วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดพระแก้ว เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2325 เป็นวัดในพระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา และมีพระราชประสงค์ให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และเป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพราะมีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส
ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามมีอาคารสำคัญและอาคารประกอบเป็นจำนวนมาก จึงแบ่งกลุ่มอาคารออกเป็น 3 กลุ่ม ตามตำแหน่งและความสำคัญ ดังนี้ กลุ่มพระอุโบสถ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุด มีพระอุโบสถเป็นอาคารประธานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ล้อมรอบด้วยศาลาราย พระโพธิธาตุพิมาน หอพระราชพงศานุสรณ์ หอพระราชกรมานุสรณ์ หอระฆัง และหอพระคันธารราษฎร์
นาม[แก้ไขต้นฉบับ]
คำว่า "พระศรีรัตนศาสดาราม" เป็นการสมาสสนธิระหว่างคำ คือ "ศรีรัตนศาสดา" กับ "อาราม" โดยคำว่าศรีรัตนศาสดา หมายถึงฉายาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นนามที่ใช้เรียกแทนพระองค์ว่าเป็นศาสดาที่เปรียบเป็นพระผู้ประเสริฐ เป็นศรีรัตน เปรียบได้กับแก้วอันประเสริฐ ซึ่งกล่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเอกแห่งรัตนตรัย ซึ่งคือ แก้ว 3 ประการ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
คำว่า อาราม คือ วัด ดังนั้น "พระศรีรัตนศาสดาราม" หมายถึง วัดสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอารามซึ่งประดิษฐานแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประวัติ[แก้ไขต้นฉบับ]
ภูมิหลัง[แก้ไขต้นฉบับ]
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพิเคราะห์เห็นว่าชัยภูมิของกรุงธนบุรีไม่มั่นคงแข็งแรงสําหรับการต่อต้านข้าศึก สู้ชัยภูมิทางฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้เพราะเป็นที่แหลมมีแม่น้ำเป็นขอบเขตกว่าครึ่ง ซึ่งอาจอาศัยแม่น้ำเป็นปราการต้านข้าศึกได้เป็นอย่างดี มูลเหตุสําคัญอีกประการหนึ่งคือ มีพระบรมราโชบายที่จะสร้างพระมหานครใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองละม้ายกรุงศรีอยุธยาราชธานีเดิมโดยเร็วที่สุด
โดยสถานที่ตั้งของพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่เดิมเป็นที่ดินซึ่งพระยาราชาเศรษฐีและบรรดาชาวจีนซึ่งเข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารอยู่ในครั้งนั้นได้ตั้งเคหสถานบ้านเรือนอยู่แต่ก่อน จึงได้พระกรุณาโปรดเกล็าฯ ให้พระยาราชาเศรษฐีและบรรดาชาวจีนทั้งปวงยกย้ายไปตั้งเคหสถานบ้านเรือนไปอยู่ ณ ที่สวนตัั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสำเพ็ง
รัชกาลที่ 1[แก้ไขต้นฉบับ]
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้นพร้อมกับการสร้างพระบรมมหาราชวังและการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. 2325 โดยสร้างตามประเพณีการสร้างพระอารามหลวงในเขตพระราชวังที่มีมาตั้งแต่อดีต เช่น วัดมหาธาตุในพระราชวังกรุงสุโขทัย และวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังกรุงศรีอยุธยา ลักษณะสำคัญของพระอารามหลวงในพระราชวังคือ มีแต่เขตพุทธาวาส ไม่มีเขตสังฆาวาส
มูลเหตุแห่งการสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้นนั้นเพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุตหรือประเทศลาว แล้วนำมาประดิษฐานไว้ที่โรงด้านหน้าพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรีแล้วโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เข้ามาประดิษฐานในพระอุโบสถพระอารามใหม่ ในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2327 แล้วพระราชทานนามพระอารามว่า "วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" เมื่อแรกสถาปนามีปูชนียสถานอันเป็นหลักสำคัญของพระอารามพร้อมบริบูรณ์ คือ พระเจดีย์ พระอุโบสถ พระวิหารและหอไตร
ส่วนพระระเบียงรอบบริเวณพระอารามนั้น น่าจะสร้างขึ้นแต่ในระยะแรกด้วย เป็นแนวระเบียงที่ต่างจากปัจจุบัน กล่าวคือ แนวพระระเบียงด้านตะวันออกและตะวันตกสร้างเป็นแนวตรง ยังมิได้ต่อคดขยายไป มีประตูเป็นทางเข้าออกสี่ด้าน ด้านตะวันออกมี 2 ประตู ตรงหน้าพระอุโบสถประตูหนึ่ง ตรงหน้าหอพระมณเฑียรธรรมออกมาตรงกับประตูสวัสดิโสภาที่กำแพงพระบรมมหาราชวังประตูหนึ่ง ด้านตะวันตกมี 3 ประตู ด้านเหนือมี 1 ประตู ใกล้กับประตูมณีนพรัตน์ที่กำแพงพระบรมหาราชวัง ด้านใต้มี 1 ประตู ได้รับพระราชทานนามว่า ประตูศรีรัตนศาสดา ผนังพระระเบียงเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
บริเวณถัดจากหอพระมณเฑียรออกไปในแนวเดียวกันตรงที่เป็นพระวิหารยอดในปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเทพบิดร หรือพระเชษฐบิดร ซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพุทไธศวรรย์ พระนครศรีอยุธยา แล้วพระราชทานนามพระวิหารตามพระพุทธรูปว่า หอพระเชษฐบิดร เรียกกันสามัญว่า วิหารขาว ด้านตะวันออกของหอพระมณเฑียร ทรงสร้างพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองปิดทอง 2 องค์ ประดิษฐานอยู่มุมชั้นทักษิณด้านตะวันออกของปราสาทพระเทพบิดร
ในการสถาปนาระยะที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2331–2352 ได้สร้างพระมณฑปขึ้นแทนหอพระมณเฑียรธรรมหลังเดิม ด้านตะวันออกของพระมณฑปนั้น เดิมมีพระสุวรรณเจดีย์ 2 องค์ ประดิษฐานอยู่ มีสระก่ออิฐอยู่ระหว่างพระสุวรรณเจดีย์ และมีการสร้างหอพระมณเฑียรธรรมขึ้นใหม่ทางมุมพระระเบียงด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อสร้างพระมณฑปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีงานฉลองเป็นการใหญ่ ต่อมามีการสร้างหอระฆังระหว่างพระอุโบสถกับพระระเบียงด้านใต้ นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอพระนากขึ้นทางมุมพระระเบียงด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หลังสถาปนาสิ่งต่าง ๆ ในพระอารามแล้วจึงมีงานสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ. 2352
รัชกาลที่ 3[แก้ไขต้นฉบับ]
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มิได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์สิ่งใดในอาราม เพราะได้บูรณะตกแต่งครั้งใหญ่ไว้เมื่อใกล้สิ้นรัชกาลพระชนกาธิราช ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดพระศรีรัตนศาสดารามเริ่มทรุดโทรม จึงทรงบูรณปฏิสังขรณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2374 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2391 การบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามในรัชกาลนี้ ทรงปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอาราม โปรดให้กรมหมื่นศรีสุเทพและกรมหมื่นไกรสรวิชิต เป็นผู้อำนวยการปฏิสังขรณ์ กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ กรมขุนสถิตย์สถาพร ทรงตรวจการช่างต่าง ๆ พระยาศรีพิพัฒน์ และพระยาเพ็ชร์พิไชย เป็นนายงาน
ในจดหมายเหตุทรงปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ของพระศรีภูมิปรีชา เจ้ากรมพระอารักษ์ในรัชกาลที่ 3 และนายมี ได้บรรยายไว้ว่า "มีพระศรีรัตนอุโบสถ พระมหามณฑป พระเสวตรเวชยันตะพิมานวิหารยอด แลหอพระมณเฑียรธรรม หอพระเชษฐบิดร แลพระมหาเจดีย์ 2 และพระอนุเจดีย์ 7 และพระอัษฎามหาเจดีย์ 8 พระองค์"
พระอุโบสถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมใหม่ทั้งหลัง ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถยังคงเรื่องมารผจญและไตรภูมิไว้ นอกนั้นเขียนใหม่ทั้งหมด ผนังระหว่างหน้าต่างเดิมเป็นภาพเทพชุมนุม เขียนใหม่เป็นเรื่องปฐมสมโพธิ์และผนังหน้าต่างเดิมเป็นภาพปฐมสมโพธิ์ เขียนใหม่เป็นเรื่องชาดกต่าง ๆ ที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เดิมตั้งบุษบกทองคำต่อกับฐานชุกชี โปรดให้สร้างเบญจาสามชั้นหนุนบุษบกให้สูงสมทรงพระอุโบสถเช่นที่ปรากฏในปัจจุบัน
พระมณฑป ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์เครื่องบนและผนังภายนอก พระวิหารยอด โปรดให้รื้อหอพระเชษฐบิดร สร้างใหม่เป็นวิหารมีหลังคายอด โดยบานประตูด้านหน้าเป็นบานประดับมุก ฝีมือช่างสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ นำมาจากบานประตูวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมกวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง ส่วนพระระเบียง ซ่อมเปลี่ยนเครื่องบนใหม่ ภาพจิตรกรรมฝาผนังลบเขียนใหม่ทั้งหมด แต่คงเป็นเรื่องราวรามเกียรติ์แต่ต้นจนจบเช่นของเดิม ผู้ร่างต้นแบบเขียนในครั้งนี้เป็นพระสงฆ์ ชื่อพระอาจารย์แดง หอพระนาก โปรดให้ซ่อมแปลงหอพระนากหลังเก่า โดยสร้างขยายใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม พระอัษฎามหาเจดีย์ สันนิษฐานว่า ในรัชกาลที่ 3 ทรงซ่อมทำใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม ดังลักษณะในปัจจุบัน แล้วโปรดให้เชิญพระบรมสารีริกธาตุเข้าบรรจุในพระปรางค์ด้วย และทรงโปรดให้สร้างเก๋งบอกพระปริยัติธรรมภายในกำแพงแก้วพระอัษฎามหาเจดีย์ สำหรับเป็นที่ราชบัณฑิตบอกพระปริยัติธรรมแก่ภิกษุสามเณร โปรดให้ปั้นรูปยักษ์ 6 คู่ โดยรูปยักษ์คู่ทศกัณฐ์กับสหัสเดชะนั้นปั้นโดยหลวงเทพรจนา (กัน) นอกจากนั้นยังได้ทรงสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2
รัชกาลที่ 4[แก้ไขต้นฉบับ]
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์พระอารามและสร้างปูชนียสถานเพิ่มเติม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมตัวไม้เครื่องบนของพระอุโบสถและเขียนภาพที่ฝาผนังใหม่ ยกเว้นภาพเรื่องมารผจญที่ผนังหุ้มกลองด้านหน้า และภาพเรื่องไตรภูมิที่ผนังหุ้มกลองด้านหลัง ฝีมือพระอาจารย์นาคแห่งวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารนั้นให้คงของเดิมไว้ พื้นพระอุโบสถเดิมปูเสื่อทองเหลือ ให้หล่อเป็นแผ่นอิฐทองเหลืองปูใหม่ บานหน้าต่างเดิมประดับมุกแกมเบื้อเปลี่ยนเป็นประดับมุกทั้งบาน รูปเซี่ยวกางที่บานประตูและรูปเทวดาที่ข้างหน้าต่าง เดิมเป็นลายเขียน แก้เป็นลายปูนปั้นปิดทองประดับกระจก เชิงไพทีและเชิงผนังรองพระอุโบสถ ประดับแผ่นกระเบื้องลายใหม่
พระมณฑป ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมเปลี่ยนตัวไม้เครื่องบนที่ผุ พื้นข้างในเดิมปูดาดแผ่นเงินให้เปลี่ยนเป็นสานเสื่อเงินปูแทน ฐานไพทีที่ตั้งพระมณฑป ให้ถมที่ต่อลานและชั้นทักษิณพระมณฑปออกไปทั้งด้านตะวันออกและด้านตะวันตกจนเท่าที่ปรากฏในปัจจุบัน มีกำแพงแก้วทำด้วยศิลาล้อมสองชั้น สร้างประตูซุ้มมณฑปและบันไดทางขึ้นบนฐานไพที 6 แห่ง พระระเบียง ต่อพระระเบียงย่อออกไปตรงด้านสะกัดฐานไพทีที่ต่อใหม่นั้นทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก ทางด้านตะวันออกโอบพระอัษฎาหาเจดีย์เข้าไว้ในวงพระระเบียง 2 องค์ ทำประตูซุ้มมงกุฎประดับกระเบื้อง และมีพลับพลาเปลื้องเครื่องอยู่ข้างประตูข้างละหลัง ทางด้านตะวันตกทำประตูซุ้มจัตุรมุขมีพลับพลาเปลื้องเครื่องข้างเหนือประตูหลังหนึ่ง ตัวพระระเบียง โปรดให้ซ่อมและเขียนภาพเรื่องรามเกียรติ์ใหม่ แต่การเขียนภาพยังค้างอยู่ มาแล้วเสร็จในรัชกาลที่ 5 พระปรางค์ปราสาทบนลานทักษิณพระมณฑปที่ต่อใหม่ทางด้านตะวันออก ซึ่งเดิมเป็นสระนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทยอดปรางค์องค์หนึ่ง ด้วยทรงพระดำริจะให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และตั้งบุษบกให้ต่ำลงเพื่อจะได้ชมเนื้อแก้วได้ถนัด สร้างเสร็จรัชกาลที่ 5 แต่เนื่องจากสถานที่คับแคบไม่เหมาะแก่การพระราชพิธี จึงมิได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาประดิษฐานไว้ดังพระราชดำริเดิม
พระสุวรรณเจดีย์ 2 องค์ ซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่บริเวณที่ต่อลานทักษิณออกไปใหม่นี้ โปรดให้ชะลอมาไว้ที่รักแร้ปราสาทพระเทพบิดรทั้งสองข้าง พระศรีรัตนเจดีย์บนลานทักษิณพระมณฑปที่ต่อใหม่ทางด้านตะวันตก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่สูง 1 เส้นเท่ากับพระมณฑปตามแบบพระเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา สร้างแล้วเสร็จในรัชกาลแต่ยังมิได้ประดับกระเบื้องทอง และที่ลานทักษิณด้านเหนือพระมณฑป ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสามภพพ่ายไปจำลองแบบนครวัดเพื่อสร้างถวายเป็นพุทธบูชา แต่การยังค้างอยู่จนสิ้นรัชกาล นครวัดจำลองที่ปรากฏในปัจจุบัน เป็นของสร้างใหม่ในรัชกาลที่ 5 โปรดให้หม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย เป็นผู้ทำ
หอพระคันธารราษฎร์และมณฑปยอดปรางค์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นที่มุมพระระเบียงหน้าพระอุโบสถ อาคารทั้งสองสร้างเสร็จและประดับผนังด้วยกระเบื้องเคลือบสีในรัชกาลที่ 5 และทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อหอระฆังเดิมครั้งรัชกาลที่ 1 แล้วสร้างใหม่ในที่เดียวกัน พระโพธิธาตุพิมานหลังพระอุโบสถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมณฑปยอดปรางค์เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์ทรงปรางค์ปิดทองของโบราณ ที่พระองค์ได้มาจากเมืองเหนือครั้งยังทรงผนวช สองข้างพระโพธิธาตุพิมาน สร้างหอน้อยข้างละหลัง พระราชทานนามว่า หอพระราชกรมานุสรและหอพระราชพงศานุสร
รัชกาลที่ 5[แก้ไขต้นฉบับ]
จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสวยราชสมบัติไม่นาน จึงได้รีบเร่งสร้างและปฏิสังขรณ์วัดพระแก้วให้สำเร็จทันวันฉลองพระนครครบร้อยปี ซึ่งมีงานฉลองในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2425 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็นนายงานทำการปฏิสังขรณ์พระอาราม โดยโปรดเกล้าให้จ่ายพระราชทรัพย์ซึ่งเป็นส่วนพระคลังข้างที่ เป็นเงินในพระองค์ทรงจ่ายราชการฝ่ายใน ให้ทำวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งนั้นให้ใช้เงินพระคลังข้างที่ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงพระราชอุทิศไว้สำหรับซ่อมแซมพระอารามทั้งปวง
ในการปฏิสังขรณ์ใหญ่ครั้งนี้ถือเป็นการปฏิสังขรณ์ทั่วพระอารามคราวที่ 2 ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลกรุงรัตนโกสินทร์ประดิษฐานไว้บนชั้นทักษิณพระพุทธปรางค์ปราสาท 3 แห่ง ประจำรัชกาลที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 แห่งหนึ่ง ประจำรัชกาลที่ 4 แห่งหนึ่ง ประจำรัชกาลที่ 5 แห่งหนึ่ง อนุสาวรีย์นั้นหล่อเป็นรูปตราแผ่นดินอยู่บนบุษบกตั้งบนฐานหินอ่อน และหล่อรูปพระยาช้างเผือกประจำรัชกาลตั้งรายที่ฐานอนุสาวรีย์ เป็นเครื่องประดับเหมือนกันทั้ง 3 แห่ง นอกจากนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แต่งโคลงจารึกแผ่นหินอ่อนประดับพระระเบียง โครงเรื่องรามเกียรติประดับตามเสาตรงกับห้องที่เขียนเรื่อง โคลงเรื่องนารายณ์สิบปางและอสุรพงศ์ วานรพงศ์ ประดับผนังตรงที่เขียนเรื่องและรูปนั้น โครงทั้งปวงนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการกับพระสงฆ์ซึ่งเป็นกวีรับไปแต่งถวายบ้างจนครบบริบูรณ์
ก่อนจะสิ้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมพระพุทธปรางค์ปราสาทเป็นการใหญ่อีกครั้งหนึ่ง อันเนื่องจากเกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2446 เวลา 22 นาฬิกาเศษ โดยทำเครื่องบนใหม่ทั้งหมดและทรงปฏิสังขรณ์ลวดลายประดับตกแต่งต่าง ๆ ไฟไหม้ครั้งนี้ทำให้พระประธานซึ่งอยู่ในพระพุทธปรางค์ปราสาทและพระพุทธรูปพระเทพบิดรซึ่งประดิษฐานอยู่ในมุขต้องละลายสูญไปด้วย จากนั้นพระพุทธปรางค์ปราสาทก็ว่างอยู่ตลอดรัชกาล
รัชกาลที่ 6[แก้ไขต้นฉบับ]
สืบเนื่องจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปรัชกาลต่าง ๆ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทขึ้นที่พระบรมมหาราชวังเพื่อประดิษฐานพระบรมรูป ต่อมาเห็นว่าพระพุทธปรางค์ปราสาทในวัดพระศรีรัตนศาสดารามว่างอยู่ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแปลงพระพุทธปรางค์ปราสาทแล้วอัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งห้ารัชกาลมาประดิษฐานเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2461 และพระราชทานนามใหม่ว่า ปราสาทพระเทพบิดร จากนั้นให้มีบรมราชโองการให้มีการกราบถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัติยาธิราชเป็นประจำปี กำหนดในวันที่ 6 เมษายน เป็นประเพณีสืบมา
การบูรณะปราสาทพระเทพบิดร โปรดเกล้าฯ ให้ชะลอพระสุวรรณเจดีย์ทั้งสององค์เลื่อนออกไปจากรักแร้ปราสาท ไปประดิษฐานไว้ที่มุมชั้นทักษิณด้านตะวันออกทั้งสองข้าง และรื้อซุ้มประตูกับบันไดขึ้นชั้นทักษิณปราสาทพระเทพบิดร ทั้งด้านตะวันออก เหนือ และใต้ ซึ่งสร้างแต่ครั้งรัชกาลที่ 4 ทำเป็นบันไดใหม่เป็นบันไดใหญ่ปูหินอ่อน ทางชั้นทักษิณขึ้นพระศรีรัตนเจดีย์ก็ได้ทำบันไดใหญ่แบบเดียวกันอีกบันไดหนึ่ง นอกจากนั้นยังได้ทำพนมหมากที่กำแพงแก้วปราสาทพระเทพบิดรอีก 6 พาน
พระอุโบสถซ่อมเครื่องทองคำ เช่นบุกษบกต่าง ๆ ซ่อมรูปจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถบ้างเล็กน้อย แก้บันไดทางขึ้นทั้ง 6 บันได พระมณฑลได้ปฏิสังขรณ์เครื่องบนทั้งหมด พระสุวรรณเจดีย์ได้ปฏิสังขรณ์ทั้งสององค์เป็นการใหญ่ นอกจากนี้ยังได้ซ่อมศาลาราย พลับพลาเปลื้องเครื่องรูปยักษ์ ซุ้มเสมา เป็นการเล็กน้อย
รัชกาลที่ 7[แก้ไขต้นฉบับ]
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นวาระกรุงรัตนโกสินทร์จะมีอายุได้ 150 ปี ใน พ.ศ. 2475 จึงได้เริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2472 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นนายก คณะกรรมการได้ประมาณเงินค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเป็นจำนวน 600,000 บาท และกำหนดวิธีหาทุนดำเนินการด้วยการเปิดเรี่ยไรรับเงินบริจาคจากประชาชนทั่ววไปมาสมทบทุน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอุทิศพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 200,000 บาท รัฐบาลออกเงินส่วนหนึ่ง 200,000 บาท ส่วนเงินที่เหลือประชาชนได้บริจาคเข้ามา
มีการบูรณปฏิสังขร์พระอุโบสถ ซุ้มเสมาและกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ ศาลารายรอบพระอุโบสถ 12 หลัง พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทพระเทพบิดร พนมหมาก ซุ้มประตู และกำแพงแก้วรอบฐานไพที พระวิหารยอด หอพระมณเฑียรธรรม หอพระนาก หอพระราชกรมานุสร หอพระราชพงศานุสร หอพระคันธารราษฎร์ หอระฆัง พระระเบียง พลับพลาเกย 3 หลัง พระอัษฎามหาเจดีย์ สำหรับเก๋งบอกพระปริยัติธรรมในกำแพงแก้วพระอัษฎามหาเจดีย์ซึ่งสร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 4 ในชั้นแรกมีรายการว่าจะทรงปฏิสังขรณ์ด้วย แต่เนื่องจากมีความชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้รื้อออก ทั้งกำแพงแก้วล้อมพระอัษฎามหาเจดีย์ และยังได้รื้อศาลาเล็ก 2 หลัง ข้างพระวิหารยอดออกด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์พระอารามแล้วเสร็จสมบูรณ์ จึงได้จัดงานพระราชพิธีในเดือนเมษายน พ.ศ. 2475
รัชกาลที่ 8[แก้ไขต้นฉบับ]
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร มีเพียงการปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ชำรุดทรุดโทรม แต่ที่เป็นการสำคัญ คือ การซ่อมภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียง อันเกิดจากในรัชกาลก่อน มีการเจาะอิฐก่อเชิงผนังของเดิมออก แล้วหล่อเฟโรคอนกรีตประกอบเป็นเชิงผนังโดยรอบ เพื่อป้องกันมิให้น้ำซึมขึ้นไปยังผนังตอนบนได้ แต่กระนั้นความชื้นของผนังก็ยังชำรุดร่อนหลุดมาได้ โดยซ่อมแซมระหว่าง พ.ศ. 2482 จนถึงสิ้นรัชกาล
รัชกาลที่ 9[แก้ไขต้นฉบับ]
การบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกเสด็จเสวยราชสมบัติ ระยะที่สอง คือ การปฏิสังขรณ์ในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี
การบูรณะในระยะแรก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมภาพจิตรกรรมฝาผนังพระระเบียงต่อจากในรัชกาลก่อน เป็นระยะ ๆ ถึง พ.ศ. 2509 สำนักพระราชวังซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลการบำรุงรักษาพระอารามสนองพระบรมราชโองการได้เล็งเห็นว่าการบูรณะซ่อมแซมภาพจิตรกรรมฝาผนังพระระเบียงทีละเล็กทีละน้อยที่ดำเนินการอยู่นั้นมิทันแก่การ จำเป็นต้องบูรณะปฏิสังขรณ์พระระเบียงและเขียน่อมภาพจิตรกรรมที่พระระเบียงทุกด้านพร้อมกันเป็นการใหญ่ ต่อมามีการแต่งตั้ง คณะกรรมการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีเลขาธิการพระราชวัง นายกัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นประธานกรรมการ โดยมีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระระเบียงที่เครื่องบนและผนังชำรุดแตกร้าว แก้ไขป้องกันความชื้นผนังและเสริมความมั่นคงของพระระเบียง โดยปรับโครงสร้างหลังคาให้ตรงระดับ
ส่วนการซ่อมภาพจิตรกรรมฝาผนัง ได้พยายามรักษาภาพของเดิมไว้ให้มากที่สุดเท่าที่กระทำได้ จะลบภาพเดิมเขียนใหม่หรือแก้ไขภาพเดิมก็เมื่อภาพนั้นไม่มีคุณค่าในทางศิลปะเพียงพอ หรือภาพนั้นไม่ถูกลักษณะตามเนื้อเรื่องรามเกียรติ์ หรือสีกายสีมงกุฎผิด เป็นต้น และยังเสริมความมั่นคงแก่ชั้นสี เพื่อยึดเหนี่ยวกับผนังหรือที่กำลังหลุดร่อน โป่งออก ไม่แนบแน่นกับผนัง การสรรหาช่างที่มีฝีมือเขียนซ่อมภาพในชั้นแรก ได้เชิญช่างเขียนที่เคยเขียนซ่อมภาพจิตรกรรมฝาผนังพระระเบียงมีครวปฏิสังขรณ์ใหญ่ในรัชกาลที่ 7 ที่ยังมีชีวิตอยู่ 15 คน และได้ทดสอบฝีมือช่างเขียนรุ่นใหม่ โดยคัดเลือกมาได้อีก 21 คน โดยได้ดำเนินซ่อมภาพจิตรกรรมเสร็จทันการฉลองเมื่อ พ.ศ. 2525 โดยเรียบร้อย ดังความว่า
กรมศิลปากร ตลอดจนผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ดำเนินการ และเหล่าช่างนายด้านทำการได้ลงมือ ปฏิสังขรณ์ตามโครงการ แต่เดือน ๙ ปีมะเส็ง นพศก จุลศักราช ๑๓๓๙ ตรงกับพุทธศักราช ๒๕๒๐ สืบมาจนถึงวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ จุลศักราช ๑๓๔๓ ตรงกับพุทธศักราช ๒๕๒๕ ประมวลเวลาที่เหล่าช่างและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ได้ทำการมาด้วยความวิริยะอุตสาหะยิ่ง เป็นเวลาถึงกว่า ๔ ปี สิ้นเงิน ๓๕๐ ล้านบาท การแล้วเสร็จทุกสิ่งสรรพ สมดังพระราชประสงค์ทุกประการ
รัชกาลที่ 10[แก้ไขต้นฉบับ]
เมื่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้รับการบูรณะในชั้นต้นบางจุดสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
ผัง[แก้ไขต้นฉบับ]
วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้รับการสถาปนาขึ้นภายในเขตพระบรมมหาราชวังเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชกุศลต่าง ๆ ของพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ พิธีการต่าง ๆ ของพระบรมมหาราชวังรวมถึงพิธีกรรมทางศาสนาทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ ตำแหน่งของวัดจึงต้องอยู่ส่วนพระราชฐานชั้นนอกที่สามารถให้ราษฎรเข้ามานมัสการพระแก้วมรกตได้ แต่ไม่สามารถเข้าถึงส่วนประทับของพระมหากษัตริย์ได้
การกำหนดทิศทางการหันทางเข้าด้านหน้าและตัวอาคารต่าง ๆ ยึดหลักตามหลักขนบธรรมเนียมประเพณีจึงหันทางหน้าวัดรับทิศตะวันออกและมีถนนสนามไชยเป็นถนนทางเข้าด้านหน้าวัดและยังถือหลักการวางตำแหน่งประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร โดยพระพุทธรูปหันหน้าไปทางทิศตะวันออก สัมพันธ์กับเหตุการณ์ในพุทธประวัติตอนก่อนและตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าพระแก้วมรกตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองปกป้องรักษากรุงเทพมหานครให้พ้นจากผีร้ายภัยคุกคามจากภายนอก โดยหันพระพักตร์ทางทิศตะวันออกตรงกับประตูผี
แผนผังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- พระอุโบสถ
- หอพระราชกรมานุสรณ์
- พระโพธิธาตุพิมาน
- หอพระราชพงศานุสรณ์
- ศาลารายรอบพระอุโบสถ
- เจ้าแม่กวนอิม
- พระฤๅษีชีวกโกมารภัจจ์
- ฐานไพที
- ปราสาทพระเทพบิดร
- พระมณฑป
- พระศรีรัตนเจดีย์
- พระสุวรรณเจดีย์
- บนพระบุษบกองค์ตะวันตกเฉียงเหนือ
- บนพระบุษบกองค์ตะวันตกเฉียงใต้
- บนพระบุษบกองค์ตะวันออกเฉียงใต้
- บนพระบุษบกองค์ตะวันออกเฉียงเหนือ
- พระเจดีย์ทรงเครื่อง
- นครวัดจำลอง
- รูปปั้นสัตว์หิมพานต์
- ประตูทิศใต้
- ประตูทิศตะวันตก
- วิหารยอด
- หอพระคันธารราษฎร์
- พระมณฑปยอดปรางค์
- หอระฆัง
- หอพระนาก
- หอมณเฑียรธรรม
- พระอัษฎามหาเจดีย์
- พระระเบียง
- ประตูเกยเสด็จ (หน้า)
- ประตูหน้าวัว
- ประตูศรีรัตนศาสดาราม
- ประตูพระฤๅษี
- ประตูเกยเสด็จ (หลัง)
- ประตูสนามไชย
- ประตูวิหารยอด ยักษ์ทวารบาล
- สุริยาภพ
- อินทรชิต
- มังกรกัณฐ์
- วิรุฬหก
- ทศคีรีธร
- ทศคีรีวัน
- จักรวรรดิ
- อัศกรรณมารา
- ทศกัณฐ์
- สหัสเดชะ
- มัยราพณ์
- วิรุญจำบัง
กลุ่มพระอุโบสถ[แก้ไขต้นฉบับ]
พระอุโบสถ[แก้ไขต้นฉบับ]
พระอุโบสถ ตั้งอยู่ส่วนใต้ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีซุ้มประดิษฐานเสมารวม 8 ซุ้ม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2327
พระอุโบสถมีขนาด 15 ห้อง มีทางขึ้นพระอุโบสถ 6 ทาง ราวบันไดก่ออิฐฉาบปูนตอนปลายทำเป็นเสาเม็ดทรงมัณฑ์ และระดับพื้นพระอุโบสถมีบันไดทางขึ้นมุขทิศตะวันออกและตะวันตกด้านละ 3 ทาง บันไดกลางตรงกับพระทวารใหญ่เป็นทางเสด็จพระราชดำเนินโดยเฉพาะ ส่วนบันไดอีก 2 ข้าง สำหรับประชาชนทั่วไป บริเวณพื้นเฉลียงสองข้างบันไดตั้งสิงห์สำริด ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ศิลปะแบบขอม มีทั้งสิ้น 6 คู่ ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
หลังคาลด 4 ระดับ 3 ซ้อน มีช่อฟ้า 3 ชั้น ปิดทองประดับกระจก มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผาเคลือบสี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง หน้าบันเป็นไม้จำหลักลายรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ โดยมีลายกระหนกเครือเถาปิดทองเป็นลายก้านขด ปลายลายเป็นรูปเทพนมประดับอยู่โดยรอบ
ผนังพระอุโบสถ ในรัชกาลที่ 1 เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง ต่อมารัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก ฝาผนัง รอบนอกเป็นลายรดน้ำปิดทองรูปกระหนกเครือแย่งทรงข้าวบิณฑ์ดอกในบนพื้นสีชาด ฝาผนังด้านในเหนือประตูด้านสกัดเป็นภาพเรื่องมารวิชัยและเรื่องไตรภูมิ ส่วนฝาผนังด้านยาวเขียนภาพเทพชุมนุมตามแบบที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยา ฝาผนังระหว่างหน้าต่างเขียนภาพเรื่องปฐมสมโพธิ พระทวารกลาง เป็นพระทวารใหญ่สูง 8 ศอกคืบ กว้าง 4 ศอกคืบ ตัวบานเป็นบานประดับมุกลายช่องกลม ส่วนพระทวารข้างเป็นทวารรองสูง 7 ศอก กว้าง 3 ศอก 1 คืบ 10 นิ้ว ตัวบานเป็นบานประดับมุกกลายเต็ม ซึ่งบานพระทวารทั้ง 2 แห่งนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทานความเห็นว่า "เป็นฝีมือที่น่าชมยิ่ง ตั้งใจทำแข่งกับบานที่ทำครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งอยู่ที่วิหารยอด"
ผนังด้านในโดยรอบเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังด้วยสีฝุ่นผสมกาว เหนือกรอบประตูหน้าต่างรอบพระอุโบสถ เขียนภาพปฐมสมโพธิ แสดงภาพพระพุทธประวัติของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ผนังหุ้มกลองด้านหน้า ปรากฏภาพมารผจญ ภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผม และทรงชนะพญามาร ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผนังทางด้านทิศเหนือตั้งต้นจากด้านหน้า เป็นเรื่องต่อเนื่อง จากตอนตรัสรู้ เรื่อยมาจนถึงเสด็จปรินิพพาน และการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ผนังหุ้มกลองด้านหลัง เป็นภาพไตรภูมิ โดยเขียนเฉพาะเรื่องกามภพหรือกามาวจรภูมิ ผนังระหว่างช่องหน้าต่าง เขียนภาพทศชาติชาดก ขอบล่างหน้าต่างตอนล่างด้านทิศเหนือเป็นภาพกระบวนพยุหยาตราสถลมารค ด้านทิศใต้เป็นภาพกระบวนพยุหยาตราชลมารค เหนือกรอบประตูหน้าต่างประดับภาพจิตรกรรมพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เขียนบนแผ่นกระจกใส่กรอบไม้ฉลุลายปิดทอง ประดับไว้กลุ่มละ 3 ภาพ รวมทั้งสิ้น 72 ภาพ
พระพุทธรูปสำคัญภายในพระอุโบสถ[แก้ไขต้นฉบับ]
- พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในเครื่องทรงฤดูร้อน
- พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในเครื่องทรงฤดูฝน
- พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในเครื่องทรงฤดูหนาว
- พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
- พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
- พระสัมพุทธพรรณี (องค์ด้านหลัง)
- พระแก้ววังหน้า ประดิษฐานที่ฐานด้านหน้าพระแก้วมรกต
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนตอนต้น ทำจากหินหยกสีเขียวเข้มทึบแสง ปางสมาธิ ขนาดหน้าตัก 43 เซนติเมตร สูง 55 เซนติเมตร
ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 (ช่วงเดือนมีนาคม) เดือน 8 (วันเข้าพรรษา) และเดือน 12 (หลังวันลอยกระทง 1 วัน) จะมีการเปลี่ยนเครื่องทรงขององค์พระแก้วมรกตอยู่เสมอ โดยมี 3 เครื่องทรง คือ เครื่องทรงฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว นอกจากนั้นในพระราชพิธีที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เซ่น จารึกพระสุพรรณบัฏพระราชลัญจกร ประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะ พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และพระราชพิธีประจำแต่ละรัชกาล ล้วนประกอบพิธีเบื้องพระพักตร์แห่งพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรทั้งสิ้น
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างอุทิศให้กับรัชกาลที่ 1 และ 2 ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง 3 เมตร ทรงเครื่องต้นพระจักรพรรดิราช เป็นพระพุทธรูปสำริดหุ้มทองคำลงยาราชาวดี เครื่องต้นประดับเนาวรัตน์ ใช้ทองคำเท่ากับทองที่หุ้มพระศรีสรรเพชญ ในสมัยอยุธยา
พระสัมพุทธพรรณี รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างใน พ.ศ. 2373 ตามอย่างพุทธลักษณะที่พระองค์ทรงสอบสวนได้ สร้างจากกะไหล่ทองคำ ปางสมาธิหน้าตักกว้าง 49 เซนติเมตร สูงถึงพระรัศมี 67.5 เซนติเมตร มีการเปลี่ยนพระรัศมีเป็นสีต่าง ๆ ตามฤดูกาล พร้อมกับการเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต
พระแก้ววังหน้า เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ มีขนาดหน้าตักกว้าง 37 เซนติเมตร สูงเฉพาะองค์พระ 58 เซนติเมตร สูงรวมฐาน 83 เซนติเมตร ทำจากหินสีหม่น ประดิษฐานหน้าฐานชุกชีพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
ปูชนียวัตถุที่สำคัญภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
- พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
- พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
- พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์สมเด็จพระศรีสุลาลัย
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (อยู่ด้านหลัง)
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (อยู่ด้านหลัง)
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (อยู่ด้านหลัง)
- พระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ (อยู่ด้านหลัง)
- พระแก้ววังหน้า
- พระสัมพุทธพรรณี
- ธรรมาสน์ศิลา
ศาลาราย[แก้ไขต้นฉบับ]
ศาลารายสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นศาลาโถงไม่มีฝา ตั้งอยู่รายรอบพระอุโบสถ ศาลารายทั้ง 12 หลังนี้มีลักษณะเหมือนกันทั้งรูปร่าง ขนาดและความสูง ลักษณะเป็นศาลาโถงขนาด 2 ห้อง หลังคาทรงไทยมุงด้วยกระเบื้องดินเผาเคลือบสี หน้าบันเป็นรูปเทพนมปิดทองบนพื้นกระจกสีขาว ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์และนาคสะดุ้ง พื้นทำเป็น 2 ระดับ ปูด้วยหินอ่อน ใช้สำหรับนักเรียนสวดโอ้เอ้ในเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งยังคงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
หอพระราชกรมานุสรณ์และหอพระราชพงศานุสรณ์[แก้ไขต้นฉบับ]
หอพระราชกรมานุสรณ์และหอพระราชพงศานุสรณ์ ตรงกลาง คือ พระโพธิธาตุพิมาน
หอพระราชกรมานุสรณ์และหอพระราชพงศานุสรณ์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว ด้านหลังพระอุโบสถทางทิศเหนือ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลต่าง ๆ ในสมัยอยุธยาหอหนึ่ง และในสมัยรัตนโกสินทร์อีกหอหนึ่ง
ลักษณะหอพระราชกรมานุสรณ์เป็นอาคารทรงไทยขนาดย่อม กว้าง 4.5 เมตร ยาว 8 เมตร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน โครงสร้างหลังคาทำด้วยไม้สัก หลักคาทำเป็น 3 ชั้น มุงกระเบื้องดินเผาเคลือบสี ปั้นลมเป็นแบบนาคสะดุ้ง มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ลงรักประดับกระจกสี หน้าบันแกะสลักเป็นรูปพานประดิษฐานพระมหามงกุฎอยู่ท่ามกลางลายกระหนก ทั้งหน้าบันและกระจังฐานพระลงรักปิดทองร่องลายประดับกระจกสี เชิงชายประดับกระจกสี คันทวยรับเต้าปีกนกโดยรอบ มีซุ้มหน้าต่าง 7 ซุ้ม ซุ้มประตู 1 ซุ้ม ลักษณะแบบซุ้มเรือนแก้วแบบไทย ตกแต่งซุ้มด้วยลายปูนปั้นแบบไทยผสมฝรั่ง ภายในเขียนภาพพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นฝีมือของขรัวอินโข่ง
ลักษณะหอพระราชพงศานุสรณ์มีขนาดอาคารและรูปลักษณ์เท่ากับหอพระราชกรมานุสรณ์ ภายในมีภาพจิตรกรรมของขรัวอินโข่งเป็นภาพพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ และประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชวงศ์จักรี ในการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา จะตั้งเครื่องสักการบูชาพระพุทธรูปในหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นพิเศษอีกแห่งหนึ่ง
พระโพธิธาตุพิมาน[แก้ไขต้นฉบับ]
พระโพธิธาตุพิมานเป็นที่ประดิษฐานพระปรางค์ของโบราณ ซึ่งทรงอัญเชิญมาจากเมืองเหนือขณะผนวช ภายในพระปรางค์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและบรรจุพระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยา ลักษณะเป็นบุษบกยอดทรงมงกุฎประดับกระเบื้อง ยอดเป็นทรงมงกุฎกลม ประดับลวดลายเป็นลายดอกไม้และใบไม้ด้วยกระเบื้องถ้วยเคลือบ ยอดบุษบกเนื้อเม็ดน้ำค้างเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ทำด้วยโลหะปิดทอง
หอระฆัง[แก้ไขต้นฉบับ]
หอระฆังตั้งอยู่ข้างกำแพงแก้วด้านข้างพระอุโบสถด้านทิศใต้ มีลักษณะเป็นบุษบกตั้งอยู่บนฐานทักษิณแบบปรางค์ ย่อมุมไม้สิบสอง ประดับกระเบื้องเคลือบสี ต่อจากฐานปรางค์เป็นอาคารย่อเหลี่ยมประดับกระเบื้องถ้วย ภายในอาคารมีบันไดขึ้นสู่บุษบกอันประดิษฐานระฆัง องค์บุษบกประดับด้วยลายปูนปั้นลงรักปิดทองประดับกระจก เพดานปิดทองฉลุลาย ในปัจจุบันไม่ได้มีการย่ำระฆังนี้แล้ว
หนังสือ จดหมายเหตุการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง ในการฉลองพระนครครบ 200 ปี พุทธศักราช 2525, 272.