ปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร
จัดทำโดย
นายขวัญชัย เทพทอง
นางสาวจุฑามาศ ปานทอง
นายทรงศักดิ์ มีแสง
นายทศพล คชโกศัย
นางสาวทัศนีย์ โรยอุตระ
เสนอ
อาจารย์จิราพร ขุนชุม
โครงงานวิทยศาสตร์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาวิทยาศาสตร์ 4
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554
วิทยาลัยเทคโนโลยีสมุยบริหารธุรกิจ
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง ปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร เพื่อทดลองการประสิทธิภาพของปุ๋ยหมักชีวภาพในการฆ่าแมลง โดยได้รับการสนับสนุนจาก
กลุ่มผลิตปุ๋ยชีวภาพบ้านสามสวน และได้รับการสนับสนุนจากท่านผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีสมุยบริหารธุรกิจ และอาจารย์ จิราพร ขุนชุม ที่ได้ให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงงานและได้รับความอนุเคราะห์จากชาวบ้านที่ได้ให้ข้อเสนอแนะและนำเอกสารตำราต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
คณะผู้จัดทำ ขอขอบพระคุณทุกท่านดังที่ได้กล่าวถึงมาข้างต้น และที่ไม่ได้กล่าวถึงไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง
คณะผู้จัดทำ
คำนำ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร โครงงานเรื่องนี้ศึกษาการทำปุ๋ยหมักชีวภาพจากเศษพืชผักทางการเกษตร เช่น เศษผัก เพราะเป็นพืชที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นและชุมชนหรือบางครั้งก็เหลือจากการประกอบอาหารภายในครัวเรือน และเป็นการนำพืชผักที่เหลือใช้เหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากพืชผักแล้วยังนำเอาจุรินทรีย์ EM และกากน้ำตาล มาช่วยเร่งการย่อยสลายเพื่อให้เป็นปุ๋ยชีวภาพเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาสูง ฆ่าแมลง ลดปัญหาดินเสื่อมคุณภาพ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาต่อสุขภาพเกษตรกรและลดการนำเข้าจากต่างประเทศด้วย
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงงานในเรื่องนี้คงเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ที่สนใจที่จะทำปุ๋ยขึ้นมาใช้เองโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีเลย หากมีข้อผิดพลาดประการใดผู้จัดทำต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
ชื่อเรื่อง ปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร สูตรสะเดาไล่แมลง
ผู้จัดทำ
ที่ปรึกษา อาจารย์ จิราพร ขุนชุม
ประเภท โครงงานชีวภาพ
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง ปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร สูตรสะเดาไล่แมลง จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาการทำปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษต วัสดุทางการเกษตร คือ ผักต่าง ๆ และผักสะเดาโดยเอาแต่ละชนิดนำมาชนิดละ 1 ส่วน( 1 ถัง ) ทำการผสมกับ จุรินทรีย์ EM และกากน้ำตาล อย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ ทำการคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดในถังที่เตรียมไว้ให้เข้ากันแล้วเติมน้ำลงไปประมาณ 20 ลิตร ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ประมาณ 3 เดือนผลปรากฏว่น้ำหมักชีวภาพที่ได้จากการหมัก มีราสีขาวเกิดขึ้นมากมาย มีกลิ่นของการหมัก และนำน้ำหมักชีวภาพนี้ไปใช้ลดพืชผักแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมักชีวภาพนี้เป็นประโยชน์แก่นักเรียน ชุมชน เกษตรกรและผู้ที่สนใจที่จะทำปุ๋ยขึ้นมาใช้เองทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีซึ่งมีราคาสูง ดินเสื่อมคุณภาพและเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา
บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
คนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมและประเทศไทยจะอาศัยการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรเป็นสินค้าที่ส่งออกที่สำคัญนำรายได้เข้าประเทศได้ปีละมหาศาลและผลักดันประเทศไปเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของโลกแต่ปัจจุบันการเกษตรได้รับผลกระทบจากการซื้อปุ๋ยเคมีที่มีราคาสูงมากส่งผลกระทบต่อราคาต้นทุนการผลิตสูงขึ้นประกอบกับคนไทยนิยมทำการเกษตรเคมีมากกว่ายึดรูปแบบตามธรรมชาติ การใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อการเกษตรประเทศไทยมีแนวโน้มมากขึ้นแต่กำลังความสามารถในการผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการเกษตรของประเทศไทยนั้นไม่เพียงพอจึงจำเป็นต้องนำปุ๋ยเคมีเข้าจากต่างประเทศทำให้ประเทศไทยเสียดุลการค้า การใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมากแทนธาตุอาหารที่เป็นอินทรียวัตถุและการใช้สารเคมีฆ่าแมลงแทนสมุนไพร เพื่อการกำจัดศัตรูพืช ก่อให้เกิดปัญหาด้านต่าง ๆ เช่น
1. ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น เกิดจากสารปนเปื้อนของสารเคมีในแหล่งน้ำและดินทำให้ระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตเสียไป
2. ปัญหาต่อความปลอดภัยสุขภาพของเกษตรกรซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพชีวิตของเกษตรกรต่ำลงเนื่องจากได้รับสารเคมีเข้าไปในร่างกายมากๆ ตลอดจนปัญหาการตกค้างของสารเคมี ผลิตผลทางการเกษตร ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค
ดังนั้นผู้จัดทำโครงงานจึงมีแนวความคิดที่จะนำวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตร เช่น
ผักต่าง ๆ และผักสะเดา จุรินทรีย์ EM และกากน้ำตาล นำมาผลิตเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ ดังนั้นการเอา จุรินทรีย์ EM มาช่วยในการเร่ง ปฏิกิริยาการย่อยสลายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เหลือใช้ให้เป็นปุ๋ยชีวภาพเพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในการเกษตรเพื่อลดต้นทุนการผลิตการเกษตร ลดการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศที่มีราคาสูง ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาต่อสุขภาพต่อเกษตรกรและผู้บริโภคด้วย
จุดประสงค์ของการศึกษา
1.เพื่อศึกษาวิธีการทำน้ำหมักชีวภาพและค้นคว้ากับการวัดค่า PH ของดิน
2.เพื่อศึกษาทดสอบประสิทธิภาพของน้ำหมักชีวภาพ
สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า
ปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร ส่งผลต่อการไล่แมลงและศัตรูพืชและการย่อยของนำเอาจุรินทรีย์ EM และกากน้ำตาล
ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
ตัวแปรต้น น้ำหมักชีวภาพ
ตัวแปรตาม ปริมาณและศัตรูพืชที่ลดลง
ตัวแปรควบคุม ปริมาณของจุรินทรีย์ EM ปริมาณกากน้ำตาล และอัตราส่วนผสมของปริมาณวัสดุ
ขอบเขตของการศึกษา
1.เพื่อศึกษาการทำน้ำหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร
2.เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของน้ำหมักจากหมักชีวภาพสูตรไล่แมลง
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ทราบถึงวิธีการทำปุ๋ยหมักชีวภาพจากวัสดุที่เหลือจากเศษพืชผักทางการเกษตร
2. ทราบถึงการทำปุ๋ยหมักชีวภาพและการนำปุ๋ยหมักชีวภาพไปใช้แทนปุ๋ยเคมีที่มีราคาสูง
3. ช่วยลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อมลง เนื่องจากจุรินทรีย์ EM และกากน้ำตาลสามารถย่อยสลายส่วนประกอบทางชีวเคมีของพืชให้กลายเป็นธาตุอาหารนำไปใช้ในการเจริญเติบโต
4. เป็นการรักษาคุณภาพของดินและเป็นการเพิ่มจุรินทรีย์ในดินให้มากขึ้น
นิยามศัพท์
E.M. : ย่อมาจากคำว่า Effective Micro-organisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพคิดค้นพบโดย ศาสตราจารย์ ดร.เทรโอะ ฮิงะ (TEROU HIGA) แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิคทางชีวภาพ รวบรวมเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์ หมวดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ช่วยปรับปรุงสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น จุลินทรีย์หมวดสร้างสรรค์ที่มีใน EM ได้แก่ กลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง แลกโตบาซิลัส เพนนิซีเลี่ยม ไตรโคเดอมา ฟูซาเรียม สเตรปโตไมซิส อโซโตแบคเตอ ไรโซเบียม ยีสต์ รา
จุลินทรีย์ : จุลินทรีย์ใน EM ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ และมีพลัง “แอนติออกซิเดชั่น” ซึ่งเป็นพลังสร้างสรรค์ของชีวิต ป้องกันมิให้มีการทำลายชีวภาพที่สำคัญของ เซลล์ได้ป้องกันฤทธิ์ของสารพิษได้หลายชนิด รักษาสภาพธรรมชาติของเซลล์ ได้มิให้เสื่อมสภาพรักษาสุขภาพของคนและสัตว์ มิให้เป็นโรคหรือเจ็บป่วยได้ง่าย
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
การทำปุ๋ยหมักชีวภาพสูตรต่าง ๆ
E.M. (อี.เอ็ม.) คืออะไร
E.M. ย่อมาจากคำว่า Effective Micro-organisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพคิดค้นพบโดย ศาสตราจารย์ ดร.เทรโอะ ฮิงะ (TEROU HIGA) แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิคทางชีวภาพ รวบรวมเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์ หมวดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ช่วยปรับปรุงสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น จุลินทรีย์หมวดสร้างสรรค์ที่มีใน EM ได้แก่ กลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง แลกโตบาซิลัส เพนนิซีเลี่ยม ไตรโคเดอมา ฟูซาเรียม สเตรปโตไมซิส อโซโตแบคเตอ ไรโซเบียม ยีสต์ รา ฯลฯ จุลินทรีย์ใน EM ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ และมีพลัง “แอนติออกซิเดชั่น” ซึ่งเป็นพลังสร้างสรรค์ของชีวิต ป้องกันมิให้มีการทำลายชีวภาพที่สำคัญของ เซลล์ได้ป้องกันฤทธิ์ของสารพิษได้หลายชนิด รักษาสภาพธรรมชาติของเซลล์ ได้มิให้เสื่อมสภาพรักษาสุขภาพของคนและสัตว์ มิให้เป็นโรคหรือเจ็บป่วยได้ง่าย
ลักษณะโดยทั่วไปของ EM
เป็นของเหลวสีน้ำตาลกลิ่นหอมอมเปรี้ยวอมหวาน (เกิดจากการทำงานของกลุ่มจุลินทรีย์ต่าง ๆ ใน E.M.) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมีหรือ ยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ พืช และแมลงที่เป็นประโยชน์ ช่วยปรับสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ ที่ทุกคนสามารถนำไปเพาะขยายเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ลักษณะการผลิต
เพาะขยายจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากกว่า 80 ชนิด จากกลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง
- กลุ่มจุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติค
- กลุ่มจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน
- กลุ่มจุลินทรีย์แอคทีโนมัยซีทส์
- กลุ่มจุลินทรีย์ยีสต์
ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ได้จากธรรมชาตินำมาเพาะเลี้ยงและขยายให้จุลินทรีย์ขยายตัวด้วยปริมาณที่สมดุลกันด้วยเทคโนโลยีพิเศษ โดยใช้อาหารจากธรรมชาติ เช่น โปรตีน รำข้าว และสารประกอบอื่น ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
ประโยชน์ของจุลินทรีย์โดยทั่วไป
ด้านการเกษตร
- ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในดินและน้ำ
- ช่วยแก้ปัญหาจากแมลงศัตรูพืชและโรคระบาดต่าง ๆ
- ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำและอากาศผ่านได้ดี
- ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ เพื่อให้เป็นปุ๋ย (อาหาร) แก่อาหารพืชดูดซึมไปเป็นอาหารได้ดี ไม่ต้องใช้พลังงานมากเหมือนการให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์
- ช่วยสร้างฮอร์โมนพืช พืชให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดีขึ้น
- ช่วยให้ผลผลิตคงทน สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน มีประโยชน์ต่อการขนส่งไกล ๆ เช่น ส่งออกต่างประเทศ
- ช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากฟาร์มปศุสัตว์ ไก่และสุกร ได้ภายในเวลา 24 ชม.
- ช่วยกำจัดน้ำเสียจากฟาร์มได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
- ช่วยกำจัดแมลงวัน โดยการตัดวงจรชีวิตของหนอนแมลงวันไม่ให้เข้าดักแด้เกิดเป็นตัวแมลงวัน
- ช่วยป้องกันอหิวาห์และโรคระบาดต่าง ๆ ในสัตว์แทนยาปฏิชีวนะและอื่น ๆ ได้
- ช่วยเสริมสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทำให้สัตว์แข็งแรงมีความต้านทานโรคสูง ให้ผลผลิตสูงอัตราการตายต่ำ
การเก็บรักษาจุลินทรีย์
สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน อย่างน้อย 6 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ ไม่เกิน 46 – 50 องศาเซลเซียส ต้องปิดฝาให้สนิท อย่าให้อากาศเข้าและอย่าเก็บไว้ในตู้เย็น ทุกครั้งที่แบ่งไปใช้ต้องรีบปิดฝาให้สนิท การนำ E.M. ไปขยายต่อควรใช้ภาชนะที่สะอาดและใช้ให้หมดภายในเวลาที่เหมาะสม
ข้อสังเกต
หากนำไปส่องด้วยกล้องจุลทัศน์ที่มีกำลังขยายสูงไม่ต่ำกว่า 700 เท่า จะเห็น จุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ อยู่มากมาย E.M. ปกติจะมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยวอมหวาน ถ้าเสียแล้วจะมีกลิ่นเน่าเหมือน กลิ่นจากท่อน้ำทิ้งเก่า ๆ (E.M. ที่เสียใช้ผสมน้ำรดกำจัดวัชพืชได้) กรณีที่เก็บไว้นาน ๆ โดยไม่มีเคลื่อนไหวภาชนะ จะมีฝ้าขาว ๆ เหนือผิวน้ำ E.M.นั่นคือการทำงานของ E.M. ที่ผักตัวเมื่อเขย่าแล้วทิ้งไว้ชั่วขณะ ฝ้าสีขาวจะสลายตัวกลับไปใน E.M. เหมือนเดิม
E M (อี เอ็ม) คือ อะไร
ความเป็นมาของ EM
ศ.ดร.เทรูโอะ ฮิหงะ แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องส้ม แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาโรคระบาดในสวนส้มได้ แม้จะพยายามใช้ความรู้ความสามารถเพียงใดก็ไม่ได้ผล ในโอกาสนั้น ท่านได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดพิพิธภัณฑ์ศิลปะของท่านโมกิจิ โอกาดะ (เมซุซามะ) เกิดความสนใจ หนังสือเล่มหนึ่งของท่านโมกิจิ โอกาดะ เขียนไว้เกี่ยวกับการเกษตรธรรมชาติ มีข้อความที่น่าสนใจหลายเรื่อง เช่น
- การเกษตรที่ปลอดสารเคมี
- ภัยพิบัติของมนุษย์ชาติและธรรมชาติของโลก
- ความรักของธรรมชาติต่อสรรพสิ่งในธรรมชาติของโลก
- สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในดินมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
ท่าน ศ.ดร.ทารูโอะ ฮิหงะ แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ได้เริ่มการค้นคว้า เมื่อ พ.ศ. 2510 และได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตในดินที่เรียกว่าจุลินทรีย์ เมื่อ พ.ศ.2525 เป็นการค้นพบเทคนิคการใช้ E.M. (Effective Microorganisms) กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ความสำคัญ ณ จุดนี้คือ ได้ค้นพบการทำงานของจุลินทรีย์ในธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
1. ทำงานแบบสร้างสรรค์ เรียกว่า กลุ่มจุลินทรีย์สร้างสรรค์ มีประมาณ10 %
2. ทำงานแบบเป็นกลาง เรียกว่า กลุ่มเป็นกลางคอยเกื้อหนุน 2 ฝ่ายแรก ทีมีจำนวนมาก ถึงประมาณ 80 %
3. ทำงานแบบทำลาย หรือ กลุ่มจุลินทรีย์โรค มีประมาณ 10 %
“กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ” มีจุลินทรีย์รวมอยู่ 5 แฟมิลี่ 10 จีนัส 80 สปีชีส์ ในที่นี้จะมีทั้งจุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศ คือ แอโรบิค แบคทีเรีย (Aerobic Bacteria) และจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ คือ อนาโรบิค แบคทีเรีย (Anaerobic bacteria)
บทที่ 3
วิธีการทดลอง
วัสดุและอุปกรณ์
1.เครื่องวัดค่า PH 1 อัน
2.เศษผัก 1 ถัง
3.ใบสะเดา ½ ถัง
4.น้ำ 20 ลิตร
5.ถัง 1 ใบ
สารเคมี
1.กากน้ำตาล 1 ขวด
2.จุลินทรีย์ 1 ขวด
วิธีทดลอง
การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ(สูตรไล่แมลง)
วัสดุและส่วนผสม
1.เศษผัก 1 ถัง
2.ใบสะเดา ½ ถัง
3.กากน้ำตาล 1 ขวด
4.จุลินทรีย์ 1 ขวด
5.น้ำสะอาด 20 ลิตร
วิธีทำ
1.นำเศษผักและสะเดามาผสมกันในถังที่เตรียมไว้
2.นำกากน้ำตาล และ จุลินทรีย์ มาเทลงในถัง
3.เทน้ำลงในถังและคลุกเคล้าเศษผักและสะเดาในถังให้เข้ากันกับจุลินทรีย์และกากน้ำตาล
4.หลังจากคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันแล้วหลังจากนั้นปิดฝาให้สนิทอย่าให้อากาศเข้า ทิ้งไว้ประมาณ 3 เดือน
หลังจากหมักไปแล้ว 1 เดือนแล้วค่อยเปิดฝาออกนำไม้มาคนให้เศษผักที่อยู่ด้านบนให้ไปอยู่ด้านล่างของถังหลังจากนั้นปิดฝาให้สนิทและทิ้งไว้อีก 2 เดือนและหลังจาก 2 เดือนแล้วเปิดฝาถังจะเห็นราสีขาวขึ้นมาข้างบนของน้ำหมัก และมีกลิ่นของการหมัก สามารถนำน้ำหมักมาใช้ได้โดยการกรองเอาแต่น้ำ และเศษผักที่เหลือสามารถนำไปหมักต่อได้ ส่วนน้ำหมักนำมาผสมกับน้ำโดยมีอัตราส่วนน้ำหมัก 1 ลิตร ต่อน้ำ 10 ลิตร และใช้ฉีดหรือรดพืชผักสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
บทที่ 4
ผลการทดลอง
จากการทดลองเรื่องน้ำหมักชีวภาพสูตรสะเดาไล่แมลงทำให้คณะผู้จัดทำได้สำรวจประสิทธิภาพของน้ำหมักจากการเปรียบเทียบประสิทธิภาพจะเห็นได้ดังนี้
ชนิดของปุ๋ย | ค่าPH | การกัดเจาะของแมลง | ||
ก่อนใช้ | หลังใช้ | ก่อนใช้ | หลังใช้ | |
ปุ๋ยชีวภาพ | 7.03 | 7.02 | มีแมลงมาเจาะ | ไม่มี |
ปุ๋ยเคมี | 7.03 | 5.01 | มีแมลงมาเจาะ | ไม่มี |
จากการทดลองสรุปได้ว่าการที่เราใช้ปุ๋ยเคมีในการไล่แมลงสามารถไล่แมลงให้กับพืชผลทางการเกษตรได้ก็จริงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยหมักชีวภาพแล้วประสิทธิภาพของดินก็จะแตกต่างกันเช่นถ้าเราใช้ปุ๋ยเคมีในการไล่แมลงค่า PH ของดินจะมีความเป็นกรด ถ้าเราใช้ปุ๋ยชีวภาพค่า PH ของดินจะมีความเป็นกลาง ดังนั้นเราก็ควรที่จะใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพเพราะประสิทธิภาพการไล่แมลงเมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมีแล้วก็มีค่าเท่ากันแต่ประสิทธิภาพของค่า PH จะแตกต่างกันอย่างมาก
บทที่ 5
สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองทำน้ำหมักชีวภาพสูตรสะเดาไล่แมลงโดยใช้วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร โดยใช้สะเดา และเศษผัก มาทำปุ๋ยหมักชีวภาพซึ่งมีส่วนผสมดังนี้
ส่วนผสมทำน้ำหมักชีวภาพสูตรสะเดาไล่แมลง
1. เศษผัก 1 ถัง
2.ใบสะเดา ½ ถัง
3.กากน้ำตาล 1 ขวด
4.จุลินทรีย์ 1 ขวด
5.น้ำสะอาด 20 ลิตร
จากผลการทดลองสรุปได้ว่าการที่เราใช้ปุ๋ยเคมีในการไล่แมลงสามารถไล่แมลงให้กับพืชผลทางการเกษตรได้ก็จริงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยหมักชีวภาพแล้วประสิทธิภาพของดินก็จะแตกต่างกันเช่นถ้าเราใช้ปุ๋ยเคมีในการไล่แมลงค่า PH ของดินจะมีความเป็นกรด ถ้าเราใช้ปุ๋ยชีวภาพค่า PH ของดินจะมีความเป็นกลาง ดังนั้นเราก็ควรที่จะใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพเพราะประสิทธิภาพการไล่แมลงเมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมีแล้วก็มีค่าเท่ากันแต่ประสิทธิภาพของค่า PHของดินจะแตกต่างกันอย่างมากและเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย