่าให้วอดวาย

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๘๔๗๏ เมื่อนั้น พิเภกหวาดหวั่นขวัญหาย ความกลัวพี่ยาจะฆ่าตาย ก็ผันผายรีบกลับมาฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๔๘๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ ทูลพระหริวงษ์รังสรรค์ ซึ่งโปรดให้ไปว่ากุมภกรรฐ์ ก็โกรธขึ้งดึงดันพาที เจรจาจ้วงจาบหยาบใหญ่ มิควรกราบทูลใต้บทศรี ขับข้ามาเฝ้าฝ่าธุลี ให้กรีธาพลไปรณรงค์

ฯ ๔ คำ ฯ

ช้า

๘๔๙๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสูงส่ง จึ่งตรัสว่ากุมภกรรฐ์นั้นทนง จะณรงค์สงครามก็ตามใจ ตรัสพลางทางสั่งสุครีพ จงเร่งรีบจัดพหลพลไพร่ ออกไปผลาญกุมภกรรฐ์ให้บรรไลย อย่าให้ถึงทัพใหญ่ไปราวี

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๘๕๐๏ เมื่อนั้น พระยาสุครีพกระบี่ศรี รับสั่งบังคมพระจักรี ออกมาจัดโยธีรี้พล

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๘๕๑๏ เกณฑไพร่ได้สามสิบหมื่น แต่พื้นเคยศึกฝึกฝน ถือสาตราอาวุธสำหรับตน ครั้นเสร็จสรรพขับพลรีบมา

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

๘๕๒๏ ครั้นถึงทิวทุ่งกว้างกลางแปลง เห็นธงเทียวเขียวแดงดาดป่า พอเกือบใกล้ให้หยุดโยธา คอยดูทีกิริยาอสุรี

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๕๓๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษี เห็นสุครีพน้องพระยาพาลี รู้ว่ามีกำลังวังชา เมื่อครั้งหักฉัตรไชยในกรุง ได้รบพุ่งทศภักตร์หนักหนา จำจะลวงล้างผลาญด้วยมารยา จึ่งร้องว่าเหวยสุครีพขุนกระบี่ เองคิดฆ่าพี่ชายวายปราณ หมายใจจะได้ผ่านกรุงศรี มาให้เขาใช้เล่นอยู่เช่นนี้ ไม่พอที่จะเปนข้ามนุษย์ เมื่อเองเปนลิงค่างต่างชาติ องอาจยกทัพมาสัปรยุทธ กูอายแก่เทวานาคาครุธ จะณรงค์ยงยุทธกันอย่างไร จงเลิกทัพกลับคืนไปแจ้งความ ให้ลักษณ์รามออกมาอย่าช้าได้ กูจะผลาญชีวันให้บรรไลย มิให้ช้าได้ถึงกึ่งวัน

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๘๕๔๏ เมื่อนั้น สุครีพฤทธิแรงแขงขัน โกรธาว่าเหวยกุมภกรรฐ์ หยาบช้าสารพันพูดจา ท่านอย่าอวดฤทธิไกรไปนัก ทนงศักดิหยาบใหญ่ให้เกินหน้า อันพาลีพี่เรามรณา เพราะว่าสาบาลตัวไว้ อันองค์พระอวตารผ่านภพ หาควรคู่สู้รบกับมึงไม่ จึ่งใช้กูผู้เรืองฤทธิไกร คุมไพร่มาสังหารผลาญยักษ์ ท่านเปนน้องเจ้าลงกาธานี เราก็น้องพาลีมีศักดิ อย่าเพ่อพูดทนงนึกฮึกฮัก ไม่ช้านักชีวันจะบรรไลย

ฯ ๘ คำ ฯ

๘๕๕๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ตอบคำแก้ไข แม้นท่านดีมีฤทธิ์จงเร่งไป ถอนต้นรังใหญ่ในหิมพานต์ แม้นได้ฉับเฉียวประเดี๋ยวนี้ จะเห็นมีฤทธาเหมือนว่าขาน นี่อวดกันเปล่าเปล่าไม่เข้าการ จะรอนราญเสียสง่าอาวุธ

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๕๖๏ เมื่อนั้น สุครีพโกรธใจดังไฟจุด จึ่งเขาพระสุเมรุเอนทรุด เราช่วยฉุดให้ตรงคงไว้ ซึ่งจะดูพฤกษาพระยารัง มิทำดังวาจาจะว่าได้ ว่าพลางทางแผลงฤทธิไกร เหาะไปหิมพานต์พนาวัน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๘๕๗๏ เห็นรังใหญ่ไม่น้อยสักร้อยอ้อม จึ่งลงจอมเขาใหญ่ไพรสัณฑ์ สองหัดถ์รัดรวบต้นรังพลัน เท้ายันโยกชักด้วยศักดา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๕๘๏ ฉุดกระชากรากขาดขึ้นมาได้ สมหวังดังใจปราถนา มิได้หยุดยั้งรั้งรา ใส่บ่าแบกกลับมาฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๕๙๏ ครั้นถึงจึ่งลงหยุดยั้ง ชูต้นรังหัวเราะเยาะหยัน ประกาศก้องร้องเหวยกุมภกรรฐ์ มิใช่รังต้นนั้นฤๅฉันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๖๐๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์หมายชนะกะได้ จึ่งว่าเองโง่เง่าไม่เข้าใจ กูจะจับเปนไปประเดี๋ยวนี้ แล้วเผ่นโผนโจนจากรถทรง โถมตรงเข้าจับกระบี่ศรี ตีต้องถูกกายหลายที น้องพาลีหันเหเซไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๘๖๑๏ เมื่อนั้น สุครีพขุนกระบี่หาหนีไม่ แรงน้อยถอยรบรับไว้ ชิงไชยป้องปัดสาตรา ยักษาถาโถมเข้าโจมจับ กลอกกลับหันเหียนเปลี่ยนท่า ต่อแย้งแทงฟันกันไปมา หมายเขม้นเข่นฆ่าราวี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๘๖๒๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์รุกไล่มิให้หนี ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรขุนกระบี่ ได้ทีตีซ้ำร่ำไป บุกบั่นประจัญบานหาญหัก จับสุครีพหนีบนักแร้ได้ ให้เลิกทัพขับพลสกลไกร ทั้งนายไพร่โห่ร้องก้องมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๘๖๓๏ บัดนั้น พลกระบี่นิกายซ้ายขวา เห็นเขาจับนายไปไม่อยู่ช้า ก็วิ่งไปพลับพลาพนาวัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๖๔๏ ครั้นถึงลนลานคลานเข้าเฝ้า ทูลเล่าตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ สุครีพพ่ายแพ้แก่กุมภกรรฐ์ เดี๋ยวนี้มันหนีบพาไปธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๘๖๕๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านฟ้าราษี แจ้งว่าสุครีพขุนกระบี่ เสียทีกุมภกรรฐ์พรั่นพระไทย จึ่งสั่งองคตหณุมาน สองทหารเร่งตามไปแก้ไข เห็นจะทันมั่นคงจงรีบไป ชิงได้แล้วกลับมาพลับพลา

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๖๖๏ บัดนั้น สองนายรับสั่งใส่เกษา ถอยหลังลนลานคลานออกมา แต่พอลับแล้วพากันเหาะไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๖๗๏ ทันทัพแทบทวารชานกำแพง ไม่รอแรงรีบโถมโจมไล่ ถีบถูกกุมภกรรฐ์หันเซไป สุครีพพลัดออกได้ไล่ตามตี หณุมานรวบรัดกัดหูขวา องคตขบนาสายักษี สุครีพถีบซ้ำอิกสองที สามกระบี่เข้ากลุ้มรุมรัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๖๘๏ เมื่อนั้น พระยามารซานเซเหหัน ไม่ทันชักกระบองออกป้องกัน วิ่งถลันหลบองค์เข้าลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๖๙๏ บัดนั้น สามกระบี่มีไชยแก่ยักษา สุครีพรีบชวนสองนัดดา เหาะมากองทัพพลับพลาไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๗๐๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าประนมบังคมไหว้ สุครีพครั่นคร้ามขามใจ เมียงหมอบมิได้เงยภักตร์

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๗๑๏ เมื่อนั้น พระนารายน์สุริวงษ์ทรงจักร คิดแค้นเคืองในพระไทยนัก เพ่งภักตร์แล้วดำรัสตรัสไป ดูดู๋สุครีพขุนกระบี่ เสียทีเปนบุตรพระสุริย์ใส ช่างโง่เง่าเฉาเชิงชิงไชย เสียแรงเปนผู้ใหญ่ในพลับพลา กลศึกเพียงนี้ยังมิรู้ อดสูพวกยักษ์หนักหนา หากคิดถึงความดีที่มีมา หาไม่ชีวาจะวอดวาย แม้นถ้าทีหลังยังไม่เข็ด เห็นศีศะจะเด็ดกระเด็นหาย พระกริ้วกราดคาดโทษมากมาย แล้วผันผายเข้าสุวรรณพลับพลาไชย

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๘๗๒๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ร้อนอกหมกไหม้ หูวิ่นจมูกแหว่งแขงใจ เลือดไหลโซมซาบอาบองค์มา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๘๗๓๏ เข้าในพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ กราบกรานบทเรศพระเชษฐา คั่งแค้นแน่นอกอสุรา สอึกสอื้นโศกาจาบัลย์

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๘๗๔๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรรังสรรค์ ลดองค์ลงกอดกุมภกรรฐ์ เจ้าโศกศัลย์สิ่งไรอย่าได้พราง แล้วแลดูหูจมูกก็หวะแหว่ง เลือดแดงโซมหน้าดังทาฝาง ช่วยคัดเลือดแล้วถามเนื้อความพลาง เจ้าเปนอย่างไรนี่อนุชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๗๕๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์แจ้งเหตุพระเชษฐา ข้าจับได้สุครีพหนีบแขนมา จนจะถึงทวาราเวียงไชย ไอ้องคตหณุมานตามมาชิง ทั้งสามลิงรุกรบหลบไม่ไหว มันกัดหูจมูกข้าน่าน้อยใจ คิดจะใคร่สังหารผลาญชีวัน น้องขอลาพระองค์ทรงเดช ขึ้นไปเฝ้าพรหเมศเมืองสวรรค์ เอาโมกขศักดิมาฆ่าพวกมัน ให้ทันที่แค้นแน่นใจ ทูลพลางทางถวายบังคมลา ออกมาน่าพระโรงทองผ่องใส สำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร เหาะไปเมืองสวรรค์ชั้นวิมาน

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๘๗๖๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปนั่งลง บังคมองค์ธาดาแล้วว่าขาน ข้ามาเฝ้าเจ้าฟ้าจงโปรดปราน ขอประทานโมกขศักดิซึ่งฝากไว้

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๗๗๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวธาดาอัชฌาไศรย หยิบหอกเห็นเปนถนิมไป จึ่งยื่นให้อสุราแล้วพาที ไฉนอาวุธนี้วิประลาศ เองประมาทสิ่งไรฤๅยักษี จงเร่งรักษาองค์ให้จงดี เห็นเภทไภยจะมีมาบีฑา

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๗๘๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ทูลไปไม่มุสา เดิมทีนั้นองค์เจ้าลงกา ไปลักนางสีดามาไว้ ผัวเขาตามประจญรณรงค์ ฆ่าพงษ์พวกยักษ์ตักไษย พระเชษฐาใช้ข้าออกชิงไชย ข้าได้ทูลขัดทัดทาน กลับยกโทษโกรธเกรี้ยวเคี่ยวเข็น จำเปนจึงต้องออกหักหาญ มิใช่จะประพฤติด้วยพวกพาล เปนความสัตย์ปฏิญาณอย่างนี้ ข้าหมายว่าถ้าแม้นม้วยมิด เอาชีวิตรทดแทนคุณพี่ ทูลพลางทางลาจรลี อสุรีเหาะตรงไปลงกา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๘๗๙๏ ครั้นถึงจึ่งสั่งฤทธิการ เราจะไปจักรวาฬภูผา ลับหอกให้ดีมีศักดา จงเร่งจัดโยธาเวลานี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๘๐๏ บัดนั้น ฤทธิการรับสั่งใส่เกษี มาเทียมรถรีบรัดจัดโยธี พร้อมพรั่งดังมีบัญชาการ

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม เจรจา

๘๘๑๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ฤทธิแรงกำแหงหาญ ครั้นเสร็จจัดพหลพลมาร มาอ่าองค์สรงสนานนที แล้วสอดใส่เครื่องประดับสำหรับองค์ พระหัดถ์ทรงโมกขศักดิของยักษี ให้คลี่คลายขยายยกโยธี ออกจากบุรีลงกา

ฯ ๔ คำ ฯ กราวใน

๘๘๒๏ ครั้งถึงฝั่งนทีสีทันดร ล้วนศิงขรเขียวชอุ่มพุ่มพฤกษา เห็นศิลาทับทิมริมคงคา จึ่งหยุดยั้งสั่งมหาเสนาใน จงเร่งรัดจัดปลูกโรงพิธี ให้ร่มที่แผ่นผาศิลาใหญ่ ทั้งธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้ ล้วนเครื่องแดงแต่งไว้ตามตำรา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๘๘๓๏ บัดนั้น ฤทธิการรับสั่งใส่เกษา มาเกณฑ์ไพร่ให้เที่ยวเกี่ยวคา บ้างตัดไม้ในป่าพนาวัน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ชมตลาด

๘๘๔๏ ปลูกโรงพิธีสี่มุข สีสุกล้วนแดงแสงฉัน ข้างนอกติดช่อฟ้าน่าบัน ข้างในนั้นตั้งอาศน์ดาดเพดาน รายรอบราชวัตรฉัตรเบญจรงค์ ปักธงสีแดงแสงฉาน พร้อมพรั่งตั้งเครื่องมัสการ เตรียมท่าพระยามารดังบัญชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๘๕๏ เมื่อนั้น น้องท้าวทศภักตร์ยักษา ครั้นแล้วโรงพิธีก็ปรีดา จึ่งสั่งมหาเสนาใน จงเกณฑ์กันตรวจตราในสาคร เน่าหนอนอย่าให้มีมาได้ สั่งแล้วพระยามารชาญไชย เข้าในโรงพิธีมิได้ช้า

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๘๘๖๏ จุดธูปเทียนสุวรรณพรรณราย โปรยปรายเข้าตอกดอกบุบผา จับพระแสงโมกขศักดิเพียงภักตรา ไหว้มหาพรหมมานชาญไชย แล้วร่ายเวทวิธีบริกรรม เรียกน้ำท่วมน่าศิลาใหญ่ จึ่งลับโมกขศักดินั้นทันใด ไม่หยุดยั้งตั้งใจภาวนา

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

ช้า

๘๘๗๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา เสด็จออกอำมาตย์มาตยา เฝ้าฝ่ายซ้ายขวาเยียดยัด สำราญองค์ทรงนั่งฟังข่าว แต่เช้าจนเที่ยงเสียงสงัด เห็นศึกว่างเว้นวันสันทัด จึ่งดำรัสตรัสถามโหรา เหตุไฉนกุมภกรรฐ์วันนี้ จึ่งไม่ยกโยธีมาเข่นฆ่า จะหยุดหย่อนผ่อนกำลังวังชา ฤๅว่าจะคิดอ่านประการใด

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๘๘๘๏ บัดนั้น พิเภกรับสั่งบังคมไหว้ จึ่งจับยามตามสังเกตเภทไภย เห็นแน่ใจแล้วทูลขึ้นทันที กุมภกรรฐ์นั้นไปจักรวาฬ ลับอานโมกขศักดิยักษี เจ็ดวันหอกกรดหมดราคี ก็จะมีอานุภาพปราบแดนไตร ขอพระองค์ทรงฤทธิ์จงคิดอ่าน อย่าให้การสำเร็จเสร็จได้ อันพระยากุมภกรรฐ์นั้นไซ้ พอใจแต่สำอางอย่างดี ถ้าเน่าเหม็นเห็นแล้วก็รากท้น อ่านมนต์ไม่เปนศุขจะลุกหนี คงจะเสียการกิจพิธี พระจักรีจงดำริห์ตริการ

ฯ ๘ คำ ฯ

๘๘๙๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงฟังว่าขาน จึ่งตรัสสั่งองคตหณุมาน สองทหารจงจำคำโหรา ไปล้างกิจพิธีกุมภกรรฐ์ อย่าให้มันทำสมปราถนา ซึ่งหนทางทิศใดจะไคลคลา ถามพระยาพิเภกให้แจ้งใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๙๐๏ บัดนั้น องคตหณุมานทหารใหญ่ ถวายบังคมลาคลาไคล เหาะไปนทีสีทันดร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๙๑๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นโรงพิธี ตั้งที่หาดทรายชายศิงขร เห็นยักษ์เที่ยวตรวจตราริมสาคร สองวานรลอบลงให้ลับตา หณุมานนิมิตรด้วยฤทธิรงค์ เปนสุนักข์เน่าส่งกลิ่นกล้า องคตน้องชายกลายเปนกา จับจิกลอยมาตรงหน้ายักษ์

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ โล้

๘๙๒๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์นั่งลับโมกขศักดิ ได้กลิ่นเหม็นเห็นกากินสุนักข์ พระยายักษ์รากท้นไม่ทนทาน จับหอกออกจากโรงพิธี อสุรีเดือดด่าโยธาหาญ แล้วเลิกทัพกลับพหลพลมาร ไปสถานลงกาธานี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๘๙๓๏ บัดนั้น สองนายกลายเปนกระบี่ศรี ต่างตนสำแดงแผลงฤทธี เหาะข้ามวารีรีบมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๘๙๔๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล พระนารายน์วายุกูลนาถา ตามได้คิดอ่านมารยา อสุราเสียกิจพิธี

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๙๕๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี ตรัสชมสองกระบินทร์ด้วยยินดี ไม่เสียทีทำได้ดังใจคิด แล้วสั่งสัตพลีให้จดหมาย เปนความชอบสองนายสุจริต พอรอนรอนอ่อนแสงพระอาทิตย์ ทรงฤทธิ์เข้าในที่ไสยา

ฯ ๔ คำ ฯ

๘๙๖๏ เมื่อนั้น พระยากุมภกรรฐ์ยักษา พอสิ้นแสงสุริยงถึงลงกา เข้ามาพระโรงรัตน์ชัชวาลย์

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๘๙๗๏ น้อมประนมก้มเกล้าเคารพ พระปิ่นภพลงกามหาสถาน ทูลแถลงแจ้งเหตุเภทพาล จนเสียการตระบะกิจพิธี

ฯ ๒ คำ ฯ

๘๙๘๏ เมื่อนั้น ทศเศียรฟังน้องให้หมองศรี จึ่งว่าเหตุซึ่งเปนถึงเช่นนี้ ใช่จะมีมาในชลธาร ปัจจามิตรคิดการแก้ไข หมายมิให้เหมือนจิตรคิดอ่าน เพราะพิเภกจรรไรใจพาล มันจะผลาญสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงไปยงยุทธ ฆ่ามนุษย์ลิงป่าให้อาสัญ ไอ้พิเภกพี่แสนแค้นมัน ให้กุมภัณฑ์มัดมายังธานี

ฯ ๖ คำ ฯ

๘๙๙๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ประนตบทศรี ทูลลาพระเชษฐาธิบดี ไปปราสาทมณีที่สำนักนิ์

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๙๐๐๏ เอนองค์ลงบนบรรจฐรณ์ ให้อาวรณ์วิตกเพียงอกหัก ยอกรก่ายวิลาศพาดภักตร์ คิดสงครามรามลักษณ์จนหลับไป

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๙๐๑๏ ครั้นดาวเดือนเลื่อนลับเมฆา สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล ประดับองค์ทรงเครื่องอำไพ ออกท้องพระโรงไชยฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๙๐๒๏ จึ่งสั่งมารกาลสูรเสนา จงตระเตรียมโยธาทัพขัน เราจะยกพหลพลกุมภัณฑ์ ไปโรมรันรามลักษณ์อิกสักที

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๐๓๏ บัดนั้น กาลสูรรับสั่งใส่เกษี ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาที่ศาลาน่าวัง

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๙๐๔๏ รีบรัดจัดทัพสำหรับรบ ตามขนบซ้ายขวาน่าหลัง เกียกกายเกณฑ์รดมสมกำลัง แมวเซาเฝ้าฟังยุบลความ ขุนช้างผูกช้างรวางใหญ่ เคยดับไฟหักค่ายส่ายขวากหนาม ทหารม้าขี่ม้ากล้าสงคราม ถือทวนผูกภู่จามรีกรอง ขุนรถเทียมโตโคถึก เคยออกศึกฝีเท้าเคล่าคล่อง พลเท้าสันทัดทำนอง เคยรับรองรบรุกบุกบัน จัดทัพนับถ้วนสิบสมุท ถืออาวุธใส่เกราะเหมาะมั่น แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพรรณ โลทันมาประทับกับเกยลา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๙๐๕๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา เสด็จจากแท่นแก้วแววฟ้า มาโสรจสรงคงคาอ่าองค์

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๙๐๖๏ ชำระสระสนานนที มุรธาวารีภิเศกสรง ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณบรรจง อบองค์อสุรินทร์กลิ่นขจร สนับเพลาพลอยพรายลายกระหนก ภูษายกแย่งทองตองอ่อน ฉลององค์ทรงเกราะเกล็ดมังกร กรองสอซ้อนสังเวียนวิเชียรรัตน์ ปั้นเหน่งเพ็ชรเพทายสายประสาน สอดสังวาลโอบองค์วงกระหวัด ทับทรวงแซมดอกไม้ไหวทัด พาหุรัดมรกฎรจนา ทับทิมทองกรซ้อนทรง ธำมรงค์พรรณรายทั้งซ้ายขวา ทัดกรรเจียกจรแก้วแววฟ้า ขัดคทาสำหรับกรรอนราญ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๙๐๗๏ ครั้นเสร็จสรรพจับหอกโมกขศักดิ พระยายักษ์เสด็จมาน่าฉาน ให้เดินทัพขับพหลพลมาร เหล่าทหารโห่ร้องก้องไป

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๙๐๘๏ รถเอยราชรถทรง เสียงกงก้องสนั่นหวั่นไหว โตกตั้งบัลลังก์แก้วแววไว งอนรหงธงไชยโบกบน เทียมไกรสรราชผาดผยอง ดังจะล่องลอยฟ้าเวหาหน เครื่องสูงบังแสงสุริยน เบื้องบนบดคลุ้มชอุ่มควัน เสียงสังข์เสียงแตรแซ่ซ้อง ฆ้องกลองโครมครึกพิฦกลั่น พวกพหลพลมารชาญฉกรรจ์ แห่แหนแน่นนันพนาไลย ต่างสำแดงแผลงเดชเดชา สเทื้อนท้องหิมวาป่าใหญ่ สัตวสิงวิ่งหนีเข้าพงไพร เร่งร้นพลไกรเกรียวมา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๙๐๙๏ ครั้นถึงสนามยุทธให้หยุดทัพ คั่งคับพลนิกายซ้ายขวา ตั้งกองป้องกันเปนปีกกา คอยจะยุทธนาราวี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๙๑๐๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี เสด็จออกพลับพลาน่าคิรี เสนีก้มเกล้าเคารพ ตรัสประภาศราชกิจคิดอ่าน กระทำการสงครามตามขนบ พอได้ยินโห่ร้องก้องพิภพ ผงคลีคลุ้มกลุ้มกลบกลางไพร จึ่งตรัสถามพิเภกโหรา วันนี้เสียงโยธาทัพใหญ่ กุมภกรรฐ์ยกมาฤๅว่าใคร จงดูให้รู้จักตระหนักนาม

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๙๑๑๏ บัดนั้น พิเภกได้ฟังรับสั่งถาม ลงเลขไล่ขับแล้วจับยาม ก็แจ้งความตามเคยสังเกตมา จึ่งทูลพระหริวงษ์ทรงธรรม์ ทัพนี้กุมภกรรฐ์ยักษา ออกมาด้วยโทโสโกรธา สงครามคราวนี้กล้ากว่าทุกครั้ง

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๑๒๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงสังข์ ทราบว่าไพรีมีกำลัง จึ่งตรัสสั่งอนุชายาใจ เจ้าจงรีบยกทัพไปรับรอง สังหารน้องทศภักตร์ให้ตักไษย อย่าประมาทพลาดพลั้งระวังระไว ชิงไชยให้ชนะอสุรา ว่าพลางทางสั่งสุรเสน จงรีบเกณฑ์พลนิกายซ้ายขวา เลือกล้วนกระบี่มีศักดา ให้พระอนุชาไปราวี

ฯ ๖ คำ ฯ

๙๑๓๏ บัดนั้น สุรเสนรับสั่งใส่เกษี บังคมพระหริรักษ์จักรี ออกไปที่สนามหัดจัดแจง

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๙๑๔๏ กองน่ามายูรตัวนาย ปีกซ้ายทวิกันขันแขง ปีกขวาวาหุโรมฤทธิแรง กองแซงสุรการชำนาญยุทธ กองหลังตั้งนิลปาสัน กองหลวงนั้นล้วนกระบี่มีมงกุฎ พวกลิงถุงถือสาตราอาวุธ ใส่เสื้อเสนากุฏขึ้นขี่โค บ้างโพกผ้าสีชมภูหูกระต่าย ขึ้นขี่ควายแบกปืนยืนโห่ บ้างใส่หมวกตุ้มปี่ขี่สิงโต ถือพร้าโต้ตั้งท่าจะราวี บ้างนุ่งผ้าตาโถงโจงกระเบน แกว่งหอกกลอกเขนขึ้นขี่หมี แล้วเทียมราชรัถาด้วยพาชี มาเทียบที่เกยน่าพลับพลาไชย

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๙๑๕๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์รัศมีศรีใส ครั้นจัดทัพสรรพเสร็จเสด็จไป สรงน้ำในขันทองรองเรือง

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๙๑๖๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนสุวรรณ ผิวพรรณนวลเนื้อเรื่อเหลือง สนับเพลาภูษาค่าเมือง ชายแครงแสงประเทืองทองรยับ ห้อยน่าตาชุนเชิงขลิบ ผ้าทิพย์ตาดติดเลื่อมสลับ ฉลององค์เกราะแก้วแวววับ คาดปั้นเหน่งบานพับประดับเพ็ชร สร้อยสนสังวาลวรรณกุดั่นดวง ทับทรวงแสงจำรัสตรัจเตร็จ พาหุรัดรายพลอยลอยเม็ด ทองกรซ้อนเจ็ดเส้นทรง สวมใส่ชฎามหากระถิน ห้อยอุบะประทิ่นกลิ่นส่ง นิ้วพระหัดถ์จัดเรียบธำมรงค์ ครั้นเสร็จทรงศรศรีลีลา

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๙๑๗๏ พรั่งพร้อมพหลพลพฤนท์ พวกกระบินทร์บังคมก้มเกษา ขยายยกพยุหบาตรยาตรา ดังสุธาจะพลิกคว่ำทำลาย

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๙๑๘๏ รถเอยรถทรง กำกงวงเวียนวิเชียรฉาย บุษบกบัลลังก์แก้วแพรวพราย งอนรหงธงชายปลายปลิว เทียมเทพอาชาพลาหก เพียงจะผกผันผยองล่องลิ่ว เกณฑ์แห่แตรสังข์ตั้งตาริ้ว ธงทิวทานตวันกันภิรุม พลพื้นปืนแดงแซงซ้ายขวา เสือป่าแมวมองกองซุ่ม กึกก้องกลองชนะปะเปิงครุม เสียงสเทือนสุมทุมพุ่มพง วานรนับแสนแน่นเนินผา เหยียบศิลาลุยแหลกแตกเปนผง ไม้ไล่ลู่ล้มระทมลง เร่งรัดจัตุรงค์ตรงไป

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๙๑๙๏ ครั้นถึงที่รบพบกองทัพ โกฏิแสนแน่นนับอสงไขย จึ่งหยุดพวกพลรบสงบไว้ จะดูเชิงชิงไชยไพรี

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๒๐๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษี ยืนเขม้นเห็นมนุษย์นายกระบี่ ท่วงทีงามพร้อมลม่อมลไม จึ่งให้เคลื่อนเลื่อนราชรถทรง มายืนตรงภักตราแล้วปราไส ท่านชื่อลักษณ์ฤๅรามนามใด บังอาจใจจะมาราวี

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๒๑๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ทรงสวัสดิรัศมี จึ่งตอบกุมภกรรฐ์ทันที เรานี้นามพระลักษณ์ศักดา เปนน้องพระหริวงษ์องค์นารายน์ จะมาปราบราพร้ายฤษยา ท่านฤๅคือองค์เจ้าลงกา ที่ไปลักนางสีดามาไว้

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๒๒๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ยักษาอัชฌาไศรย ฟังพระลักษณ์ทักถามความใน ให้อายใจจำเปนเจรจา เราฤๅคือพระยากุมภกรรฐ์ ทรงธรรม์ทศพิธไม่อิจฉา ซึ่งท่านว่าทศภักตร์ลักสีดา ไยมิฆ่าฟันกันเมื่อวันลัก แกล้งยกทัพมาประชิดติดนคร ให้เดือดร้อนไพร่ฟ้าอาณาจักร เราจึ่งต้องยกพหลพลยักษ์ มาปราบปรามรามลักษณ์กับลิงไพร ได้เห็นท่านรูปร่างอย่างสัตรี แม้นสู้ฝีมือยักษ์จะตักไษย จงคืนเข้าพลับพลาพนาไลย บอกให้เชษฐามาราวี เราจะคอยสังหารผลาญชีวิตร ด้วยฤทธิ์โมกขศักดิยักษี ช่วยห้ามปรามตามเมตตาปรานี อย่าช้าทีถอยทัพกลับไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๙๒๓๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์รัศมีศรีใส จึ่งตอบคำขุนมารชาญไชย ท่านว่าไม่เปนกลางทางธรรม์ ถ้าทศภักตร์ลักนางไปต่อหน้า จะได้ผลาญชีวาให้อาสัญ นี่ลอบเล่นลับหลังทั้งนั้น จึ่งติดพันรบพุ่งถึงกรุงไกร ซึ่งตัวท่านหาญฮึกนึกประมาท เศียรจะขาดกลิ้งอยู่หารู้ไม่ จะให้พระเชษฐาออกมาไย แต่เราไซ้กับท่านจะราญรอน ถึงองค์เจ้าลงกาออกมาด้วย ก็จะม้วยชีวิตรด้วยฤทธิ์ศร อันยักษีตรีเศียรหกกร กับทูตขรน้องชายตายเพราะใคร

ฯ ๘ คำ ฯ

๙๒๔๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์เคืองขัดอัชฌาไศรย กระทืบบาทกราดเกรี้ยวตรัสไป เหม่มนุษย์นี้ใจทนงนัก จะฆ่าเสียให้ตายวายชีวิตร เอาโลหิตเซ่นหอกโมกขศักดิ แล้วร้องสั่งพหลพลยักษ์ เร่งตีทัพจับพระลักษณ์มาบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๒๕๏ บัดนั้น พวกพลอสุรศักดิยักษี รับสั่งสำแดงแผลงฤทธี เข้าโจมตีทัพน่าวานร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๒๖๏ บ้างเงื้อหอกทวนแทงแกว่งดาบ ยิงธนูกำซาบศิลป์ศร ทั้งซ้ายขวาดากันฟันฟอน ตลุมบอนบันบุกรุกรบ

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๒๗๏ บัดนั้น พลกระบินทร์ปลิ้นปลอกหลอกหลบ ชิงอาวุธฉุดชักหักทบ บ้างกัดขบกุมภัณฑ์คั้นฅอ บ้างเผ่นโผนโจนทยานขึ้นเหยียบบ่า เงื้อสาตราฟันแทงแขงข้อ ได้ทีตีประดังไม่รั้งรอ อสุรพลย่นย่อท้อถอยไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๙๒๘๏ บัดนั้น สี่เสนามารทหารใหญ่ เห็นโยธาอาสัญบรรไลย ลิงไล่ติดพันกระชั้นมา ต่างกวัดแกว่งตะบองร้องตวาด องอาจออกสกัดกั้นหน้า ตีลิงกลิ้งเกลื่อนกลางสุธา อสุราไล่รุกบุกบัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๒๙๏ บัดนั้น ฝ่ายกระบินทร์นิลเอกนิลขัน สุรเสนสุรการชาญฉกรรจ์ เข้าประจัญจับสี่เสนียักษ์ ถ้อยทีตีรันฟันแทง เรี่ยวแรงรอนราญหาญหัก ฉวยชิงอาวุธฉุดชัก กลอกกลับจับยักษ์ด้วยศักดา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๙๓๐๏ สี่กระบี่มีกำลังไม่ยั้งหยุด ทยานยุดยันเหยียบยักษา แกว่งพระขรรค์ฟันสี่เสนา ล้มดิ้นสิ้นชีวาวายปราณ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๙๓๑๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ฤทธิไกรใจหาญ เห็นเสนีนายไพร่บรรไลยลาญ ยิ่งกริ้วโกรธโดดทยานลงจากรถ แกว่งหอกหวดประหารราญรอน วานรใหญ่น้อยถอยไปหมด พระยามารดาลเดือดไม่เงือดงด รุกเข้ามาน่ารถพระอนุชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๓๒๏ เมื่อนั้น น้องนารายน์ฤทธิแรงแขงกล้า แลเห็นกุมภกรรฐ์กระชั้นมา จึ่งลงจากรัถาเข้าราวี ขึ้นเหยียบเข่าขุนมารทยานยุด กลอกกลับสัปรยุทธยักษี รับรองป้องกันประจันตี ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๙๓๓๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา ประจัญบานหาญหักด้วยศักดา เห็นว่าไม่ชนะมนุษย์ จึ่งแกล้งทำลวงฬ่อรอรั้ง ถอยหลังรบรับสัปรยุทธ แกว่งกลอกหอกเทพอาวุธ เยื้องกรายหมายมนุษย์แล้วพุ่งไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๙๓๔๏ โมกขศักดิปักอกพระอนุชา จะดำรงกายามิใคร่ได้ สุครีพเข้ารับรองประคองไว้ สลบซบไปไม่สมประดี

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๙๓๕๏ บัดนั้น โยธาวานรไม่ถอยหนี ออกรับรองป้องกันประจันตี มิให้ไพรีรุกมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๓๖๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา ครั้นมีไชยชนะพระอนุชา พอโพล้เพล้เวลาสายัณห์ จึ่งประชุมพลนิกายนายไพร่ แล้วสั่งให้โห่ร้องก้องสนั่น เสด็จทรงรถแก้วแพรวพรรณ เลิกพหลพลขันธ์เข้าเมืองยักษ์

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๙๓๗๏ บัดนั้น พวกพลกระบี่มีศักดิ เคียงประคองน้องพระหริรักษ์ ฉุดชักหอกไชยไม่เคลื่อนคลา เปนสุดรู้สุดฤทธิ์จะคิดอ่าน แสนสงสารพระลักษณ์หนักหนา บ้างกลิ้งเกลือกเสือกกายฟายน้ำตา โศกาอื้ออึงคนึงไป

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๙๓๘๏ แล้วสุครีพปฤกษาว่านิลนนท์ เราสุดจนพ้นที่จะแก้ไข ท่านเร่งรีบกลับไปฉับไว ทูลให้ทราบบาทบทมาลย์

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๓๙๏ บัดนั้น ขุนกระบินทร์นิลนนท์นายทหาร รับคำสุครีพรีบลนลาน เหาะทยานตรงกลับมาพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๔๐๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ ทูลองค์พระนารายน์นาถา บัดนี้องค์พระอนุชา ต้องหอกพระยากุมภกรรฐ์ พวกข้าเฝ้าเข้าช่วยกันแก้ไข ไม่หวาดไหวเห็นว่าจะอาสัญ ข้าจึ่งมาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ รำพรรณทูลพลางทางโศกี

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๙๔๑๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี ได้ฟังดังจะสิ้นสมประดี ไฉนเปนเช่นนี้พระอนุชา ว่าพลางทางจับพระแสงศร พร้อมวานรไพร่นายซ้ายขวา ออกจากที่ประทับพลับพลา นิลนนท์นำน่าคลาไคล

ฯ ๔ คำ ฯ ทยอย

๙๔๒๏ ครั้นถึงที่รบเห็นศพน้อง เข้าประคองชักหอกหาออกไม่ ค่อยช้อนเกษพระลักษณ์ใส่ตักไว้ ภูวไนยครวญคร่ำรำพรรณ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๙๔๓๏ โอ้ว่าเจ้าลักษณ์น้องรักพี่ พ่อมาหนีเชษฐาอาสัญ เสียแรงได้เดินป่ามาด้วยกัน จะเข่นฆ่าอาธรรม์ให้ม้วยมรณ์ มิทันเสร็จการศึกซึ่งนึกไว้ พ่อมากลับบรรไลยไปเสียก่อน ให้พี่อยู่ผู้เดียวในดงดอน จะราญรอนอสุราไปว่าไร ถึงมีไชยได้เมียก็เสียน้อง จะเกี่ยวข้องครหานินทาได้ มิขออยู่สู้สิ้นชีวาไลย ตายไปตามพระอนุชา ว่าพลางทางประคองพระน้องรัก ซบภักตร์แนบชิดขนิษฐา พิไรร่ำกำสรดโศกา ประหนึ่งว่าชีวันจะบรรไลย

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๙๔๔๏ บัดนั้น พิเภกโหราอัชฌาไศรย จึ่งทูลพระอวตารชาญไชย ภูวไนยจงระงับดับโศกา ซึ่งพระน้องต้องหอกอสุรินทร์ ยังไม่สิ้นชีวังสังขาร์ แม้ได้สังกรณีตรีชวา กับปัญจมหานัที ประสมเปนโอสถบดพอก ให้แก้หอกโมกขศักดิยักษี พระลักษณ์ก็จะคืนสมประดี ภูมีจงดำริห์ตริการ

ฯ ๖ คำ ฯ

๙๔๕๏ เมื่อนั้น พระทรงสังข์ฟังพิเภกว่าขาน จึ่งดำรัสตรัสสั่งหณุมาน ตัวท่านรีบรัดไปบัดนี้ เก็บเอาสังกรณีตรีชวา ที่เขาสรรพยาคิรีศรี แล้วรีบไปอยุทธยาธานี บอกพระพรตตามมีธุระร้อน ให้หยิบปัญจคงคาออกมาให้ ที่เก็บไว้ข้างสุวรรณบรรจ์ฐรณ์ เกลือกไม่เชื่อวาจาวานร จงเอาศรนี้ไปเปนสำคัญ

ฯ ๖ คำ ฯ

๙๔๖๏ บัดนั้น วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน รับสั่งพระองค์ทรงสุบรรณ รเห็จหันเหาะลิ่วปลิวมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๔๗๏ ครั้นถึงสรรพยาศิงขร วานรลงเดินริมเนินผา ร้องเรียกสังกรณีตรีชวา อยู่ไหนออกมาอย่าช้าที ได้ยินขานข้างล่างลงไปค้น กลับขึ้นกู่อยู่บนคิรีศรี จึ่งเอาหางกระหวัดรัดคิรี มือกระบี่คอยจับสรรพยา

ฯ ๔ คำ ฯ คุกภาษ

๙๔๘๏ ครั้นเด็ดได้ใบรากมากมาย ลูกพระพายเกษมสันต์หรรษา แผลงฤทธิ์เหาะทยานผ่านฟ้า ตรงไปอยุทธยาในราตรี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๔๙๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง ลงยังพระโรงทองผ่องศรี พอเห็นสองกระษัตริย์สวัสดี ออกอยู่ที่พระที่นั่งสนามจันทร์ จึ่งชูศรทรงพระอวตาร ค่อยคุกคลานเข้าไปมิได้พรั่น ก้มเกล้าเคารพอภิวันท์ พลางรำพรรณทูลแถลงแจ้งกิจจา ข้าชื่อกระบี่หณุมาน เปนทหารพระราเมศเชษฐา บัดนี้ทศภักตร์ลักสีดา ไปไว้เกาะลงกาธานี พระต้องยกพลตามข้ามสมุท ไปยงยุทธรบพุ่งถึงกรุงศรี วันนี้พระอนุชาออกราวี ต้องหอกอสุรีสลบไป จะขอปัญจมหาสุธารศ ไปประสมโอสถแก้ไข กลัวพระองค์จะแหนงแคลงฤไทย จึ่งโปรดให้ศรทรงองค์นี้มา

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๙๕๐๏ เมื่อนั้น สองกระษัตริย์ทรงฟังไม่กังขา คิดสงสารสามกระษัตริย์ขัติยา อนิจายากเย็นเข็ญใจ แล้วมิหนำซ้ำต้องไปผลาญยักษ์ จนเจ้าลักษณ์ออกรบสลบไสล ร่ำพลางทางทรงโศกาไลย สอื้นไห้ไม่เปนสมประดี

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

ร่าย

๙๕๑๏ ครั้นค่อยคลายวิโยคโศกศัลย์ จึ่งผายผันเข้าไปในที่ หยิบขวดปัญจมหาวารี มายื่นให้ขุนกระบี่แล้วบัญชา ช่วยทูลองค์อวตารผ่านเกล้า ว่าตัวเราบังคมก้มเกษา อยู่หลังตั้งกินแต่น้ำตา ไม่มีศุขทุกทิวาราตรี แม้นพระองค์ปราบปรามสงครามเสร็จ เชิญเสด็จมาบำรุงกรุงศรี แม้นตรัสถามถึงสามพระชนนี จงทูลว่าอยู่ดีไม่มีไภย

ฯ ๖ คำ ฯ

๙๕๒๏ บัดนั้น วายุบุตรรับสั่งบังคมไหว้ ค่อยประคองขวดแก้วแววไว แผลงอิทธิ์ฤทธิไกรกลับมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๕๓๏ ครั้นถึงที่ประจญรณรงค์ เข้าเฝ้าพระหริวงษ์นาถา ถวายสังกรณีตรีชวา กับทั้งปัญจมหาคงคาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๕๔๏ เมื่อนั้น พระราเมศยินดีจะมีไหน สั่งพิเภกกุมกัณฑ์ทันใด จงแก้ไขบดยาอย่าช้าที

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๕๕๏ บัดนั้น พิเภกรับสั่งใส่เกษี จึ่งประสมสรรพยากับวารี ร่ายเวทวิธีบดไป

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๙๕๖๏ แล้วหยิบยามาพอกที่หอกยักษ์ โมกขศักดิก็หลุดออกมาได้ แล้วเป่าตรงองค์พระลักษณ์ฤทธิไกร บัดใจก็ฟื้นคืนมา

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

๙๕๗๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ลืมเนตรเห็นเชษฐา จึ่งบังคมก้มกราบกับบาทา แล้วทูลว่าข้าน้อยนี้ผิดนัก มาเสียทัพอัปราครานี้ ขายธุลีบาทบงสุ์พระทรงศักดิ ยังโปรดช่วยด้วยพระคุณการุญรัก จะได้แก้แค้นยักษ์อิกสักที

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๕๘๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี จึ่งตรัสปลอบอนุชาด้วยปรานี แก้วพี่อย่าโศกเสียใจ อันต่อตีมิแพ้ก็ชนะ ซึ่งพี่จะโกรธานั้นหาไม่ ว่าพลางทางชวนกันคลาไคล เลิกไพร่พลกลับเข้าพลับพลา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๙๕๙๏ บัดนั้น อสูรกองคอยเหตุยักษา เห็นมนุษย์ไปได้ไม่มรณา ก็รีบเข้าลงกาในราตรี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๖๐๏ ครั้นมาถึงกรุงพอรุ่งเช้า เข้าเฝ้าท้าวทศภักตร์ยักษี กราบทูลแถลงแจ้งคดี เมื่อคืนนี้พระรามมาตามน้อง ใช้ทหารหายามาแก้ไข ก็กลับฟื้นขึ้นได้เมื่อยามสอง พลลิงยิ่งกำเริบโห่ร้อง เลิกกองทัพกลับไปพลับพลา

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๖๑๏ เมื่อนั้น ทศเศียรเสียใจเปนหนักหนา จึ่งดำรัสตรัสแก่อนุชา ไหนเจ้าว่าไพรินสิ้นชีวิตร เดี๋ยวนี้มันกลับเปนเห็นฤๅไม่ แม้นละไว้จะซ้ำกำเริบจิตร เจ้าผู้เรืองฤทธิรงค์จงเร่งคิด เข่นฆ่าปัจจามิตรให้บรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๖๒๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์รันทดถอนใจใหญ่ แล้วว่าเหตุทั้งนี้ไม่มีใคร คือไอ้พิเภกอัปรี ให้หายามาแก้พระลักษณ์ฟื้น เพราะมันรักเขาอื่นยิ่งกว่าพี่ ข้าจะบังคมลาฝ่าธุลี ออกไปที่ท่ามกลางสมุทไทย จะทดน้ำมิให้ไหลมา ทางกองทัพพลับพลาพระรามได้ ต้องอดสักสามวันก็บรรไลย ไม่พักไปเข่นฆ่าราวี

ฯ ๖ คำ ฯ

๙๖๓๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ได้ฟังอนุชาพาที ยินดีสรวลสันต์สนั่นไป แล้วว่าการกลศึกเจ้าฦกล้ำ เหมือนตัดลำเลียงน้ำมันเสียได้ กระนั้นพระอนุชาเร่งคลาไคล ไปทำให้สำเร็จเสร็จการ

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๖๔๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์คำนับรับบรรหาร ทูลลาแล้วลุกมาน่าพระลาน พระยามารรีบเหาะรเห็จไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๖๕๏ ครั้นถึงท้องทเลลมยมนา จึ่งนิมิตรกายาให้โตใหญ่ แล้วทอดองค์ลงกลางสมุทไทย เหยียดเท้ายาวไปถึงจักรวาฬ จึ่งร่ายเวทวิธีบริกรรม ทดน้ำในท้องกระแสสาร เดชะพระเวทอันเชี่ยวชาญ ชลธารแห้งขอดตลอดไป

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๙๖๖๏ บัดนั้น พวกโยธาวานรน้อยใหญ่ ครั้นรุ่งรางต่างพากันคลาไคล ลงไปสู่ท่าวาริน

ฯ ๒ คำ ฯ พระยาเดิน

๙๖๗๏ ครั้นถึงริมฝั่งก็ยั้งหยุด เห็นน้ำในสายสมุทแห้งไปสิ้น เอะอยู่แล้วทีนี้ไม่มีกิน พวกกระบินทร์วิ่งกลับมาบอกนาย

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๙๖๘๏ บัดนั้น สุครีพจำกำหนดจดหมาย รีบรัดจัดแจงแต่งกาย เข้าเฝ้าพระนารายน์ฤทธิไกร

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๙๖๙๏ จึ่งทูลว่าวันนี้วิปลาศ น้ำขาดขอดฝั่งไม่หลั่งไหล เหล่าลิงอดอยากลำบากใจ จงทราบใต้บทมาลย์พระผ่านฟ้า

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๗๐๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงฟังไม่กังขา จึ่งดำรัสตรัสถามโหรา ไยคงคาจึ่งแห้งแล้งไป

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๗๑๏ บัดนั้น พิเภกโหราอัชฌาไศรย รับสั่งสังเกตดูเหตุไภย แล้วขับไล่ฤกษ์ยามตามคัมภีร์ ครั้นเห็นเที่ยงแท้แน่ตระหนัก จึ่งทูลพระหริรักษ์เรืองศรี กุมภกรรฐ์นั้นไปตั้งพิธี อยู่ที่ทเลลมยมนา ทดน้ำทำให้แห้งขาด ด้วยอำนาจอาคมคาถา หวังจะให้ไพร่พลที่พลับพลา อดคงคาล้มตายวายปราณ

ฯ ๖ คำ ฯ

๙๗๒๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน ได้ฟังแจ้งแห่งคำโหราจารย์ จึ่งตรัสสั่งหณุมานชาญไชย จงไปล้างพิธีกุมภกรรฐ์ ให้น้ำนั้นไหลลงมาจงได้ ถึงแถวทางคลางแคลงแห่งใด จงถามไถ่พิเภกโหรา

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๗๓๏ บัดนั้น วายุบุตรคำนับรับอาสา ถอยหลังออกไปลับพลับพลา แผลงอิทธิฤทธาเหาะทยาน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๗๔๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นกุมภกรรฐ์ กายนั้นโตใหญ่ไพศาล ลงนอนขวางกลางท้องนทีธาร ขุนมารหลับเนตรภาวนา จึ่งนิมิตรกายาวานร กลับเปนแปดกรสี่หน้า ผลาดแผลงสำแดงเดชา เข้าโถมถีบอสุราในวารี

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๗๕๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ผุดลุกขึ้นจากที่ เสียการตระบะกิจพิธี อสุรีโกรธลิงยิ่งกว่าไฟ กวัดแกว่งคทาถาโถม รุกโรมตีรันกระชั้นไล่ หวดซ้ายป่ายขวาว่องไว ชิงไชยกระชิดติดพัน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๙๗๖๏ เมื่อนั้น วายุบุตรฤทธิแรงแขงขัน เผ่นโผนโจนจับกับกุมภกรรฐ์ พัลวันกลอกกลับรับรอง ทยานขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียร ผลัดเปลี่ยนหนีไล่ไวว่อง สัปรยุทธฉุดชิงได้ตะบอง ตีต้องพระยามารซานทรุด

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๗๗๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์ออกรอาวายุบุตร เสียสิ้นสาตราอาวุธ ยงยุทธย่อท้อค่อยรอรับ แต่ปล้ำปลุกปลกเปลี้ยเสียที ขุนกระบี่เผ่นโผนขึ้นโจนจับ อสุรีแรงน้อยย่อยยับ ไม่ต่อตีหนีกลับไปลงกา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๙๗๘๏ เมื่อนั้น คำแหงหณุมานหาญกล้า ครั้นยักษีหนีไปไกลตา ก็แผลงฤทธิ์เหาะมาพลับพลาไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๙๗๙๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าบังคมประนมไหว้ ทูลแถลงแจ้งความทั้งปวงไป ดังได้ล้างกิจพิธี

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๘๐๏ เมื่อนั้น พระรามเมศทรงสวัสดิรัศมี จึ่งตรัสชมขุนกระบินทร์ด้วยยินดี ไม่เสียทีสามารถอาจอง อันคำแหงหณุมานปานนิ้วเพ็ชร จะชี้ไหนได้เสร็จสมประสงค์ ตรัสพลางทางจับพระแสงทรง เสด็จตรงเข้าในที่ไสยา

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๙๘๑๏ เมื่อนั้น พระยากุมภกรรฐ์ยักษา ครั้นมาถึงพิไชยลงกา เสด็จมาพระโรงคัลทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๙๘๒๏ ก้มเกล้าเคารพอภิวาท พระเชษฐาธิราชเปนใหญ่ แล้วทูลว่าหณุมานชาญไชย มันตามไปฝั่งน้ำทำจัณฑาล จนเสียกิจวิทยาอาคม ไม่เสร็จสมเหมือนจิตรที่คิดอ่าน ข้ากลับมาว่าจะเกณฑ์พลมาร ไปรอนราญรามลักษณ์อิกสักที

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๘๓๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์ยักษี จึ่งว่าชะช่างกระไรไพรี มันมีแต่ล่วงรู้ดูแคลน ว่าพลางทางสั่งเสนา จงเกณฑ์พลสักห้าสิบแสน น้องกูจะออกไปแก้แค้น ทดแทนข้าศึกที่ฮึกฮัก

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๘๔๏ บัดนั้น มโหทรเสนีมีศักดิ ก้มเกล้าประนตทศภักตร์ แล้วขุนยักษ์รีบรัดไปจัดแจง

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๙๘๕๏ เกณฑ์หมู่สุรศักดิยักษา ทั้งทัพหนุนทัพน่ากล้าแขง จัดเปนปีกป้องกองแซง ตามตำแหน่งพร้อมพรั่งคั่งคับ ขุนช้างต่างผูกคชสาร หมอควาญตัวดีขึ้นขี่ขับ ทหารม้ามาเข้ากระบวนทัพ ถือหอกซัดสำหรับราวี ขุนรถรีบรัดจัดรถศึก เทียมโตโคถึกเสือหมี พลเท้าห้าวหาญผลาญไพรี ถือกระบี่ดั้งโล่ห์โตมร ฝ่ายโลทันก็จัดรัถา เทียมด้วยพระยาไกรสร มาเทียบกับเกยสุวรรณอันบวร พลนิกรพร้อมพรั่งดังบัญชา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๙๘๖๏ เมื่อนั้น กุมภกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา ถวายอัญชลีพระพี่ยา ลีลาไปสรงชลธาร

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๙๘๗๏ นางในไขสุหร่ายสายสินธุ์ วารินลอองอาบซาบซ่าน ทรงสุคนธ์ปนทองรองพาน พนักงานรำเพยพัชนี สนับเพลาเชิงงอนซ้อนกระหนก ภูษายกแย่งรูปราชสีห์ ฉลององค์ทรงสอดใส่อินทรีย์ สวมเกราะแก้วมณีศรีประเทือง ปั้นเหน่งเพ็ชรพรรณรายสายกระสัน สังวาลวรรณสายสร้อยห้อยเฟื่อง พาหุรัดรจนาค่าเมือง ทองกรประดับเนื่องเนาวรัตน์ ธำมรงค์รังแตนแหวนเพ็ชร น้ำหนักแต่ละเม็ดเจ็ดกรัด กรรเจียกจรเจียรไนดอกไม้ทัด กรีดพระหัดถ์ห้อยห่วงพวงผกา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๙๘๘๏ ครั้นเสร็จสรรพจับพระแสงศรทรง อาจองเยื้องย่างออกข้างน่า เคลื่อนพหลพลไกรไคลคลา ออกจากลงกาพระนคร

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๙๘๙๏ รถเอยราชรถทรง ดุมวงกงแปรกแอกอ่อน บุษบกบัลลังก์กระจังซ้อน สามงอนงามรหงธงไชย เทียมพระยาสิงหราชผาดผยอง เริงร้องก้องสนั่นหวั่นไหว เครื่องสูงแสงแก้วแววไว แห่แหนแน่นในเนินบรรพต สัตวสิงวิ่งตื่นตัดน่าฉาน ลางบันดาลหลากตาปรากฎ กาเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบเอางอนรถ กุมภกรรฐ์รันทดท้อฤไทย เสียงโห่โยธาอยู่น่าทัพ ฟังสำเนียงเสียงกลับเหมือนร้องไห้ ก็รู้ว่าชีวันจะบรรไลย แต่มานะหักใจไคลคลา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๙๙๐๏ ครั้นถึงที่ประจญรณรงค์ ให้ปักธงเรียงรายริมชายป่า สารวัดนายหมวดตรวจตรา ตั้งเปนปีกกาคอยราวี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๙๙๑๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี เสด็จออกพลับพลาน่าคิรี เสนีกราบก้มบังคมคัล ตรัสประภาษราชกิจการสงคราม จะปราบปรามยักษาให้อาสัญ พอได้ยินสำเนียงเสียงนี่นัน ก้องกึกพิฦกลั่นโลกา ก็รู้ว่าข้าศึกฮึกหาญ จึ่งโองการถามพิเภกยักษา วันนี้ทัพไชยใครยกมา เจ้าลงกาฤๅวงษ์พงษ์พันธุ์

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๙๙๒๏ บัดนั้น พิเภกพิเคราะห์ดูรู้แม่นมั่น จึ่งทูลพระหริวงษ์ทรงธรรม์ กุมภกรรฐ์ยกมาเพลานี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๙๙๓๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์เรืองศรี จึ่งปฤกษาวานรเสนี กุมภกรรฐ์มันมีฤทธิไกร เมื่อครั้งก่อนก็พุ่งโมกขศักดิ ต้องพระลักษณ์ซอนซบสลบไสล วันนี้เราจะออกชิงไชย สุครีพไปเร่งรัดจัดโยธา

ฯ ๔ คำ ฯ

๙๙๔๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษา ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกมา ตรวจตราเตรียมพหลพลนิกร

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๙๙๕๏ ตั้งกระบี่ศรีชมภูพาล เปนกองน่ากล้าหาญชาญสมร ปีกขวาวาหุโรมฤทธิรอน ปีกซ้ายเกสรทมาลา สุรการสุรเสนเจนประจญ คุมพลเปนเกียกกายซ้ายขวา นิลราชกองหลังรั้งโยธา ทุกหมู่หมวดตรวจตราเตรียมกาย พวกลิงไพร่ใส่หมวกกางเกงเสื้อ บ้างขี่หมูหมีเสือเหลือหลาย แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพราย คอยท่าพระนารายน์ฤทธิไกร

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๙๙๖๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย ชวนพระลักษณ์อนุชาคลาไคล เสด็จไปสรงสหัสนัที

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๙๙๗๏ ชำระสระสนานสำราญกาย กรีดกรายพระหัดถ์ขัดสี ลูบไล้สุคนธาวารี กลิ่นผกามาลีตระหลบองค์ สอดใส่สนับเพลาเชิงกระหนก ภูษายกไว้วางหางหงษ์ ผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณบรรจง ฉลององค์เกราะแก้วแวววับ ปั้นเหน่งเพ็ชรไพโรจโชติช่วง ทับทรวงเฟื่องห้อยพลอยประดับ พาหุรัดทองกรซ้อนซับ ธำมรงค์เรืองรยับจับตา ต่างทรงมงกุฎแก้วเก็จ กรรเจียกเพ็ชรพรรณรายทั้งซ้ายขวา ห้อยอุบะดอกดวงพวงผกา แล้วทรงศรสาตราเคยราวี

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๙๙๘๏ ครั้นเสร็จเสด็จจรจรัล จากสุวรรณพลับพลาหลังคาสี พิเภกถวายไชยได้ฤกษ์ดี ให้คลายคลี่เคลื่อนพหลพลรบ

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๙๙๙๏ รถเอยรถวิมาน แก้วก้านกระหนกกระหนาบคาบขบ กงก้องดินดังกระทั่งกระทบ คุมหมุนฝุ่นตระหลบบนนภางค์ งอนรหงธงชายปลายสบัด เทียมเทพกัณฐัศว์สบัดย่าง สารถีเทวาทำท่าทาง ถือหางนกยูงทองทั้งสองมือ อภิรุมชุมสายพรายพริ้ง ทานตวันกรรชิงล้วนลิงถือ ประโคมฆ้องกลองสนั่นบันฦๅ อึงอื้ออุโฆษโจษจรร วานรนายทหารขานโห่ ก้องโกลาหลถึงบนสวรรค์ กองทัพนับแสนแน่นนัน เร่งร้นพลขันธ์ไคลคลา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๐๐๐๏ ครั้นถึงที่รบพบทัพยักษ์ เห็นธงปักเรียงรายริมชายป่า จึ่งให้หยุดรถแก้วแววฟ้า พร้อมพรั่งตั้งดาเปนน่ากระดาน

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๐๐๑๏ เมื่อนั้น พระยากุมภกรรฐ์กำแหงหาญ แลเขม้นเห็นพระอวตาร พระยามารไม่รู้จักภักตรา จึ่งตรัสถามสารถีที่รถทรง รู้ว่าองค์ราเมศเชษฐา กระทืบรถพระที่นั่งสั่งโยธา จงเร่งเข้าเข่นฆ่าวานร

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๐๒๏ บัดนั้น พวกพหลพลมารชาญสมร แกว่งดาบดั้งโล่ห์โตมร เข้าราญรอนรุกโรมโจมตี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๐๐๓๏ บัดนั้น ลิงเหล่าทหารชาญไชยศรี กวัดแกว่งสาตราเข้าราวี ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา บ้างถาโถมโจมจับสัปรยุทธ อุตลุดหลอนหลอกกลอกหน้า ไล่กระชั้นฟันยักษ์โยธา อสุราแตกยับทั้งทัพไชย

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๐๔๏ เมื่อนั้น พระยากุมภกรรฐ์เปนใหญ่ เห็นโยธีหนีตายกระจายไป ยิ่งพิโรธโกรธใจดังไฟฟ้า โจนจากรถทรงองอาจ เข้าตีลิงกลิ้งกลาดกลางป่า ไล่รุกบุกบันกระชั้นมา จนถึงน่ารถทรงองค์พระราม

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๐๕๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกทั้งสาม ลงจากรถสุวรรณไม่ครั่นคร้าม พระลักษณ์ตามเชษฐาเข้าราวี ป้องปัดสาตราอาวุธ ประจัญจับสัปรยุทธยักษี ทั้งสองข้างต่างเรืองฤทธี ต่อตีหนีไล่กันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๐๖๏ เมื่อนั้น พระยากุมภกรรฐ์ยักษา ประจัญบานราญรอนอ่อนรอา จึ่งขึ้นศรศักดาแล้วแผลงไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๐๐๗๏ เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสนั่นครั่นครึก ก้องกึกกัมปนาทหวาดไหว ต้องกระบี่รี้พลสกลไกร พุงไส้เรี่ยรายวายปราณ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๐๐๘๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน จึ่งขึ้นศรวิรุณจักรวาฬ ยิงแย้งแผลงผลาญไปฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๐๐๙๏ เปนพระพายชายพัดรวยรื่น วานรฟื้นกายาไม่อาสัญ แล้วศรไชยไปต้องกุมภกรรฐ์ ล้มดิ้นยันยันบรรไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๐๑๐๏ เสร็จสังหารมารม้วยมรณา พอเพลาบ่ายแสงสุริย์ใส จึ่งเลิกทัพขับพลสกลไกร กลับไปพลับพลาพนาวัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๐๑๑๏ บัดนั้น อสูรกองคอยเหตุในไพรสัณฑ์ เห็นเจ้านายมรณาก็พากัน ด้นดั้นเดินป่าไปธานี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๐๑๒๏ ครั้นถึงจึ่งคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าประนตบทศรี ทูลความตามเรื่องราวี บัดนี้กุมภกรรฐ์บรรไลย

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๐๑๓๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรเปนใหญ่ ได้ฟังดังจะดิ้นสิ้นใจ ให้อาไลยในองค์พระน้องรัก นิจาเอ๋ยเคยทรงสัตย์ธรรม์ วิทยาสารพันจะรู้หลัก มาม้วยมอดวอดวายเสียดายนัก พระยายักษ์โศกาอาไลย แล้วคิดแค้นมนุษย์สุดแค้น กูจะทำทดแทนมันให้ได้ พลางดำรัสตรัสสั่งเสนาใน จงเร่งไปหาอินทรชิตมา

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๑๔๏ บัดนั้น เสนารับสั่งใส่เกษา ก้มเกล้ากราบงามสามลา รีบมาเฝ้าองค์อินทรชิต

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๐๑๕๏ ครั้นถึงจึ่งบังคมก้มเกล้า แถลงเล่าชี้แจงให้แจ้งจิตร รับสั่งใช้ให้เชิญพระทรงฤทธิ์ ไปช่วยคิดหักหาญการณรงค์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๐๑๖๏ เมื่อนั้น โอรสทศเศียรสูงส่ง รีบรัดจัดแจงแต่งองค์ ขึ้นเฝ้าบิตุรงค์ทรงศักดา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

๑๐๑๗๏ ครั้นถึงจึ่งบังคมก้มเกล้า หมอบเฝ้าตามตำแหน่งโอรสา นิ่งสดับรับรศพจนา จะบัญชาโปรดปรานประการใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๐๑๘๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์ตรมอกหมกไหม้ เหลือบเห็นโอรสยศไกร ดีใจจึ่งแถลงแจ้งกิจจา กุมภกรรฐ์วันนี้ออกราญรอน ก็ต้องศรสิ้นชีวังสังขาร์ เจ้าผู้เรืองฤทธิรงค์ทรงศักดา เคยปราบสิ้นดินฟ้าสุราไลย จงอาสาบิดรออกรอนราญ ไปสังหารรามลักษณ์ให้ตักไษย แม้นเสร็จศึกสมหวังดังใจ จะมอบให้เจ้าบำรุงกรุงลงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๑๙๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา ได้ฟังคั่งแค้นแทนอาว์ ดังไฟฟ้าเผาสุมกลุ้มใจ จึ่งทูลว่าพระองค์ทรงพิภพ อย่าปรารภร้อนรนหม่นไหม้ ลูกรักจักอาสาไป ลุยไล่สพัดมัดมันมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๒๐๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสรวลสันต์หรรษา เข้ากอดจูบลูบหลังลูกยา เจ้าดวงใจไนยนาของบิดร อะไรกับสงครามรามลักษณ์ ไม่ทานฤทธิ์สิทธิศักดิแสงศร ว่าพลางทางสั่งมโหทร จงเกณฑ์พลนิกรให้บัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๒๑๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งใส่เกษี บังคมลาแล้วคลานจรลี ออกจากที่พระโรงคัลทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๐๒๒๏ กะเกณฑ์พหลพลกุมภัณฑ์ เลือกเอาเหล่าฉกรรจ์ขึ้นใหม่ เร่งรัดสัสดีมี่ไป ไม่ได้ตัวผัวให้เอาเมียมา บ้างบาดหมายนายมุลขุนหมื่น ให้จ่ายปืนลูกดินหินผา ที่เกี่ยวข้องต้องคดีเนิ่นช้า บอกเลิกเบิกมาเข้ากองทัพ อสุราสารวัดจัดกระบวน ครบถ้วนสิบสมุทอาวุธสรรพ บ้างถือดาบโล่ดั้งคั่งคับ เคยหักโหมโจมทัพนับร้อย ทหารหอกปลอกคร่ำด้ามข้อถี่ ใส่เสื้อดำกำมหยี่สีควันอ้อย แล้วเทียมรถที่นั่งบัลลังก์ลอย มาคอยเคียงประทับกับเกยลา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๐๒๓๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา ครั้นพรั่งพร้อมพหลพลโยธา เสด็จมาอ่าองค์สรงชล

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๐๒๔๏ ชำระสระสนานสำราญกาย สุหร่ายโรยโปรยปรายดังสายฝน ลูบไล้น้ำกุหลาบซาบสกนธ์ ทรงสุคนธ์ตระหลบอบควันเทียน สอดสนับเพลาริ้วพลิ้วแพลง ภูษาแย่งอย่างย้ายลายทองเขียน ฉลององค์ทรงเกราะแก้ววิเชียร เจียรบาดคาดเนียนกระเสียนกาย ปั้นเหน่งเนื่องเนาวรัตน์ขัดขอ กรองสอสังเวียนวิเชียรฉาย ทองกรภุกามแก้วแพรวพราย ธำมรงค์เพ็ชรรายรูจี สวมทรงมงกุฎบุษย์รยับ กรรเจียกจรซ้อนซับสลับสี จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธี แล้วลีลามาที่ประชุมพล

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๑๐๒๕๏ ขึ้นทรงรถแก้วสุรการ ทวยหาญกราบงามสามหน เสียงฟ้าร้องต้องตำราฤกษ์บน ให้เดินพลพยุหบาตรดาษเดียร

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๑๐๒๖๏ รถเอยราชรถทรง สำหรับองค์โอรสทศเศียร เพลาดุมหุ้มสุวรรณหันเวียน แก้ววิเชียรประดับวับวาว เทียมไกรสรราชผาดผยอง ดังจะล่องลอยคว้างมากลางหาว บุษบกบัลลังก์แก้วแพรวพราว กว้างยาวราวรถพระอาทิตย์ เสียงกงก้องกึกพิฦกลั่น สเทือนถึงสวรรค์ชั้นดุสิต เทพบุตรหับบานทวารมิด รวังตัวกลัวฤทธิ์อสุรี พระยาครุธยุดนาคในนภางค์ ผวาวางนาคินทร์บินหนี ไม้ไล่แหลกลงเปนผงคลี ยักษีเหยียบยุ่ยลุยแหลกไป

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๐๒๗๏ ครั้นถึงที่ประจญรณยุทธ จึ่งให้หยุดพลนิกายนายไพร่ พวกทหารขานโห่เอาไชย เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งแดนดิน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๑๐๒๘๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิรงค์ทรงศิลป์ เสด็จออกพลับพลาน่าคิริน หมู่กระบินทร์บังคมก้มกราน ทอดพระเนตรเสนาข้าเฝ้า ทั้งสองเหล่าล้วนศักดากล้าหาญ สุครีพนิลนนท์หณุมาน ชมภูพาลพวกพระยาพาลี ขุนกระบินทร์นิลเอกนิลขัน ทวิกันกองชมภูบูรีศรี ล้วนชำนาญการณรงค์ราวี พระจักรีตรัสประภาศราชการ พอเสียงโห่โกลาดังฟ้าลั่น เคยสำคัญข้าศึกฮึกหาญ จึ่งตรัสถามโหราปรีชาชาญ เสียงสท้านทัพใหญ่ใครยกมา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๑๐๒๙๏ บัดนั้น พิเภกบังคมก้มเกษา นิ่งนับจับยามสามตา แล้ววันทาทูลพระหริรักษ์ ซึ่งเปนจอมจัตุรงค์มาสงคราม ทรงนามอินทรชิตสิทธิศักดิ เปนเอกองค์โอรสทศภักตร์ อาสาพระยายักษ์ยกมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๓๐๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งกิจจา จึ่งสั่งพระอนุชายาใจ เจ้าจงยกพหลพลนิกร ไปราญรอนผลาญยักษ์ให้ตักไษย แล้วตรัสสั่งสุครีพจงรีบไป เกณฑ์พหลพลไกรให้บัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๓๑๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษี ก้มเกล้ากราบงามสามที ออกมาที่เกยลาน่าพระลาน

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๐๓๒๏ ตรวจตรากระบวนทัพสำหรับรบ เกณฑ์รดมสมทบทวยหาญ บ้างใส่หมวกเสื้อมงคลลนลาน เครื่องอานสวมตัวออกพัวพัน พวกเสื้อป่าปีกป้องกองหลัง ถือดาบดั้งสำหรับรบขบขัน ลิงลำลองกองน่าห้าพัน ไม้พลองตะบองสั้นทั้งสองมือ ที่ไม่มีอาวุธยุทธนา ก็หักกิ่งพฤกษานั้นมาถือ ต่างลำพองคนองศึกได้ฝึกปรือ อึงอื้ออัดแอแซ่ไป พวกกระบี่ยกรบัตรปลัดทัพ ทนายกางกั้นสัปรทนให้ แล้วเตรียมรถมาประทับกับเกยไชย ทุกหมู่หมวตตรวจไพร่พร้อมพรัก

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๐๓๓๏ เมื่อนั้น พระรามราชสุริวงษ์ทรงศักดิ จึ่งอำนวยอวยไชยให้พระลักษณ์ ให้น้องรักรบชนะอสุรินทร์ สารพัดสาตราปัจจามิตร อย่าต้านติดต่อสู้ธนูศิลป์ จะทำศึกตรึกตราเปนอาจิณ อย่าดูหมิ่นประมาทอาจอง

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๓๔๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ชื่นชมสมประสงค์ น้อมคำนับรับพรพระหริวงษ์ แล้วลีลามาสรงคงคาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๐๓๕๏ ไขสหัสธาราดังห่าฝน ต้องสกนธ์ซ่านเซนเย็นใส ทรงกระแจะจันทน์ปรุงจรุงใจ ลูบไล้เครื่องต้นสุคนธา สอดสนับเพลาพริ้งยิ่งยง บรรจงทรงทิพยภูษา ตาดทองฉลององค์อลงการ์ ห้อยน่าผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณ ปั้นเหน่งเพ็ชรไพโรจโชติช่วง ตาบประดับทับทรวงดวงกุดั่น ทองกรภุกามแก้วแพรวพรัน ธำมรงค์เรือนสุวรรณกำภู ทรงมงกุฎแก้วรยับประดับพลอย อุบะบุบผาร้อยห้อยจรหู ขัดพระขรรค์เคยสังหารผลาญศัตรู จับธนูศรไชยไคลคลา

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๑๐๓๖๏ ขึ้นทรงรถแก้วสุรการ ทวยหาญกราบงามสามท่า ทหารลิงยิงปืนสัญญา ให้ไคลคลาเคลื่อนพหลพลนิกาย

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๑๐๓๗๏ รถเอยรถทรง งอนรหงรเหิดเฉิดฉาย พระที่นั่งบัลลังก์แก้วแพรวพราย แท่นท้ายบุษบกกระหนกเกริน เทียมอัศวราชผาดผยอง ดังจะล่องลอยฟ้าเวหาเหิน ธงน่านำพหลพลเดิน ข้ามลำเนาเขาเขินเนินพนม พฤกษาสูงสองข้างหว่างวิถี ปัถพีพ่างพื้นรื่นร่ม เทพบุตรเมืองสวรรค์ชั้นอินทร์พรหม ชื่นชมเอาใจช่วยอวยพร พระพิรุณร่วงโรยโปรยปราย ลมเรื่อยเฉื่อยชายมาอ่อนอ่อน เร่งรีบพหลพลนิกร วานรโห่ร้องก้องแดนดง

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๐๓๘๏ ครั้นถึงเห็นทัพนับหมื่น ตั้งดื่นดาษไปในไพรรหง จึ่งให้หยุดพลนิกายอยู่ชายดง แล้วปักธงสำคัญทันที

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๐๓๙๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี เห็นมนุษย์ยกมาจะราวี ท่วงทีห้าวหาญชาญสงคราม จึ่งให้เคลื่อนเลื่อนรถเข้าไปใกล้ ตั้งสง่าปราไสไต่ถาม ดูรามนุษย์รูปงาม ท่านนี้มีนามกรใด เที่ยวคุมพลปล้นเมืองเหมือนโจรป่า ไม่อับอายขายหน้าฤๅไฉน จะประสงค์เงินทองของสิ่งใด จงบอกให้แจ้งอรรถบัดนี้

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๔๐๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ทรงสวัสดิรัศมี จึ่งตอบอินทรชิตฤทธี เรานี้มีนามชื่อพระลักษณ์ องค์นารายน์ราเมศเชษฐา ผ่านศรีอยุทธยาอาณาจักร อันของดีมีมากกว่าเมืองยักษ์ ไม่ประสงค์จงรักสิ่งไร เหตุด้วยทศกรรฐ์อันธพาล กระทำการทุจริตผิดวิไสย ลักพระพี่สีดามาไว้ เราจึ่งได้ตามมาราวี ถ้าท้าวทศภักตร์รักเผ่าพงษ์ เร่งคืนส่งสีดามารศรี เราจะได้เลิกทัพกลับโยธี คืนไปบุรีอยุทธยา แม้นไม่ส่งคงขืนขัดไว้ จะผลาญให้สิ้นชีวังสังขาร์ ท่านชื่อใดไม่กลัวมรณา บังอาจมารณรงค์สงคราม

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๐๔๑๏ เมื่อนั้น อินทรชิตชำนาญชาญสนาม โกรธาว่าเหม่น้องพระราม หยาบหยามยกพี่ว่ามียศ ไม่รู้จักเราฤๅชื่ออินทรชิต เรืองฤทธิ์ศักดาปรากฎ ปราบได้ถึงสวรรค์ชั้นโสฬศ เปนโอรสเจ้าลงกาธานี ซึ่งว่าพระยายักษ์ไปลักนาง ไม่มีอย่างอย่ามาว่าที่นี่ พระได้นางกลางป่าพนาลี ผู้ใดไม่มีป้องกัน ข้างพระรามตามมาว่าเมียมิ่ง เพราะจะชิงกรุงไกรไอสวรรย์ เปนโจรไพรใจทมิฬสิ้นทั้งนั้น มาผูกพันพูดจาพาที ว่าเกิดเหตุทั้งนี้ด้วยสีดา จึ่งตามมารบพุ่งถึงกรุงศรี ก็เมื่อไปผลาญพระยาพาลี นั้นเขามีผิดบ้างอย่างไร เรารู้เท่าเข้าใจอยู่ทุกสิ่ง จะลวงได้ก็แต่ลิงให้หลงใหล แม้นรักตัวกลัวชีวันจะบรรไลย จงเลิกทัพกลับไปอยุทธยา

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๑๐๔๒๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ยิ้มพลางทางว่า ช่างเคลือบแฝงแต่งคารมชมบิดา พูดจากลอกกลับไม่อับอาย ย่อมรู้อยู่กับใจไพร่พลยักษ์ ว่าผู้ใดไปลักนางโฉมฉาย ให้ม้ารีศเปนกวางจนวางวาย เพราะผู้ร้ายแต่งกลเข้าปล้นนาง อย่าพักพูดผันแปรแก้หน้า เอาพาลีขึ้นมาว่าขัดขวาง เขาถือสัตย์สู้ตายวายวาง ให้สิ้นทางโทษผิดที่ติดพัน ไม่เหมือนชาวลงกาอาณาเขตร ไม่มีสัตย์ปัฏิเสธทุกสิ่งสรรพ์ ทั้งอวดอิทธิ์ฤทธิไกรใครจะทัน ไม่คิดถึงพงษ์พันธุ์ที่บรรไลย อย่าว่าแต่อินทรชิตสิทธิศักดิ ถึงตัวท้าวทศภักตร์จะตักไษย แม้นดีจริงนิ่งช้าอยู่ว่าไร มาชิงไชยให้เห็นฤทธิรุตม์

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๐๔๓๏ เมื่อนั้น อินทรชิตโกรธใจดังไฟจุด ชี้หน้าว่าน้อยฤๅมนุษย์ ช่างอวดอิทธิ์ฤทธิรุตม์สุดใจ เปนไรมีดีแล้วได้เห็นกัน ไม่ทันถึงพักจะตักไษย แล้วตรัสสั่งมหาเสนาใน เร่งขับไพร่เข้าประหารราญรอน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๔๔๏ บัดนั้น อสูรเสนามารชาญสมร ต่างแกว่งสาตราคทาธร ขับนิกรกองน่าเข้าราวี

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๐๔๕๏ บัดนั้น พวกพลอสูรยักษี เข้าหักโหมโจมทัพจับกระบี่ รบรุกคลุกคลีตีประจัญ บ้างยกปืนยืนประทับขยับไหล่ เหนี่ยวไกวางเปรี้ยงเสียงสนั่น ทั้งกองหนุนกองน่าดากัน เข้าโรมรันรบประดังพรั่งพรู

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๔๖๏ บัดนั้น พวกกระบี่บุกบันประจัญสู้ บ้างโห่ร้องเสียงฉาวกราวกรู หลอนหลอกตะคอกขู่อสุรี บ้างฉวยชิงสาตราจับขาฟาด แขนขาดฅอพับลงกับที่ พลกุมภัณฑ์แตกตายวายชีวี พวกกระบี่บุกบันกระชั้นไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๔๗๏ บัดนั้น อสูรเสนามารทหารใหญ่ เห็นพลแตกตื่นยับทั้งทัพไชย ยิ่งพิโรธโกรธใจดังไฟฟอน เข้ารุกไล่เหล่าพหลพลกระบี่ อสุรีตีรุดไม่หยุดหย่อน ฟาดด้วยสาตราคทาธร วานรย่นย่อไม่ต่อตี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๔๘๏ บัดนั้น สุรเสนสุรการกระบี่ศรี ต่างสำแดงแผลงอิทธิฤทธี เข้าราวีรับรองสองกุมภัณฑ์ ถ้อยทีมีศักดาสามารถ ไม่พลั้งพลาดผลัดเปลี่ยนเหียนหัน ว่องไวไล่กระชิดติดพัน หักโหมโรมรันประจัญบาน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๔๙๏ สองกระบี่มีกำลังโลดโผน กระโจมโจนจับยักษ์หักหาญ ขึ้นเหยียบยันฟันฟอนรอนราญ ทั้งสองมารม้วยมิดด้วยฤทธี

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๐๕๐๏ เมื่อนั้น โอรสทศภักตร์ยักษี เห็นอสูรสองนายวายชีวี อสุรีพิโรธโกรธโกรธา กวัดแกว่งศรสิทธิ์ฤทธิรงค์ โจนลงจากราชรัถา ไล่ตีวานรสท้อนมา จนถึงน่ารถทรงองค์พระลักษณ์

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๕๑๏ เมื่อนั้น น้องพระหริวงษ์ทรงศักดิ แลเห็นโอรสทศภักตร์ เข้าหาญหักโยธาวานร จึ่งลงจากรถแก้วแววฟ้า พระหัดถ์ขวากวัดแกว่งพระแสงศร รบรับจับกุมตลุมบอน หักหาญราญรอนอสุรี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๕๒๏ เมื่อนั้น โอรสทศภักตร์ยักษี ไม่ขยั้นย่อท้อต่อตี ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา หลบหลีกเคล่าคล่องทำนองยุทธ กลอกกลับสัปรยุทธย้ายท่า ตีกระทบรบรับสาตรา อสุราหักโหมโรมราญ

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๕๓๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ศักดากล้าหาญ รับรองป้องกันประจัญบาน ได้ทีทยานต้านต่อยุทธ ขึ้นเหยียบเข่าขุนมารราญรอน พระกรขยับจับมงกุฎ ตีต้องอินทรชิตฤทธิรุตม์ หันเหเซซุดซวนไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๕๔๏ เมื่อนั้น อินทรชิตค่อยดำรงทรงตัวได้ ยิ่งโกรธาตาแดงดังแสงไฟ หมายใจจะล้างให้วางวาย จึ่งหยุดยืนขึ้นศรนาคบาศ เผ่นผงาดเงื้อง่าตามุ่งหมาย คเนแน่แลชำเลืองเยื้องกราย น้าวสายศรลั่นไปทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๐๕๕๏ เปนนาครัดมัดพระลักษณ์กับพลลิง ล้มกลิ้งเกลื่อนกลาดไม่หวาดไหว เหล่ายักษ์โยธีดีใจ ร้องเย้ยเผยไยไยทั้งไพร่นาย

ฯ ๒ คำ ฯ กราวรำ

๑๐๕๖๏ พอแลเห็นพิเภกโหราจารย์ ขุนมารดาลเดือดไม่เหือดหาย จึ่งร้องเย้ยเหวยอาว์หน้าไปอาย ทำให้ขายบาทาบิดาเรา ไปเปนข้ามนุษย์ทุจริต แล้วบอกกิจการลับให้กับเขา ไม่รำพึงถึงตัวมัวเมา หมายจะเอาลงกาธานี เดี๋ยวนี้นายวายวอดมอดม้วย ไยมิช่วยพระลักษณ์เล่ายักษี ตัวสิรู้ฤกษ์พาโหราดี ให้นาคีมัดนายไม่อายใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๕๗๏ เมื่อนั้น พิเภกแค้นขัดอัชฌาไศรย จึ่งว่าเหวยอินทรชิตฤทธิไกร กูมิได้ต้องประสงค์ลงกา เพราะพ่อมึงขึ้งโกรธให้ขับหนี ไม่ปรานีนับวงษ์พงษา กูจนใจไม่มีที่พึ่งพา ตัวคนเดียวเที่ยวมาในป่าชัฏ พวกวานรกองทัพเขาจับได้ พระรามให้ถือน้ำกระทำสัตย์ รู้สิ่งไรให้ว่าสารพัด ครั้นทรงตรัสถามไถ่จึ่งได้ทูล แม้นไม่ถามถึงรู้กูไม่ว่า เวทนาเผ่าพงษ์วงษ์อสูร ซึ่งศรต้องน้องนารายน์วายุกูล เพราะกูไม่ได้ทูลให้แจ้งใจ แม้นเมื่อกี้นี้บอกออกเสียก่อน ที่ไหนศรมึงจะทันลั่นมาได้ ปานนี้ชีวันจะบรรไลย มิได้ไปลงกาธานี

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๐๕๘๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี หุนโมโหโกรธาพาที ยังถือผีพูดจาสารพัน นี่หากคิดนิดหนึ่งว่าเปนอาว์ หาไม่กูจะฆ่าให้อาสัญ กระทืบบาทกราดเกรี้ยวเคี้ยวฟัน แกว่งคันศรไชยเข้าไล่ตี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๕๙๏ เมื่อนั้น พระยาพิเภกยักษี หลบตัวกลัวหลานผลาญชีวี วิ่งหนีเข้าในไพรวัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๐๖๐๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธิแรงแขงขัน จะตามตีพิเภกก็ไม่ทัน พอเวลาสายัณห์เย็นรอน จึ่งตรัสกับพหลพลโยธี พระลักษณ์กับพลกระบี่ที่ต้องศร ไม่ทนพิศม์ภุชงค์คงม้วยมรณ์ จะคืนเปนเช่นก่อนอย่าสงกา ทิ้งไว้ให้พี่ออกมาพบ จะกอดศพร่ำรักกันหนักหนา แม้นสลบซบลงทั้งสองรา จงจับฆ่าให้ม้วยเสียด้วยกัน วันนี้ค่ำย่ำแสงอโนไทย จะกลับไปนคเรศเขตรขัณฑ์ แล้วขึ้นทรงรถแก้วแพรวพรัน ให้เลิกพลกุมภัณฑ์เข้าภารา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๑๐๖๑๏ ครั้นถึงเกยลาน่าปราสาท เสด็จลงจากราชรัถา พร้อมหมู่อสูรเสนา เข้าเฝ้าเจ้าลงกาพระยามาร

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๐๖๒๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรศักดาหาญ เหลือบเห็นอินทรชิตไชยชาญ แสนสำราญร้องถามความไป เจ้าเลิกทัพกลับมาเพลาเย็น ทำสงครามเคี่ยวเข็นเปนไฉน ได้ยินเสียงโห่ร้องก้องพงไพร เสียทีฤๅมีไชยแก่ไพรี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๖๓๏ เมื่อนั้น อินทรชิตประนตบทศรี ทูลว่าลูกยาออกราวี ได้ต่อตีต้านทัพรับพระลักษณ์ มนุษย์ชำนาญการรบพุ่ง เรืองรุ่งฤทธิรอนด้วยศรศักดิ ออกเคี่ยวขับสัปรยุทธกับลูกรัก หลายพักไม่แพ้ชนะกัน ข้าจึ่งแผลงแสงศรนาคบาศ เปนนาคราชไปรัดมัดไว้มั่น ทูลแถลงแจ้งจริงทุกสิ่งอัน ทรงธรรม์จงทราบพระบาทา

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๖๔๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา ได้ฟังชื่นชมภิรมยา อสุราสร้วมสอดกอดโอรส ลูกกูออกไปแล้วได้การ สังหารไพรินเสียสิ้นหมด สามโลกจะกระเดื่องเลื่องฦๅยศ ปรากฎฤทธิรอนขจรไป ไอ้พิเภกพูดจาว่าพ้อตัด ไม่ช่วยกันจับมัดมาให้ได้ จะใคร่เฆี่ยนขับทำให้หนำใจ มันมีแต่สาวไส้ให้ไพรี เจ้าเหนื่อยพักหนักหนาอย่าช้าอยู่ กลับไปสู่ปรางมาศปราสาทศรี ตรัสพลางทางเสด็จจรลี เข้าสู่ที่แท่นทองห้องไสยา

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๑๐๖๕๏ เมื่อนั้น น้องท้าวทศภักตร์ยักษา เลี้ยวลัดดัดดั้นอรัญวา ตรงไปพลับพลาพนาวัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๐๖๖๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท พระนารายน์ธิราชรังสรรค์ ซอนซบภักตราจาบัลย์ สอื้นอั้นโศกาไม่พาที

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๐๖๗๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์เรืองศรี เห็นพิเภกอสุรามาโศกี ภูมีนึกพะวงสงกา จึ่งว่าเราไว้เนื้อเชื่อใจ ให้ออกไปเปนเพื่อนขนิษฐา เหตุไฉนไยวิ่งกระเจิงมา โศกาไม่แถลงแจ้งคดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๖๘๏ บัดนั้น พิเภกประนตบทศรี ทูลว่าพระอนุชาออกราวี เสียทีอินทรชิตฤทธิไกร แล้วเล่าความตามซึ่งได้รบกัน รำพรรณทูลพลางทางร้องไห้ เชิญเสด็จลีลาคลาไคล ไปแก้ไของค์พระอนุชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๖๙๏ เมื่อนั้น พระรามฟังดังจะสิ้นสังขาร์ กัมปนาทหวาดหวั่นวิญญา ผ่านฟ้าอาวรณ์ร้อนรน จึ่งว่าเอออะไรเปนได้เช่นนี้ ให้น้องรักเสียทีถึงสองหน แล้วจับพระแสงศรจรดล นิลนนท์นำน่าคลาไคล

ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน

๑๐๗๐๏ เดินวกเวียนวงหลงที่รบ เลี้ยวตระหลบมาข้างทางทิศใต้ ด้วยมืดมิดมัวมนท์เปนพ้นไป จะสำคัญอันใดนั้นไม่มี ทรงพิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท กึกก้องร้องตวาดกระบี่ศรี ว่าเหวยนิลนนท์มนตรี ยังว่าป่านี้ไม่เคยมา พระดาลเดือดแล้วงดอดกลั้น จับจันทวาทิตย์ฤทธิ์กล้า ขึ้นศรกรก่งด้วยศักดา ผ่านฟ้าเสี่ยงพลางทางแผลงไป

ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๐๗๑๏ บันดาลดวงเดือนหงายฉายแสง แจ่มแจ้งแนวทางสว่างไสว เห็นนาครัดรี้พลสกลไกร ทั้งนายไพร่กลิ้งกลาดดาษดา อุส่าห์ขืนกลืนกลั้นกรรแสง เที่ยวแสวงดูองค์ขนิษฐา พอเหลือบเห็นองค์พระอนุชา นาคารวบกระหวัดรัดไว้ เสด็จเดินเข้าชิดพิศภักตร์ สำคัญว่าพระลักษณ์ตักไษย ยิ่งโศกศัลย์รันทดสลดใจ ภูวไนยทรุดลงทรงโศกี

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๑๐๗๒๏ ครั้นค่อยสร่างโศกศัลย์จึ่งบัญชา ถามพระยาพิเภกยักษี อันพระน้องต้องศรอสุรี กับบรรดากระบี่บริวาร จะเปนแต่สลบซบซอน ฤๅม้วยมรณ์สิ้นชีวังสังขาร ท่านจงดำริห์ตริการ จะคิดอ่านแก้กันฉันใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๗๓๏ บัดนั้น พิเภกทูลแจ้งแถลงไข พระอนุชาวานรพลไกร สลบไปด้วยฤทธิ์พิศม์นาคี จงทรงแผลงแสงศรเปนครุธราช ให้สังหารนาคบาศยักษี พระอนุชาจะฟื้นตื่นชีวี ทั้งกระบี่รี้พลสกลไกร

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๗๔๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย ฟังทูลถูกต้องทำนองใน เสี่ยงพระแสงแผลงไปด้วยฤทธี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๐๗๕๏ เปนสุบรรณบินมาบนอากาศ เข้าโฉบฉวยนาคบาศคลาศจากที่ ฉุดกระชากลากจิกขยิกขะยี จนนาคีสูญสิ้นแล้วบินไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด รัว

๑๐๗๖๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์รัศมีศรีใส ทั้งกระบี่รี้พลสกลไกร ก็กลับฟื้นคืนได้สมประดี ลุกขึ้นบังคมคัลวันทา พระหริรักษ์จักราเรืองศรี พระลักษณ์ทูลเชษฐาว่าครานี้ น้องเสียทีอสุรินทร์อินทรชิต ไม่มอดม้วยชนมาพระการุญ พระคุณนั้นหนักอักนิษฐ ขอรองเบื้องบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ กว่าชีวิตรจะม้วยไปด้วยกัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๗๗๏ เมื่อนั้น พระจักรีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ จึ่งชวนพระอนุชาจรจรัล มาขึ้นทรงรถสุวรรณทันใด สั่งให้เลิกโยธาพลากร วานรโห่สนั่นหวั่นไหว คลายคลี่รี้พลสกลไกร กลับไปพลับพลาพนาลี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๗๘๏ บัดนั้น อสูรสารัณทูตยักษี เห็นข้าศึกกลับฟื้นคืนชีวี พลกระบี่โห่ฉาวกราวกรู ก็เหยียบโกลนโผนเผ่นขึ้นหลังม้า ควบถลาตีกลมลมออกหู อารามกลัวตัวเปนเกลียวไม่เหลียวดู พอเช้าตรู่ถึงนิเวศน์เขตรคัน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๗๙๏ จึ่งเข้าไปบังคมก้มกราบทูล ท้าวราพนาสูรรังสรรค์ พระลักษณ์กับพลกระบินทร์สิ้นทั้งนั้น ที่นาครัดมัดมั่นไว้กลางแปลง พี่มาร้องไห้รักสักประเดี๋ยว แล้วหน่วงเหนี่ยวศรสาตรผาดแผลง เปนครุธโฉบฉาบเฉี่ยวเรี่ยวแรง เข้ายุดแย่งขยิกจิกนาคา นาคราชหนีครุธไปสุดสิ้น พวกไพรินรอดชีวังสังขาร์ พึ่งจะเลิกกองทัพไปพลับพลา จงทราบเบื้องบาทาฝ่าธุลี

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๘๐๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ฟังสารัณแถลงแจงคดี อสุรีเร่งรำคาญร่านร้อน จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนา จงไปหาอินทรชิตชาญสมร ให้องค์โอรสรีบบทจร กูทุกข์ทนรนร้อนเหลือกำลัง

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๘๑๏ บัดนั้น เสนีคำนับรับสั่ง ก้มกรานคลานเลี้ยวลับแลบัง ออกมาพ้นน่าที่นั่งแล้วรีบไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๐๘๒๏ ครั้นถึงจึ่งทูลอินทรชิต ตามกิจจาแจ้งแถลงไข มีรับสั่งพระองค์ทรงภพไตร ให้ภูวไนยรีบรัดไปบัดนี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๐๘๓๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธไกรไชยศรี ไม่ทันจะแต่งองค์สรงนัที อสุรีรีบครรไลไคลคลา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๐๘๔๏ ครั้นถึงจึ่งถวายอภิวาท พระบิตุรงค์ธิราชนาถา หมอบอยู่น่าที่นั่งฟังบัญชา จะปฤกษาด้วยสงครามรามลักษณ์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๐๘๕๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ จึ่งดำรัสตรัสบอกลูกรัก แจ้งประจักษ์ใจความตามเหตุมี พวกมนุษย์รอดตายไม่วายชนม์ ทั้งลิงไพรไพร่พลกระบี่ศรี เจ้าจงตรึกตรองการผลาญไพรี ออกต่อตีห้ำหั่นให้บรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๐๘๖๏ เมื่อนั้น อินทรชิตทูลแจ้งแถลงไข นาคบาศศรสิทธิ์ฤทธิไกร พระพรหมให้ลูกครั้งแต่ยังเยาว์ เช่นน้ำหน้ามนุษย์กับวานร จะรอดดอนไปได้ที่ไหนเล่า เพราะพิเภกพี่น้องของเรา บอกให้เขาแก้กันไม่บรรไลย พระองค์อย่าปรารภรำคาญ จะสังหารรามลักษณ์ให้ตักไษย พระอิศวรประสาทพรหมมาศไว้ ศิลป์ไชยศักดิสิทธิ์ฤทธิรอน จะขอไปสามทิวาราตรี กระทำกิจพิธีชุบศร จงให้ไปขัดทัพรับวานร ผันผ่อนพอประทังกำลังไว้

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๐๘๗๏ เมื่อนั้น ทศเศียรค่อยสบายคลายหม่นไหม้ จึ่งว่าเจ้ามีความคิดฤทธิไกร ประเสริฐในสุริวงษ์พรหมมาน มนุษย์กับลิงไพรไพร่พล ไหนจะทนฤทธาศักดาหาญ จงเร่งไปตั้งกิจพิธีการ ให้เชี่ยวชาญประสิทธิวิทยา อันสิ่งของสารพัดบัตรพลี ให้เสนีรีบรัดช่วยจัดหา ตรัสพลางทางเสด็จไคลคลา เข้าสู่ปราสาทสุวรรณทันที

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๑๐๘๘๏ เมื่อนั้น โอรสทศภักตร์ยักษี จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนี ให้เกณฑ์สี่ตำรวจมารชาญไชย ไปปลูกโรงพิธีมีมุขลด ที่หาดแก้วมรกฎสดใส่ ทั้งแพะดำโคดำสำรองไว้ จะได้พลีกรรมดังตำรา พลกุมภัณฑ์นั้นให้นุ่งห่มเขียว สีเดียวทั้งฝ่ายซ้ายขวา แต่สองโมงสี่บาทจะยาตรา เร่งรัดจัดหาให้พร้อมกัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๐๘๙๏ บัดนั้น อสูรเสนามารการขยัน ถวายบังคมลาออกมาพลัน เร่งรัดจัดกันดังบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๐๙๐๏ บัดนั้น สี่ตำรวจรู้หมายทั้งซ้ายขวา จึ่งเกณฑ์ไพร่ให้ถือขวานพร้า พร้อมแล้วก็พากันคลาไคล

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๐๙๑๏ ครั้นถึงเชิงสัตภัณฑ์บรรพต ที่หาดแก้วมรกฎสดใส ต่างต้อนพหลพลไกร ให้รีบรัดตัดไม้เกี่ยวคา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๐๙๒๏ บัดนั้น ฝ่ายหมู่อสุรศักดิยักษา บ้างโห่ร้องลองกำลังวังชา เข้าตัดไม้ในป่าพนาวัน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๐๙๓๏ ครั้นได้มากลากขนอลหม่าน พวกนายงานกะที่ขมีขมัน บ้างกล่อมเสาเกลาฟากถากฟัน รีบรัดจัดกันให้ทันการ

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๑๐๙๔๏ ปลูกโรงพิธีพลันทันใด กว้างขวางโตใหญ่ไพศาล จัดแจงแต่งตามพนักงาน บ้างปูลาดดาดเพดานดาวราย เครื่องบูชาน่าพระปักพุ่ม กระจกซุ้มติดเสาเปนเงาฉาย ห้อยระย้าแก้วกิ่งพริ้งพราย ม่านสุวรรณพรรณรายรูจี พระยี่ภู่ปูอาศน์ลาดผ้าขาว พระแสงง้าวราวทอดไว้ตามที่ ทั้งแพะดำโคดำทำบัตรพลี จัดครบเครื่องพิธีพลีกรรม์

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๐๙๕๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธิแรงแขงขัน มาอ่าองค์สรงชลฉับพลัน สอดกระสันเครื่องทรงอลงการ์ ครั้นเสร็จสรรพจับศรพรหมมาศ ยุรยาตรเยื้องย่างออกข้างน่า ขึ้นทรงรถแก้วแววฟ้า ให้ยกพลยาตราคลาไคล

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๐๙๖๏ ครั้นถึงที่เนินทรายชายสมุท จึ่งให้หยุดพลนิกายนายไพร่ ลงจากรถสุวรรณทันใด เสด็จไปโสรจสรงคงคา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๑๐๙๗๏ ชำระสระสนานน้ำกลั่น กระแจะจันทน์เจิมภักตร์ยักษา สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ ภูษาพื้นเขียวเขียนทอง จีบจัดรัดโกปินำ สายธุรำสอดสวมกรวมขนอง โพกส่านน่าดอกไม้สีใบตอง สอดซ้ำประคำทองถมยา ล้วนสีเดียวเขียวสิ้นทั้งอินทรีย์ ลม้ายเหมือนโยคีชีป่า ครั้นเสร็จยุรยาตรคลาศคลา ลีลามาสู่โรงพิธี

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๑๐๙๘๏ จึ่งให้ใส่เพลิงโดยสาตร เอาพรหมมาศพาดตักยักษี ชักประคำสำรวมอินทรีย์ อสุรีร่ายมนต์บ่นภาวนา

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๑๐๙๙๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษา เสด็จออกท้องพระโรงรจนา พร้อมอำมาตย์มาตยามนตรี ปฤกษาซึ่งจะให้ไปขัดทัพ ตั้งรับรบมนุษย์กระบี่ศรี กว่าองค์อินทรชิตฤทธี จะชุบศรพระศุลีได้สมคิด ครั้นจะงดอยู่ท่าช้านัก รามลักษณ์จักชล่าชเลยจิตร เห็นแต่มังกรกรรฐ์นั้นมีฤทธิ์ พอจะคิดต่อสู้หมู่ไพรี คนธรรพ์จงไปบอกนัดดา ว่าศึกติดลงกากรุงศรี ให้ยกพหลหลโยธี มาช่วยรบราวีอย่านอนใจ

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๑๐๐๏ บัดนั้น คนธรรพ์รับสั่งบังคมไหว้ คลานคล้อยถอยจากพระโรงไชย รีบไปโรมคัลบุรี

ฯ ๒ คำ ฯ กราว

๑๑๐๑๏ ครั้นถึงพอเวลาห้าโมง เสด็จออกท้องพระโรงเรืองศรี จึ่งเข้าไปเฝ้าพลันทันที อัญชลีแล้วหมอบนอบนบ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๑๑๐๒๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์ห้าวหาญชำนาญจบ เสด็จออกข้างน่าปรารภ ปฤกษาความตามขนบประเพณี ลักช้างคโมยควายผู้ร้ายซัต รับเปนสัตย์แล้วส่งไปตามที่ จำนวนเลขเก่าใหม่ให้สัสดี เอาบาญชีจำหน่ายจ่ายจับการ พอเหลือบเห็นข้าเฝ้าเจ้าลงกา อสุรามีราชบรรหาร องค์พระบิตุลาพระยามาร ใช้เองมาว่าขานประการใด อันพระจอมอสุรินทร์ปิ่นกระษัตริย์ ยังไพบูลย์ภูลสวัสดิผ่องใส ฤๅมีความทุกข์โศกโรคไภย จงบอกไปให้แจ้งกิจจา

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๑๑๐๓๏ บัดนั้น คนธรรพ์บังคมก้มเกษา อันทุกข์โศกโรคไภยไม่บีฑา แต่ลงกาเกิดการจลาจล ด้วยรามลักษณ์พี่น้องสองศรี ที่เปนชีชาวป่าพนาสณฑ์ ควบคุมกระบี่รี้พล จองถนนข้ามฝั่งตั้งติดพัน ไพรีมีฤทธิ์ด้วยแสงศร ทั้งโยธาวานรก็แขงขัน พวกเราล้มตายวายชีวัน โรมรันรับมนุษย์เห็นสุดใจ บัดนี้พระผู้ดำรงลงกา ให้ข้ามาทูลแจ้งแถลงไข เชิญเสด็จไปด้วยช่วยชิงไชย จงทราบใต้บาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๑๐๔๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์ฟังแถลงแจ้งจิตร รู้ว่ารามาปัจจามิตร ยิ่งคิดแค้นคั่งแต่หลังมา มนุษย์นี้ที่ฆ่าพระบิตุเรศ ทรงเดชสิ้นชีวังสังขาร์ จะไปเฝ้าทรงฤทธิ์บิตุลา ออกอาสาฆ่าเสียให้บรรไลย คิดพลางทางสั่งเสนี จงตระเตรียมโยธีทัพใหญ่ กูจะยกพหลพลไกร ไปชิงไชยช่วยณรงค์ในลงกา

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๐๕๏ บัดนั้น เสนีรับสั่งใส่เกษา ก้มเกล้าดุษดีชลีลา ออกมาจัดโยธาพลากร

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๑๐๖๏ เกณฑ์ไพร่พลรบครบจำนวน เลือกล้วนห้าวหาญชาญสมร กองน่าอสุรีมีฤทธิรอน ขี่มังกรถือปืนพื้นใบโพ กองหลวงขี่กิเลนเกณฑ์ตามตำแหน่ง ขัดดาบตะพายแล่งถือโล่ห์ ทัพหลังโยธีขี่สิงโต บ้างขี่โคถึกเถลิงเริงแรง สารวัดเที่ยวตรวจทุกหมวดหมาย พรั่งพร้อมไพร่นายตามตำแหน่ง บ้างเทียมรถรีบรัดจัดแจง มาอยู่น่าพลับพลาแดงดาษดา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๑๐๗๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา เสด็จจากแท่นแก้วแววฟ้า ลีลามาสรงคงคาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๑๐๘๏ พนักงานไขสุหร่ายดังสายฝน ต้องสกนธ์ซ่านเซนเย็นใส ทรงสุคนธรศเร้าเอาใจ สอดใส่สนับเพลาเพราพราย ภูษายกทองท้องพัน กรวยเชิงสามชั้นเฉิดฉาย ฉลององค์ทรงเกราะกระสันกาย ปั้นเหน่งลายลงยาราชาวดี ทับทรวงดวงดอกลอยพลอยรยับ ตาบประดับมรกฎสดศรี สังวาลค่าเมืองเรืองรูจี ทองกรแก้วมณีเนาวรัตน์ สอดทรงธำมรงค์เรือนครุธ มงกุฎเพ็ชรประดับสำหรับกระษัตริย์ กรรเจียกจรเจียรไนดอกไม้ทัด จับธนูคู่หัดถ์บทจร

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๑๑๐๙๏ สั่งให้เลิกพยู่ห์หมู่จัตุรงค์ ขนัดธงทวนทิวปลิวสลอน ออกนอกโรมคัลพระนคร พลนิกรโห่ฉาวกราวเกรียว

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๑๑๑๐๏ รถเอยรถทรง แอกอ่อนงอนรหงธงเขียว บุษบกบรรจงทรงพริ้งเพรียว กระหนกกระหนาบกาบเกี้ยวแกมทอง อสุราสารถีโลทัน ขับมังกรสองพันเผ่นผยอง เซงแซ่แตรสังข์ฆ้องกลอง ลั่นพิฦกกึกก้องท้องสุธา แห่แหนแน่นขนัดจัตุรงค์ ทิวธงทวนสล้างมากลางป่า โพยมพยับอับแสงสุริยา เมฆามืดมนท์อนธการ เนื้อเบื้อโคกระทิงสิงคนัด วิ่งพลัดตกห้วยเหวลหาน เร่งรีบพหลพลมาร ล่วงด่านแดนนิเวศน์เขตรลงกา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๑๑๑๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดจัตุรงค์ เสด็จลงจากราชรัถา พอเสด็จออกพระโรงรจนา ก็เข้ามานอบนบอภิวันท์

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๑๑๒๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ สถิตย์เหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ เห็นมังกรกรรฐ์ก็ดีใจ จึ่งตรัสเรียกขึ้นนั่งร่วมอาศน์ พลางประภาศโอภาปราไส แถลงเล่าเหตุผลแต่ต้นไป ซึ่งเกิดไพรีประชิดติดภารา คือลักษณ์รามที่ฆ่าบิดาเจ้า คุมเหล่าลิงค่างต่างภาษา มารบรุกบุกบันบีฑา เคี่ยวฆ่ากุมภกรรฐ์บรรไลย อินทรชิตไชยชาญออกหาญหัก คราวนี้พระลักษณ์ก็ตักไษย ให้เลิกทัพกลับเข้าเวียงไชย มันรื้อเปนขึ้นได้ไม่ม้วยมรณ์ เดี๋ยวนี้องค์อินทรชิตเชษฐา ไปตั้งกิจวิทยาชุบศร เจ้าจงคุมพหลพลนิกร ออกราญรอนรับรองป้องกันไว้

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๑๑๓๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์บังคมก้มกราบไหว้ แล้วทูลว่าซึ่งดำรัสตรัสใช้ จะให้ไปตั้งทัพรับมนุษย์ พอสมจิตรคิดหวังครั้งนี้ ความหลานยินดีเปนที่สุด องค์พระบิดาข้าม้วยมุด เพราะมนุษย์รบรุกบุกบัน ยังไม่วายหายแค้นขัดใจ จะออกไปเข่นฆ่าให้อาสัญ เกิดในสุริวงษ์พงษ์กุมภัณฑ์ ไม่ขยั้นย่อท้อต่อไพริน อันไอ้พวกวานรสัญจรป่า พลอยมาลบหลู่ดูหมิ่น จะให้แต่พลยักษ์หักฅอกิน จนสุดสิ้นพวกพ้องของมัน

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๑๑๔๏ เมื่อนั้น ทศเศียรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ ลูบหน้าลูบหลังมังกรกรรฐ์ เออนั่นเปนไรไม่เสียที น้อยฤๅห้าวหาญการณรงค์ สมศักดิสุริวงษ์ยักษี แต่จะออกชิงไชยกับไพรี ไม่ได้ทีอย่ากระโจมเข้าโรมรัน จงคอยท่าอินทรชิตฤทธิรอน ตรวจตราพลากรไว้ให้มั่น เห็นได้ทีมีไชยชนะมัน จึ่งโรมรุกบุกบันชิงไชย

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๑๕๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์ยินดีจะมีไหน ถวายอัญชลีลาคลาไคล สั่งให้เดินทัพฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๑๑๖๏ ครั้นถึงสมรภูมิไชยศรี จึ่งให้หยุดโยธีทัพขัน ตั้งตามที่เทินเนินอรัญ กำชับกันทุกหมวดตรวจตรา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๑๑๑๗๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา เสด็จนั่งน่าสุวรรณพลับพลา เสนาน้อมประนตบทมาลย์ ทั้งขีดขินชมภูหมู่วานร ฤทธิรอนร้ายกาจอาจหาญ พระทรงฤทธิ์คิดดำริห์ตริการ จะรอนราญอาธรรม์ให้บรรไลย พอได้ยินสำเนียงเสียงโห่ ก้องโกลาลั่นหวั่นไหว จึ่งถามพิเภกพลันทันใด วันนี้ใครยกมาราวี

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๑๑๑๘๏ บัดนั้น พิเภกประนตบทศรี พิเคราะห์ดูรู้ความตามคัมภีร์ จึ่งทูลพระจักรีสี่กร อันตัวนายโยธานั้นกล้าหาญ ชื่อมังกรกรรฐ์มารชาญสมร อยู่บุรีโรมคัลพระนคร บุตราพระยาขรซึ่งบรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๑๙๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย ได้ฟังทูลแถลงแจ้งพระไทย ภูวไนยนิ่งนึกตรึกตรา จำจะไปป้องกันประจัญบาน จะได้ผลาญอสุรศักดิยักษา จึ่งสั่งน้องพาลีมีศักดา จงตระเตรียมโยธาอย่าช้าที

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๒๐๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษี ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาจัดโยธีทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๑๒๑๏ เกณฑ์กระบวนน่าหลังคั่งคับ พร้อมพรั่งตามตำหรับทัพใหญ่ ครบจำนวนถ้วนสิบสมุทไทย เคยต่อตีมีไชยมาทุกคราว ลางลิงตัวดีขี่เลียงผา ตะพายย่ามลว้าถือหลาว บ้างใส่เสื้อกำมหยี่ขี่เสือดาว ถือง้าวเงื้อง่าท่าทีฟัน บ้างนุ่งผ้าตาโถงโจงกระเบน ขี่กระบือถือเขนขบขัน บ้างขี่กระทิงถือปืนยืนยัน คาดเครื่องคงกระพันกันสาตรา บ้างขี่หมีมีกำลังไวว่อง ถือกระบองสี่ศอกออกน่า แล้วเทียมราชรถแก้วแววฟ้า ประทับท่าคอยเสด็จจรลี

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๑๒๒๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี จึ่งชวนพระอนุชาธิบดี จรลีไปสรงคงคา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๑๒๓๏ สองกระษัตริย์ชำระสระสนาน สุคนธารประทิ่นกลิ่นบุบผา สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ ภูษายกอย่างต่างกัน ห้อยน่าผ้าทิพย์ทองรยับ ชายแครงแสงสลับสีสัน ฉลององค์ทรงประภาศตาดสุวรรณ คาดปั้นเหน่งกุดั่นดุนลอย กรองสอสังเวียนวิเชียรช่วง ทับทรวงประดับเนื่องเฟื่องห้อย ทองกรจำหลักเปนรักร้อย ธำมรงค์เพ็ชรพลอยพรายตา ต่างทรงมงกุฎกรรเจียกแก้ว วาวแวววาบวับจับเวหา ครั้นเสร็จสรรพจับพระแสงสาตรา เสด็จมาเกยสุวรรณทันใด

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๑๑๒๔๏ พรั่งพร้อมพหลพลนิกร วานรกราบก้มบังคมไหว้ ขยายยกโยธาคลาไคล แห่แหนแน่นในเนินบรรพต

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๑๑๒๕๏ รถเอยรถทรง กำกงล้วนแล้วแก้วมรกฎ บุษบกกระหนกเกรินท้ายรถ งอนชดเฉิดฉายปลายปักธง ชั้นลดช่อตั้งกระจังทอง บันบัวตัวลำยองหางหงษ์ เทียมอัศวราชอาจอง เคยณรงค์เริงร่านทยานมา เครื่องสูงอภิรุมชุมสาย เรียบริ้วเรียงรายซ้ายขวา สังข์แตรแซ่สนั่นอรัญวา โยธาฮึกโห่เปนโกลี สำเนียงเสียงพวกพลากร สัตว์สิงวิ่งซอนซอกหนี ต่างต่างสำแดงแผลงฤทธี เร่งร้นพลกระบี่บทจร

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๑๒๖๏ ครั้นถึงเห็นทัพคับคั่ง รายตั้งตามเทินเนินศิงขร จึ่งให้หยุดโยธาพลากร วานรนายทัพกำชับกำชา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๑๒๗๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์สิทธิศักดิยักษา เห็นมนุษย์ยกทัพขับโยธา จะออกมารณรงค์สงคราม จึ่งให้เลื่อนรถแก้วแววไว เข้าไปใกล้มนุษย์แล้วร้องถาม ตัวท่านนี้ฤๅชื่อพระราม บังอาจข้ามคงคามายงยุทธ สาเหตุเภทพาลเปนไฉน จึ่งตั้งใจเคี่ยวขับสัปรยุทธ ไม่รักตัวกลัวว่าจะม้วยมุด ท่านรุ่งเรืองฤทธิรุตม์เปนอย่างไร

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๒๘๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ตรัสแจ้งแถลงไข เราฤๅคือพระรามฤทธิไกร น่ารถไชยนั้นพระอนุชา เหตุด้วยทศกรรฐ์อันธพาล ทำการทุจริตอิจฉา ไปลักเมียเรามาไว้ในลงกา จึ่งตามมารณรงค์สงคราม ท่านนี้มีนามไฉนเล่า จะมาม้วยด้วยเขาไม่เข็ดขาม จงหยุดยั้งฟังเราห้ามปราม อย่าลวนลามเลิกทัพกลับไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๒๙๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์ฟังแจ้งแถลงไข ยิ่งโกรธาตาแดงดังแสงไฟ จึ่งร้องไปว่าเหวยพระรามา เราฤๅชื่อมังกรกรรฐ์ เทวัญเกรงฤทธิ์ทุกทิศา บัดนี้พระเจ้าลุงกรุงลงกา ให้เรามากำหราบปราบโจรไพร อย่าเพ่อพูดประมาทอาจจิตร ประเดี๋ยวนี้ชีวิตรจะตักไษย ว่าพลางขับพลสกลไกร เข้าไล่หักโหมโจมตี

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๑๑๓๐๏ บัดนั้น พวกพลอสุรศักดิยักษี ต่างต่างสำแดงแผลงฤทธี เข้าโจมตีทัพน่าวานร บ้างขับม้าหมายมุ่งพุ่งหอกซัด บ้างยัดปืนใหญ่ใส่หมอน ถ้อยทีหักหาญราญรอน ตลุมบอนบันบุกคลุกคลี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๓๑๏ บัดนั้น โยธาวานรไม่ถอยหนี ไม่หลีกหลบรบสู้อสุรี ต่อตีไล่กระชิดติดพัน เข้ารบพุ่งช่วยเพื่อนกันเกลื่อนกลุ้ม จับกุมผลัดเปลี่ยนเหียนหัน พวกกระบี่ไล่รุกบุกบัน กุมภัณฑ์แตกตายกระจายไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๓๒๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์เห็นยักษ์ตักไษย จึ่งจับศรสิทธิ์ฤทธิไกร โจนไปจากรถด้วยฤทธา เข้ารุกไล่เหล่ากระบี่ตีดาย ขุนมารหวดซ้ายป่ายขวา วานรแตกพ่ายกระจายมา จนถึงน่ารถพระรามไม่ขามฤทธิ์

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๓๓๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์จักรกฤษณ์ เห็นมังกรกรรฐ์กระชั้นชิด ตามติดไล่ตีกระบี่มา จึ่งจับศรสิทธิ์ฤทธิรงค์ กับพระลักษณ์ลงจากรัถา เข้ารบรับกับองค์อสุรา หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี พระเชษฐาเหยียบบ่ากุมภัณฑ์ พระลักษณ์ยันเหยียบเอวยักษี ตลุมบอนบันบุกคลุกคลี ถ้อยทีหักโหมโรมรัน

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๑๑๓๔๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์ฤทธิแรงแขงขัน ไม่หลีกหลบรบรับจับประจัญ ขบฟันไล่กระชิดติดตาม หนีไล่ไวว่องทำนองยุทธ รอรั้งยั้งหยุดกลางสนาม ขึ้นศรกรก่งไม่ครั่นคร้าม พาดสายหมายพระรามแล้วแผลงไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๑๓๕๏ สำเนียงเสียงสนั่นครั่นครึก ก้องกึกกัมปนาทหวาดไหว ต้องกระบี่รี้พลสกลไกร บรรไลยเกลื่อนกลาดดาษดา แล้วต้องพระจักรีภูวนารถ เกราะขาดถึงกระทั่งมังษา กลับสท้อนย้อนถอยออกมา ลอยอยู่ตรงน่าพระอวตาร

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๓๖๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน เห็นอสุรีแผลงศรมารอนราญ ภูบาลนิ่งนึกในพระไทย ศรศักดิยักษานี้ทายาด ยิงเกราะกูขาดเข้าไปได้ คิดพลางทางขึ้นศิลป์ไชย ยิงแย้งแผลงไปด้วยฤทธี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๑๓๗๏ เสียงพิฦกกึกก้องกัมปนาท ไหวหวาดทั่วทิศทั้งสี่ กระทบถูกลูกศรอสุรี ไม่ทานทนป่นปี้เปนจุณไป แล้วไล่สังหาญราญรอน พลนิกรพวกยักษ์ตักไษย โยธาวานรที่บรรไลย กลับเปนขึ้นมาได้ไม่ม้วยมิด

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๓๘๏ เมื่อนั้น มังกรกรรฐ์นึกขยั้นพรั่นจิตร ชิชะมนุษย์นี้มีฤทธิ์ ศรสิทธิสามารถประหลาดใจ สังหารผลาญศรกูย่อยยับ จะรบรับเคี่ยวเข็นเห็นไม่ได้ คิดพลางทางเหาะหนีไป เข้าซ่อนในกลีบเมฆเมฆา จึ่งนบนิ้วประนมก้มเกษ สำรวมกายร่ายเวทคาถา นิมิตรเปนรูปทรงองค์อสุรา เกลื่อนกลาดดาษดานภาไลย

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๑๑๓๙๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย เห็นยักษีหนีเหาะรเห็จไป ประเดี๋ยวใจลอยเลื่อนเกลื่อนอัมพร แต่ล้วนรูปอสุรากว่าหมื่นพัน เหมือนมังกรกรรฐ์ชาญสมร มิรู้ที่จะแผลงผลาญราญรอน จึ่งเสี่ยงศรพรหมมาศมหิมา ถ้าแม้นมังกรกรรฐ์มันอยู่ไหน จงตรงไปประหารผลาญยักษา เสี่ยงแล้วขึ้นศรอันศักดา ผ่านฟ้าก็ลั่นไปทันที

ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๑๔๐๏ เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงศรดังสนั่น ไปต้องมังกรกรรฐ์ยักษี เศียรกระเด็นตกดินสิ้นชีวี ทั้งรูปที่เหมือนกายก็หายไป

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๑๔๑๏ บัดนั้น อสูรซึ่งเหลือตายทั้งนายไพร่ ครั้นเห็นมังกรกรรฐ์บรรไลย ตกใจต่างวิ่งทิ้งสาตรา บ้างบุกเข้ารกเรี้ยวเลี้ยวหลีกหลบ ถึงต้นทางต่างพบกันพร้อมหน้า ทั้งนายไพร่ไม่เข้ากรุงลงกา รีบมาโรมคัลบุรี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๔๒๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์เรืองศรี เสร็จสังหารมารร้ายวายชีวี เลิกกระบี่กระบวนทัพเข้าพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๑๔๓๏ บัดนั้น พลมังกรกรรฐ์ดั้นเดินป่า พอพลบค่ำย่ำฆ้องถึงภารา ไปเฝ้าพระอนุชาฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๑๔๔๏ ต่างบังคมก้มกราบแสงอาทิตย์ ทูลแถลงแจ้งจิตรทุกสิ่งสรรพ์ พระเชษฐาของพระองค์ทรงธรรม์ อาสาท้าวทศกรรฐ์ออกสงคราม ได้รบรับกับมนุษย์วานร ตลุมบอนชิงไชยในสนาม สิ้นกำลังพลั้งพลาดเพลี่ยงพระราม ถึงแก่ความมรณาพิราไลย เสียสิ้นม้ารถคชสาร พลมารย่อยยับไม่นับได้ ทั้งตัวข้าวานรมันล้อมไว้ แต่ฟันฝ่ามาได้ไม่วายปราณ

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๔๕๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์ฤทธิไกรใจหาญ แจ้งว่ามังกรกรรฐ์บรรไลยลาญ เดือดดาลดังไฟไหม้ฟ้า ชิชะมนุษย์รามลักษณ์ ทนงนึกฮึกฮักหนักหนา ครั้งก่อนผลาญชีวิตรพระบิดา คราวนี้ฆ่าพี่ชายเราวายชนม์ กูจะไปตีทัพจับตัว ตัดหัวเสียบไว้ในไพรสณฑ์ ทั้งไอ้ลิงเหล่ากระบี่รี้พล จะห้ำหั่นให้ป่นเปนเหยื่อกา ว่าพลางสั่งพิจิตรไพรี อันเปนที่พี่เลี้ยงยักษา จงรีบเร่งรัดจัดโยธา เราจะไปลงกาธานี

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๑๔๖๏ บัดนั้น พี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกษี มาเกณฑ์พวกพลขันธ์ทันที พร้อมพรั่งดังมีบัญชาการ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๑๔๗๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์ฤทธิไกรใจหาญ เสด็จจากแท่นรัตน์ชัชวาลย์ มาเข้าที่สรงสนานสำราญองค์

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๑๔๘๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง เฟื่องฟุ้งหอมประทิ่นกลิ่นส่ง ใส่สนับเพลาสุวรรณบรรจง ภูษาทรงแย่งยกกระหนกกลาย ชายแครงแสงใสไหวสบัด เกราะเก็จเพ็ชรรัตน์จำรัสฉาย รัดอกกระหนกพันกุดั่นลาย ปั้นเหน่งเพ็ชรเพทายสายสุวรรณ สร้อยสังวาลตาบทิศติดสลับ พลอยประดับทับทรวงดวงกุดั่น ทองกรแกมแก้วแพรวพรรณ ธำมรงค์ควงขันกัลเม็ด ใส่ทรงมงกุฎบุษรัตน์ กรรเจียกจรจำรัสตรัจเตร็จ สพักศรกรกุมคทาเพ็ชร แล้วเสด็จลีลาศยาตรา

ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี

ร่าย

๑๑๔๙๏ ยืนยังเกยแก้วสุรการ ทวยหาญกราบงามสามท่า คลี่คลายขยายยกโยธา ออกจากภาราเข้าป่าไป

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๑๑๕๐๏ รถเอยรถแก้ว ล้วนแล้วเพ็ชรแดงแสงใส ดุมวงกงกำอำไพ งอนรหงธงไชยสามชาย บัลลังก์ลอยช้อยชดลดหลั่น พื้นภาพสามชั้นคั่นบัวหงาย อ่อนแอกแปรกบังกระวังราย ทูบท้ายบุษบกกระหนกเกริน เทียมด้วยคชสีห์มีศักดิ ดังจะชักรถเพ็ชรรเห็จเหิน สารถีขี่ขับให้ด่วนเดิน ข้ามเนินพนมแนวแถวคิรี เครื่องสูงเรียงริ้วเปนทิวท่อง ฆ้องกลองก้องป่าพนาสี เร่งทัพขับรถจรลี ผลคลีกลุ้มตระหลบนภาไลย

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๑๕๑๏ ครั้นถึงลงกามหาสถาน ให้หยุดนอกปราการกรุงใหญ่ เสด็จจากรถแก้วแววไว คลาไคลไปเฝ้าเจ้าลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ช้า

๑๑๕๒๏ เมื่อนั้น ทศภักตร์พงษ์พรหมนาถา เสด็จออกอำมาตย์มาตยา พอสองสารัณทูตทูลคดี แจ้งว่ามังกรกรรฐ์บรรไลย ให้เร่าร้อนฤไทยดังไฟจี้ อินทรชิตก็ยังตั้งพิธี พึ่งได้สามราตรีสี่ทิวา จึ่งตรึกตรองปฤกษาข้าเฝ้า ครั้งนี้เราจะได้ใครอาสา พอแลเห็นแสงอาทิตย์ฤทธา เสด็จมาต้อนรับฉับพลัน

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๑๑๕๓๏ จูงกรขึ้นนั่งบัลลังก์รัตน์ แล้วตรัสแจ้งการหลานขวัญ เมื่อวานนี้พี่เจ้าออกโรมรัน ก็สูญสิ้นชีวันบรรไลย ประเดี๋ยวนี้ลุงยังนั่งเปนทุกข์ จะมีศุขสักเวลาก็หาไม่ คิดถึงเชษฐาเจ้าให้เศร้าใจ ตรัสพลางสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๑๑๕๔๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์คิดแค้นแสนสา จึ่งว่าหลานแจ้งความว่ารามา ผลาญชีวีพี่ข้าให้บรรไลย จึ่งรีบยกพลขันธ์มาวันนี้ จะต่อตีรามลักษณ์ให้ตักไษย ขอกราบบังคมลาคลาไคล รีบไปเข่นฆ่าปัจจามิตร

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๕๕๏ เมื่อนั้น ทศเศียรชื่นชมสมจิตร เข้าสร้วมสอดกอดจูบแสงอาทิตย์ เจ้าดังดวงชีวิตรบิตุลา มิเสียแรงร่วมวงษ์พงษ์พรหม ทั้งฤทธาอาคมก็แกล้วกล้า จงเร่งรัดจัตุรงคโยธา ยกไปเข่นฆ่าไพรี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๕๖๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์สิทธิศักดิยักษี ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาที่พักพลสกลไกร

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๑๕๗๏ จึ่งตรัสสั่งกาลสูรเสนา ให้รีบยกโยธาทัพใหญ่ ออกประตูบูรพาคลาไคล ไปสมรภูมิไชยฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๑๕๘๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดรถทรง จัตุรงค์ยับยั้งตั้งมั่น แล้วให้หมู่อสูรกุมภัณฑ์ โห่สนั่นในสนามสามลา

ฯ ๒ คำ ฯ รัว เจรจา

ช้า

๑๑๕๙๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์องค์นารายน์นาถา เสด็จนั่งยังน่าพลับพลา ปฤกษาการณรงค์สงคราม พอได้ยินสำเนียงเสียงโห่ร้อง อึกกระทึกกึกก้องท้องสนาม อัศจรรย์พระไทยไม่แจ้งความ จึ่งตรัสถามพิเภกพระยายักษ์ อันทัพนี้คือใครเปนใหญ่มา เสียงโห่โยธาเห็นหนาหนัก ท่านจงเร่งทำนายทายทัก ให้ประจักษ์จะแจ้งแห่งคดี

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๑๑๖๐๏ บัดนั้น พิเภกประนตบทศรี จึ่งจับยามตามเพลานาที ต้องที่แล้วทูลพระภูธร อันนายทัพอสุรีที่ยกมา คือองค์โอรสาพระยาขร วงษ์วานหลานท้าวยี่สิบกร เปนน้องร่วมอุทรมังกรกรรฐ์ ตัวเพื่อนชื่อว่าแสงอาทิตย์ เรืองฤทธิเรี่ยวแรงแขงขัน มหาพรหมสุริวงษ์พงษ์พันธุ์ ประสิทธิสรรแว่นไว้ให้อสุรี ถ้าแม้นแว่นนั้นส่องต้องผู้ใด ก็อาสัญบรรไลยดังไฟจี้ แต่มิได้เอามายังธานี อสุรีฝากไว้ในธาดา ต่อมีการศึกเหนือเสือใต้ จึ่งใช้ให้พี่เลี้ยงของยักษา ชื่อพิจิตรไพรีอสุรา ไปเอาแว่นลงมาฆ่าไพรี

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๑๖๑๏ เมื่อนั้น พระทรงสังข์ฟังทูลถ้วนถี่ จึ่งดำริห์ตริการผลาญไพรี แล้วมีพจนาบัญชาการ ดูราองคตยศไกร ท่านเข้าใจเจรจาว่าขาน จงนิมิตรคิดลวงพรหมมาน เอาแว่นแก้วสุรการนั้นลงมา แต่ซึ่งจะนิมิตรบิดเบือน ให้แม้นเหมือนพี่เลี้ยงยักษา ท่านสิยังไม่รู้จักภักตรา ถามพระยาพิเภกให้แจ้งใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๖๒๏ บัดนั้น องคตรับสั่งบังคมไหว้ จึ่งถามพิเภกพลันทันใด ซักไซ้ตามพะวงสงกา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๑๖๓๏ ครั้นรู้ทีกิริยาอาการ รูปทรงสัณฐานของยักษา จึ่งร่ายมนต์นิมิตรด้วยฤทธา จำแลงแปลงกายาฉับพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๑๑๖๔๏ เปนยักษาหน้าเขียวสมคิด เหมือนพี่เลี้ยงแสงอาทิตย์ทั้งล่ำสัน ให้พิเภกติเตียนไม่เพี้ยนกัน บังคมคัลแล้วรเห็จเหาะไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๑๖๕๏ ครั้นถึงที่ถิ่นฐานพิมานพรหม จึ่งบังคมก้มกรานกราบไหว้ ทำสนิทชิดชอบเหมือนเคยใช้ แล้วใส่ไคล้ทูลแถลงแต่งเจรจา บัดนี้มีมนุษย์สองนาย คุมกระบี่นิกายมาหนักหนา เข้าประชิดติดกรุงลงกา รบร้าฆ่าหมู่อสุรี องค์แสงอาทิตย์ฤทธิไกร จึ่งใช้ให้มาประนตบทศรี จะขอเอาอาวุธแว่นมณี ไปส่องเสี้ยนไพรีให้มรณา

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๖๖๏ เมื่อนั้น มหาพรหมได้ฟังไม่กังขา สำคัญจิตรคิดว่าอสุรา พี่เลี้ยงยักษาที่เคยใช้ พรหเมศชื่นชมโสมนัศ กวักพระหัดถ์ตรัสเรียกเข้ามาใกล้ แล้วหยิบแว่นศักดิสิทธิ์ฤทธิไกร ยื่นให้ดีดีด้วยปรีดา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๖๗๏ บัดนั้น องคตยิ้มลไมอยู่ในหน้า ได้แว่นพรหมสมอุบายที่หมายมา แล้วอำลาเหาะตรงลงแดนดิน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๑๖๘๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ พระนารายน์สุริวงษ์ทรงศิลป์ แล้วทูลความตามลวงพรหมินทร์ ถวายแว่นอสุรินทร์เรืองฤทธิ์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๑๖๙๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงศักดิจักรกฤษณ์ ได้แว่นแก้วอสุราปัจจามิตร ชื่นชมสมจิตรที่คิดไว้ จึ่งสั่งให้สุครีพตรวจตรา โยธาวานรนายไพร่ ให้คำแหงหณุมานชาญไชย เปนทัพน่าคลาไคลไปครั้งนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๗๐๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษี ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกมาจัดโยธีเข้าตาทัพ

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๑๗๑๏ เกณฑ์กระบี่รี้พลทวยหาญ ล้วนชำนาญโรมรันประจัญจับ สารวัดนายหมวดตรวจนับ พร้อมสรรพทัพหลวงโดยกระบวน ให้กระบี่มีมงกุฎตัวนาย เปนปีกซ้ายปีกขวาโยธาถ้วน กองหนุนกองหลังทั้งมวญ เลือกล้วนเคยศึกฮึกฮัก เกณฑ์ให้หณุมานชาญเดชา เปนกองน่าจู่โจมโหมหัก ทุกหมู่หมวดตรวจเตรียมพร้อมพรัก คอยเสด็จทรงศักดิจักรี

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๑๗๒๏ เมื่อนั้น พระสุริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี จึ่งตรัสชวนอนุชาจรลี ไปเข้าที่สระสรงคงคาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๑๗๓๏ ไขสุหร่ายวารินกลิ่นกุหลาบ กระเซนซาบอาบองค์เย็นใส พระสุคนธ์ปนปรุงทองอุไร ต่างสอดใส่สนับเพลาพลาง ทรงภูษายกทองท้องแย่ง ชายแครงเครือปักหักทองขวาง ห้อยน่าผ้าตาดริ้วมะปราง ฉลององค์งามละอย่างต่างพับ คาดปั้นเหน่งเบญมาศแน่นหน่วง ทับทรวงสังวาลสร้อยพลอยสลับ ทองกรเก็จเพ็ชรฑูรย์หนุนซับ ธำมรงค์ทรงสำหรับการณรงค์ มงกุฎแก้วรจนาชฎาจร จับพระขรรค์ศิลป์ศรสูงส่ง แล้วสั่งให้ไชยามโบกธง ยกตรงไปสมรภูมิพลัน

ฯ ๘ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๑๑๗๔๏ รถเอยรถทรง ดุมวงวิเชียรเหียนหัน พระที่นั่งบัลลังก์เวไชยันต์ กางกั้นเสวตรฉัตรจำรัสเรือง พระลักษณ์นั่งบังคมประนมกร ธงงอนริ้วริ้วปลิวเปลื้อง เทพอาชาชาติบาทเยื้อง ขนัดเนื่องเครื่องสูงสังข์แตร เสียงประโคมฆ้องกลองก้องกึก คึกคึกเดินด่วนกระบวนแห่ วานรเยียดยัดอัดแอ ฆ้องกระแตตีเพรียกเรียกพล พระมาตุลีขี่ขับรถทรง เสียงกงก้องป่าพนาสณฑ์ ไม้ไล่ใกล้ทางจรดล หักโค่นต้นเอนรเนนไป

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๑๗๕๏ ครั้นถึงที่ตำบลรณรงค์ เห็นทัพยักษ์ปักธงอยู่ทิศใต้ จึ่งให้หยุดพลรบสงบไว้ จะดูเชิงชิงไชยพวกไพรี

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๑๗๖๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์สิทธิศักดิยักษี แลไปบนรถรูจี เห็นมนุษย์กับกระบี่ยกมา ให้คิดแค้นโกรธาพยาบาท มุ่งมาดหมายเขม้นจะเข่นฆ่า จึ่งตรัสสั่งกาลสูรเสนา ให้เร่งขับทัพน่าเข้าโจมตี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๗๗๏ บัดนั้น กาลสูรรับสั่งใส่เกษี ถอดดาบแกว่งไกวไล่โยธี เข้าต่อตีรบกับทัพมนุษย์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๑๗๘๏ บัดนั้น หมู่มารหาญเหี้ยมสัปรยุทธ ต่างประกวดอวดชำนาญการยุทธ รำอาวุธสองมือดื้อดึง ทนายปืนขึ้นนกยกประทับ ปล่อยตับผับเดียวทลวงถึง ถอดดาบไล่หันฟันตบึง ไม่พรั่นพรึงโยธาวานร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๗๙๏ บัดนั้น หมู่กระบี่ทวยหาญชาญสมร หลบหลีกกุมภัณฑ์ฟันฟอน ไม่ย่อหย่อนสาตราอาวุธ บ้างถอนต้นยูงยางง้างภูเขา วิ่งเข้าโจมจับสัปรยุทธ ตีต้องหมู่มารซานทรุด บ้างม้วยมุดแตกพ่ายกระจายไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๘๐๏ บัดนั้น กาลสูรเชี่ยวชาญทหารใหญ่ เห็นพวกพลกุมภัณฑ์บรรไลย ก็โกรธเกรียมเหี้ยมใจขึ้นมา กระทืบเท้าโครมครึกกึกก้อง สองมือถือตะบองเงื้อง่า โถมทยานหาญหักทำศักดา เข้าไล่ตีโยธาวานร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๘๑๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานชาญสมร เห็นนายกองทัพน่ามาราญรอน วานรย่อย่นร่นมา ขุนกระบี่กริ้วโกรธโดดรับ โจนจับกุมภัณฑ์ประจันหน้า ต่างยุดฉุดกระชากสาตรา หันเหียนเปลี่ยนท่าเหยียบยัน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๘๒๏ บัดนั้น กาลสูรเรี่ยวแรงแขงขัน ถาโถมโรมรุกบุกบัน โจมประจัญหันกลับรับรอง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๑๘๓๏ บัดนั้น หณุมานชาญไชยไวว่อง โจมจับกลับกลอกดูทำนอง เห็นยักษาง่าตะบองเงื้อมา ลูกลมล่วงไล่เข้าไปชิด อสุรีตีผิดล้มถลา วานรโจนฟาดด้วยสาตรา ถูกยักษาอาสัญลงทันที

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๑๑๘๔๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์ฤทธิไกรไชยศรี เห็นเสนากาลสูรสิ้นชีวี อสุรีเดือดใจดังไฟฟ้า โจนจากรถทรงองค์เดียว เข่นเขี้ยวเข้าตีกระบี่ป่า เหล่าลิงหลบพัลวันมา จนถึงน่ารถพระอวตาร

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๘๕๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน ขยับองค์ลงจากรถวิมาน เข้ารอนราญรบยักษ์ด้วยศักดา ถ้อยทีตีรันประจัญแรง ไม่พลาดแพลงคล่องแคล่วแกล้วกล้า ขึ้นเหยียบยักษ์ชักฉวยชิงสาตรา เปลี่ยนท่าทำนองว่องไว

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๘๖๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์ไม่พรั่นหวั่นไหว เคี่ยวขับสัปรยุทธชิงไชย หมายใจเข่นฆ่าราวี ถาโถมโจมจับสัปรยุทธ ยงยุทธด้วยกำลังยักษี รบชิดติดพันประจัญตี ถ้อยทีหนีไล่กันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๑๘๗๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์องค์นารายน์นาถา ได้ทีตีต้องอสุรา ยักษาหันเหเซทรุด

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๑๘๘๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์คิดพรั่นขยั้นหยุด แล้วนิ่งนึกตรึกตราว่ามนุษย์ พี่น้องสองบุรุษนี้เกรียงไกร อันสาตราอาวุธสำหรับกร หาควรคู่สู้ศรมนุษย์ไม่ เว้นแต่แว่นสุรการชาญไชย จึ่งจะผลาญมันได้ให้มรณา คิดพลางสั่งพิจิตรไพรี อันเปนที่พี่เลี้ยงของยักษา จงเร่งรีบไปเฝ้าท้าวธาดา ทูลขอแว่นฟ้าลงมาพลัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๘๙๏ บัดนั้น พิจิตรไพรีแขงขัน ก้มเกล้ารับสั่งบังคมคัล ลาแล้วกุมภัณฑ์ก็เหาะไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๑๙๐๏ ครั้นถึงท้าวธาดามหาพรหม จึ่งยกนิ้วประนมแถลงไข ว่าครั้งนี้มีพวกพาลไภย มาชิงไชยลงกาธานี แสงอาทิตย์ฤทธิรงค์ทรงยศ ให้ข้ามาประนตบทศรี จะขอแว่นศักดาไปราวี เผาพวกไพรีให้มรณา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๙๑๏ เมื่อนั้น พรหเมศฟังแถลงแคลงหนักหนา จึ่งบัญชาว่าเมื่อกี้อสุรา เองขึ้นมาว่าแว่นนายจะเอา กูก็หยิบยื่นให้ไปกับมือ กลับมารื้อซ้อมค้างอย่างนี้เล่า มิใช่กูหลงใหลใจเบา ยังจำเค้าได้อยู่อสุรา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๙๒๏ บัดนั้น อสุรีพี่เลี้ยงเถียงต่อหน้า เออเมื่อกี้ที่ไหนข้าได้มา พระเจรจาพลั้งพลาดประหลาดใจ เอะแล้วไพรีอันมีฤทธิ์ แกล้งนิมิตรปลอมข้าขึ้นมาได้ พระองค์หลงประทานแว่นไป ช่างกระไรไม่พิจารณา เมื่อเปนถึงอินทร์พรหมยังงมเงา ไม่รู้เท่าลิงค่างอยู่กลางป่า คิดแค้นใจไม่อัญชลีลา อสุราเหาะกลับมาฉับไว

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๑๑๙๓๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมคัล กุมภัณฑ์ทูลแจ้งแถลงไข ข้าไปเฝ้าเจ้าฟ้าสุราไลย ไม่ได้แว่นแก้วแล้วครั้งนี้ ปัจจามิตรคิดขึ้นไปลวงพรหม ท้าวนิยมงมทักว่ายักษี เอาแว่นหลงส่งให้ไพรี จงทรงทราบธุลีบาทา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๑๙๔๏ เมื่อนั้น แสงอาทิตย์คิดโทมนัศา นิ่งตลึงตึงไปทั้งกายา ดังชีวาจะม้วยรทวยรทด แล้วว่าเหตุทั้งนี้เพราะพิเภก เจ้าตัวเอกบอกให้ไพรีหมด ไปหลอกลวงทวงแว่นถึงโสฬศ จะคิดคดฆ่าวงษ์พงษ์พันธุ์ ว่าพลางกริ้วโกรธพิโรธใจ ไม่อาไลยแก่ชีวาจะอาสัญ จึ่งขึ้นศรกรกุมก่งคัน แล้วพาดสายหมายมั่นจะลั่นไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๑๙๕๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย จึ่งขึ้นศรพาลจันทันใด ยิงแย้งแผลงไปมิได้ช้า

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๑๙๖๏ ศรนารายน์ตัดสายศรกุมภัณฑ์ ขาดสบั้นหลุดพลัดหัดถา แล้วปักทรวงแสงอาทิตย์ฤทธา อสุราล้มดิ้นสิ้นใจ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๑๙๗๏ ครั้นเสร็จสังหารมารม้วยมรณ์ จึ่งปฤกษาวานรน้อยใหญ่ แสงอาทิตย์สิ้นชีวันบรรไลย ประเดี๋ยวใจก็จะอึงถึงลงกา เห็นทีอินทรชิตจะคิดอ่าน มารอนราญแก้แค้นแทนวงษา เจ้าลักษณ์อย่าเพ่อกลับไปพลับพลา จงควบคุมโยธาอยู่ขัดทัพ แล้วแบ่งไพร่ไว้สามสิบสมุท ให้สิบแปดมงกุฎอยู่กำกับ ครั้นเสร็จทรงรถแก้วแวววับ เสด็จกลับพลับพลาพนาลี

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๑๑๙๘๏ บัดนั้น ทั้งสองสารัณทูตยักษี เห็นกุมภัณฑ์พ่ายแพ้แก่ไพรี ก็นำข่าวคดีไปลงกา

ฯ ๒ คำ ฯ กราว

๑๑๙๙๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล ท้าวราพนาสูรยักษา แสงอาทิตย์เสียทัพอัปรา สิ้นชีวาอาสัญบรรไลย

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๐๐๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสท้อนถอนใจใหญ่ ชิชะมนุษย์นี้สุดใจ ทำไฉนจึงจะล้างมันวางวาย จะใช้ใครไปรบก็แพ้ฤทธิ์ เห็นจะคิดองอาจประมาทหมาย ยิ่งกลุ่มกลัดขัดใจไม่สบาย แสนเสียดายนัดดายาใจ จำจะให้อินทรชิตฤทธิรุตม์ ไปสังหารผลาญมนุษย์เสียให้ได้ ดำริห์พลางทางสั่งเสนาใน จงรีบตามออกไปโรงพิธี บอกองค์อินทรชิตฤทธิรอน ให้เร่งชุบแสงศรเรืองศรี แล้วยกไปสังหารผลาญไพรี อย่าช้าทีข้าศึกจะฮึกฮัก

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๒๐๑๏ บัดนั้น กาลสูรเสนีมีศักดิ รับสั่งบังคมทศภักตร์ แล้วขุนยักษ์รีบเหาะรเห็จมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๐๒๏ ครั้นถึงโรงพิธีมีเฉลียง ค่อยมองเมียงดูพระโอรสา เห็นนั่งนิ่งรงับหลับไนยนา จึ่งเข้ามากราบก้มบังคมคัล แล้วว่าพระบิดาให้ข้าบาท มาแจ้งราชการทัพขับขัน แสงอาทิตย์ฤทธิรอนมังกรกรรฐ์ ไปโรมรันอัปราปัจจามิตร เสียสิ้นมารถคชสาร ทั้งขุนมารแม่ทัพก็ดับจิตร ขอให้พระองค์ทรงฤทธิ์ ไปเข่นฆ่าปัจจามิตรให้มรณา

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๒๐๓๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา ได้ยินบอกออกความอัปรา โกรธาลืมเนตรเห็นเสนี ลุกขึ้นกระทืบบาทหวาดไหว เหม่ไอ้กาลสูรยักษี มาพูดให้เปนลางกลางพิธี ชีวิตรมึงถึงที่จะบรรไลย นี่หากคิดนิดเดียวด้วยรับสั่ง จะหยุดยั้งยกโทษโปรดให้ ว่าพลางทางขับเสียทันใด แล้วกลับนั่งตั้งใจภาวนา

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

๑๒๐๔๏ เดชะพระเวทอสุรินทร์ พื้นแผ่นดินดังลั่นสนั่นป่า ทั้งฟ้าแลบแวววับจับตา อสุราชื่นชมสมคิด จึ่งจับสัตวตัดศีศะใส่ถาด ให้พรหมมาศสูบกินสิ้นโลหิต ครั้นเสร็จสรรพจับศรอันเรืองฤทธิ์ สำราญจิตรออกจากโรงพิธี

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๑๒๐๕๏ จึ่งตรัสสั่งรุทการชาญกำแหง จะเปลี่ยนแปลงกายกูเปนโกสีย์ จงให้การุณราชอสุรี แปลงอินทรีย์เปนคชาเอราวรรณ อันโยธาทั้งหลายจงกลายเพศ เปนเทเวศร์สุรางค์นางสวรรค์ ให้สำหรับขับรำรบำบรรพ์ เร่งเตรียมไว้ให้ทันฤกษ์ดี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๑๒๐๖๏ บัดนั้น รุทการประนตบทศรี มาเร่งรัดจัดหมู่อสุรี ให้นิมิตรอินทรีย์ด้วยฤทธา

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๑๒๐๗๏ การุณราชมารชาญฉกรรจ์ เปนช้างเอราวรรณแกล้วกล้า สามสิบสามเศียรโสภา เศียรหนึ่งเจ็ดงาตระหง่านงอน พวกแตรสังข์กังสดาลดุริยางค์ เปนเทเวศร์สุรางค์นางอับศร บ้างแปลงเปนนักสิทธิ์ฤทธิรอน วิชาธรแห่น่าคชาธาร อันโลทันนั้นนิฤมิตรกาย เปนควาญท้ายสำหรับขับคชสาร จัดทัพสรรพเสร็จสำเร็จการ คอยท่าพระยามารชาญณรงค์

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๒๐๘๏ เมื่อนั้น อินทรชิตชื่นชมสมประสงค์ จึ่งขึ้นบนแท่นสุวรรณบรรจง จำแลงแปลงองค์อสุรา

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ รัว

๑๒๐๙๏ เปนโกสีย์ทรงเครื่องเรืองอร่าม ล้วนแก้วเก้าเงางามวามเวหา จับพระแสงพรหมมาศยาตรา เสด็จมาเกยสุวรรณทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๒๑๐๏ ขึ้นทรงฅอคชาเอราวรรณ ทหารแห่โห่สนั่นหวั่นไหว ขยายยกโยธาคลาไคล ลอยฟ้ามาในโพยมมาล

ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน

โทน

๑๒๑๑๏ ช้างเอยช้างนิมิตร เรืองฤทธิ์เรี่ยวแรงกำแหงหาญ ประดับเครื่องเรืองรัตน์ชัชวาลย์ ล้วนแล้วแก้วประพาฬพรรณราย ห้อยหูภู่จามรีรอง ปกตระพองรัดงาตาข่าย เครื่องสูงสามแถวแพรวพราย อภิรุมชุมสายเปนคู่เคียง กลองชนะประโคมโครมครึก มโหรธึกสังข์แตรแซ่เสียง พิณพาทย์ดุริยางค์นางจำเรียง ประคองเคียงสองข้างช้างทรง สาวสุรางค์นางรบำรำฟ้อน ดังกินรแน่งน้อยนวลหง สุรารักษ์นักสิทธิ์ฤทธิรงค์ ถือทวนธงเปนทิวลิ่วลอยมา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๒๑๒๏ ครั้นถึงที่ประจัญบานราญรอน เห็นวานรนับแสนแน่นหนา กับทั้งองค์พระลักษณ์ศักดา ยืนรถรัตนาอยู่กลางพล จึ่งยั้งหยุดช้างทรงองอาจ ลอยเลื่อนเกลื่อนกลาดเวหน ให้กุมภัณฑ์บรรดาจำแลงตน ใส่กลขับรำรบำบรรพ์

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๑๓๏ บัดนั้น รูปนิมิตรฤทธิแรงแขงขัน สาวสุรางค์นางฟ้าเทวัญ บังคมคัลคำนับรับบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ

พระทอง

๑๒๑๔๏ ต่างจับรบำรำฟ้อน ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา ร่ายเรียงเคียงคมประสมตา เลี้ยวไล่ไขว่คว้าเปนแยบคาย แล้วทวนทบตระหลบหลีกเลี่ยง เคล้าคลอรอเรียงเมียงม่าย หันเหียนเปลี่ยนแทรกมาข้างซ้าย แล้วย้ายมาขวาทำท่าทาง ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง วงเวียนเหียนหันกั้นกาง เปนคู่คู่อยู่กลางอัมพร

ฯ ๖ คำ ฯ เพลง

ร่าย

๑๒๑๕๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์สุริวงษ์ทรงศร ทั้งพวกพลโยธาวานร ดูรบำรำฟ้อนบนเมฆา สำคัญว่าโกสีย์ตรีเนตร กับเทเวศร์นางสวรรค์หรรษา พระพินิจพิศเพลินจำเริญตา ทั้งพวกพลสวาวานรไพร

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๑๖๏ เมื่อนั้น อินทรชิตยินดีจะมีไหน เห็นข้าศึกเสียเชิงละเลิงใจ จึ่งจับศรไชยขึ้นบูชา แล้วพาดสายหมายเขม้นเข่นเขี้ยว น้าวเหนี่ยวด้วยกำลังตึงอังษา สังเกตตรงองค์พระลักษณ์อนุชา อสุราก็ลั่นไปทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๒๑๗๏ ศรเปนประกายไปหลายลูก ตกถูกลิงพลไม่ทนได้ แล้วต้องพระอนุชาเสนาใน สลบไปไม่เปนสมประดี

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๒๑๘๏ แลเขม้นเห็นแต่หณุมาน ยืนทยานอยู่ตรงภักตร์ยักษี สรวลพลางตบหัดถ์อสุรี ทั้งโยธีสมคเนเฮฮา

ฯ ๒ คำ ฯ กราวรำ

๑๒๑๙๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานหาญกล้า กระทืบบาทกราดเกรี้ยวโกรธา แล้วชี้หน้าว่าเหวยสหัสไนย เหตุใดไปเข้าข้างพวกยักษ์ มาแผลงผลาญพระลักษณ์ตักไษย กูจะล้างชีวันให้บรรไลย จงสาใจอินทราที่อาธรรม์ ว่าพลางเผ่นโผนโจนทยาน ขึ้นตีควาญท้ายคชาอาสัญ ง้างหักฅอพระยาเอราวรรณ ชิงคันศรศักดิมัฆวาน

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๒๒๐๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธิไกรใจหาญ ไม่หลีกหลบขบฟันประจัญบาน รอนราญรับรองว่องไว หันเหียนเปลี่ยนท่าง่าเงื้อศร ไสกุญชรติดพันกระชั้นไล่ ตีต้องหณุมานชาญไชย กระเด็นไปกับเศียรไอยรา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๑๒๒๑๏ เห็นวานรแน่นิ่งไม่ติงกาย คิดว่าวายชีวังสังขาร์ พอจวนแสงสุริยนสนธยา จึ่งสั่งสารัณทูตทันใด แม้นพระรามตามน้องมาที่รบ จะกอดศพร่ำรักจนตักไษย เองรีบเข้าไปแถลงให้แจ้งใจ กูจะได้มาประหารผลาญชีวา แล้วสั่งให้เลิกทัพกลับพล ต่างตนบรรเทิงเริงร่า รูปกายกลายเปนอสุรา คืนเข้าลงกาธานี

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๑๒๒๒๏ ครั้นถึงนัคเรศนิเวศน์วัง เข้ายังพระโรงทองผ่องศรี บังคมบาทบิตุรงค์ทรงฤทธี แล้วทูลความตามที่มีไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๒๒๓๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์ยินดีจะมีไหน ประคององค์โอรสยศไกร กอดจูบลูกไล้แล้วชมเชย ฤทธิรณกลศึกก็ฦกซึ้ง เปนที่พึ่งพ่อแล้วลูกแก้วเอ๋ย เจ้าเหนื่อยมาอย่านั่งนานนักเลย ไปเสวยสว่ำให้สำราญ

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๒๔๏ เมื่อนั้น อินทรชิตคำนับรับบรรหาร ออกจากพระโรงรัตน์ชัชวาลย์ ไปสถานที่อยู่อสุรา

ฯ ๒ คำ ฯ พราหมณ์เข้า

ช้า

๑๒๒๕๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา เนาในที่ประทับพลับพลา คอยพระอนุชาลาวรรณ จนโพล้เพล้เวลาอัษฎงค์ สุริยงลับไม้ไพรสัณฑ์ พระเนตรขวากระเหม่นเปนอัศจรรย์ ผิดประหลาดหวาดหวั่นพรั่นพระไทย วันนี้ฟังสำเนียงเสียงศิลป์ ฟ้าดินเลื่อนลั่นหวั่นไหว ฤๅพวกพาลไพรีมันมีไชย จำจะไปตามพระอนุชา

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๑๒๒๖๏ คิดแล้วแต่งองค์ทรงศร ชวนวานรไพร่นายทั้งซ้ายขวา เสด็จจากที่ประทับพลับพลา นิลนนท์นำน่าคลาไคล

ฯ ๒ คำ ฯ พระยาเดิน

๑๒๒๗๏ เดินทางกลางดงหลงเวียนวน จะเห็นหนมรคาก็หาไม่ จึ่งจับจันทวาทิตย์ฤทธิไกร แผลงไปในเมฆเมฆา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๒๒๘๏ เปนดาวดาดกลาดเกลื่อนเดือนหงาย แสงฉายสว่างกลางเวหา รีบสาวพระบาทยาตรา ไปตามมรคาพนาวัน

ฯ ๒ คำ ฯ ทยอย

โอ้ร่าย

๑๒๒๙๏ ครั้นถึงที่รบเห็นศพลิง เกลื่อนกลิ้งกลางสุธาอาสัญ ทั้งคำแหงหณุมานชาญฉกรรจ์ ทับเศียรเอราวรรณบรรไลย ยิ่งรทวยรทดสลดจิตร ทรงฤทธิ์หยุดยืนสอื้นไห้ โอ้ว่าวายุบุตรวุฒิไกร เคยชิงไชยชนะอสุรา ครั้งนี้ชีวิตรมาปลิดปลด เสียยศเสียศักดิเปนหนักหนา กรรแสงพลางทางเสด็จเดินมา เห็นพระยาสุครีพชมภูพาล นิลราชฤทธิรงค์องคต ขุนอัษฎาทศทวยหาญ ล้วนต้องศรนอนกลิ้งกลางดินดาล พระสงสารทรุดลงทรงโศกา

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๒๓๐๏ แล้วอุส่าห์แขงขืนยืนดำรง เที่ยวหาองค์พระลักษณ์ขนิษฐา เห็นศรศักดิปักอกอนุชา พระวิ่งมากอดน้องประคองไว้ ค่อยสอดกรช้อนเกษขึ้นใส่ตัก แล้วฉุดชักพรหมมาศไม่หวาดไหว ยิ่งโศกศัลย์รันทดสลดใจ ชลไนยไหลลงทรงโศกา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้

๑๒๓๑๏ โอ้เจ้าเพื่อนชีวีของพี่เอ๋ย ไฉนเลยพ่ายแพ้แก่ยักษา มาทอดกายวายวางกลางสุธา พี่ตามมาก็ไม่เห็นใจกัน จะหาไหนได้เหมือนพ่อเพื่อนยาก แต่พรากจากกรุงไกรมาไพรสัณฑ์ กับโฉมยงองค์สีดาวิลาวรรณ ได้เห็นกันเปนสามยามกันดาร แต่จากเมียมิหนำซ้ำเสียน้อง หัวอกพี่เพียงกองเพลิงผลาญ เสียทีที่เราอวตาร จะสังหารกุมภัณฑ์ให้บรรไลย บัดนี้พระอนุชาก็มาม้วย ไม่มีผู้ชูช่วยแก้ไข มิขออยู่สู้ตายตามไป ไม่อาไลยนัคเรศนิเวศน์เวียง พระโศกศัลย์กรรแสงสอื้นร่ำ แต่พลบค่ำจนดึกเดือนเที่ยง รทวยองค์แอบน้องประคองเคียง สิ้นเสียงซอนซบสลบไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๒๓๒๏ บัดนั้น โยธาวานรนายไพร่ เห็นพระองค์ทรงโศกโศกาไลย จนนิ่งไปไม่เปนสมประดี ต่างตนตระหนกตกประหม่า ฟายน้ำตาน้ำหูยู่ยี่ บ้างสร้วมสอดกอดบาทพระจักรี ฝูงกระบี่ครวญคร่ำรำพรรณ โอ้แสนสงสารพระผ่านเกล้า มาโศกเศร้าโศกาจนอาสัญ ทิ้งข้าน้อยไว้ในไพรวัน จะผินผันไปพึ่งผู้ใด ทั้งเจ้าขุนมุลนายก็ตายม้วย ใครจะช่วยปกครองให้ผ่องใส ร่ำพลางทางตีอกใจ เกลือกกลิ้งนิ่งไปทั้งไพร่นาย

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๑๒๓๓๏ บัดนั้น อสูรสารัณทูตทั้งหลาย เห็นพระลักษณ์พระรามถึงความตาย ก็พากันผันผายเข้าภารา

ฯ ๒ คำ ฯ กราว

๑๒๓๔๏ ครั้นถึงจึ่งตั้งบังคมทูล ท้าวราพนาสูรยักษา บัดนี้พระรามตามออกมา โศการักกันจนบรรไลย พวกพลโยธาวานร ที่มาด้วยม้วยมรณ์หาเหลือไม่ ข้าได้อยู่ดูแลแน่กับใจ จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๑๒๓๕๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวทศภักตร์ยักษี ทรงสำรวลสรวลร่าพาที คราวนี้สิ้นธุระปะปัง อันนวลนางสีดายุพาพาล จะสิ้นการเกียจกลเหมือนหนหลัง จะให้ไปแจ้งความตามลำพัง เห็นยังจะแหนงแคลงใจ จำจะให้เทวีไปที่รบ เห็นทรากศพรามลักษณ์ที่ตักไษย ดำริห์พลางทางสั่งเสนาใน จงนำบุษบกไปอุทยาน บอกนางสีดานารี ว่าสามีม้วยชีวังสังขาร ให้อีตรีชดาพานงคราญ ไปพบพานผัวนางที่วางวาย

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๒๓๖๏ บัดนั้น มโหทรอภิวันท์แล้วผันผาย นำบุษบกแก้วแพรวพราย ออกข้างท้ายเมืองมาในราตรี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๓๗๏ ครั้นถึงสวนด่วนเดินเข้าไปหา พอพบนางตรีชดามารศรี จึ่งแจ้งความตามรับสั่งอสุรี เสนีกำชับแล้วกลับมา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๒๓๘๏ บัดนั้น ตรีชดาตระหนกตกประหม่า จึ่งคุกคลานเข้าไปในพลับพลา กราบทูลนางสีดายาใจ วันนี้อินทรชิตฤทธิรอน แผลงศรต้องพระลักษณ์ตักไษย ฝ่ายพระรามตามออกมาร่ำไร ก็บรรไลยทั้งพหลพลโยธี ทศกรรฐ์มันใช้ให้เสนา นำบุษบกมาถึงสวนศรี ให้โฉมยงทรงไปในราตรี เยี่ยมพระศพสามีที่ม้วยมรณ์

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๒๓๙๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดาดวงสมร ได้ฟังดังใจจะขาดรอน สองกรข้อนอุราโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๒๔๐๏ แล้วแขงขืนกลืนกลั้นกรรแสง ฤๅมันแกล้งลวงเล่นเปนไฉน จึ่งตรัสชวนตรีชดายาใจ มาจะไปให้รู้ดูร้ายดี ว่าพลางนางสพักสไบทรง ลีลาศลงจากพลับพลาหลังคาสี ทั้งนวลนางตรีชดานารี ตามเสด็จเทวีลีลา

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๑๒๔๑๏ ขึ้นทรงบุษบกแก้วแพรวพรรณ นางตรีชดานั้นนั่งน่า ลอยละลิ่วปลิวลมล่องฟ้า ตรงมายังสมรภูมิไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๔๒๏ ครั้นถึงจึ่งลงแผ่นดินดอน เห็นวานรตายยับไม่นับได้ ยิ่งคิดคร้ามครั่นพรั่นใจ อรไทยแลหาพระสามี ไม่เห็นองค์ทรงฤทธิ์คิดวิตก จึ่งลงจากบุษบกมณีศรี แสงพระจันทร์แจ่มฟ้าในราตรี ลุยเลือดโยธีเที่ยวมา

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

โอ้ร่าย

๑๒๔๓๏ แลเห็นคำแหงหณุมาน ทับเศียรคชสารสังขาร์ นางรู้จักจำได้ให้เมตตา ชลนาไหลลงทรงโศกี โอ้เอนดูทหารพระผ่านเกล้า ได้ไปเผาลงกาฆ่ายักษี ควรฤๅตายพ่ายแพ้แก่ไพรี จนสิ้นชีวาวายเสียดายนัก ร่ำพลางนางฟายชลเนตร แสนเทวศวิตกเพียงอกหัก พอเหลือบเห็นองค์พระหริรักษ์ กอดพระลักษณ์วายวางกลางสุธา นางวิ่งเข้าเคารพอภิวาท กราบกับพระบาททั้งซ้ายขวา สองกรข้อนทรวงเข้าโศกา กัลยาครวญคร่ำร่ำไร

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

โอ้

๑๒๔๔๏ โอ้สงสารพระองค์ทรงศักดิ มาพ่ายแพ้แก่ยักษ์จนตักไษย ควรฤๅไม่ดำริห์ตริไตร ช่างละให้อนุชามาสงคราม จนเสียทีเสียทัพยับย่อย พระก็พลอยวายวางกลางสนาม เสียแรงเรืองฤทธิรงค์ทรงนาม มาได้ความอัปรยศทศกรรฐ์ ทั้งนี้ก็ชั่วอยู่ตัวน้อง ให้พระต้องตามมาจนอาสัญ จะสู้ม้วยด้วยองค์พระทรงธรรม์ ตามไปเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า ร่ำพลางนางสอึกสอื้นไห้ ชลไนยพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา ซบลงตรงบาทภัศดา กัลยาแน่นิ่งไม่ติงกาย

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๒๔๕๏ บัดนั้น ตรีชดาอกสั่นขวัญหาย สำคัญคิดว่านางวางวาย ฟูมฟายชลนาจาบัลย์ แล้วแลหาสามีก็ไม่เห็น จะซ่อนเร้นรอดชีวาฤๅอาสัญ นิจาเอ๋ยตายเปนไม่เห็นกัน นางครวญคร่ำรำพรรณโศกา โอ้พระมเหษีมีศักดิ เสียแรงได้พิทักษ์รักษา ฝากกายหมายพึ่งบุญญา ทั้งพิเภกก็เปนข้าพระสามี ควรฤๅสามกระษัตริย์ขัติยวงษ์ มาปลดปลงวอดวายหน่ายหนี จะผินภักตร์พึ่งใครนั้นไม่มี พลางตีทรวงซ้ำร่ำไร

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

๑๒๔๖๏ แล้วอุส่าห์แขงขืนกลืนน้ำตา ในอุราร้อนรนหม่นไหม้ จึ่งต้องดูองค์สีดายาใจ ยังลไมลมุนอุ่นอ่อนกาย เข้านั่งแนบนวดฟั้นบั้นพระองค์ พลางประจงจับสไบโบกถวาย เย็นฉ่ำน้ำค้างพร่างพราย โฉมฉายค่อยฟื้นสมประดี

ฯ ๔ คำ ฯ รัว

๑๒๔๗๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์พระมเหษี ลืมเนตรสังเกตดูภูมี ยิ่งโศกีกำสรดสลดใจ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๒๔๘๏ บัดนั้น นวลนางตรีชดาอัชฌาไศรย จึ่งปลอบโยนโอนอ่อนอรไทย จะตีตัวก่อนไข้ไม่ต้องการ อันองค์พระภัศดาสามี ข้าเห็นทีจะยังไม่สังขาร ด้วยพิเภกผัวข้าโหราจารย์ สังเกตการรู้จบภพไตร ถ้าแม้นยังไม่ตายวายชีวา คงจะหาหยูกยามาแก้ไข หนึ่งบุษบกแก้วแววไว เปนที่เสี่ยงทายให้เห็นสำคัญ แม้นหญิงม่ายภัศดาสามี ขึ้นขับขี่มิได้ผายผัน จงดับความโศกาจาบัลย์ กลับไปสวนขวัญเถิดกัลยา

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๒๔๙๏ เมื่อนั้น นางสีดาเยาวยอดเสนหา ฟังคำอสุรีตรีชดา กัลยาค่อยส่างสว่างใจ แล้วดูพระหริวงษ์องค์พระลักษณ์ ความรักมิใคร่จะจากได้ กราบบาทพระภัศดาโศกาไลย สอึ้กสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๑๒๕๐๏ ครั้นค่อยเคลื่อนคลายวายเทวศ ประนมนิ้วเหนือเกษเกษา นางฝากฝังสั่งเทพเทวา แล้วลาศพภัศดาคลาไคล

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๑๒๕๑๏ ครั้นถึงบุษบกรัตน์ชัชวาลย์ นางตั้งจิตรพิศฐานกราบไหว้ ขอพรหมินทร์อินทราสุราไลย จงโปรดให้เห็นแจ้งประจักษ์ตา ถ้าแม้นพระหริวงษ์องค์นารายน์ วอดวายชีวังสังขาร์ จงบุษบกแก้วแววฟ้า อย่าลอยเลื่อนเคลื่อนคลาพาไป แม้นพระอวตารชาญณรงค์ กับองค์พระลักษณ์ไม่ตักไษย บุษบกจงพาคลาไคล ไปยังพิไชยลงกา เสี่ยงพลางย่างขึ้นบนบัลลังก์ นางตรีชดานั่งข้างน่า บุษบกเคลื่อนคล้อยลอยฟ้า กลับมาสวนขวัญทันใด

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๑๒๕๒๏ บัดนั้น พิเภกโหราอยู่ป่าใหญ่ คุมบรรดาวานรพลไกร เที่ยวเก็บผลไม้ในไพรวัน ให้โยธาวานรคอนหาบ ม่วงปรางลางสาบขนุนขนัน พอโพล้เพล้เพลาสายัณห์ ก็พากันเลี้ยวหลงวงไป

ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน

๑๒๕๓๏ ครั้นถึงที่รบเห็นศพลิง เกลื่อนกลิ้งกลางสุธาป่าใหญ่ พิเภกตระหนกตกใจ พลไพร่พวกลิงทิ้งหาบคอน แล้วเที่ยวดูทรากศพก็พบหมด ทั้งองคตหณุมานชาญสมร สุครีพนิลนนท์พลนิกร ลูกศรเสียบกายวายชีวา แล้วเห็นพระหริวงษ์ทรงศักดิ กอดพระลักษณ์สิ้นชีวังสังขาร์ จึ่งพาพลพวกลิงวิ่งเข้ามา กราบบาทบาทาโศกาไลย

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

โอ้

๑๒๕๔๏ พิเภกพร่ำร่ำว่านิจาเอ๋ย ไฉนเลยทรงศักดิมาตักไษย จะรู้ที่ผินหน้าไปหาใคร เหมือนอยู่ใต้บาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ ข้าหนีร้อนผ่อนพักมาพึ่งบุญ พระเมตตาการุญสุจริต เคยโปรดเกล้าเช้าเย็นอยู่เปนนิจ จะชอบผิดไม่ถือโทษทัณฑ์ ถึงพลัดพรากจากเมียเสียวงษ์ ไม่ทุกข์เท่าพระองค์อาสัญ ใครจะช่วยปกครองป้องกัน น่าที่ชีวันจะบรรไลย ร่ำพลางทางฟายชลนา ทั้งโยธาแซ่ซ้องร้องไห้ ต่างสอึกสอื้นอั้นตันใจ สลบไปไม่เปนสมประดี

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ยานี

๑๒๕๕๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสไนยเรืองศรี สถิตย์แท่นไสยาในราตรี ดังอัคคีลามลนกระวนกระวาย จึ่งแลเล็งเพ่งทิพเนตรดู ในชมพูแผ่นดินสิ้นทั้งหลาย จึ่งเห็นพระหริวงษ์องค์นารายน์ กับพหลพลนิกายสลบไป พระน้องต้องศรพรหมมาศยักษ์ ล่วงเวลาช้านักจะตักไษย จำจะช่วยพระองค์ทรงไชย กับโยธาอย่าให้ม้วยมรณ์ จึ่งอ่านอาคมประนมหัดถ์ เปนฝนพรมลมพัดมาอ่อนอ่อน ต้องพระจักรากับวานร ที่ไม่ม้วยด้วยศรก็เปนมา

ฯ ๘ คำ ฯ สาธุการ

ร่าย

๑๒๕๖๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานหาญกล้า เห็นพระหริรักษ์จักรา จึ่งเข้ามาดุษดีชลีกร แล้วทูลว่าวันนี้ตรีเนตร กับเทเวศร์บริวารชาญสมร มาลอยเลื่อนจับรบำรำฟ้อน แล้วแผลงศรต้องพระอนุชา ข้าติดตามประจัญบานต้านต่อ หักฅอช้างที่นั่งสังขาร์ จึ่งตัวต้องคันศิลป์อินทรา ปิ้มว่าชีวันจะบรรไลย

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๒๕๗๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงฤทธิ์คิดสงไสย ถามพิเภกกุมภัณฑ์ทันใด เหตุไฉนอินทราจึ่งอาธรรม์ ประการหนึ่งซึ่งพระน้องต้องศร จะม้วยมรณ์ชีวาอาสัญ ฤๅจะมีหยูกยารักษากัน จงผ่อนผันช่วยพระอนุชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๕๘๏ บัดนั้น พิเภกบังคมก้มเกษา จึ่งทูลว่าอินทรชิตฤทธา มันแปลงเปนอินทรามาชิงไชย อันศรนี้มีนามชื่อพรหมมาศ พระอิศวรประสาทประสิทธิ์ให้ ซึ่งยาแก้ศรนี้มีอยู่ไกล ถึงในภูผาอาวุธ แม้นมีใครไปยกเอาศิงขร มาแก้ศรจะเขยื้อนเลื่อนหลุด ถ้ารุ่งแจ้งแสงทองพระน้องนุช จะม้วยมุดไม่ฟื้นคืนคง

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๑๒๕๙๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสูงส่ง จึ่งตรัสสั่งหณุมานชาญณรงค์ ท่านจงอาสาเราครานี้ ไปยกเอาภูผามาให้ได้ แก้ไขศรศักดิยักษี ให้ทันในเวลาราตรี รีบรัดบัดนี้อย่าได้ช้า

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๖๐๏ บัดนั้น วายุบุตรรับสั่งใส่เกษา ที่แคลงใจไต่ถามโหรา แล้วแผลงอิทธิฤทธาเหาะไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๖๑๏ ครั้นถึงภูผาอาวุธ วายุบุตรลงเดินเนินไศล กู่เรียกเทวาสุราไลย อยู่ไหนจงมาหาเรา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๖๒๏ เมื่อนั้น ฝูงเทพเทวารักษาเขา สถิตย์ที่เถื่อนถ้ำลำเนา ได้ยินเสียงเรียกเร้าริมคิรี จึ่งชวนกันผันผายออกมาดู ก็เห็นลิงเผือกผู้ผ่องศรี กายาใหญ่หลวงพ่วงพี ผิดกับกระบี่ที่กลางไพร จึ่งร้องทักถามว่าเหวยวานร ถิ่นฐานนานดรอยู่ถึงไหน มาร้องเรียกเทวัญด้วยอันใด จงบอกไปให้แจ้งกิจจา

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๒๖๓๏ บัดนั้น คำแหงหณุมานหาญกล้า ได้ฟังยินดีปรีดา จึ่งบอกกับเทวาสุรารักษ์ เราชื่อหณุมานชาญณรงค์ ทหารพระหริวงษ์ทรงศักดิ บัดนี้พระน้องต้องศรยักษ์ ถ้าช้านักจักม้วยมรณา จึ่งตรัสใช้ให้เราเอาศิงขร ไปแก้พิศม์ฤทธิ์ศรยักษา ท่านผู้อผู่เฝ้าสรรพยา จงเมตตาให้เขากับเราไป

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๑๒๖๔๏ เมื่อนั้น เทวาอารักษ์น้อยใหญ่ ฟังคำลำฦกตรึกไตร ครั้นแจ้งใจจึ่งว่ากับวานร ซึ่งพระนารายน์สุริวงษ์ จะต้องพระประสงค์ศิงขร เราจะตามไปช่วยอวยพร ท่านจงช้อนภูผาคลาไคล

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๖๕๏ บัดนั้น ขุนกระบินทร์ยินดีจะมีไหน จึ่งสำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร เข้าช้อนเอาเขาใหญ่ขึ้นจากดิน ครั้นได้ใส่บ่าพานเรศ เทเวศร์เข้าช่วยด้วยทั้งสิ้น เหาะทยานผ่านเมฆเมฆิน ข้ามสินธุท้องทเลมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๒๖๖๏ ครั้นถึงที่ประจญรณรงค์ เขาใหญ่ไม่ลงจากเวหา คิดสงไสยไต่ถามเทวา เหตุใดภูผาไม่ลงดิน

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๖๗๏ เมื่อนั้น เทพไทใหญ่น้อยทั้งสิ้น จึ่งบอกแจ้งกิจจาพานรินทร์ ภูเขานี้มีกลิ่นตระหลบไป อันศพยักษ์ซึ่งตายอยู่ก่ายกอง ต้องลอองจะฟื้นขึ้นมาได้ ท่านผู้ปรีชาปัญญาไว จงแก้ไขแต่พระอนุชา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๑๒๖๘๏ บัดนั้น วายุบุตรได้ฟังไม่กังขา จึ่งคิดผ่อนผันด้วยปัญญา นฤมิตรหัดถาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๑๒๖๙๏ แล้วครอบคิรีกับรี้พล เคาะยาให้หล่นจากเขาใหญ่ ต้องพระอนุชาเสนาใน บัดใจก็ฟื้นคืนมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๗๐๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ลืมเนตรเห็นเชษฐา บังคมก้มกราบกับบาทา แล้วทูลแจ้งกิจจาสารพัน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๒๗๑๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ จึ่งบอกพระอนุชาลาวรรณ อย่าสำคัญเคืองขัดสหัสไนย อินทรชิตมันแกล้งแปลงเพศ เหมือนตรีเนตรให้งงหลงใหล ถ้าทีหลังดังนี้อย่าวางใจ จงตริไตรดูแลให้แน่นอน

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๗๒๏ เมื่อนั้น ฝูงเทวามาด้วยในศิงขร ครั้นเห็นพระอนุชากับวานร พลนิกรฟื้นสิ้นก็ยินดี ต่างอำนวยอวยพรภูลสวัสดิ ให้กระษัตริย์ทั้งสองจำเริญศรี เสร็จแล้วอำลาพาคิรี ไปยังที่หิมพานต์สำราญใจ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๒๗๓๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย จึ่งชวนพระอนุชาเสนาใน กลับไปพลับพลาในราตรี

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๗๔๏ บัดนั้น อสูรสารัณทูตยักษี เห็นมนุษย์กลับฟื้นคืนชีวี ก็รีบวิ่งตลีตลานมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๗๕๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบทูล ท้าวราพนาสูรยักษา เมื่อคืนนี้โฉมยงองค์สีดา ไปเยี่ยมศพแล้วมาในราตรี ภายหลังพิเภกกับวานร ซอกซอนมาในไพรศรี แก้ไขให้รอดชีวี บัดนี้เลิกทัพไปพลับพลา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๗๖๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา ฟังทูลแถลงแจ้งกิจจา อสุราคั่งแค้นแน่นใจ ชะกะไรไอ้พิเภกทรลักษณ์ จะรู้จักวงษาก็หาไม่ มันซื่อสัตย์ต่อมนุษย์สุดใจ แก้ไขรอดตายไปหลายครั้ง ตรัสพลางทางว่ากับอินทรชิต เจ้าเรืองฤทธิ์รู้เวทวิเศษขลัง อันสงครามครั้งนี้มีกำลัง ลูกยายังจะคิดอ่านประการใด

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๒๗๗๏ เมื่อนั้น อินทรชิตพิดทูลสนองไข ยังเห็นแต่กลศึกที่ตรึกไว้ จะทำให้สิ้นสงครามกับรามา อันไอ้อสุราศุกขาจาร ขอประทานให้พ้นโทษา แล้วจะใช้ให้แปลงเปนสีดา ใส่ท้ายรัถาไปฆ่าฟัน อันพระลักษณ์พระรามความคิดน้อย จะเศร้าสร้อยโศกาเพียงอาสัญ เห็นไม่ได้สีดาลาวรรณ จะพากันเลิกทัพกลับไป กลศึกสิ่งนี้ดีนัก ด้วยหาพักเหนื่อยยากลำบากไม่ หนึ่งนางสีดายาใจ คงอยู่ในลงกาธานี

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๒๗๘๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษี ได้ฟังโอรสาพาที ยินดีจึ่งดำรัสตรัสไป อย่าว่าแต่คนผิดติดคุกตราง ถึงต้องการขุนนางก็จะให้ ว่าพลางทางสั่งเสนาใน ไปถอดไอ้ศุกขาจารมาบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๗๙๏ บัดนั้น กรมเมืองรับสั่งใส่เกษี ออกจากพระโรงคัลทันที ขึ้นขี่แคร่ไม้ไผ่ไคลคลา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๘๐๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดที่หับเผย จึ่งว่าเหวยพัศดีซ้ายขวา ศุกขาจารอยู่ไหนไปถอดมา มีรับสั่งให้หาอย่าช้าการ

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๘๑๏ บัดนั้น พัศดีสับสนอลหม่าน จึ่งถอดเครื่องพันธนาศุกขาจาร แล้วพามากราบกรานท่านเสนา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๘๒๏ บัดนั้น กรมเมืองมนตรีมียศถา พูดจาปราไสแล้วไคลคลา พาศุกขาจารเข้าไปเฝ้าพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๘๓๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ แลเห็นศุกขาจารชาญฉกรรจ์ เข้ามาบังคมคัลวันทา จึ่งแกล้งตรัสปราไสเหมือนไม่โกรธ มึงทำโทษใส่ตัวชั่วหนักหนา บัดนี้กูให้ไปถอดมา จะให้แปลงเปนสีดานารี ออกไปด้วยอินทรชิตฤทธิรุตม์ ให้มนุษย์นึกว่ามารศรี เองจงพูดกับพระรามดูตามที ให้กลับไปบุรีอยุทธยา แม้นมนุษย์มิฟังยังดื้อดึง จะเอามึงตัดฅอเสียต่อหน้า แม้นรับได้ไม่เสียดายชีวา ญาติกากูจะเลี้ยงไว้เวียงไชย ถ้าแม้นคิดบิดเบือนเชือนแช หาเห็นแก่ราชการบ้านเมืองไม่ พวกพี่น้องของมึงมีเท่าไร จะผลาญให้มอดม้วยไปด้วยกัน

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๒๘๔๏ บัดนั้น ศุกขาจารฟังตรัสให้อัดอั้น แม้นมิรับอาสาให้ฆ่าฟัน สงสารวงษ์พงษ์พันธุ์จะพลอยตาย จึ่งทูลว่าชีวาข้าพเจ้า จะทูลเกล้าทูลกระหม่อมยอมถวาย ขออาสาจำแลงแปลงกาย ให้เฉิดฉายโฉมงามเหมือนทรามไวย แต่องค์ภัควดีสีดา ตัวข้ายังไม่เห็นเปนไฉน ครั้นจะจำแลงแปลงออกไป กลัวจะไม่เหมือนองค์นงลักษณ์

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๒๘๕๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ จึ่งตรัสว่านางสีดายุพาภักตร์ อยู่ตำหนักน้อยในอุทยาน ว่าพลางทางผินภักตร์มา สั่งเสนาผู้ใหญ่ใจหาญ จงเร่งนำอสุราศุกขาจาร ไปดูองค์นงคราญนางสีดา ต่อเมื่อถึงจึ่งนิมิตรบิดเบือน ทำให้เหมือนสาวใช้เข้าไปหา สั่งแล้วลีลาศยาตรา ตรงมาแท่นรัตน์ชัชวาลย์

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๑๒๘๖๏ บัดนั้น มโหทรเสนาศักดาหาญ เสด็จขึ้นแล้วพาศุกขาจาร ไปยังอุทยานทันที

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๘๗๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดอยู่ข้างนอก ชี้บอกตำหนักนางโฉมศรี ท่านจงแปลงกายาเปนนารี เอามาลีไปถวายนางทรามไวย

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๘๘๏ บัดนั้น ศุกขาจารฟังแจ้งแถลงไข จึ่งแปลงกายกลายเปนนางสาวใช้ ถือพานดอกไม้ลีลามา

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เพลง

๑๒๘๙๏ ครั้นถึงตำหนักห้างกลางสวน แกล้งยืนเด็ดดอกลำดวนดูซ้ายขวา แลเห็นโฉมยงองค์สีดา โสภาพริ้งพร้อมลม่อมลไม จึ่งแกล้งทำยำเกรงก้มกราน ประคองพานบุบผาเข้ามาใกล้ ทำทำนองเหมือนอย่างนางใน ทูลถวายดอกไม้นางเทวี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๙๐๏ เมื่อนั้น นวลนางสีดามารศรี แลเห็นพานบุบผากับนารี เทวีนึกแหนงแคลงใจ นางนี้ดีร้ายทศกรรฐ์ ให้เอาพรรณบุบผามาให้ คิดแล้วนงลักษณ์จึ่งซักไซ้ นี่ของใครใช้เจ้าให้เอามา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๒๙๑๏ บัดนั้น ศุกขาจารบังคมก้มเกษา จึ่งทูลองค์นงคราญด้วยมารยา ตัวข้านี้อยู่ในบูรี ทราบว่าโฉมยงนงคราญ พระยามารเอาไว้ในสวนศรี องค์พระรามตามมาราวี อสุรีจะวอดวายพ่ายแพ้ ข้าจะถวายตัวไว้แต่เริ่ม พอได้เปนข้าหลวงเดิมเก่าแก่ เห็นโฉมยงคงจะเลี้ยงเที่ยงแท้ พลางประจ๋อประแจ๋พูดจา

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๑๒๙๒๏ แล้วลอบดูองค์นงลักษณ์ ทั้งทรวดทรงวงภักตร์ผิวมังษา สังเกตใจได้แน่ถนัดตา จึ่งทูลลาผายผันมาทันที

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๑๒๙๓๏ ครั้นออกนอกสวนอุทยาน ก็กลับเปนศุกขาจารยักษี บอกอุบายถ่ายเทกับเสนี ดังพูดจาพาทีกับทรามไวย

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๙๔๏ บัดนั้น มโหทรเสนาอัชฌาไศรย ได้ฟังจะแจ้งไม่แคลงใจ ก็พากันเข้าในนัครา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๒๙๕๏ ครั้นถึงจึ่งประนตบทบงสุ์ ทูลองค์อินทรชิตยักษา ข้าพาศุกขาจารอสุรา ไปดูองค์สีดามาเดี๋ยวนี้

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๙๖๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี จึ่งบัญชาว่าเหวยอสุรี เร่งนิมิตรอินทรีย์เปนสีดา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๙๗๏ บัดนั้น ศุกขาจารบังคมก้มเกษา รับสั่งคลานคล้อยถอยออกมา จึ่งจำแลงกายาทันที

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๑๒๙๘๏ รูปร่างช่างนิมิตรบิดเบือน งามเหมือนนางสีดามารศรี จึ่งเข้าไปบังคมคัลอัญชลี ทำท่วงทีชม้ายชายตา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๒๙๙๏ เมื่อนั้น โอรสทศภักตร์ยักษา ดูพลางทางนึกในวิญญา นางสีดางามพร้อมลม่อมลไม กระนี้ฤๅบิตุรงค์ทรงธรรม์ มิผูกพันพะวงหลงใหล คิดพลางทางสั่งเสนาใน จงออกไปรีบรัดจัดโยธี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๐๐๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งใส่เกษี ถวายบังคมคัลอัญชลี ออกจากที่พระโรงคัลทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๓๐๑๏ เกณฑ์หมู่จัตุรงค์องอาจ ที่ไปคราวพรหมมาศไม่หวาดไหว แล้วเทียมทั้งรถแก้วแววไว มาเทียบไว้ตามเคยที่เกยลา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๓๐๒๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา ครั้นพรั่งพร้อมพหลพลโยธา เสด็จมาสรงสหัสนัที

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๓๐๓๏ เย็นฉ่ำน้ำสุหร่ายดังสายฝน ซาบสกลกายายักษี ลูบไล้สุคนธามาลี นางอยู่งานพัชนีวีลม สนับเพลาเชิงงอนซ้อนกระหนก ภูษายกพื้นตองทองถม ฉลององค์ก้านแย่งดอกกลม สร้อยมยมสังวาลวรรณประดับองค์ ทับอุราพาหุรัดตรัจเตร็จ ปั้นเหน่งเพ็ชรเรือนฉลุปรุปร่ง ทองกรแก้วกุดั่นบรรจง ธำมรงค์เพ็ชรรัตน์จำรัสตา สวมทรงมงกุฎบุษรัตน์ กรรเจียกจรจำรัสทั้งซ้ายขวา ขัดพระขรรค์อันเรืองฤทธา เสด็จจากมหาปราสาทไชย

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๑๓๐๔๏ พรั่งพร้อมรถรัดจัตุรงค์ ทวนธงเปนทิวปลิวไสว ขยายยกโยธาคลาไคล พลไกรแห่แหนแน่นนัน

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๑๓๐๕๏ รถเอยรถทรง กำกงก้องสเทือนเลื่อนลั่น ที่นั่งองค์โอรสทศกรรฐ์ กระหนกเกรินสามชั้นเปนหลั่นลด บัวหงายลายลำยองทองอร่าม สลับแก้วภุกามแกมมรกฎ ศุกขาจารแปลงกายอยู่ท้ายรถ รากษษสารถีถือแพน เทียมสิงห์สามารถผาดผยอง ลองเชิงเริงร้องลำพองแล่น เสียงแตรสังข์ฆ้องกลองก้องดงแดน ทหารโห่แห่แหนแน่นไป อภิรุมชุมสายรายริ้ว ธงทิวปลิวยาบวาบไสว เร่งหมู่อสุราคลาไคล ไปสมรภูมิไชยฉับพลัน

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๓๐๖๏ ครั้นถึงจึ่งหยุดโยธา ตั้งริมชายป่าพนาสัณฑ์ สั่งให้พวกพหลพลกุมภัณฑ์ โห่ร้องก้องลั่นโกลา

ฯ ๒ คำ ฯ รัว

ช้า

๑๓๐๗๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกนาถา เสด็จออกที่ประทับพลับพลา พรั่งพร้อมเสนาสองธานินทร์ เบื้องซ้ายฝ่ายชมภูพระนคร เบื้องขวาวานรขีดขิน ตรัสประภาศราชการผลาญไพริน พอได้ยินเสียงโห่เปนโกลา ก็แจ้งว่าข้าศึกมาสงคราม จึ่งตรัสถามพิเภกยักษา วันนี้ทัพไชยใครยกมา อินทรชิตฤๅว่าทศภักตร์

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๑๓๐๘๏ บัดนั้น พิเภกรับสั่งพระทรงศักดิ จึ่งจับยามสามตาตำรายักษ์ แล้วทูลพระหริรักษ์จักรี อันซึ่งเสียงโห่โยธา มิใช่เจ้าลงกากรุงศรี คือทัพอินทรชิตฤทธี ภูมีจงทราบพระบาทา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๐๙๏ เมื่อนั้น องค์นารายน์เรืองฤทธิ์ทุกทิศา ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งกิจจา จึ่งสั่งพระอนุชายาใจ เจ้าจงไปรอนราญหาญหัก ผลาญโอรสทศภักตร์เสียให้ได้ แล้วตรัสสั่งสุรการชาญไชย เร่งเกณฑ์พลให้พระอนุชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๑๐๏ บัดนั้น สุรการรับสั่งใส่เกษา ก้มเกล้ากราบงามสามลา ออกมาจัดทัพสำหรับรบ

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๓๑๑๏ เกณฑ์พหลพลลิงชเลยศักดิ ทั้งองครักษ์ราชมันเข้าบรรจบ น่าหลังตั้งกระบวนถ้วนครบ ตามขนบธรรมเนียมเตรียมโยธี พวกใส่เสื้อแขนด้วนล้วนทโมน คาตตะกรุดโทนถือกระบี่ วานรสารวัดสัสดี เที่ยวตรวจเกริ่นเดินตีฆ้องกระแต บ้างนุ่งผ้าตาโถงถือเสน่า ทนายปืนพื้นเหล่าลิงแสม พวกค่างเกณฑ์เข้าให้เป่าแตร ใส่หมวกฝักแคขันสิ้นที ลิงแขกแบกปืนยักตรา ล้วนใส่หมวกกะลาสลับสี ให้ประทับรัถาเทียมพาชี คอยท่าน้องพระจักรีลีลา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๓๑๒๏ เมื่อนั้น องค์พระลักษณ์เรืองฤทธิ์ขนิษฐา ทูลลาสมเด็จพระพี่ยา มาโสรจสรงคงคาวาริน

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๓๑๓๏ ขัดสีสารพางค์สำอางอาบ ทรงสุคนธ์ปนกุหลาบส่งกลิ่น สนับเพลาพลอยประดับสลับนิล ภูษายกแย่งกินรินรำ ฉลององค์เลื่อมลายพรายแพรว สังวาลแววเฟื่องห้อยสร้อยสุกก่ำ ผ้าทิพย์เจียรบาดคาดประจำ ปั้นเหน่งสายทองคำประจำยาม ทับอุราพาหุรัดตรัจเตร็จ ประดับเพ็ชรค่าเมืองเรืองอร่าม ทองกรมรกฎงดงาม มงกุฎแก้วแวววามอร่ามตา ธำมรงค์เรือนเก็จเพ็ชรพรายพรรณ ห้อยอุบะมลิวันพระกรรณขวา สพักแล่งแสงศรศักดา เสด็จมาตรวจพหลพลกระบี่

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๑๓๑๔๏ พอได้พิไชยฤกษ์บน สุริยนทรงกลดสดแสงศรี ให้ทวยหาญขานโห่ขึ้นสามที คลายคลี่พยุหบาตรยาตรา

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๑๓๑๕๏ รถเอยรถทรง กำกงแก้วภุกามวามเวหา แอกอ่อนงอนชดรจนา เทียมอาชาเผ่นโผนโจนลำพอง อภิรุมชุมสายรายรัด กรรชิงฉัตรพรายแพรวเปนแถวท่อง สนั่นเสียงพิณพาทย์รนาดฆ้อง ตะโพนกลองก้องดังสังข์แตร พวกพหลทวยหาญขานโห่ บ้างถือโล่ห์ดาบคร่ำรำแต้ ทหารปืนเปนขนัดอัดแอ แหนแห่โห่พิฦกครึกโครม แขกลิงยิงปืนยักตรา สัตวสิงวิ่งถลาถาโถม ผงคลีคลุ้มกลุ้มเกลื่อนกลางโพยม เซงแซ่แห่โหมครึกโครมไป

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๓๑๖๏ ครั้นถึงที่โรมรันประจัญบาน เห็นหมู่มารคั่งคับไม่นับได้ จึ่งหยุดยั้งตั้งมั่นพลไกร สงบไว้จะฟังกำลังยักษ์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๓๑๗๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธิรงค์ทรงศักดิ เห็นโยธาคั่งคับทัพพระลักษณ์ พร้อมพรักไพร่พลสกลไกร จึ่งดำรัสตรัสสั่งสารถี ให้เคลื่อนรถมณีเข้าไปใกล้ แสร้งยิ้มย่องร้องเย้ยไยไพ เหวยพระลักษณ์ฤทธิไกรใจพาล แต่ต้องศรนอนกลิ้งถึงสองครั้ง ยังโอหังฮึกฮักมาหักหาญ คิดสมเพชเวทนาน่ารำคาญ มาเกิดการทั้งนี้เพราะสีดา ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์บิตุรงค์ ก็จำนงนางเดียวเสนหา ต้องหักโหมโรมรันกันมา จนโยธาสองข้างก็บางเบา คิดเห็นเปนไม่ต้องการ ไพร่บ้านพลเมืองเปลืองเปล่าเปล่า บัดนี้สีดานงเยาว์ ตัวเราจะส่งคืนไป นี่แน่แลดูเถิดพระลักษณ์ องค์ภัควดีฤๅมิใช่ ท่านจงมารับพี่สใภ้ เอาไปให้พระรามสมความคิด

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๑๓๑๘๏ เมื่อนั้น น้องพระหริรักษ์จักรกฤษณ์ แลเห็นรูปร่างนางนิมิตร สำคัญคิดว่าพระพี่สีดา จึ่งตรัสตอบโอรสทศกรรฐ์ ท่านผ่อนผันครั้งนี้ดีหนักหนา จงเร่งเชิญอรไทยไปพลับพลา ถวายพระเชษฐาธิบดี ท่านจะได้คำนับรับผิด เห็นทรงฤทธิ์จะโปรดโทษยักษี จะคืนนางกลางณรงค์ตรงนี้ ไม่ต้องที่จะรับกลับไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๓๑๙๏ เมื่อนั้น อินทรชิตเคืองขัดอัชฌาไศรย จึ่งว่าเหวยนายลิงหยิ่งสุดใจ เรามิได้พ่ายแพ้ฤทธา จะต้องให้ไปส่งนงคราญ ว่าขานเกินศักดิหนักหนา แม้นท่านไม่ประสงค์องค์สีดา เราก็ไม่ปราถนาพากลับไป จะห้ำหั่นฟันนางเสียที่นี่ เอาเกษีให้พระลักษณ์เมื่อตักไษย ว่าพลางทางชักพระขรรค์ไชย ทำขัดใจจะฟันกัลยา

ฯ ๖ คำ ฯ

โอ้

๑๓๒๐๏ บัดนั้น ศุกขาจารจำแลงแกล้งเยี่ยมหน้า ทำเสียงอ่อนเสียงหวานด้วยมารยา ว่าวันนี้พี่จะลาแล้วเจ้าลักษณ์ ผลกรรมทำไว้แต่ปางหลัง มาเจาะจังจำเปนเห็นประจักษ์ จะมอดม้วยด้วยมือของขุนยักษ์ พระน้องรักค่อยอยู่ให้จงดี ช่วยทูลพระอวตารผ่านเกล้า ว่าตัวเราประนตบทศรี ถวายบังคมลาฝ่าธุลี ไปคอยท่าภูมีอยู่เมืองฟ้า เชิญพระองค์คงคืนเข้านิเวศน์ เปนปิ่นเกษไอสวรรย์ให้หรรษา อย่าชิงไชยให้ยากพระกายา อันสีดาชีวันจะบรรไลย ว่าพลางทางทำกำสรด รทวยรทดทุกข์ทนหม่นไหม้ คิดถึงตัวกลัวตายตันใจ ยิ่งสอึกสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๓๒๑๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ตระหนกตกประหม่า ทั้งบรรดาข้าเฝ้าเหล่าเสนา สำคัญคิดว่าสีดานารี ต่างจับสาตราอาวุธ จะยงยุทธช่วงชิงนางโฉมศรี แต่เกรงยักษ์จักประหารผลาญชีวี มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๒๒๏ เมื่อนั้น อินทรชิตเห็นพระลักษณ์หลงใหล จึ่งจิกเศียรศุกขาจารชาญไชย ฟาดฟันบรรไลยด้วยฤทธา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๓๒๓๏ แล้วโยนศีศะลงไปตรงภักตร์ จึ่งว่าเหวยพระลักษณ์ขนิษฐา จงเอาศพพี่สใภ้ไปพลับพลา ให้พระรามาสามี จะได้เชยชมชิดพิศมัย ให้สาใจที่ร้างนางโฉมศรี เราจะยกโยธาไปราวี รบเอาบุรีอยุทธยา สังหารพระพรตพระสัตรุด ให้สิ้นสุดสุริวงษ์พงษา ว่าแล้วเลิกทัพขับโยธา ตรงไปยังป่าหิมพานต์

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๑๓๒๔๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์สลดจิตรคิดสงสาร สำคัญว่าสีดายุพาพาล ขุนมารมันฟันให้บรรไลย ยิ่งแค้นคั่งดังจะสิ้นสมประดี จะดูศพเทวีมิใคร่ได้ จึ่งให้เลิกพหลพลไกร กลับไปที่ประทับพลับพลา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๓๒๕๏ ครั้นถึงจึ่งเสด็จจากรถทรง เข้าเฝ้าองค์ทรงเดชพระเชษฐา มิทันทูลแถลงแจ้งกิจจา กราบกับบาทาโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๓๒๖๏ เมื่อนั้น พระอวตารตันจิตรคิดสงไสย ประโลมปลอบอนุชาแล้วว่าไป พ่อเปนไรแก้วตาจึ่งจาบัลย์ อย่ากรรแสงนักเลยจงเงยภักตร์ แจ้งประจักษ์ความวิโยคโศกศัลย์ ออกไปรบโอรสทศกรรฐ์ ไฉนนั่นยกทัพกลับมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๒๗๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ทูลเหตุพระเชษฐา อินทรชิตพาพระพี่สีดา ออกมาที่รบได้พบกัน เมื่อเดิมทีว่าจะส่งนงคราญ แล้วว่าขานเกินเลยเย้ยหยัน จะช่วงชิงไว้ก็ไม่ทัน มันฟาดฟันเศียรนางแล้วขว้างมา เปนสุดแค้นแสนสุดจะเจ็บอาย แม้นน้องวายชีวีเสียดีกว่า บัดนี้มันนั้นยกโยธา ไปกรุงศรีอยุทธยาธานี จะสังหารพระพรตพระสัตรุด ทั้งเผ่าพงษ์วงษ์มนุษย์ในกรุงศรี ข้าจึ่งมาทูลแถลงแจ้งคดี ด้วยครั้งนี้สุดแค้นแสนอาย

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๓๒๘๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงฟังก็ใจหาย สำคัญคิดว่านางวางวาย พระฟูมฟายชลนาโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๓๒๙๏ ครั้นค่อยส่างโศกศัลย์จึ่งบัญชา ถามพิเภกโหราอัชฌาไศรย ทศกรรฐ์มันแค้นด้วยข้อใด จึงให้พาสีดามาฆ่าตี

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๓๓๐๏ บัดนั้น พิเภกรับสั่งใส่เกษี พิเคราะห์ดูรู้ความตามคัมภีร์ อัญชลีทูลแถลงแจ้งกิจจา ในยามจันทร์นั้นร้ายว่าตายจริง แต่ไม่ใช่หญิงมียศถา เปนชายนักโทษแกล้งแปลงมา จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๓๑๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี ฟังพิเภกทูลแถลงแจ้งคดี ภูมียังระแวงแคลงพระไทย จึ่งตรัสสั่งสุครีพหณุมาน องคตหลานอินทราอัชฌาไศรย ทั้งสามนายเร่งพากันคลาไคล ไปดูศพนั้นให้แน่นอน

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๓๒๏ บัดนั้น สามกระบึ่ห้าวหาญชาญสมร บังคมลาพากันดั้นดงดอน รีบร้อนมาสมรภูมิไชย

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๓๓๓๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นเปนศพยักษ์ มีใช่ภัควดีศรีใส ทั้งสามนายนึกด่าสาแก่ใจ ถ่มน้ำลายรดให้แล้วกลับมา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๓๓๔๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปกราบกราน ทูลพระอวตารนาถา ข้าไปพบศพชายวายชีวา มิใช่องค์สีดานารี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๓๓๕๏ เมื่อนั้น องค์พระหริรักษ์เรืองศรี ได้ฟังความสามกระบินทร์ก็ยินดี จึ่งพาทีถามพิเภกโหราจารย์ อินทรชิตคิดกำจัดตัดศึก ก็ล้ำฦกเหลือฉลาดอาจหาญ จะให้เราเศร้าโศกถึงนงคราญ ไม่รอนราญเลิกทัพกลับไป แต่ตัวมันนั้นจะไปอยุทธยา ยังจริงจังดังว่าฤๅไฉน ฤๅกล่าวแกล้งแต่งอุบายให้ตายใจ จงบอกให้แจงอรรถบัดนี้

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๓๓๖๏ บัดนั้น พิเภกใคร่ครวญถ้วนถี่ จึ่งทูลว่าอินทรชิตฤทธี ทำทั้งนี้ฬ่อลวงหน่วงการ หวังจะให้พระองค์พะวงหลัง เลิกทัพกลับยังราชฐาน แต่ตัวมันนั้นไปจักรวาฬ กระทำการปลุกเวทวิเศษครัน อันพิธีนี้ชื่อกุมภนิยา แม้นทำได้ใครฆ่าไม่อาสัญ ทั้งพวกพลรณรงค์คงกระพัน ต่อเจ็ดวันจึ่งจะเสร็จสำเร็จการ

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๓๓๗๏ เมื่อนั้น พระจักรกฤษณ์ฤทธิล้ำสุริย์ฉาน จึ่งสั่งพระอนุชาไชยชาญ อินทรชิตคิดการกำเริบนัก เจ้าจงยกโยธาคลาไคล ตามไปรอนราญหาญหัก ล้างพิธีโอรสทศภักตร์ ที่เนินจักรวาฬดานดง

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๓๘๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ชื่นชมสมประสงค์ จึ่งทูลว่าข้าน้อยนี้งวยงง ทำให้ขายบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ ซึ่งยกโทษโปรดเกล้าไว้คราวนี้ ให้ต่อตีทำสงครามตามติด จะสังหารผลาญไอ้อินทรชิต ให้ม้วยมิดชีวันบรรไลย ทูลพลางทางถวายบังคมลา มาตรวจตราพหลพลไพร่ พร้อมพรั่งทั้งสำรับเมื่อแรกไป พระสั่งให้เดินธงเข้าดงดาน

ฯ ๖ คำ ฯ กราวนอก

๑๓๓๙๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธิไกรใจหาญ ครั้นมาถึงซึ่งเนินจักรวาฬ จึ่งสั่งการกับมหาเสนาใน จงปลูกโรงพิธีตรีมุข ที่ร่มรุกขากร่างหว่างไศล ทั้งธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้ จัดไว้ให้ต้องตามตำรา อันโยธีรี้พลทั้งหลาย ให้รอบรายพิทักษ์รักษา ตั้งเปนหมวดหมู่ตรวจตรา ไปกว่าจะสำเร็จเจ็ดวัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๓๔๐๏ บัดนั้น สี่เสนามารการขยัน รับสั่งรีบรัดมาจัดกัน เกณฑ์กุมภัณฑ์กองทัพให้จับการ

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๓๔๑๏ บัดนั้น พวกอสูรสับสนอลหม่าน บ้างต้ดไม้เกี่ยวแฝกแบกกระดาน บ้างจักสานกล่อมเสาเกลาตง

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ยานี

๑๓๔๒๏ ปลูกโรงพิธีสิบสี่ห้อง ติดจั่วตัวลำยองหางหงษ์ รายรอบราชวัตรฉัตรเบญจรงค์ ปักธงสีสลับจับตา ข้างชั้นในใส่ม่านเพดานดัด โขมพัตรห้อยภู่พวงบุบผา แต่งตั้งทั้งพระแท่นแว่นฟ้า เครื่องบูชาเข้าตอกดอกไม้ มีหม้อน้ำสำฤทธิข้างละร้อย มะกรูดซีกส้มป่อยประสมใส่ ทั้งฟืนตองกองก่ายรายเรียงไป เตรียมไว้พร้อมเสร็จสำเร็จการ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๓๔๓๏ เมื่อนั้น อินทรชิตฤทธิแรงกำแหงหาญ ครั้นจวนใกล้ได้ฤกษ์ศุภวาร พระยามารมาสรงคงคา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๓๔๔๏ สรงสุคนธ์ปนปรุงฟุ้งตระหลบ น้ำกุหลาบอาบอบมังษา จุณเจิมเฉลิมภักตร์อสุรา แล้วนุ่งผ้าพื้นดำอำไพ สไบทรงบงเฉียงก็ดำสิ้น สังวาลนิลมณีศรีใส กระหมวดเกล้าเมาฬีเช่นชีไพร โพกส่านน่าดอกไม้ดำดี ถือประคำสำหรับร่ายพระเวท เอาเพศเปนพรหมฤๅษี ครั้นเสร็จสรรพจับศรอสุรี เข้าสู่โรงพิธีทันใด

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

ชมตลาด

๑๓๔๕๏ ขึ้นนั่งเหนือพระแท่นแว่นฟ้า บูชาพระเวทตามเพศไสย แล้วตรัสสั่งมหาเสนาใน ให้โหมไฟอาหุดีพิธีกรรม์ จึ่งจับศรกรประนมเหนือเกษ ไหว้บรมพรหเมศรังสรรค์ มัธยัดขัดสมาธิ์สองชั้น ชักประคำรำพรรณภาวนา

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

ร่าย

๑๓๔๖๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ฦๅฤทธิ์ทุกทิศา ตามโอรสทศกรรฐ์กระชั้นมา จนถึงป่าหิมพานต์พนาลี พอบ่ายแสงสุริยันตวันเย็น แลเห็นช่อฟ้าหลังคาสี ทั้งเสียงฆ้องกลองตระเวนอสุรี รู้ว่าโรงพิธีกระทำการ จึ่งตรัสสั่งพวกพหลพลไกร ให้นายไพร่พร้อมพรักเข้าหักหาญ รบรุมตลุมบอนรอนราญ ใครต้านทานแทงฟันให้บรรไลย

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๓๔๗๏ บัดนั้น โยธาวานรน้อยใหญ่ รับสั่งสำแดงแผลงฤทธิไกร เข้าล้อมไล่อสุรีตีรัน บ้างโจนจับสัปรยุทธเหยียบบ่า หักขาแขนฟาดขาดสบั้น บ้างชิงดาบหอกแกว่งแทงกุมภัณฑ์ หักโหมโรมรันราวี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๔๘๏ บัดนั้น พวกพลอสุรศักดิยักษี บ้างรบรับจับลิงเปนสิงคลี บ้างวิ่งหนีกระจัดพลัดพราย

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๓๔๙๏ บัดนั้น โยธาพานรินทร์สิ้นทั้งหลาย เห็นยักษีหนีแยกแตกกระจาย เข้าทลายโรงพิธีมี่ไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๓๕๐๏ เมื่อนั้น อินทรชิตผิดประหลาดหวาดไหว ลืมเนตรเห็นลิงมาชิงไชย ตกใจลุกทลึ่งตึงตัง เผ่นโผนโจนจากบัลลังก์อาศน์ คิดขยาดย่อท้อถอยหลัง ไม่อาจหาญต้านต่อรอรั้ง ฟังกำลังองค์พระอนุชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๕๑๏ บัดนั้น พวกวานรหลอนหลอกกลอกหน้า แสร้งหัวเราะเยาะเย้ยอสุรา จ้วงจาบหยาบช้าพาที

ฯ ๒ คำ ฯ

เย้ย

๑๓๕๒๏ เหวยไอ้ใจทมิฬอินทรชิต มาสิ้นคิดคุดคู้อยู่ที่นี่ ไยมิยกโยธาไปราวี รบพุ่งกรุงศรีอยุทธยา มีแต่ทำปลิ้นปล้อนหลอนหลอก ไม่อาจออกประจัญกันซึ่งหน้า มึงได้ยักษ์นักโทษที่ไหนมา นิมิตรเหมือนสีดาแล้วฆ่าตี กุ๋ยกุ๋ยน่าอายตายเสียเปล่า เขารู้เท่าถึงใจแล้วไพล่หนี ทำศึกซ่อนเงื่อนเหมือนสัตรี ครั้งนี้สุดมือแล้วฤๅไร แม้นรักตัวกลัวตายวายชีวา จงเร่งสารภาพกราบไหว้ จะงดโทษโปรดยกชีวิตไว้ ถ้าหาไม่จะยับลงกับมือ บ้างว่าเองไอ้โง่โว้เว้ จะทำเล่ห์ลวงฬ่อต่อไปฤๅ อย่าเฉยเชือนเบือนหน้ามาหารือ พลางตบมือหัวเราะเยาะไยไพ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กราวรำ

ร่าย

๑๓๕๓๏ เมื่อนั้น อินทรชิตแค้นคั่งฟังไม่ได้ จึ่งชี้หน้าว่าเหม่ไอ้ลิงไพร มาแคะไค้ค่อนว่าสามาญ อันแยบยนต์กลศึกฦกลับ เกิดสำหรับชายฉลาดชาติทหาร เมื่อพวกมึงกับนายวายปราณ เพราะโง่งมซมซานการสงคราม หากพิเภกอยู่ด้วยช่วยชีวิตร จึ่งได้ติดตามมาว่าหยาบหยาม แม้นหาไม่ไอ้ลิงกับลักษณ์ราม จะถึงความมรณาเสียช้านาน อย่าลบหลู่ดูถูกปัญญายักษ์ มึงรู้จักอะไรไอ้เดรฉาน พลางกวัดแกว่งแสงศรเข้ารอนราญ ตีลิงวิ่งพล่านพัลวัน

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๑๓๕๔๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ฤทธิแรงแขงขัน เสด็จจากรถแก้วแพรวพรรณ เช้าโรมรันรบยักษ์ด้วยศักดา ถ่อยทีตีรันประจัญจับ กลอกกลับเปลี่ยนซ้ายย้ายขวา ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรอสุรา หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๓๕๕๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี เคล่าคล่องป้องกันประจัญตี ถ้อยทีหนีไล่ในทำนอง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๓๕๖๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ฤทธิไกรไวว่อง ขึ้นจับลอยคอยขยับรับรอง ตีต้องขุนมารซานทรุด

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๓๕๗๏ เมื่อนั้น โอรสทศกรรฐ์ขยั้นหยุด จึ่งขึ้นสายศรสิทธิ์ฤทธิรุตม์ หมายมนุษย์นายลิงแล้วยิงไป

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๓๕๘๏ เสียงสเทือนเลื่อนลั่นโลกธาตุ พสุธาอากาศหวาดไหว ไปต้องลิงเหล่าพหลพลไกร พุงไส้เรี่ยรายก่ายกัน

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๓๕๙๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์เห็นโยธาอาสัญ จึ่งขึ้นศรพลายวาตพาดสายพลัน หมายตรงทรงลั่นไปทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๓๖๐๏ เปนพระพายพัดมาต้องวานร ที่ม้วยมรณ์กลับฟื้นยืนขึ้นได้ แล้วต้องอินทรชิตฤทธิไกร ศิลป์ไชยติดเต็มทั้งกายา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๓๖๑๏ เมื่อนั้น อินทรชิตชีวังแทบสังขาร์ พิศม์ศรร้อนรุ่มกลุ้มอุรา ขืนอุส่าห์ทรงกายร่ายมนต์

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๑๓๖๒๏ เดชะพระเวทฤทธิรอน ลูกศรมนุษย์หลุดหล่น ครั้นจะอยู่สู้รบฤทธิรณ ก็สิ้นพลผู้เดียวเปลี่ยวใจ ทั้งสิ้นสาตราวุธสุดคิด น่าที่ชีวิตรจะตักไษย จำจะลอบหลบลี้หนีไป แต่พอได้ลาชนกชนนี คิดพลางทางอ่านอาคมขลัง เปนเมฆบังบดในไพรศรี จึ่งลัดแลงแฝงองค์อสุรี เหาะหนีมุ่งตรงเข้าลงกา

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๑๓๖๓๏ เมื่อนั้น น้องพระหริรักษ์นาถา เห็นบดคลุ้มกลุ้มมืดเมฆา อสุราคลับคล้ายหายไป จึ่งตรัสถามพิเภกโหราจารย์ อินทรชิตคิดการเปนไฉน จึ่งไม่อยู่สู้รบฤทธิไกร ฤๅจะใช้กลอุบายย้ายยัก

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๖๔๏ บัดนั้น พิเภกคิดดูรู้ประจักษ์ ทูลฉลองน้องพระหริรักษ์ อันขุนยักษ์สิ้นคิดฤทธิไกร จึ่งหลบลี้หนีเข้าลงกา จะคิดอ่านมารยานั้นหาไม่ ด้วยรู้ว่าชีวันจะบรรไลย หมายจะไปลาชนกชนนี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๖๕๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี ได้ฟังทูลแถลงแจ้งคดี มิรู้ที่จะคิดติดตามไป ทั้งเพลาสายัณห์เย็นลง สุริยงจวนลับเหลี่ยมไศล จึ่งเลิกทัพกลับพลสกลไกร คืนไปที่ประทับพลับพลา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๓๖๖๏ ครั้นถึงจึ่งเสด็จลงจากรถ ไปประนตบทเรศพระเชษฐา ทูลเล่าแถลงแจ้งกิจจา ดังได้ยุทธนาราวี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๓๖๗๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์องค์นารายน์เรืองศรี แจ้งว่าอินทรชิตเสียพิธี ยินดีจึ่งดำรัสตรัสไป อันโอรสทศเศียรสุริวงษ์ รณรงค์แกล้วกล้าจะหาไหน จำจะคิดฆ่ามันให้บรรไลย จึ่งจะเสร็จศึกใหญ่ในลงกา ว่าพลางทางชวนพระน้องรัก ไปหยุดพักผ่อนผันให้หรรษา แล้วลุกจากแท่นที่ลีลา เข้าที่ไสยาในราตรี

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๑๓๖๘๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี พอสิ้นแสงสุริยาถึงธานี ไปสู่ที่ราชฐานพระมารดา

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๓๖๙๏ ก้มเกล้าเคารพอภิวาท แทบบาทชนนีเสนหา มิทันทูลแถลงแจ้งกิจจา โศกากำสรดสลดใจ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๓๗๐๏ เมื่อนั้น นางมณโฑเทวีศรีใส เห็นองค์โอรสาโศกาไลย ตกใจไม่เปนสมประดี ลูบหลังลูกรักแล้วซักถาม เจ้ารบกับพระรามเรืองศรี เหตุไฉนจึ่งกลับมาต่อราตรี อย่าโศกีเลยเล่าให้เข้าใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๗๑๏ เมื่อนั้น อินทรชิตกลืนกลั้นกรรแสงไห้ จึ่งทูลความตามเรื่องแต่แรกไป จนชิงไชยเสียทัพอัปรา เปนสุดสิ้นความคิดฤทธิรุตม์ เห็นจะสุดสิ้นชีวังสังขาร์ ลูกจึงลอบหลบลี้หนีมา จะทูลลาบิตุราชมาตุรงค์ ทั้งจะฝากสองกุมารหลานขวัญ กับสุวรรณกันยุมานวลหง อันลูกนี้มิได้รองบาทบงสุ์ พรุ่งนี้คงชีวันจะบรรไลย

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๓๗๒๏ เมื่อนั้น นางมณโฑฟังแจ้งแถลงไข แสนสงสารโอรสรทดใจ เข้าสร้วมสอดกอดไว้แล้วโศกา

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๑๓๗๓๏ โอ้ว่าอินทรชิตสิทธิศักดิ เสียแรงแม่พิทักษ์รักษา กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้จนใหญ่มา ทุกเวลาเช้าเย็นได้เห็นกัน หมายจะสืบสุริวงษ์พงษ์เผ่า ควรฤๅเจ้าจะมาอาสัญ แม่จะกินน้ำตาไม่ราวัน จะมอดม้วยด้วยกันเปนมั่นคง ทั้งนี้สีดาเปนต้นเหตุ ให้บิตุเรศรักใคร่ใหลหลง จนสู้เสียลูกเต้าเผ่าพงษ์ จะคิดสงสารใครก็ไม่มี โอ้เสียดายลงกาอาณาจักร จะเสื่อมศักดิสูญสิ้นทั้งกรุงศรี นางกอดโอรสร่ำพร่ำโศกี ดังเทวีจะวินาศขาดใจ

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๓๗๔๏ แล้วกลืนกลั้นชลนาว่าลูกรัก อย่าเพ่อด่วนหวนหักตักไษย แม่จะพาขึ้นไปเฝ้าท้าวไท ทูลให้ผ่อนผันด้วยปัญญา ว่าพลางย่างเยื้องยุรยาตร กับองค์โอรสราชเสนหา พร้อมเหล่าสาวสรรค์กัลยา ส่องโคมนำน่าคลาไคล

ฯ ๔ คำ ฯ เพลง

๑๓๗๕๏ ถึงปรางรัตน์ทัศนาเห็นสามี สถิตย์ที่แท่นทองผ่องใส จึ่งพาองค์อินทรชิตฤทธิไกร เข้าไปกราบก้มบังคมคัล

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๑๓๗๖๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์รังสรรค์ เห็นลูกรักอัคเรศร่วมชีวัน จึ่งบัญชาถามเนื้อความไป อินทรชิตคิดฆ่าศุกขาจาร ยังสำเร็จราชการฤๅไฉน พิธีกุมภนิยาที่ว่าไว้ ไปทำได้เสร็จแล้วฤๅแก้วตา

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๑๓๗๗๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา จึ่งทูลความตามตอบพระอนุชา ทั้งเข่นฆ่ารูปนิมิตรเหมือนคิดไว้ แล้วไปตั้งพิธีที่จักรวาฬ ยังทำการหาเสร็จสำเร็จไม่ พระลักษณ์ยกพลลิงไปชิงไชย ทลวงไล่หักหาญผลาญกุมภัณฑ์ ทั้งตัวลูกถูกศรสักแสนเล่ม ติดเต็มกายาแทบอาสัญ นี่หากลอบหลบลี้หนีทัน จึ่งไม่ม้วยชีวันบรรไลย เหตุทั้งนี้พิเภกบอกพระราม จึ่งได้คิดติดตามแก้ไข เมื่อทำศึกขัดขวางทุกอย่างไป จะชิงไชยกับมนุษย์นั้นสุดคิด

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๓๗๘๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์รันทดสลดจิตร ซังตายตอบปลอบองค์อินทรชิต เจ้าทรงฤทธิ์รุ่งเรืองย่อมเลื่องฦๅ อันต่อตีมิชนะก็ย่อมแพ้ จะหมายแต่เอาไชยนั้นได้ฤๅ อย่าท้อจิตรคิดการไปแก้มือ ให้เลื่องฦๅลูกรักว่าศักดา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๗๙๏ เมื่อนั้น นวลนางมณโฑเสนหา ได้ฟังท้าวทศกรรฐ์จำนรรจา จะขืนให้ลูกยาออกราวี จึ่งทูลว่าพระองค์ผู้ทรงเดช จงโปรดเกษข้าบาทบทศรี อินทรชิตชิงไชยกับไพรี ก็เสียทีแทบตายวายปราณ ขืนจะใช้ไปประจญรณรงค์ ให้โอรสปลดปลงไม่สงสาร ขอพระองค์ทรงดำริห์ตริการ ให้เมืองมารมีศุขสถาวร ซึ่งข้าศึกมาประชิดติดลงกา เพราะเทวีสีดาดวงสมร สุริวงษ์พงษ์มารก็ม้วยมรณ์ ได้เดือดร้อนไพร่ฟ้าประชาชี แม้ส่งนางคืนไปให้พระราม จะสุดสิ้นเสี้ยนหนามในกรุงศรี ทั้งลูกรักจักได้รอดชีวี รองธุลีบทมาลย์พระผ่านฟ้า

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๓๘๐๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา ได้ฟังนางมณโฑโสภา จะให้ส่งสีดาลาวรรณ ยิ่งเคืองขัดตรัสตอบมเหษี มิเสียทีแยบยนต์กลขยัน มาหวงหึงษ์ขึ้งเคียดเกียจกัน เชิงชั้นเช่นเจ้าพอเข้าใจ ตั้งแต่เรารับสีดามาเมือง ดูแค้นเคืองคับอกหมกไหม้ อำมหิดฤษยาตาเปนไฟ มิให้ใครทัดเทียบเปรียบปาน ยังแสร้งซ่อนเงื่อนเกลื่อนกลบ เอาความรบพุ่งมาว่าขาน เจ้ากลัวลูกจะตายวายปราณ จงให้ผ่านลงกาธานี แต่ตัวกูผู้เดียวจะเคี่ยวขับ รบรับข้าศึกไม่นึกหนี ซึ่งจะให้ส่งสีดานารี ใครอย่ามาพาทีแต่นี้ไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๓๘๑๏ เมื่อนั้น นางมณโฑเทวีศรีใส ฟังท้าวเธอตรัสตัดเยื่อใย เปนจนใจไม่รู้ที่จะคิด จึ่งว่าข้าทูลความตามตรง พระองค์กลับเห็นว่าเปนผิด วิบากกรรมสำหรับจะม้วยมิด จะขืนครองชีวิตรไว้ว่าไร ร่ำพลางนางฟายชลเนตร คิดสังเวชลูกรักจะตักไษย ทั้งแค้นคำภัศดาโศกาไลย สอึกสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๑๓๘๒๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา เห็นทรงฤทธิ์บิตุเรศกับมารดา เคืองขัดอัธยาเปนราคี จึ่งก้มเกล้ากราบกรานประทานโทษ พระบิตุรงค์จงโปรดเกษี ลูกเสียทัพกลับมาเพลานี้ ใช่จะหนีณรงค์สงคราม คงจะขออาสาฝ่าพระบาท จนชีวาตม์วายวางกลางสนาม ถึงบรรไลยไว้ชื่อให้ฦๅนาม ไม่ครั่นคร้ามฤทธิไกรไพรี

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๓๘๓๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ได้ฟังโอรสาพาที ยินดีด้วยสมอารมณ์คิด จึ่งว่าเจ้าเผ่าพงษ์พรหเมศ แต่ตรีเนตรยังไม่รอต่อติด ถึงเหล่าลิงลักษณ์รามก็ขามฤทธิ์ จงช่วยคิดฆ่ามันให้บรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๓๘๔๏ เมื่อนั้น อินทรชิตกราบก้มบังคมไหว้ แล้วลาสองกระษัตราคลาไคล ตรงไปที่อยู่อสุรี

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๓๘๕๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบรรจฐรณ์ ให้รุ่มร้อนฤไทยดังไฟจี้ เห็นลูกรักอัคเรศร่วมชีวี ยิ่งมีเสนหาอาไลย ชลไนยไหลลงพรากพราก จะออกปากพาทีมิใคร่ได้ กอดประคองสององค์โอรสไว้ สอึกสอื้นไห้ไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๑๓๘๖๏ เมื่อนั้น นางสุวรรณกันยุมาเสนหา เห็นสามีมิได้จำนรรจา แต่กอดโอรสาโศกาไลย คิดปลาดหวาดหวั่นขวัญหาย โฉมฉายกราบก้มบังคมไหว้ แล้วทูลถามความซึ่งสงไสยใจ เปนไฉนพระองค์ทรงโศกา

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๑๓๘๗๏ เมื่อนั้น องค์อินทรชิตยักษา คิดสงสารสุวรรณกันยุมา อุส่าห์กลั้นชลนาพาที เปนกรรมแล้วแก้วตาของผัวเอ๋ย จะบอกความทรามเชยอย่าหมองศรี ด้วยศึกเสือเหลือกำลังครั้งนี้ มิรู้ที่จะผ่อนผันฉันใด ทั้งศรสาตราวุธก็สุดฤทธิ์ น่าที่ชีวิตรจะตักไษย ค่อยอยู่เถิดแก้วตาอย่าอาไลย จงตั้งใจกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกรัก อนึ่งเล่าเจ้าอุส่าห์ฝากองค์ พระบิตุราชมาตุรงค์ทรงศักดิ จะได้เห็นเปนที่พึ่งพำนักนิ์ อันผัวรักมิได้มาเห็นหน้าน้อง ขอฝากเหล่าสาวสนมทั้งนี้ด้วย โฉมยงจงช่วยปกป้อง อันแก้วแหวนแสนทรัพย์เงินทอง ให้แก่สองโอรสยศไกร

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๑๓๘๘๏ เมื่อนั้น นางสุวรรณกันยุมาเพียงตักไษย เข้ากอดบาทภัศดาด้วยอาไลย สอื้นไห้ครวญคร่ำรำพรรณ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๑๓๘๙๏ โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องเอ๋ย มิควรเลยจะมาอาสัญ เคยปกเกล้าเช้าเย็นไม่เว้นวัน สารพันผาศุกทุกเวลา แม้นสิ้นบุญทูลกระหม่อมของเมียแล้ว ดังดวงแก้วมืดมิดทุกทิศา ทั้งโอรสพี่น้องสองรา เปนกำพรำบิตุเรศสังเวชนัก แม้นมีทุกข์ขุกเข็ญไม่เห็นใคร จะพึ่งได้ดังองค์พระทรงศักดิ สำหรับแต่จะอัประภาคภักตร์ เมียรักจักอยู่ไปไยมี ร่ำพลางทางทรงกรรแสงไห้ ชลไนยนองเนตรนางโฉมศรี ทั้งเหล่าสาวสุรางค์นารี โศกีอื้ออึงคนึงไป

ฯ ๘ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๓๙๐๏ เมื่อนั้น อินทรชิตเศร้าสร้อยลห้อยไห้ เห็นเมียรักนักสนมกรมใน ร่ำไรไม่เปนสมประดี จึ่งแกล้งตรัสตระโบมโลมเล้า อย่าโศกเศร้าเลยน้องจะหมองศรี อันกำเนิดเกิดมาในธาตรี แม้นถึงที่ชีวันก็บรรไลย พี่เปนชายชำนาญการสงคราม จะกลัวความมรณานั้นหาไม่ จะสู้ตายตามกรรมที่ทำไว้ จึ่งจะได้เลื่องชื่อฦๅชา จงส่างโศกเสียบ้างฟังผัว สงวนตัวเทวีไว้ดีกว่า แต่สั่งเสียเมียขวัญจำนรรจา จนเวลาย่ำรุ่งสดุ้งใจ อุส่าห์ขืนกลืนกลั้นชลเนตร จะพิศภักตร์อัคเรศมิใคร่ได้ เสด็จจากแท่นแก้วแววไว คลาไคลไปสรงคงคา

ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๓๙๑๏ ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุง เฟื่องฟุ้งประทิ่นกลิ่นบุบผา สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ ภูษาพื้นตองทองรยับ ห้อยน่าผ้าทิพโกไสย ชายไหวชายแครงแสงสลับ ฉลององค์เกราะแก้วแวววับ ปั้นเหน่งเพ็ชรบานพับทับทิมพราย ตาบทิศทับทรวงห่วงห้อย สอดสร้อยสังวาลประสานสาย พาหุรัดเรียบร้อยพลอยราย ทองกรจำหลักลายลงยา ธำมรงค์ทรงสวมนิ้วพระหัดถ์ เพ็ชรรัตน์พรรณรายทั้งซ้ายขวา มงกุฎกรรเจียกแก้วแววฟ้า จับพระแสงสาตราคลาไคล

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

ร่าย

๑๓๙๒๏ เมื่อนั้น นางสุวรรณกันยุมาหม่นไหม้ เข้าสร้วมสอดกอดบาทผัวไว้ สอื้นไห้ไม่เปนสมประดี

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

โอ้

๑๓๙๓๏ เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของเมียเอ๋ย จะละเลยข้าบาทบทศรี ทิ้งไว้ให้อยู่ในบูรี จะรู้ที่ผินหน้าไปหาใคร น้องเคยพึ่งบาทบงสุ์ทรงเดช เสมอเหมือนบิตุเรศรักใคร่ แมนพระองค์อาสัญบรรไลย เมียไม่ขออยู่จะสู้ม้วย พระเสด็จไปไหนจะไปตาม แม้นสงครามวอดวายจะตายด้วย นงคราญคร่ำกำสรดรทดรทวย ปิ้มจะม้วยชีวันบรรไลย

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๑๓๙๔๏ เมื่อนั้น อินทรชิตหยุดยืนสอื้นไห้ สุดที่จะรั้งรักหักใจ ยิ่งเปนห่วงบ่วงไยอาไลยลาน ลดองค์ลงแอบอัคเรศ ชลเนตรไหลลงด้วยสงสาร ปลอบประโลมโฉมยงนงคราญ เยาวมาลย์อย่าวิโยคโศกนัก อันสงครามครั้งนี้เปนที่สุด จะยงยุทธต้านต่อปรปักษ์ ไม่ปลดปลงคงคืนมาเห็นภักตร์ น้องรักอย่าเศร้าเสียใจ ปลอบนางพลางกลั้นกรรแสง อุส่าห์แขงขืนหักรักใคร่ ลงจากปราสาทแก้วแววไว คลาไคลไปเฝ้าเจ้าลงกา

ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย

๑๓๙๕๏ ครั้นถึงจึ่งเคารพอภิวาท พระบิตุรงค์ธิราชนาถา แล้วว่าข้าขอบังคมลา ออกไปยุทธนาราวี

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๓๙๖๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษี ชื่นชมสมถวิลยินดี จึ่งพาทีโลมเล้าเอาใจ มิเสียแรงลูกยากล้าหาญ ควรจะผ่านภาราลงกาได้ จงไปดีมาดีให้มีไชย อรินไภยพ่ายแพ้แก่ลูกยา ว่าพลางทางสั่งอำมาตย์มาร จัดทหารให้องค์โอรสา กำชับสั่งครั้งนี้ใครหนีมา กูจะผ่าอกซ้ำให้หนำใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๓๙๗๏ บัดนั้น มโหทรรับสั่งบังคมไหว้ ออกจากพระโรงคัลทันใด รีบไปเกณฑ์พหลพลรบ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๑๓๙๘๏ จัดทัพสับสนอลหม่าน พลมารหลีกลี้หนีหลบ ทั้งเดือนออกเอารดมสมทบ ไม่ได้ครบตามบาญชีตีเร่งรัด ที่ไปค้างทางไกลไม่อยู่ ให้เจ้าหมู่จ้างใส่มิให้ผัด พวกนายหมวดตรวจตราสารวัด ผูกมัดโบยตีกันมี่ไป

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๓๙๙๏ ครั้นพร้อมพรั่งตั้งกระบวนพยุหบาตร โดยราชตำหรับทัพใหญ่ แล้วเทียมราชรถแก้วแววไว มาเทียบไว้ตามเคยที่เกยลา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๐๐๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษา จึ่งบังคมสมเด็จพระบิดา ออกมาตรวจโยธาน่าพระลาน

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๑๔๐๑๏ พร้อมพรั่งรถรัดจัตุรงค์ ให้เดินธงทัพน่ากล้าหาญ ขยายยกพหลพลมาร เสียงสท้านสเทือนทางกลางนคร

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โอ้ร่าย

๑๔๐๒๏ ครั้นออกนอกกำแพงภารา เปนลางร้ายแร้งกาว้าว่อน บ้างโฉบฉาบคาบจิกกรรเจียกจร บ้างเฉี่ยวงอนรถทรงธงไชย สารพัดอัศจรรย์หวั่นจิตร น่าที่ชีวิตรจะตักไษย เหลียวดูปราสาทเพียงขาดใจ ตั้งแต่นี้มิได้มาไสยา สงสารพระชนกชนนี จะโศกีเศร้าสร้อยลห้อยหา นิจาเอ๋ยสุวรรณกันยุมา จะกินแต่น้ำตาไม่ราวัน แล้วคิดถึงโอรสสลดจิตร จะม้วยมิดมิได้กลับมารับขวัญ สงสารสาวสุรางค์นางกำนัล จะโศกศัลย์สร้อยเศร้าถึงเรานัก ยิ่งคิดคิดไปก็ใจหาย ไม่เว้นวายวิตกเพียงอกหัก แล้วขืนคิดมานะสละรัก เร่งพหลพลยักษ์ยาตรา

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๔๐๓๏ ครั้นถึงที่ผจญรณรงค์ พอสุริยงร้อนแรงแสงกล้า ให้ยับยั้งตั้งมั่นโยธา อยู่ริมชายป่าพนาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๑๔๐๔๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย เสด็จออกนั่งน่าพลับพลาไชย เสนาในนอบน้อมพร้อมพรัก พระปรารภดำริห์ตริการ จะสังหารอินทรชิตสิทธิศักดิ พอได้ยินสำเนียงเสียงยักษ์ คึกคักขานโห่เปนโกลา

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๑๔๐๕๏ จึ่งดำรัสตรัสถามโหราเอก ดูก่อนพิเภกยักษา ทัพนี้คือใครเปนใหญ่มา เจ้าลงกาฤๅวงษ์พงษ์ยักษ์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๐๖๏ บัดนั้น พิเภกพิเคราะห์ดูรู้ประจักษ์ จึ่งกราบทูลองค์พระหริรักษ์ มิใช่ทัพทศภักตร์ศักดา คือองค์อินทรชิตฤทธิรุตม์ จะสิ้นสุดชีวังสังขาร์ แต่จะใคร่ไว้ชื่อให้ฦๅชา จงทราบใต้บาทาฝ่าธุลี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๔๐๗๏ เมื่อนั้น พระหริวงษ์ทรงสวัสดิรัศมี ได้ฟังทูลแถลงแจ้งคดี สั่งพระศรีอนุชายาใจ เจ้าจงไปรอนราญหาญหัก ผลาญโอรสทศภักตร์ให้ตักไษย สุครีพรีบจัดพลไกร เปนทัพไชยให้พระอนุชา

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๔๐๘๏ บัดนั้น สุครีพรับสั่งใส่เกษา ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกมา ตรวจตราเตรียมกระบี่รี้พล

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๔๐๙๏ กองน่าวานรนิลราช เคยองอาจออกศึกฝึกฝน กองหนุนนขุนกระบินทร์นิลนนท์ ให้เกยูรขุนพลเปนปีกซ้าย ปีกขวาวาหุโรมเคยโจมทัพ เคี่ยวขับต่อตีไม่หนีหาย ทวิกันกองหลังรั้งท้าย ทั้งไพร่นายครบถ้วนจำนวนเกณฑ์ เหล่าลิงล้อมวงองครักษ์ ใส่เสื้อกั๊กขี่กระบือถือเขน บ้างนุ่งผ้าตาโถงโจงกระเบน ขี่กิเลนลองกำลังวังชา ลิงเลวลางกระบี่ขึ้นขี่แพะ บ้างขี่แกะกุมตะบองป้องหน้า แล้วเทียมราชรถแก้วแววฟ้า เข้ามาประทับฉับไว

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๔๑๐๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์รัศมีศรีใส ถวายบังคมลาคลาไคล เสด็จไปชำระสระสรงชล

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๔๑๑๏ ลิงไพรไขท่อประทุมทอง ตกต้องพระกายดังสายฝน สำอางองค์ทรงเครื่องพระสุคนธ์ ปรุงปนจวงจันทน์คันธรศ สอดสนับเพลาทรงอลงการ์ ภูษาเชิงชายลายก้านขด ฉลององค์อินท์ธนูดูช้อยชด เกราะแก้วมรกฏกันทรวง คาดปั้นเหน่งเนาวรัตน์ตรัจเตร็จ ประดับเพ็ชรไพโรจโชติช่วง สร้อยสนสังวาลวรรณกุดั่นดวง ทับทรวงเฟื่องห้อยพลอยรยับ พาหุรัดทองกรซ้อนทรง ธำมรงค์เรือนเก็จเพ็ชรประดับ มงกุฎกรรเจียกจรซ้อนซับ แล้วทรงศรสำหรับราวี

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๑๔๑๒๏ ครั้นเสด็จยุรยาตรคลาศคลา ลงจากพลับพลาหลังคาสี เหล่าทหารขานโห่สามที ได้ฤกษ์ดีคลี่คลายขยายพล

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๑๔๑๓๏ รถเอยรถแก้ว พลอยประดับวับแววเวหน บุษบกน่าบันชั้นบน ดังไพชนต์ชัชวาลย์วิมานทิพย์ เทียมเทพกัณฐัศว์สบัดย่าง ไปตามทางราบเลี่ยนเตียนตลิบ รถที่นั่งดังจะเคลื่อนเลื่อนลอยลิบ พลสิบสมุทเดินดำเนินธง เทวาสุราไลยเอาใจช่วย ให้สังหารมารม้วยเปนผุยผง บ้างโปรยปาริกชาติกลาดกลางดง รองกงราชรถไม่จดดิน พระพายชายพัดมาอ่อนอ่อน หอมเกสรอวลอบตลบกลิ่น เร่งทัพขับพหลพลพฤนท์ พานรินทร์โห่ร้องก้องไป

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๔๑๔๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นทัพยักษ์ ธงปักเปนทิวปลิวไสว ให้หยุดยั้งตั้งมั่นพลไกร จะดูเชิงชิงไชยไพรี

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๑๕๏ เมื่อนั้น อินทรชิตสิทธิศักดิยักษี เห็นพระลักษณ์ยกมาจะราวี ได้ท่วงทีมิให้หยุดพัก กระทืบรถที่นั่งตั้งสิงหนาท ร้องประกาศสั่งหมู่อสุรศักดิ จงเร่งเข้าตีทัพจับพระลักษณ์ หาญหักห้ำหั่นให้บรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๔๑๖๏ บัดนั้น พวกพหลพลนิกายนายไพร่ กลัวลิงยิงปืนไปแต่ไกล ทั้งธนูหางไก่เกาทัณฑ์ พวกกองหนุนรุนหลังพวกกองน่า เข้าไล่วานรรับกลับขยั้น นายทัพขับพลทลวงฟัน เข้าโรมรันรบลิงเปนสิงคลี

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๔๑๗๏ บัดนั้น โยธาวานรไม่ถอยหนี บ้างแกว่งขวานเงื้อพร้าง่าตรี แขงข้อต่อตีติดพัน บ้างเผ่นโผนโจนจับสัปรยุทธ อุตลุดผลัดเปลี่ยนเหียนหัน ว่องไวไล่พิฆาฏฟาดฟัน พลกุมภัณฑ์แพ้ลิงวิ่งเกรียว

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๔๑๘๏ เมื่อนั้น อินทรชิตคิดพิโรธโกรธเกรี้ยว โจนจากรถทรงองค์เดียว เข่นเขี้ยวเข้าตีกระบี่ไพร

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๑๙๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ไม่พรั่นหวั่นไหว ลงจากรถสุวรรณทันใด เข้าชิงไชยอินทรชิตฤทธา แคล่วคล่องป้องปัดผลัดเปลี่ยน ขึ้นเหยียบเข่าน้าวเศียรยักษา ได้ทีตีรันกระชั้นมา อสุราหันเหเซทรุด

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๔๒๐๏ เมื่อนั้น อินทรชิตเคี่ยวขับสัปรยุทธ ล้าเลื่อยเหนื่อยเหน็ดเข็ดมนุษย์ ยืนหยุดเอี้ยวองค์ก่งศิลป์ไชย

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๒๑๏ เมื่อนั้น พระลักษณ์ไม่พรั่นหวั่นไหว ขึ้นพระแสงศรสิทธิ์ฤทธิไกร ยิงแย้งแผลงไปมิได้ช้า

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๔๒๒๏ ศรพระลักษณ์ปักอกอินทรชิต เข้าสูบเลือดเชือดชีวิตรยักษา สุดสิ้นกำลังวังชา อสุราล้มดิ้นสิ้นชีวัน

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๔๒๓๏ ครั้นเสร็จสังหารผลาญยักษ์ พระลักษณ์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ พออ่อนแสงสุริยาสายัณห์ ก็เลิกพวกพลขันธ์เข้าพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๔๒๔๏ บัดนั้น อสูรกายคอยเหตุยักษา เห็นโอรสเจ้านายวายชีวา ก็รีบเข้าลงกาธานี

ฯ ๒ คำ ฯ กราว เชิด

๑๔๒๕๏ ครั้นถึงอภิวาทบาทมูล กราบทูลทศภักตร์ยักษี พระโอรสพ่ายแพ้แก่ไพรี บัดนี้ม้วยมอดวอดวาย

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๑๔๒๖๏ เมื่อนั้น ทศเศียรเจียนใจจะขาดหาย คิดคนึงถึงบุตรสุดเสียดาย จนลืมอายเสนาโศกาไลย

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๔๒๗๏ แล้วลุกขึ้นกระทืบแท่นแค้นนัก จะเข่นฆ่ารามลักษณ์เสียให้ได้ พรุ่งนี้เช้าตรู่กูจะไป ชิงไชยให้เห็นฤทธา มโหทรรีบรัดไปจัดทัพ เอาสิบขุนกำกับเปนกองน่า ทัพหนุนสิบรถลูกยา ให้โยธาเปนขนัดจัตุรงค์ กูจะไปรบหักเอาพักเดียว ขับเคี่ยวข้าศึกให้ผุยผง แล้วลงจากแท่นสุวรรณบรรจง เสด็จตรงเข้ายังวังใน

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

๑๔๒๘๏ บัดนั้น มโหทรเสนาอัชฌาไศรย เสด็จขึ้นพอค่ำย่ำฆ้องไชย ก็ออกไปรีบรัดจัดแจง

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

ยานี

๑๔๒๙๏ ทัพน่ากล้าศึกทั้งสิบขุน ทัพหนุนสิบรถเข้มแขง ทัพหลวงปีกป้องกองแซง ใส่เสื้อแดงสักลาดดาษดา ขุนช้างผูกช้างรวางต้น เคยประจญประจามิตรติดมันน่า เหล่าทหารพาชีขี่อาชา ถือทวนโพกผ้าสีชมภู ขุนรถเทียมสัตวจัตุบาท มฤคราชแรดควายหลายคู่ พลเท้าห้าวหาญผลาญศัตรู ถือธนูเสน่าเกาทัณฑ์ จัดถ้วนกระบวนทัพสรรพเสร็จ พอนาทีตีสิบเอ็ดไก่ขัน แล้วเทียมราชรถแก้วแพรวพรรณ มาเทียบกับเกยสุวรรณทันใด

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ช้าครวญ

๑๔๓๐๏ เมื่อนั้น ทศกรรฐ์บรรธมไม่หลับใหล จนยามดึกตรึกตรองตรมฤไทย คิดอาไลยพันผูกถึงลูกรัก นิจาเอ๋ยอินทรชิตของบิดา เคยปราบสิ้นดินฟ้าอาณาจักร ควรฤๅมาพ่ายแพ้แก่พระลักษณ์ ให้เสื่อมศักดิสิ้นชื่อที่ฦๅชา โอ้เสียน้องแล้วมิหนำซ้ำเสียบุตร ยิ่งโศกแสนแค้นมนุษย์นักหนา เมื่อไรจะรุ่งแจ้งแสงสุริยา กูจะไปเข่นฆ่าราวี

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๑๔๓๑๏ แล้วเผยแกลแลดูดาวเดือน เห็นลอยเลื่อนลับฟ้าราษี สุริยนแย้มเยี่ยมเหลี่ยมคิรี มาเข้าที่สรงน้ำสำอาง

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๔๓๒๏ ลูบไล้ชำระสระสนาน พนักงานสีขนองทั้งสองข้าง ทรงสุคนธารทาสารพางค์ สาวสุรางค์หมอบกรานอยู่งานพัด สอดใส่สนับเพลาเพราผจง ภูษาทรงจีบจับโจงกระหวัด ฉลององค์เกราะเก็จเพ็ชรรัตน์ ปั้นเหน่งปัทมราชรูจี สอดสร้อยสังวาลประสานสาย ทับทรวงรายมรกฏสดสี พาหุรัดรจนาจินดาดี ทองกรแก้วมณีศรีประเทือง สิบเศียรสวมทรงมงกุฎ ประดับบุษราคำน้ำเหลือง ธำมรงค์รจนาค่าเมือง อร่ามเรืองเพ็ชรรัตน์ตรัจไตร

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๑๔๓๓๏ ครั้นเสร็จทรงศรศรีลีลาศ จากปราสาทแก้วมณีศรีใส ให้กองนำดำเนินธงไชย คลาไคลเคลื่อนพหลพลมาร

ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน

โทน

๑๔๓๔๏ รถเอยรถที่นั่ง บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาฬ ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน ดุมวงกงหันเปนควันคว้าง เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน สารถีขี่ขับเข้าดงแดน พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเปนจุณ นทีตีฟองนองละลอก คลื่นกระฉอกกระฉ่อนชลค่นขุ่น เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนลมุน อนนต์หนุนดินดาลสท้านสเทือน ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท สุธาวาศไหวหวั่นลั่นเลื่อน บดแสงสุริยันตวันเตือน คลาศเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๔๓๕๏ ครั้นถึงที่ผจญรณรงค์ ให้ปักธงริมรายชายป่า ตั้งที่สีหนามตามตำรา ตรวจตราพหลพลมาร

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๑๔๓๖๏ เมื่อนั้น พระตรีภพลบโลกทุกสถาน สถิตย์เหนือแท่นรัตน์ชัชวาลย์ พร้อมทหารก้มเกล้าเคารพ เห็นพยับอับแสงสุริยน เบื้องบนบดคลุ้มกลุ้มกลบ เสียงโห่ฮึกครึกครื้นพื้นพิภพ ก็แจ้งว่าจะมารบเหมือนทุกที

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๑๔๓๗๏ จึ่งดำรัสตรัสถามโหรเอก ดูก่อนพิเภกยักษี ใครเปนจอมโยธามาวันนี้ เห็นใหญ่หลวงท่วงทีมีศักดา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๓๘๏ บัดนั้น พิเภกดูรู้ลมในนาสา จึ่งทูลว่าทัพองค์เจ้าลงกา จะออกมาแก้แค้นแทนทด

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๓๙๏ เมื่อนั้น พระรามเรืองฤทธาปรากฎ ชื่นชมสมในมโนรถ จะได้ไปเห็นทศกรรฐ์มาร จึ่งดำรัสตรัสสั่งสุครีพ จงเร็วรีบเร่งรัดจัดทหาร เราจะยกพลนิกรไปรอนราญ แผลงผลาญทศกรรฐ์ให้บรรไลย

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๔๔๐๏ บัดนั้น สุครีพเสนาอัชฌาไศรย ถวายบังคมลาคลาไคล มาเร่งให้นายหมวดตรวจเกณฑ์

ฯ ๒ คำ ฯ ประถม

ยานี

๑๔๔๑๏ ตั้งกระบวนโยธาพลากร กองน่าวานรสุรเสน กองหนุนทวิพัทจัดเจน เกียกกายเกณฑ์เกยูรเปนขุนพล กองหลังตั้งนิลปาสัน พลขันธ์คั่งคับสับสน บ้างโพกผ้าประเจียดลงมงคล คงทนถือตรีขึ้นขี่แพะ บ้างโพกผ้าสีชมภูหูกระต่าย ขึ้นขี่ควายควบถูกผูกสองแกละ ลางกระบี่ขี่ขับเกวียนระแทะ คอยแทงแกะกุมกะตักหยักรั้ง ลางตนตัวดีขี่เสือดาว ถือหลาวไม้รวกใส่หมวกหนัง เทวราชมาตุลีมีกำลัง ก็เลื่อนรถพระที่นั่งมาเตรียมไว้

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๑๔๔๒๏ เมื่อนั้น พระราเมศรัศมีศรีใส จึ่งชวนพระอนุชาคลาไคล เสด็จไปสรงชลบนเตียงรอง

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

โทน

๑๔๔๓๏ สองกระษัตริย์ชำระสระสนาน พระลักษณ์เข้าเอางานสีขนอง แล้วต่างองค์ทรงสุคนธ์ปนทอง ผิวผ่องผุดสีฉวีวรรณ สอดใส่สนับเพลาเพรากนก ภูษายกแย่งอย่างต่างสีสัน ฉลององค์เลื่อมลายพรายพรัน คาดปั้นเหน่งกุดั่นประดับเพ็ชร กรองสอสังเวียนวิเชียรช่วง ทับทรวงสังวาลแววแก้วเก็จ พาหุรัดรายพลอยลอยเม็ด ทองกรข้างละเจ็ดเส้นทรง มงกุฎกรรเจียกแก้วแพรวพร้อย อุบะห้อยหอมประทิ่นกลิ่นส่ง กรีดพระหัดถ์จัดเรียบธำมรงค์ แล้วต่างทรงศรสิทธิ์ฤทธิรุตม์

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๑๔๔๔๏ ครั้นเสร็จเสด็จมาน่าพระลาน ตรวจทหารคั่งคับนับสมุท ให้ยกพวกพหลพลยุทธ พิภพเพียงจะทรุดโทรมทลาย

ฯ ๒ คำ ฯ กราวนอก

โทน

๑๔๔๕๏ รถเอยรถทรง ขององค์อินทราเอามาถวาย เวไชยันต์บัลลังก์ที่นั่งราย เคยขี่ปราบราพร้ายพ่ายแพ้ เทียมสินธพทยานร่านเริงร่า สารถีเทวาง่าเงื้อแส้ ประโคมฆ้องกลองดังสังข์แตร ทหารแห่ตามกระบวนแต่ล้วนลิง พลพื้นปืนแดงแซงสองข้าง บ้างขี่เนื้อเสือสางวางวิ่ง อภิรุมชุมสายพรายพริ้ง กรรชิงกลิ้งกลดบดบัง โห่ร้องก้องกึกครึกครื้น พ่ายเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่ง เหยียบไม้ไล่ลู่ภูผาพัง คับคั่งมรคาคลาไคล

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

ร่าย

๑๔๔๖๏ ถึงที่รบพบทัพทศกรรฐ์ แน่นนันนับหมื่นดังคลื่นใหญ่ จึ่งหยุดยั้งตั้งมั่นพลไกร สงบไว้คอยฟังกำลังยักษ์

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๔๗๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริวงษ์ทรงศักดิ เห็นโยธาวานรคึกคัก ทั้งพระลักษณ์พระรามรูปงามจริง ดูเอวองค์อ่อนรทวยนวยนาด กิริยามารยาดเหมือนอย่างหญิง จึ่งร้องเย้ยเหวยมนุษย์นายลิง ทำเย่อหยิ่งยกพลมาปล้นยักษ์ ไม่รู้จักเราฤๅชื่อทศเศียร จะปราบเสี้ยนศึกในไตรจักร ถึงพรหมินทร์อินทราสุรารักษ์ ก็เกรงฤทธิ์สิทธิศักดิทุกแดนไตร ท่านพี่น้องสองรากับวานร ไม่ทานแรงแสงศรของเราได้ แม้นรักตัวกลัวชีวันจะบรรไลย จงเลิกทัพกลับไปจากลงกา ถ้าขืนอยู่สู้รบไม่หลบหลีก จะจับฉีกขาแขนให้แสนสา เราห้ามปรามตามจิตรคิดเมตตา จงเร่งล่าเลิกทัพกลับไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๑๔๔๘๏ เมื่อนั้น พระราเมศยิ้มย่องสนองไข ว่าเหวยพระยามารชาญไชย ช่างกระไรด้านหน้าพาที เมื่อตัวทำทุจริตฤษยา ไปลอบลักนางสีดาพาหนี เราจึ่งติดตามมาราวี กลับว่าตีชิงเมืองเยื้องยัก อันเราฤๅชื่อว่าราเมศ มงกุฎเกษอยุทธยาอาณาจักร ไม่นิยมสมบัติของทศภักตร์ จะผลาญยักษ์สัตบาปที่หยาบคาย จงเร่งเชิญโฉมยงองค์สีดา ทูนศีศะอสุรามาถวาย น้อมคำนับรับผิดอย่าคิดอาย จะรอดตายอยู่บำรุงกรุงลงกา

ฯ ๘ คำ ฯ

๑๔๔๙๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุดแค้นแสนสา จึ่งว่าอันโฉมยงองค์สีดา เราไปป่าได้นางมากลางไพร ซึ่งอวดว่าสามีของนงนุช เมื่อเขาพามามุดอยู่ที่ไหน ประจบประแจงแสร้งเสใส่ไคล้ พวกโจรไพรใจพาลชาญฉกรรจ์ อย่าพักคิดคำนึงถึงสีดา ประเดี๋ยวนี้ชีวาจะอาสัญ ว่าพลางทางสั่งเสนาพลัน ให้ทัพน่าดากันเข้าโจมตี

ฯ ๖ คำ ฯ

๑๔๕๐๏ บัดนั้น สิบขุนทหารชาญไชยศรี ต่างตนต้อนหมู่อสุรี เข้าราวีเข่นฆ่าวานร

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๕๑๏ บัดนั้น พวกพหลพลมารชาญสมร บ้างพุ่งซัดเสโลห์โตมร กำซาบศรน้าวยิงลิงไพร

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๕๒๏ บัดนั้น พวกลิงเหล่าพหลพลไพร่ เข่นเขี้ยวเรี่ยวแรงแกว่งกิ่งไม้ เข้าโลดไล่อสุรีตีรัน บ้างเผ่นโผนโจนจับกลับกลอก ปลิ้นปลอกเปลี่ยนผลัดผัดผัน ว่องไวไล่พิฆาฏฟาดฟัน พลกุมภัณฑ์แตกตายกระจายไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๔๕๓๏ บัดนั้น สิบขุนหุนหันมันไส้ เข้ารบรับกลับตีกระบี่ไพร โลดไล่เหล่าลิงวิ่งพัลวัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๕๔๏ บัดนั้น นิลราชนิลเอกนิลขัน สุรเสนสุรการทวิกัน กับนิลปานันโกมุท ทั้งมาลุนขุนกระบี่ทวิพัท ออกสกัดรบรับสัปรยุทธ ยักษีตีลิงชิงอาวุธ อุดลุดไล่ประชิดติดพัน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๔๕๕๏ อสุรินทร์สิ้นกำลังพลั้งท่า ลิงทยานเหยียบบ่าง่าพระขรรค์ แรงเรี่ยวเคี่ยวขับจับประจัญ พลกุมภัณฑ์สิบนายวายปราณ

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๔๕๖๏ เมื่อนั้น สิบโอรสทศเศียรศักดาหาญ เห็นทัพน่านายไพร่บรรไลยลาญ กริ้วโกรธโดดทยานลงจากรถ กระทืบโถมโรมรันด้วยคันศร วานรแรงน้อยถอยไปหมด ยิ่งรุกราญดาลเดือดไม่เงือดงด ไล่เข้ามาน่ารถพระอวตาร

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๔๕๗๏ บัดนั้น สุครีพฤทธิไกรใจหาญ ทั้งองคตนิลนนท์หณุมาน ชมภูพาลสมทบเข้ารบรับ ถ้อยทีหนีไล่ไวว่อง อสูรสองลิงเดียวเคี่ยวขับ แกว่งพระขรรค์ฟันยักษ์ย่อยยับ โจนจับประจัญบานราญรอน

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๔๕๘๏ สิบรถปลดเปลี้ยเสียที ห้ากระบี่รบรุดฉุดชิงศร ขึ้นเหยียบยักษ์เงื้อพระขรรค์ฟันฟอน ราญรอนสิบรถปลดปลง

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๔๕๙๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรสูงส่ง เสียสิบขุนสิบรถหมดจัตุรงค์ จึ่งโจนจากรถทรงเข้ายงยุทธ แกว่งศรหวดซ้ายป่ายขวา จนถึงน่ารถที่นั่งไม่ยั้งหยุด ทยานขึ้นรบรับจับมนุษย์ ต้องคันศรทรุดซวนไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๑๔๖๐๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย ทั้งพระลักษณ์ต่างองค์ลงรถไชย เข้ารุมไล่พระยามารราญรอน ป้องปัดผลัดเปลี่ยนเหียนหัน ถ้อยทีตีรันด้วยคันศร รบรับจับกุมตลุมบอน ราญรอนรุกไล่กันไปมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๑๔๖๑๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวทศภักตร์ยักษา ยี่สิบกรรอนรันกันกายา แกล้วกล้าการณรงค์ยงยุทธ ได้ทีถาโถมเข้าโจมจับ พระรามรับรอนรันขยั้นหยุด จึ่งขึ้นสายศรสิทธิ์ฤทธิรุตม์ หมายมนุษย์นายลิงแล้วยิงไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๔๖๒๏ เสียงศิลป์สนั่นลั่นก้อง จะต้องสองกระษัตราก็หาไม่ ไล่สังหารผลาญพลสกลไกร ลิงไพรกลิ้งกลาดดาษดา

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๔๖๓๏ เมื่อนั้น พระรามเห็นพลนิกายตายหนักหนา จึ่งเอี้ยวองค์ก่งศรศักดา แล้วแผลงมาแก้แค้นแทนทด

ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๑๔๖๔๏ เปนพายุบุบันครั่นครื้น วานรกลับฟื้นคืนขึ้นหมด แล้วลูกศรส่ายเที่ยวเลี้ยวลด ไปถูกทศภักตร์ปักอุรา

ฯ ๒ คำ ฯ โอด

๑๔๖๕๏ เมื่อนั้น ทศเศียรเจียนจะม้วยสังขาร์ ดำรงกายร่ายเวทวิทยา พอพริบตาศรมนุษย์หลุดไป

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

๑๔๖๖๏ แล้วคิดเข็ดขยั้นครั่นคร้าม อันลักษณ์รามฤทธิล้ำในต่ำใต้ จำจะหยุดหย่าทัพกลับไป ค่อยแก้ไขคิดการราญรอน ดำริห์พลางทางว่าเหวยพระราม เราสงครามตามอย่างแต่ปางก่อน วันนี้ค่ำย่ำแสงทินกร จงหยุดหย่อนผ่อนกำลังวังชา จะรบพุ่งพรุ่งนี้จึ่งมาอีก ไม่เลี่ยงหลีกถอยหลังอย่ากังขา ว่าแล้วเลิกทัพกลับโยธา ตัดป่าข้ามทุ่งไปกรุงไกร

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๑๔๖๗๏ เมื่อนั้น พระอวตารผ่านภพสบไสมย เห็นเจ้ากรุงลงกาล่าทัพไป จึ่งเลิกไพร่พลกลับเข้าพลับพลา

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๑๔๖๘๏ เมื่อนั้น ท้าวราพนาสูรยักษา ครั้นถึงวังยั้งหยุดโยธา พอเพลาพลบค่ำย่ำฆ้อง เสด็จจากรถทรงอลงการ พนักงานถือโคมคอยส่อง ลีลามาทางพระโรงทอง เข้าสู่ห้องสุวรรณบรรจง

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๑๔๖๙๏ ขึ้นบนพระแท่นแว่นฟ้า มิได้ผลัดภูษาโสรจสรง อ่อนกำลังตั้งกายก็ไม่ตรง รทวยองค์อยู่ในที่ไสยา

ฯ ๒ คำ ฯ

๑๔๗๐๏ บัดนั้น สาวสนมกรมในซ้ายขวา เห็นเสด็จไปทัพกลับมา กิริยาไม่สบายภายใน นางกำนัลบรรดาที่โปรดปราน เข้าอยู่งานนวดฟั้นคั้นให้ สาวสุรางค์นางบำเรอบำรุงใจ ก็ร้องรับขับไม้มโหรี

ฯ ๔ คำ ฯ กล่อมมโหรี

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv แปลภาษาอาหรับ-ไทย lmyour แปลภาษา ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง แปลภาษาเวียดนามเป็นไทยทั้งประโยค Google Translate การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 หยน อาจารย์ ตจต เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คาราโอเกะ app แปลภาษาไทยเป็นเวียดนาม การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 บบบย ศัพท์ทหารบก แปลภาษาจีน การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 1 ขุนแผนหลวงปู่ทิม มีกี่รุ่น ชขภใ ตม.เชียงใหม่ เซ็นทรัลเฟสติวัล พจนานุกรมศัพท์ทหาร รหัสจังหวัด อําเภอ ตําบล รหัสประจำจังหวัด 77 จังหวัด สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม หนังสือราชการ ตัวอย่าง ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คอร์ด อเวนเจอร์ส ทั้งหมด แปลภาษา มาเลเซีย ไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค ่้แปลภาษา Egp G no Reconguista Google map ขุนแผนหลวงปู่ทิมรุ่นแรก ข้อสอบภาษาไทยพร้อมเฉลย ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง ค้นหา ประวัติ นามสกุล จองคิว ตม เชียงใหม่ ชื่อเต็ม ร.9 คําอ่าน ดีแม็กมือสองราคาไม่เกิน350000 ตัวอย่างรายงานการประชุมสั้นๆ