ผู้ประกอบการที่กำลังวางแผนขยายธุรกิจส่งออกไปขายยังต่างประเทศ หากเชื่อมั่นว่าสินค้าของคุณมีคุณภาพและเป็นสินค้าที่มีความโดดเด่นน่าสนใจพร้อมที่จะส่งออกอยู่แล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออก กล่องกระดาษ กล่องกระดาษลูกฟูก กล่องพิมพ์ออฟเซท และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ควรออกแบบอย่างไรให้เหมาะสำหรับการส่งออก บทความนี้มีคำตอบ
หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออก
การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออก สิ่งที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญ และนำมาพิจารณาประกอบ ได้แก่
1.สภาพตลาดในต่างประเทศ
พิจารณาหาข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันด้านการตลาด ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้สินค้า เพื่อพิจารณาว่าควรบรรจุหีบห่ออย่างไรให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ศึกษาคู่แข่งว่ามีการบรรจุหีบห่อหรือออกแบบบรรจุภัณฑ์ในลักษณะใด ซึ่งช่วยให้เราออกแบบได้แตกต่าง เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและเหมาะกับการวางจำหน่าย
2.ศึกษาวิธีการ เส้นทาง และระยะเวลาในการขนส่ง
หากทราบข้อมูลระบบและวิธีการขนส่ง เช่น ขนส่งสินค้าทางรถยนต์ ทางอากาศ หรือทางเรือ รวมถึงทราบระยะทางและระยะเวลาในการขนส่ง ก็จะทำให้การออกแบบบรรจุภัณฑ์ได้ถูกต้องเหมาะสม เป็นบรรจุภัณฑ์กันกระแทก เช่น กล่องกระดาษลูกฟูก กล่องพิมพ์ออฟเซท หรือเลือกใช้เยื่อกระดาษขึ้นรูป ชนิดใด
3.ศึกษาลักษณะของผลิตภัณฑ์
ก่อนออกแบบบรรจุภัณฑ์ ควรศึกษาธรรมชาติของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพราะผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทย่อมเหมาะกับการบรรจุหีบห่อที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านการวางจำหน่ายและการขนส่ง
4.ศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในตลาดต่างประเทศ
การส่งออกสินค้า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในตลาดต่างประเทศ เช่น บรรจุภัณฑ์ วิธีการบรรจุ การทำเครื่องหมาย เยื่อกระดาษขึ้นรูปและวัสดุที่นำมาใช้ โดยสอบถามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมส่งเสริมการส่งออก สถานเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ ผู้ซื้อหรือผู้แทนจำหน่าย
5.การประเมินค่าใช้จ่าย
การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งออกสินค้า นอกจากเรื่องคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ ที่ต้องมีความแข็งแรง แน่นหนามากกว่า บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ขนส่งภายในประเทศ ซึ่งอาจไม่ใช่กล่องกระดาษลูกฟูก ธรรมดาที่เหมาะกับลักษณะของสินค้าเท่านั้น เมื่อมีความแข็งแรงคงทนมากกว่า ก็ต้องประเมินเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตได้ ดังนั้นเทคนิคการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกในข้อนี้ จึงมีความสำคัญและต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ
สำหรับหลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออกทั้ง 5 ข้อเป็นหลักการพื้นฐานที่มีประโยชน์ซึ่งผู้ประกอบการหรือนักธุรกิจควรมีความรู้ไว้ แม้ว่าการออกแบบผลิตภัณพ์โรงงานผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกและบรรจุภัณฑ์ทุกรูปแบบจะให้บริการทั้งออกแบบและรับผลิตอย่างครบวงจรอยู่แล้วก็ตาม
ในยุคที่ท้องตลาดมีสินค้าประเภทเดียวกัน แบบเดียวกัน ประโยชน์ใช้สอยเหมือนกัน เรียงรายอยู่เต็มชั้นวางสินค้า ผู้ผลิตหรือ เจ้าของสินค้าหลายคน เลือกที่จะออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้โดดเด่น โดยไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสม หรือหลักการใดๆ ทำให้พลาดโอกาสที่จะชูจุดเด่นของสินค้า หรือสร้างความแตกต่างจากสินค้าตัวอื่นที่วางอยู่ใกล้เคียงกันไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์จำพวก กล่องอาหารเสริม , กล่องครีม, กล่องสบู่, กล่องเครื่องสำอาง, กล่องอาหาร, ซองกาแฟ ซึ่งใช้บรรจุสินค้าซึ่งมีคู่แข่งเกลื่อนตลาด ดังนั้นแค่ความโดดเด่นแตกต่างคงไม่เพียงพอสำหรับการออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าเหล่านี้
หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดีต้องคำนึงถึง “หัวใจ 5 ข้อ ของบรรจุภัณฑ์”
หัวใจ 5 ข้อ ของบรรจุภัณฑ์ คืออะไร?
หัวใจ 5 ข้อ ของบรรจุภัณฑ์ คือ หัวใจหลักของการเป็นบรรจุภัณฑ์ ที่หมายถึงการทำหน้าที่ของการดูแล เก็บรักษาคุณภาพของสินค้าให้คงอยู่และมีอายุการเก็บรักษาให้ยาวนานที่สุด และง่ายต่อการขนส่ง ซึ่งเจ้าของสินค้าส่วนใหญ่กลับมุ่งเน้นไปความโดดเด่นแตกต่างจากสินค้าประเภทเดียวกันบนชั้นวาง ท้ายที่สุดก็หลงลืมหัวใจ 5 ข้อ ของบรรจุภัณฑ์ไปเสียสนิท และส่งผลให้เกิดความเสียหายต่างๆ ต่อสินค้า และความรู้สึกไม่ประทับใจ ไปจนถึงรู้สึกติดลบต่อตัวสินค้าและภาพลักษณ์ของแบรนด์
ดังนั้นการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ควรคำนึงถึงหน้าที่เหล่านี้เป็นอย่างแรก
1. การปกป้องสินค้า
บรรจุภัณฑ์มีหน้าที่ป้องกันสินค้า ไม่ให้แตกบุบ รั่ว ซึม เสียหาย การที่พยายามออกแบบรูปทรงบรรจุภัณฑ์ให้ดูแปลกตา แต่กลับต้องสูญเสียความสามารถในการป้องกันรักษาสินค้าไปไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะนอกจากจะทำให้สินค้ามีโอกาสเสียหายก่อนไปถึงมือผู้บริโภคสร้างความไม่ประทับใจ จนไม่อยากซื้อสินค้า ทำให้สูญเสียโอกาสในการขายสินค้า และสูญเสียสินค้าที่ควรขายได้ไปอย่างน่าเสียดาย
2. การเก็บรักษาคุณภาพของสินค้า
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ควรคำนึงถึงวิธีการรักษาคุณภาพของสินค้าเป็นอันดับแรกๆ ยกตัวอย่างเช่น กล่องครีม กล่องเครื่องสำอาง กล่องอาหารเสริม ที่ควรเก็บให้พ้นแสง มีเจ้าของสินค้าบางราย พยายามสร้างความโดดเด่นให้แก่บรรจุภัณฑ์ด้วยการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใส หรือมีช่องใส ซึ่งหากสินค้าที่อยู่ภายในโดนแสงภายนอกบรรจุภัณฑ์ จะทำให้สินค้าภายในเกิดการเสื่อมสภาพ คุณภาพของสินค้าเปลี่ยนแปลงไป
หรือสินค้าที่ต้องเก็บในที่แห้งสนิท แต่กลับเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถป้องกันสินค้าจากความชื้นได้ ทำให้สินค้าเสื่อมคุณภาพลง เมื่อผู้บริโภคแกหีบห่อบรรจุภัณฑ์ออกมา ก็จะพบสินค้าที่เสื่อมคุณภาพ หรือขึ้นรา สร้างความผิดหวัง และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสินค้าในระยะยาว
3. ช่วยยืดอายุสินค้า
ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตบรรจุภัณฑ์ ได้พัฒนาขึ้นมากจนมีวิธีการและบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยยืดอายุสินค้า ให้ยาวนานขึ้น อาทิ ซองกาแฟ, ซองฟอย (ผลิตจากอลูมิเนียมฟอย) มีคุณสมบัติช่วยยืดอายุสินค้าให้มีอายุยืนยาวจนไปถึงมือผู้บริโภคที่อยู่ห่างไกลได้ หรือเทคนิคการบรรจุแบบสุญญากาศ ก็ช่วยยืดอายุสินค้าประเภทที่เน่าเสียง่ายให้มีอายุได้ยาวนานขึ้นกว่าเดิม
4. ความสะดวกในการใช้งาน
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถเปิดใช้งานได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนหีบห่อ หรือถ่ายลงภาชนะอื่นก่อนบริโภค กำลังเป็นเทรนด์นิยม เนื่องจากสะดวกในการใช้งานแล้ว ยังช่วยลดการเกิดขยะ และตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่มีชีวิตเร่งรีบได้เป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น ซองก้นต้นติดซิป ซึ่งบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความสะดวกในการใช้งานข้อนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อผู้บริโภคเปิดซองก้นตันติดซิปเพื่อหยิบหรือเทสินค้าที่บรรจุอยู่ออกมา หากไม่นำออกมาทั้งหมดหรือไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนถ่ายภาชนะก็สามารถปิดปากถุงด้วยการปิดซิป เพียงเท่านี้สินค้าก็จะไม่หลุดไหลเทออกมา และยังประหยัดเวลาในการอุปกรณ์ที่ใช้ในการปิดปากถุงอีกด้วย
หรือการออกแบบกล่องอาหาร ที่สามารถฉีกออกเป็นจาน หรือใช้แบ่งอาหารได้ อาทิ กล่องเค้ก กล่องพิซซ่า ที่มีการออกแบบให้สามารถฉีกกล่องออกเป็นจานรอง
5. คำนึงถึงการขนส่ง
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถจัดวางได้สะดวก มีน้ำหนักเบา จะช่วยให้ขนส่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประหยัดพื้น ประหยัดแรงงาน และที่สำคัญประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ลดต้นทุนได้อีกมากโข อีกทั้งการออกแบบที่คำนึงถึงวิธีการขนส่ง ยังช่วยป้องกันสินค้าไม่ให้เสียหาย ง่ายต่อการจัดเรียงสินค้าในการขนส่ง
Total Page Visits: 3515 - Today Page Visits: 5