ความแตกต่างระหว่าง.. เงินล่วงหน้า เงินประกัน เงินมัดจำ และ เงินจอง
, 28/05/202011/03/2022, Enterpreneur Corner, Line Today, กิจการ, นักบัญชี, วารสาร, เงินจอง, เงินประกัน, เงินมัดจำ, เงินล่วงหน้า,
11 มีนาคม 2565
เงินที่กิจการ ‘รับมาล่วงหน้า‘ จากการขายสินค้า หรือให้บริการ
การประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในบางกิจการ เมื่อมีการขายสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้ามักจะมีการเรียกเก็บเงินบางส่วนจากค่าสินค้าหรือบริการจากลูกค้า ซึ่งเงินบางส่วนที่เรียกเก็บนั้นมักจะมีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน เช่น เงินล่วงหน้า เงินประกัน เงินมัดจำ หรือเงินจอง ‘เพื่อเป็นหลักประกันในการซื้อสินค้าหรือบริการในภายหลัง’
เงินล่วงหน้า (Advanced Payment)
หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่กิจการได้จ่ายล่วงหน้าค่าสินค้าหรือค่าบริการให้แก่ผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ มักจะมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ก่อนทำสัญญาหรือข้อตกลงในการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งอาจะมีการเรียกเก็บในอัตรา 5-15 % ของมูลค่าตามสัญญาหรือข้อตกลง อันเป็นเงื่อนไขว่าจะมีการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการแก่กัน
เงินประกัน (Bail)
หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่กิจการให้ไว้เป็นการรับประกันว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือสัญญา หากผิดเงื่อนไขหรือสัญญาจะมีการชดใช้ค่าเสียหายหรือสัญญา โดยวิธีการริบเงินประกันหรือเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัญญาหรือข้อตกลง
เงินมัดจำ (Deposit)
หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่ให้ไว้ ณ วันทำสัญญาหรือข้อตกลงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะมีการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการ อันจะต้องปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหลักประกันว่าจะต้องปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลง และอาจถือเป็นส่วนหนึ่งในการชำระค่าสินค้าหรือให้บริการ
เงินจอง (Reserve money)
หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่จ่ายให้ก่อนที่จะทำสัญญาหรือข้อตกลงในภายหลัง อันเป็นหลักประกันเบื้องต้นว่าจะมีการทำสัญญาหรือข้อตกลงในการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่ง ณ วันทำสัญญาหรือข้อตกลงอาจจะมีการชำระเงินมัดจำค่าสินค้า หรือค่าบริการเพิ่มเติมนอกเหนือจากเงินจอง อย่างไรก็ดีหากผู้ซื้อหรือผู้รับบริการไม่มาทำสัญญาหรือข้อตกลงอาจจะถูกริบ หรือยึดเงินจองดังกล่าวได้
วารสารเพื่อนักบัญชีรุ่นใหม่
ที่ติดตามความเคลื่อนไหวทางด้านบัญชีแบบไม่ตกเทรนด์ เหมาะสําหรับนักบัญชี และผู้ที่สนใจ เพื่ออัพเดทความรู้ความเคลื่อนไหว มาตรฐานทางด้านบัญชีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งแนวปฏิบัติและการประยุกต์ใช้
Tag
Advertisement
ราชกิจจานุเบกษาประกาศ ห้ามผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าอาคารเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้าเกิน 1 เดือน ห้ามเปลี่ยนแปลงค่าเช่า – ค่าน้ำค่าไฟ ก่อนสัญญาสิ้นสุด หากผู้เช่าหมดสัญญา ต้องคืนเงินประกันภายใน 7 วัน
วันนี้ (18 ก.พ. 2561) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2561 ของสถานที่ที่จัดให้เช่าตั้งแต่ 5 หน่วยขึ้นไป ได้แก่ ห้องพัก บ้าน อาคารชุด อพาร์ตเม้นท์ หรืออื่นๆ แต่ไม่รวมถึงหอพักตามกฎหมายหอพัก และโรงแรมตามกฎหมายโรงแรม โดยจะมีผลในเดือน พ.ค. 2561 มีใจความสำคัญดังนี้
ผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าจะต้องคืนเงินประกันที่ได้รับจากผู้เช่าทันที เว้นแต่ประสงค์จะตรวจสอบความเสียหายจากผู้เช่าที่ต้องรับผิดชอบ หากผู้เช่าไม่ได้ทำความเสียหาย จะต้องคืนเงินประกันภายใน 7 วัน
ผู้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าอาคารก่อนสิ้นสุดสัญญาได้ แต่ต้องบอกเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบธุรกิจทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยผู้เช่าต้องไม่ผิดนัดหรือค้างชำระค่าเช่า และมีเหตุจำเป็นอันควร
ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจห้ามเก็บค่าเช่าล่วงหน้าจากผู้เช่าเกิน 1 เดือน ห้ามเปลี่ยนแปลงอัตราค่าเช่าอาคาร ค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก่อนสัญญาเช่าจะสิ้นสุดลง ห้ามเข้าไปตรวจสอบอาคารที่ให้เช่าโดยไม่แจ้งผู้เช่าทราบล่วงหน้า
ห้ามผู้ประกอบธุรกิจหรือปิดกั้นไม่ให้ใช้ประโยชน์ ยึดหรือย้ายทรัพย์สิน ในกรณีผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ต้องไม่ใช่สัญญาที่กำหนดให้ผู้เช่าต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้งานตามปกติต่อทรัพย์สิน อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ ของอาคาร หรือจากเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความผิดของผู้เช่า หรือจากการเสื่อมสภาพจากการใช้งานตามปกติ
ที่มา ราชกิจจานุเบกษา
podcast
กำลังโหลดบทความถัดไป...