ฉันจะแปลง CSV เป็น TXT ได้อย่างไร ด้วยไลบรารี Aspose.Cells for .NET คุณสามารถแปลง CSV เป็น TXT ทางโปรแกรมได้อย่างง่ายดายด้วยโค้ดไม่กี่บรรทัด Aspose.Cells for .NET สามารถสร้างแอปพลิเคชันข้ามแพลตฟอร์มด้วยความสามารถในการสร้าง แก้ไข แปลง เรนเดอร์ และพิมพ์ไฟล์ Excel ทั้งหมด .NET Excel API ไม่เพียงแต่แปลงระหว่างรูปแบบสเปรดชีตเท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงไฟล์ Excel เป็นรูปภาพได้อีกด้วย PDF HTML ODS CSV SVG JSON WORD PPT และอื่น ๆ จึงทำให้เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบในการแลกเปลี่ยนเอกสารใน มาตรฐานอุตสาหกรรม รูปแบบ เปิด NuGet ตัวจัดการแพ็คเกจ ค้นหา Aspose.Cells และติดตั้ง คุณสามารถใช้คำสั่งต่อไปนี้จาก Package Manager Console
คำสั่งคอนโซลตัวจัดการแพ็คเกจ
PM> Install-Package Aspose.Cells
บันทึก CSV ถึง TXT ใน C# ออนไลน์ฟรี
ตัวอย่างต่อไปนี้สาธิตวิธีการแปลง CSV เป็น TXT ใน C#
ทำตามขั้นตอนง่าย ๆ เพื่อแปลง CSV เป็น TXT อัปโหลดไฟล์ CSV ของคุณ จากนั้นบันทึกเป็นไฟล์ TXT สำหรับทั้งการอ่าน CSV และการเขียน TXT คุณสามารถใช้ชื่อไฟล์แบบเต็มได้ เนื้อหาและการจัดรูปแบบเอาต์พุต TXT จะเหมือนกับเอกสารต้นฉบับ CSV
แอพฟรีและโค้ดตัวอย่างเพื่อแปลง CSV เป็น TXT ออนไลน์
using Aspose.Cells; var workbook = new Workbook("Input.xlsx"); workbook.Save("Output.pdf");
วิธีแปลง CSV เป็น TXT ผ่าน C#
ต้องการแปลงไฟล์ CSV เป็น TXT โดยทางโปรแกรมหรือไม่ นักพัฒนา .NET สามารถโหลดและแปลง CSV เป็น TXT ได้อย่างง่ายดายด้วยโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด
- ติดตั้ง ‘Aspose.Cells for .NET’
- เพิ่มการอ้างอิงไลบรารี (นำเข้าไลบรารี) ในโครงการ C# ของคุณ
- โหลดไฟล์ CSV ด้วยตัวอย่างสมุดงาน
- แปลง CSV เป็น TXT โดยเรียกวิธี Workbook.Save
- รับผลการแปลงของ CSV เป็น TXT
ไลบรารี C# เพื่อแปลง CSV เป็น TXT
มีสองทางเลือกในการติดตั้ง “Aspose.Cells for .NET” ลงบนระบบของคุณ โปรดเลือกแบบที่ตรงกับความต้องการของคุณและทำตามคำแนะนำทีละขั้นตอน:
- ติดตั้ง NuGet แพ๊คเกจ . ดู
- ติดตั้งไลบรารีโดยใช้ ภายใน Visual Studio IDE
ความต้องการของระบบ
ก่อนเรียกใช้รหัสตัวอย่างการแปลง .NET ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีข้อกำหนดเบื้องต้นต่อไปนี้
- Microsoft Windows หรือระบบปฏิบัติการที่เข้ากันได้กับ .NET, .NET Core, Windows Azure หรือ Mono Platforms..
- สภาพแวดล้อมการพัฒนาเช่น Microsoft Visual Studio
- เพิ่มการอ้างอิงถึง Aspose.Cells for .NET DLL ในโครงการของคุณ
CSV CSV รูปแบบไฟล์คืออะไร
ไฟล์ที่มีนามสกุล .csv (ค่าที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค) แสดงถึงไฟล์ข้อความธรรมดาที่มีบันทึกข้อมูลที่มีค่าที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค แต่ละบรรทัดในไฟล์ CSV คือเรกคอร์ดใหม่จากชุดเรกคอร์ดที่มีอยู่ในไฟล์ ไฟล์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเมื่อมีจุดประสงค์ในการถ่ายโอนข้อมูลจากระบบจัดเก็บข้อมูลหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่ง เนื่องจากแอปพลิเคชันทั้งหมดสามารถรับรู้ระเบียนที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค การนำเข้าไฟล์ข้อมูลดังกล่าวไปยังฐานข้อมูลจึงทำได้สะดวกมาก แอปพลิเคชันสเปรดชีตเกือบทั้งหมด เช่น Microsoft Excel หรือ OpenOffice Calc สามารถนำเข้า CSV ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ข้อมูลที่นำเข้าจากไฟล์ดังกล่าวจะถูกจัดเรียงในเซลล์ของสเปรดชีตเพื่อนำเสนอต่อผู้ใช้
อ่านเพิ่มเติม
TXT TXT รูปแบบไฟล์คืออะไร
ไฟล์ที่มีนามสกุล .TXT แสดงถึงเอกสารข้อความที่มีข้อความธรรมดาในรูปแบบของบรรทัด ย่อหน้าในเอกสารข้อความจะรับรู้โดยการขึ้นบรรทัดใหม่และใช้เพื่อการจัดเรียงเนื้อหาไฟล์ที่ดีขึ้น เอกสารข้อความมาตรฐานสามารถเปิดได้ในโปรแกรมแก้ไขข้อความหรือโปรแกรมประมวลผลคำบนระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ข้อความทั้งหมดที่อยู่ในไฟล์ดังกล่าวอยู่ในรูปแบบที่มนุษย์อ่านได้และแสดงตามลำดับอักขระ
เช่น ตัวอย่างข้างล่างนี้ มีคั่นด้วย – (แต่ว่าตำแหน่งของมันไม่แน่ไม่นอน) เราจะแยกข้อความออกมาเป็น 3 ส่วนได้ยังไง? มาดูกัน
สารบัญ
วิธีแยกข้อความ 1 : Text to Column
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้เครื่องมือ Text to Column โดยให้ Copy ข้อมูลต้นฉบับออกมาก่อน
แล้วเลือกข้อมูล แล้วไปที่ [Data]–> Data Tools –> Text to Column –> Delimited และให้ใส่เครื่องหมาย – (ที่เป็นตัวคั่น) ลงไปใน Other
จากนั้นกด Finish แค่นี้ก็เสร็จแล้ว ได้เป็น 3 คอลัมน์อย่างที่ต้องการ
วิธีแยกข้อความ 2 : ใช้สูตร
การใส่สูตรมีข้อดีอย่างมาก คือ ข้อมูลอัปเดทโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องกดเครื่องมือใดๆ เลย แต่ข้อเสียคือ เขียนยาก ถ้ายังใช้สูตรไม่คล่อง
คำตัวต้น
ตัวต้นเป็นตัวที่หาง่ายสุด ใน 3 ตัว เพราะการใช้ฟังก์ชัน FIND หรือ SEARCH ซึ่งสามารถหาตำแหน่ง – ตัวแรกได้อยู่แล้ว หาตำแหน่งตัวคั่นแรก : =FIND("-",A2) เอาข้อความข้างซ้าย : =LEFT(A2,FIND("-",A2)-1)
ที่ต้อง -1 เพราะไม่ต้องการเครื่องหมาย – มาด้วย จึงต้องร่นไปทางซ้ายอีก 1 ตำแหน่ง
คำตัวกลาง
ตัวกลาง จะหาได้เราต้องรู้ตำแหน่งของ – ตัวหน้า และ – ตัวหลัง ซึ่งตัวหน้าเรารู้อยู่แล้ว
ซึ่ง – ตัวหลัง หากได้ 2 วิธี
วิธีแรก
- ใช้ FIND ซ้ำไปอีก โดยระบุการค้นหาให้เริ่มจากตำแหน่ง – ตัวแรก โดย+เพิ่มไปอีก 1 ตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้เจอ – ตัวที่สอง
=FIND("-",A2,FIND("-",A2)+1)
วิธีสอง
ให้ SUBSTITUTE – ตัวที่ 2 ด้วยเครื่องหมายพิเศษอื่น เช่น | =SUBSTITUTE(A2,"-","|",2)
Tips : ถ้าไม่รู้ว่าข้อความมี – กี่ตัว? ให้ลอง SUBSTITUTE ค่า “-” ด้วย “” แล้วลองนับจำนวนตัวอักษรดูว่าหายไปกี่ตัว =LEN(A2)-LEN(SUBSTITUTE(A2,"-",""))
จากนั้นให้ FIND ตำแหน่ง | อีกที จะได้ =FIND("|",SUBSTITUTE(A2,"-","|",2))
พอรู้ตำแหน่งของตัวที่ 2 ก็จะตัดตัวกลางและตัวท้ายได้ง่ายแล้ว
คำตัวกลาง =MID(xxx, ตัวคั่นแรก +1, ตัวคั่นสอง - ตัวคั่นแรก -1) =MID(A2, FIND("-",A2) +1, FIND("|",SUBSTITUTE(A2,"-","|",2)) - FIND("-",A2) -1)
คำตัวหลัง
หาไม่ยากโดยใช้ RIGHT
แต่จะเอา RIGHT กี่ตัวดี? วิธีคิดคือเอาจำนวนตัวอักษรทั้งหมด – ตำแหน่งตัวคั่นที่สอง =LEN(A2)-FIND("|",SUBSTITUTE(A2,"-","|",2))
จากนั้นก็ใช้ RIGHT ได้เลย =RIGHT(A2, LEN(A2)-FIND("|",SUBSTITUTE(A2,"-","|",2)) )
วิธีแยกข้อความ 3 : Power Query
ถ้า Excel 2016 จะมีมาให้เลย แต่ถ้าต่ำกว่านั้นต้องไป Download Add-in ก่อน (ฟรี) แต่โหลดให้ถูก version นะ ไม่งั้นจะลงไม่ได้
ถ้าพร้อมแล้วก็สร้าง Table ก่อน โดยเลือกข้อมูลแล้วกด Ctrl+T
จากนั้นไปที่ Data (หรือ Power Query)-> From Table
Add Column -> Duplicate Column แรกออกมาก่อน ไม่งั้นจะไม่เหลือตัว Original เก็บไว้
เลือก column ใหม่แล้วไปที่ Transform -> Split Column -> Delimiter
เลือก custom ใส่ – ลงไป แล้ว ok
ได้ผลลัพธ์ใน Power Query ดังใจแล้ว กด Close & Load ได้เลย
ผลลัพธ์จะกลับมาที่ Excel ใน Sheet ใหม่
จะเห็นว่าคล้ายวิธีแรก แต่ข้อดีกว่ามากๆ เลย คือ หากมีข้อมูลเพิ่มมา แค่กด Refresh ผลลัพธ์ก็จะเปลี่ยนและอัปเดทให้อัตโนมัติ!!
เพิ่ม Data ไปอีก 2 บรรทัด
ไปที่ผลลัพธ์ กดคลิ๊กขวา Refresh
ปรากฎว่า Data ใหม่มา แต่มีอันนึงไม่ยอมแยกข้อความให้
เราสามารถไปตรวจสอบได้โดยไปที่ Query –> Edit
ปรากฎว่า มีค่า Error ขึ้นมาบรรทัดนึงนี่เอง
พอลองไล่คลิ๊ก Applied Steps ดูก็พบว่า สามารถทำมาถึง Split Column by Delimiter ได้โดยไม่ Error เลย
ซึ่งแปลว่า Error น่าจะเกิดจากการทำ Changed Type Step สุดท้าย (เปลี่ยนตัวหนังสือเป็นตัวเลข)
เราจึงกด x ข้างหน้่า Changed Type อันสุดท้ายเพื่อบอกว่า Power Query ไม่ต้องทำ Step นี้แล้วนะ ลบ Step ทิ้งไปเลย