โดยคอนเซปต์ผมก็ว่ามันก็ดีนะการสนับสนุนบริษัทที่ทำดี แต่การลงทุนหุ้นยั่งยืนก็ยังมีประเด็นที่ผมยังสงสัยอยู่
1. สรุปผลตอบแทนมันดีกว่าหรือเปล่า
จริงๆถ้าผลตอบแทนเอาแค่ไม่ต่างกันก็โอเคละนะ แต่ที่กลัวคือผลตอบแทนมันจะห่วยกว่าหรือเปล่า ส่วนนึงเพราะคนนิยมกันเยอะขึ้นก็เลยทำให้หุ้นแพงขึ้น แล้วมันก็จะจำกัดโอกาสแทนที่จะสามารถลงทุนได้ทุกบริษัททุกธุรกิจก็อาจจะลงทุนได้แคบลงเหลือพวกที่คะแนนดีโดยอัตโนมัติเช่นการเงิน, บวกกับว่าการทำให้ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม, ดีกับสังคมพวกนี้ก็อาจจะเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นของบริษัท
โดยรวมเท่าที่เคยอ่านเจอส่วนใหญ่จะบอกว่าดีขึ้น แต่ผมเคยเทียบดัชนีที่เป็น ESG กับไม่เป็นแล้วเหมือนว่าจะแทบไม่มีความแตกต่างหรือจริงๆอาจจะแย่กว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ
2. ใครเป็นคนตัดสินเรื่อง ESG มีเกณฑ์ชัดเจนหรือยัง
เคยอ่านเจอว่าปัจจุบันการให้คะแนน ESG นี่มันยาก นักลงทุนคงไม่ไปนั่งสืบด้วยตัวเองดังนั้นก็ต้องอาศัยคนกลางซักคนไปให้คะแนน
แต่ทีนี้ปรากฎว่ามันต่างคนต่างทำมีหลายเจ้า อย่างพวกบริษัทอย่าง S&P, MSCI, FTSE, etc. ที่ทำดัชนีหุ้นเค้าก็พยายามทำเอง และผมก็อ่านเจอว่ามีคนลองสุ่มเอาบริษัทจำนวนนึงไปดูคะแนน ESG ปรากฎว่า rating ต่างกันกระจัดกระจายแล้วแต่ค่ายไหนให้คะแนน
3. บริษัทควรจะถูกตัดสินเทียบมาตรฐานเดียวกันทั้งตลาด หรือเทียบเฉพาะอุตสาหกรรมเดียวกันพอ
เท่าที่เข้าใจตอนนี้คือตัดสินด้วยมาตรฐานเดียวกัน ดังนั้นหุ้นบางธุรกิจก็เสียเปรียบมาก ดัชนี ESG ปัจจุบันได้ข่าวว่าก็จะถือหุ้นหนักไปที่บริษัทเทคโนโลยี, ซอฟท์แวร์ แล้วก็เลี่ยงพวกธุรกิจพลังงาน, บุหรี่ ซึ่งอันนี้มันดูไม่แฟร์หรือเปล่า บริษัทที่มีโรงงานอุตสาหกรรมผลิตนู่นนี่มันก็ต้องเสียเปรียบพวกซอฟท์แวร์อยู่แล้วป้ะ
นักลงทุนหลายๆท่านโดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ น่าจะเคยได้ยินและสงสัยที่คนอื่นพูดๆกันว่าควรลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี หุ้นมีกำไรเติบโต หรือหุ้นที่ลงทุนได้อย่างยั่งยืน แต่บางคนก็บอกให้เล่นหุ้นเก็งกำไรไปเลย ว่าแต่…เขาใช้เกณฑ์อะไรในการวัดและแยกว่าหุ้นตัวไหนอยู่ในกลุ่มใด วันนี้เรามาทำความรู้จักกับหุ้นยั่งยืนกันก่อนค่ะว่า หุ้นยั่งยืนคืออะไร แล้วใช้เกณฑ์อะไรมาเป็นตัววัดหุ้นยั่งยืน คืออะไร ?
ถ้าพูดถึงหุ้นยั่งยืน หลายๆคนคงนึกถึงบริษัทที่มีผล “กำไร” เติบโตต่อเนื่อง…
แต่…การวัดจากผลกำไรเพียงอย่างเดียว อาจยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าบริษัทนั้นมีความยั่งยืน อย่างในกรณีดังนี้
“Worldcom ซึ่งเคยเป็นบริษัทสื่อสารทางไกลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอเมริกา บริษัทมีการตกแต่งตัวเลขทางบัญชี โดยนำรายการค่าใช้จ่ายไปลงเป็นรายการสินทรัพย์ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าปกติและมีผลกำไรที่มากขึ้น ซึ่งผลกระทบที่ตามมา คือ ความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ในระดับแย่ที่สุด ราคาหุ้นร่วงลงจาก 60 กว่าเหรียญเหลือไม่ถึง 0.2 เหรียญ นำไปสู่การล้มละลายและถูกควบรวมกิจการในที่สุด”
จะเห็นได้ว่าแม้เป็นบริษัทใหญ่และมีผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง ก็ไม่ได้การันตีว่าบริษัทจะมีความยั่งยืนเสมอไป…
ดังนั้นการที่บริษัทจะดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน นอกจากจะมีผลประกอบการที่เติบโตแล้ว ยังต้องดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมและมีการบริหารจัดการที่โปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้ ตามหลักบรรษัทภิบาล หรือเรียกอีกอย่างว่า การทำธุรกิจโดยดูแล “ESG” นั่นเอง
“ESG” ประกอบไปด้วย 3 ส่วนได้แก่ Environment Social Governance หากบริษัทใดที่มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบจึงจะเข้าเกณฑ์การเป็นบริษัทหรือเป็นหุ้นยั่งยืน ซึ่งในปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ทางสถาบันไทยพัฒน์ได้ทำการจัดอันดับหุ้นยั่งยืน 100 บริษัท หรือหุ้น ESG100 ที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมาให้ท่านแล้ว เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นใน 100 บริษัทที่คัดเลือกมานั้น จะมีการปรับเปลี่ยนในทุกๆปีนะคะ
มารู้จักเกณฑ์เบื้องต้นในการคัดเลือกหุ้นยั่งยืนกัน
- บริษัทต้องมีธรรมาภิบาลตอบแทนสังคมและยังคงมีผลประกอบการที่เป็นกำไรติดต่อกัน 2 ปีล่าสุด
- ปลอดจากการกระทำความผิด บริษัทหรือคณะกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต้องไม่ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษหรือเปรียบเทียบปรับในรอบปีประเมิน
- มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) 15% ขึ้นไป
รายชื่อหุ้นยั่งยืน (ESG 100) ในปี 2017
ทางสถาบันไทยพัฒน์ ได้ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท ในปี 2017 ซึ่งจะคัดเลือกจาก 656 บริษัทจดทะเบียน (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู) และได้กระจายอยู่ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ดังนี้
- กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food Industry) 11 บริษัท
- กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) 6 บริษัท
- กลุ่มธุรกิจการเงิน (Financials) 12 บริษัท
- กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (Industrials) 16 บริษัท
- กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property&Construction) 14 บริษัท
- กลุ่มทรัพยากร (Resources) 10 บริษัท
- กลุ่มบริการ (Services) 18 บริษัท
- กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) 13 บริษัท
ทั้งนี้ Market Cap รวมกันของหลักทรัพย์ ESG100 ในตลาด SET มีมูลค่าสูงถึง 6.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 40.6 เมื่อเทียบกับ Market Cap ของ SET ที่ 15.3 ล้านล้านบาท!!!
หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงของหลักทรัพย์ในกลุ่มนี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน นับได้ว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจกลุ่มนึงเลยทีเดียว….ข้อดีของการลงทุนในหุ้นยั่งยืนคืออะไร
ประโยชน์ที่ได้รับจากการประเมินความยั่งยืน สร้างโอกาสให้บริษัทเป็นที่สนใจจากผู้ลงทุนที่มีแนวคิดด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน สร้างแรงจูงใจให้แก่บริษัทอื่นๆ ที่จะพัฒนาองค์กรตามแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไปการลงทุนในหุ้นยั่งยืนคืออะไร
การลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) คือ แนวคิดการลงทุนที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ของธุรกิจ ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ของธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวและสร้างผลกระทบเชิงบวกทำไมต้องลงทุนใน ESG
ดังนั้น หากมองว่าการดำเนินงานโดยการคำนึงถึงด้าน ESG จะทำให้ธุรกิจมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ในความเป็นจริง นอกจากจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจแล้ว ยังช่วยสร้างรายได้หรือพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตของบริษัทได้ด้วยหุ้นกลุ่มESGคืออะไร
การลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นเทรนด์การลงทุนที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ โดยพิจารณาผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ของธุรกิจ ประกอบในการตัดสินใจลงทุน และการประเมินมูลค่าธุรกิจ