แผนการ สอน เคมี ม.4 เทอม 1

คำ�ชี้แจง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดทำ�ตัวชี้วัดและสาระการเรียน รู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเน้นเพื่อต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความ สามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ ใช้กระบวนการ สืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลายมีการทำ�กิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งในปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โรงเรียน จะต้องใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) สสวท. ได้ มีการจัดทำ�หนังสือเรียนที่เป็นไปตามมาตรฐานหลักสูตรเพื่อให้โรงเรียนได้ใช้สำ�หรับจัดการเรียนการสอน ในชั้นเรียน และเพื่อให้ครูผู้สอนสามารถสอนและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามหนังสือเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้จัดทำ�คู่มือครูสำ�หรับใช้ประกอบหนังสือเรียนดังกล่าว คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เล่ม ๑ นี้ ได้บอก แนวการจัดการเรียนการสอนตามเนื้อหาในหนังสือเรียนเกี่ยวกับ ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยในการ ทำ�ปฏิบัติการเคมี หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วย โครงสร้างอะตอมและการจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม สมบัติบางประการของธาตุและการจัดเรียงธาตุในตารางธาตุพันธะเคมีสมบัติของสารที่มีความสัมพันธ์กับ พันธะเคมี ซึ่งครูผู้สอนสามารถนำ�ไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุจุดประสงค์ที่ ตั้งไว้ โดยสามารถนำ�ไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ตามความเหมาะสมและความพร้อมของโรงเรียน ในการ จัดทำ�คู่มือครูเล่มนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ิงจากผู้ทรงคุณวุฒินักวิชาการอิสระ คณาจารย์ รวมทั้ง ครูผู้สอน นักวิชาการ จากทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ สสวท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เคมีชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๔ เล่ม ๑ นี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สอน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่จะช่วยให้การจัดการศึกษาด้าน วิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้อเสนอแนะใดที่จะทำ�ให้คู่มือครูเล่มนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โปรดแจ้ง สสวท. ทราบด้วยจะขอบคุณยิ่ง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ

Made with FlippingBook

RkJQdWJsaXNoZXIy NzMxODQ4

หน้าแรก » แผนการสอน » รวมแผนการสอน วิทยาการคำนวณ ม.4 ฟิสิกส์, เคมี, ชีวะ, เทคโน, โลกดาราศาสตร์

แจกฟรีโปรแกรมจัดตารางเรียน แจกฟรีโปรแกรมเช็คชื่อ บันทึกความดี

ดูในรายการ : แผนการสอน ทั้งหมด

กดติดตาม Facebook และ YouTube ห้องพักครูเพื่อเป็นกำลังใจ รวมแผนการสอน วิทยาการคำนวณ ม.4 ฟิสิกส์, เคมี, ชีวะ, เทคโน, โลกดาราศาสตร์ รวมแผนการสอน วิทยาการคำนวณ ม.4 ฟิสิกส์, เคมี, ชีวะ, เทคโน, โลกดาราศาสตร์

รวมแผนการสอน วิทยาการคำนวณ ม.4 ฟิสิกส์, เคมี, ชีวะ, เทคโน, โลกดาราศาสตร์

ไปที่หน้าดาวน์โหลดทั้งหมด

ขอบคุณที่มา 

อจท.
//www.aksorn.com/download/index.php?mt=1&cl=11&la=3

เว็บไซต์ห้องพักครูดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป



  • ค้นหาละเอียด :

สื่อประกอบการสอน เราได้วิจัย และ พัฒนา และออกแบบมาเพื่อให้ช่วยครูในการสอนที่ง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1 - 9 / 9

หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม เคมี ม.4 เล่ม 2

หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม เคมี ม.4 เล่ม 2

หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเท...

แบบฝึกหัด รายวิชาเพิ่มเติม เคมี ม.4 เล่ม 2

แบบฝึกหัด รายวิชาเพิ่มเติม เคมี ม.4 เล่ม 1

หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม เคมี ม.4 เล่ม 2

หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม เคมี ม.4 เล่ม 2

หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเท...

หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเท...

มาเป็นคนแรกที่วิจารณ์ “เคมี ม.4 เล่ม 1 (ฉบับประกัน)”

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

การให้คะแนนของคุณ *

บทวิจารณ์ของคุณ *

ชื่อ *

อีเมล *

บันทึกชื่อ, อีเมล และชื่อเว็บไซต์ของฉันบนเบราว์เซอร์นี้ สำหรับการแสดงความเห็นครั้งถัดไป

แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชา ว31221 เคมี 1
เร่ือง พันธะเคมี ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4
โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน

นางคุณากร คาสขุ
ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ

กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
โรงเรยี นโคกโพธิ์ไชยศกึ ษา อาเภอโคกโพธิไ์ ชย จังหวดั ขอนแกน่

สานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 25
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร

3

คานา

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา ว31221 เคมี 1 เรอื่ ง พันธะเคมี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 โดย
ใชก้ ารสบื เสาะหาความรู้ 5 ขั้น กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษา
ข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 เล่มนี้ จัดทาขนึ้ เพอ่ื ใชเ้ ป็นแนวทางในการจัดการเรยี นรู้ โดยยดึ แนวทาง
ในการใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) หรือวฏั จกั รการสบื เสาะหาความรู้ 5 ขัน้
ในการจดั การเรียนรู้ ซึ่งเป็นรูปแบบหน่งึ ของการเรยี นการสอนท่ใี ห้ผู้เรยี นเป็นผูท้ ากจิ กรรมการเรียนรู้
ด้วยตนเอง เปน็ วธิ ีสอนทฝี่ กึ ให้ผู้เรยี นรู้จกั คน้ คว้าหาความรู้โดยใชก้ ระบวนการทางความคดิ หาเหตุผล
จะคน้ พบความร้หู รอื แนวทางในการแกไ้ ขปัญหาท่ถี กู ต้องดว้ ยตนเอง โดยผ้สู อนต้งั ปัญหาประเภท
กระตุ้นใหน้ กั เรยี นใช้ความคิดหาวธิ ีแก้ปัญหาทีถ่ ูกตอ้ งดว้ ยตนเองและสามารถนาการแกป้ ญั หานั้นมา
ใชป้ ระโยชน์ กจิ กรรมทพี่ ฒั นาขึ้นมีความสอดคลอ้ งกับหนว่ ยการเรียนรู้ เรือ่ ง พนั ธะเคมี ชั้น
มัธยมศึกษา ปีท่ี 4 เพ่ือให้เกดิ ประโยชน์สงู สุดต่อการเรยี นรู้ของนักเรยี นอนั สง่ ผลตอ่ การพฒั นา
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรยี น และเจตคติทีด่ ตี ่อวชิ าวิทยาศาสตร์

การจดั ทาแผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ า ว31221 เคมี 1 เรื่อง พันธะเคมี ชั้นมธั ยมศกึ ษา
ปีท่ี 4 โดยใชก้ ารสืบเสาะหาความรู้ 5 ขัน้ ชุดน้ีได้จัดทาตรงหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน
พทุ ธศกั ราช 2560 โดยนาเสนอเนื้อหาแบง่ เปน็ 2 ตอน คอื

ตอนท่ี 1 บทนา เปน็ ส่วนทนี่ าเสนอการวเิ คราะห์หลกั สูตรสถานศกึ ษากลมุ่ สาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์ โรงเรยี นโคกโพธไ์ิ ชยศกึ ษา จงั หวัดขอนแกน่ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
พุทธศกั ราช 2551

ตอนท่ี2 หนว่ ยการเรียนรู้ ไดเ้ สนอแนวทางการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรู้ เรอ่ื ง พันธะ
เคมี จานวน 12 แผน รวม 23 ชั่วโมง จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 ขัน้ ตามแนวทางการจดั กิจกรรมการ
เรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) ประกอบดว้ ย ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement)
ข้ันสารวจและคน้ หา (Exploration) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) ขัน้ ขยายความรู้
(Elaboration) และข้นั ประเมนิ (Evaluation) สว่ นรปู แบบแผนการจดั การเรยี นรแู้ ตล่ ะแผนมี
องค์ประกอบครบถ้วนตามแนวทางการจัดทาแผนการจัดการเรยี นรู้ของสถานศกึ ษา

ผูจ้ ดั ทาหวงั เปน็ อยา่ งยิ่งวา่ แผนการจดั การเรยี นรู้รายวชิ า ว 31221 เคมี 1 เรื่อง พันธะเคมี
ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยใช้การสบื เสาะหาความรู้ 5 ขัน้ เล่มนจี้ ะเปน็ ประโยชนต์ ่อการนาไป
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนรู้ให้เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของนกั เรยี นต่อไป

คุณากร คาสุข

4

สารบญั

ตอนท่ี 1 บทนา 1

วิเคราะหห์ ลักสูตรสถานศึกษากลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ โรงเรียนโคกโพธิไ์ ชยศกึ ษา

จงั หวดั ขอนแก่น ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2560 2

ตอนที่ 2 หน่วยการเรยี นรู้ 26

แผนปฐมนิเทศ 36

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 การเกิดพนั ธะและชนิดของพนั ธะโคเวเลนต์ 54

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2 การเขยี นสูตรและการเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์ 73

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 3 กฎออกเตตความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะ 94

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 4 รปู รา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ 115

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 5 สภาพข้ัวของโมเลกุลโคเวเลนต์ 139

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 6 แรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ 162

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 7 การเกดิ พนั ธะไอออนกิ 186

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 8 การเขียนสูตรและการเรียกชอ่ื สารประกอบไอออนกิ 210

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 9 พลังงานกับการเกดิ สารประกอบไอออนิก 231

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 10 สมบัตขิ องสารประกอบไอออนิก 253

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 11 ปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก 272

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 12 พนั ธะโลหะ 292

บรรณานกุ รม 312

ภาคผนวก 311

1

ตอนที่ 1

บทนา

2

วเิ คราะหห์ ลกั สูตรสถานศึกษากลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
โรงเรยี นโคกโพธ์ิไชยศึกษา จงั หวัดขอนแก่น

ตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน

พุทธศักราช 2551

วทิ ยาศาสตรท์ าให้คนได้พัฒนาชวี ิต ท้ังความคดิ เป็นเหตุเปน็ ผล คิดสรา้ งสรรค์ คดิ วิเคราะห์
วจิ ารณ์ มที กั ษะทส่ี าคัญในการคน้ ควา้ หาความรู้ มคี วามสามารถในการแก้ปัญหาอยา่ งเปน็ ระบบ
สามารถตดั สนิ ใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจกั ษ์พยานท่ีตรวจสอบได้ วิทยาศาสตรเ์ ปน็
วัฒนธรรมของโลกสมยั ใหม่ ซึง่ เป็นสังคมแหง่ ความรู้ (Knowledge-based Society) ทกุ คนจึง
จาเปน็ ตอ้ งได้รับการพฒั นาให้ร้วู ิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy for All) เพือ่ ทจ่ี ะมคี วามรคู้ วาม
เขา้ ใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยที ่ีมนุษยส์ ร้างสรรคข์ ้นึ และนาความรู้ไปใชอ้ ย่างมเี หตผุ ล
สร้างสรรค์ มคี ุณธรรม ความร้วู ิทยาศาสตร์ไมเ่ พยี งแตน่ ามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชวี ติ ทดี่ ี แตย่ ังชว่ ย
ให้คนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจธรรมชาตอิ ย่างสมดุลและยัง่ ยนื และทีส่ าคญั อยา่ งยิง่ คอื ความรู้
วิทยาศาสตรช์ ว่ ยเพ่ิมขีดความสามารถในการพฒั นาเศรษฐกจิ สามารถแข่งขันกบั นานาประเทศและ
ดาเนนิ ชีวติ อยรู่ ่วมกันในสงั คมโลกไดอ้ ย่างมคี วามสุข การท่จี ะสรา้ งความเขม้ แข็งทางด้านวทิ ยาศาสตร์
นน้ั องคป์ ระกอบที่สาคัญประการหน่ึงคอื การจดั การศกึ ษา เพ่ือเตรยี มคนให้อยใู่ นสงั คมวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยเี ปน็ ท้งั ผู้ผลติ และผู้บริโภคที่มีประสิทธภิ าพ

วิทยาศาสตร์เปน็ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้หลกั ในโครงสร้างหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั
พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 หลักสูตรและการจัดการเรยี นรู้ ตลอดจนการวดั และการประเมินผล
การเรียนรมู้ ีความสาคญั อยา่ งยิง่ ในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรยี นแต่ละระดบั ชั้น
ให้ต่อเน่อื งเชอื่ มโยง ตั้งแตช่ นั้ ประถมศึกษาปีที่ 1 ถงึ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ดังน้นั จึงจาเปน็ ทจี่ ะต้องจดั
หลกั สูตรแกนกลางทม่ี กี ารเรยี งลาดบั ความยากงา่ ยของเนื้อหาสาระในแตล่ ะระดับชัน้ การเชือ่ มโยง
ความรู้กับกระบวนการ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ท่จี ะทาใหน้ ักเรียนพฒั นาความคิด ทั้งความคดิ
เปน็ เหตเุ ปน็ ผล คดิ สรา้ งสรรค์ คิดวิเคราะห์วจิ ารณ์ มที ักษะท่ีสาคญั ในการคน้ คว้า และสรา้ งองค์
ความร้ดู ้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปญั หาอยา่ งเปน็ ระบบ สามารถตดั สินใจโดยใช้
ขอ้ มูลหลากหลายและประจักษพ์ ยานที่ตรวจสอบได้ รวมถึงมที กั ษะในการใชเ้ ทคโนโลยใี นการสืบค้น
ข้อมลู และการจัดการ

การจัดการเรียนรู้กลมุ่ สาระวิทยาศาสตร์ เนน้ กระบวนการท่ีนกั เรยี นเปน็ ผูค้ ิดลงมือปฏิบัติ
ศกึ ษาคน้ ควา้ อยา่ งมรี ะบบดว้ ยกจิ กรรมที่หลากหลาย ท้ังการปฏิบัติกิจกรรมภาคสนาม การสงั เกต
การสารวจตรวจสอบ การทดลองในหอ้ งปฏิบัตกิ าร การสบื คน้ ข้อมูลจากแหล่งขอ้ มลู ปฐมภูมแิ ละ
ทุติยภมู ิ การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ การศึกษาจากแหล่งเรียนรใู้ นท้องถ่ิน โดยคานึงถึงวฒุ ิภาวะ

3

ประสบการณเ์ ดมิ สิ่งแวดลอ้ ม และวัฒนธรรมทต่ี ่างกนั ทน่ี กั เรียนรบั รู้มาแล้วกอ่ นเข้าสูห่ อ้ งเรยี น
การเรยี นรู้ของนักเรียนจะเกดิ ขน้ึ ระหวา่ งทนี่ กั เรยี นมีสว่ นรว่ มโดยตรงในการทากจิ กรรมการเรียน
เหลา่ นน้ั จึงจะมีความสามารถในการสืบเสาะหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวธิ ีการ
ทางวิทยาศาสตร์ ได้พัฒนากระบวนการคิดข้ันสงู และคาดหวงั วา่ กระบวนการเรียนรดู้ ังกลา่ วจะทาให้
นกั เรียนได้รบั การพัฒนาจติ วทิ ยาศาสตร์ มีคุณธรรม จรยิ ธรรมในการใชว้ ิทยาศาสตรอ์ ยา่ งสรา้ งสรรค์
มเี จตคตแิ ละคา่ นิยมทเี่ หมาะสมต่อวิทยาศาสตร์ รวมทงั้ สามารถสอ่ื สารและทางานร่วมกับผอู้ ืน่ ได้
อย่างมปี ระสิทธิภาพ

การจัดการเรียนรคู้ รตู ้องศึกษาเป้าหมายและปรชั ญาของการจัดการเรียนรู้ใหเ้ ขา้ ใจอย่าง
ถอ่ งแท้ ทาความเข้าใจหลักการ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ต่าง ๆ ตลอดจนกระบวนการเรียนรู้ท่เี น้น
กระบวนการและถือวา่ นกั เรียนมีความสาคัญท่ีสุด แล้วพิจารณาเลอื กนาไปใช้ ออกแบบกจิ กรรมท่ี
หลากหลายให้เหมาะสมกบั เนือ้ หาสาระ เหมาะกบั สภาพแวดล้อมของโรงเรียน แหล่งเรยี นรู้ท้องถ่นิ
และทส่ี าคญั คอื ศกั ยภาพของนกั เรียนด้วย ดังนน้ั ในเนอื้ หาสาระเดียวกัน ครแู ต่ละโรงเรยี นย่อม
จดั การเรียนการสอนและใช้ส่ือการเรียนการสอนทีแ่ ตกต่างกนั ไดด้ ้วยเหตผุ ลที่กลา่ วข้างต้น

1. ความสาคัญ
วทิ ยาศาสตรม์ บี ทบาทสาคญั ยิ่งต่อการพฒั นาความคดิ มนษุ ทยา์ ให้มนุษย์มคี วามคิดสร้างสรรค์

คิดอยา่ งมเี หตผุ ลเป็นระบบมีแบบแผนสามารถวเิ คราะห์ปญั หาหรือสถานการณไ์ ด้อยา่ งถี่ถ้วรนอบคอบ
ช่วยใหค้ าดการณว์ างแผนตัดสินใจ แกป้ ัญหาและนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันไดอ้ ย่างถูกตอ้ เงหมาะสม

วิทยาศาสตรเ์ ป็นกระบวนการแสวงหาความรBู้ (ody of Knowledge) และทกั ษะท่จี าเปน็
ในการดารงชีวติ ต่อสังคมทีม่ ีการเปลีย่ นแปลง เพ่ือพฒั นาตนเองอย่างต่อเนอ่ื งตลอดชแีวลิตะสามารถอยู่
ร่วมกับผูอ้ น่ื ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

2. วิสยั ทศั น์การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
“ยกระดับคุณภาพ สู่มาตรฐานการศึกษาชัน้ นาและส่สู ากล มีศักยภาพในการแข่งขัน

ยดึ หลกั การบริหารจดั การแบบมีสว่ นรว่ ม ภายในปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๑”

3. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มุง่ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ สมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดังน้ี
1. ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรบั และสง่ สาร มีวัฒนธรรมใน

การใชภ้ าษาถ่ายทอดความคดิ ความรคู้ วามเข้าใจ ความรู้สกึ และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปลี่ยน
ขอ้ มูลขา่ วสารและประสบการณ์อนั จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสงั คมรวมท้ังการเจรจา
ต่อรองเพอื่ ขจัดและลดปัญหาความขัดแยง้ ตา่ งๆการเลือกรับหรอื ไม่รบั ข้อมลู ขา่ วสารดว้ ยหลกั เหตุผล

4

และความถูกตอ้ งตลอดจนการเลอื กใชว้ ธิ กี ารสื่อสาร ที่มปี ระสิทธิภาพโดยคานงึ ถึงผลกระทบทม่ี ตี อ่
ตนเองและสังคม

2. ความสามารถในการคิด เปน็ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด
อย่างสรา้ งสรรค์ การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบ เพอื่ นาไปส่กู ารสร้างองค์ควหามรรอื ู้
สารสนเทศเพอ่ื การตดั สินใจเกย่ี วกบั ตนเองและสงั คมไดอ้ ย่างเหมาะสม

3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เปน็ ความสามารถในการแก้ปญั หาและอปุ สรรคตา่ งๆ
ทเ่ี ผชิญไดอ้ ย่างถูกต้องเหมาะสมบนพนื้ ฐานของหลักเหตผุ คลุณธรรมและข้อมลู สารสนเทศ เข้าใจ
ความสมั พนั ธแ์ ละการเปลี่ยนแปลงของเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามร้มู าใช้ใน
การป้องกันและแกไ้ ขปัญหา และมีการตดั สนิ ใจทมี่ ีประสิทธภิ าพโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบทเี่ กิดขึ้นต่อตนเอง
สังคมและสง่ิ แวดลอ้ ม

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการตา่ งๆ
ไปใช้ในการดาเนินชวี ติ ประจาวัน การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง การเรียนรูอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง การทางาน และ
การอยูร่ ว่ มกันในสงั คมด้วยการสรา้ งเสรมิ ความสมั พันธอ์ นั ดรี ะหวา่ งบคุ คล การจดั การปญั หา และ
ความขดั แยง้ ต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรบั ตวั ให้ทนั กบั การเปล่ียนแปลงของสังคมและ
สภาพแวดล้อม และการรจู้ ักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทีส่ ่งผลกระทบต่อตนเองและผูอ้ ่ืน

5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลอื กและใช้เทคโนโลยดี า้ นตา่ งๆ
และมที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพือ่ การพฒั นาตนเองและสังคม ในดา้ นการเรยี นรู้ การสื่อสาร
การทางาน การแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมีคณุ ธรรม

4. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ มุ่งพฒั นาผู้เรยี นให้มคี ณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เพือ่ ให้

สามารถอยูร่ ่วมกบั ผู้อ่ืนในสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสุข ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ดังนี้
1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซ่ือสตั ย์สุจริต
3. มวี ินัย
4. ใฝเ่ รียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มีจิตสาธารณะ

5

5. สาระการเรยี นรู้และมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างส่งิ ไมม่ ีชีวิต กับ

ส่งิ มีชีวิต และความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวติ กับสงิ่ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การ
ถ่ายทอดพลังงาน การเปลย่ี นแปลงแทนที่ในระบบนเิ วศ ความหมายของ
ประชากร ปัญหาและผลกระทบทม่ี ตี ่อทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม
แนวทางในการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั
นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบตั ขิ องสิ่งมชี ีวิต หน่วยพน้ื ฐานของสิ่งมีชวี ิต การลาเลยี งสารเข้า และออก
จากเซลลค์ วามสัมพนั ธ์ของโครงสรา้ ง และหน้าทข่ี องระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละ
มนุษยท์ ีท่ างานสัมพนั ธ์กนั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าท่ี ของอวยั วะ
ต่างๆ ของพืชท่ที างานสัมพนั ธ์กนั รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓ เขา้ ใจกระบวนการและความสาคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม สาร
พันธกุ รรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมทม่ี ีผลต่อสิ่งมชี ีวติ ความหลากหลาย
ทางชีวภาพและวิวัฒนาการของส่งิ มีชวี ิต รวมทงั้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบัติของ สสาร

กบั โครงสร้างและแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาติ ของการ
เปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิด ปฏิกริ ยิ าเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจาวนั ผลของแรงทก่ี ระทาต่อวัตถุ ลักษณะ การ
เคลอื่ นที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุรวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลยี่ นแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน
ปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวติ ประจาวนั ธรรมชาติของ
คลืน่ ปรากฏการณท์ ่เี ก่ยี วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทงั้ นา
ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี

ดาวฤกษ์และระบบสุรยิ ะ รวมทงั้ ปฏิสมั พนั ธภ์ ายในระบบสุริยะ ทีส่ ่งผลต่อสิง่ มีชวี ิต
และการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ

6

มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองค์ประกอบและความสัมพันธข์ องระบบโลก กระบวนการเปล่ยี นแปลง
ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพบิ ัติภยั กระบวนการเปลีย่ นแปลงลมฟ้า อากาศ
และภูมอิ ากาศโลก รวมทง้ั ผลต่อสงิ่ มีชีวติ และสงิ่ แวดลอ้ ม

สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยเี พ่ือการดารงชวี ติ ในสงั คมที่มีการเปล่ียนแปลง

อย่างรวดเรว็ ใชค้ วามรแู้ ละทักษะทางด้านวิทยาศาสตรค์ ณติ ศาสตรแ์ ละ ศาสตร์
อนื่ ๆ เพื่อแก้ปญั หาหรือพฒั นางานอยา่ งมีความคิดสรา้ งสรรค์ ดว้ ยกระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างเหมาะสม โดยคานึงถึงผลกระทบ
ตอ่ ชวี ิต สังคม และสิ่งแวดล้อม

มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปญั หาทพ่ี บใน
ชีวิตจรงิ อยา่ งเป็น ขัน้ ตอนและเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารในการเรยี นรู้ การ
ทางาน และการแก้ปญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ รเู้ ท่าทนั และมีจรยิ ธรรม

6. คณุ ภาพผูเ้ รยี นเม่ือจบช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6
เม่ือจบช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
1. เขา้ ใจลกั ษณะและองคป์ ระกอบทีส่ าคญั ของเซลลส์ ่งิ มชี ีวติ ความสมั พันธ์ของการทางาน

ของระบบต่าง ๆ ในรา่ งกายมนษุ ย์ การดารงชวี ิตของพืช การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม การ
เปลีย่ นแปลงของยนี หรือโครโมโซม และตัวอยา่ งโรคทเ่ี กิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพนั ธกุ รรม
ประโยชน์และผลกระทบของสง่ิ มีชีวติ ดัดแปรพนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชวี ภาพ ปฏิสัมพนั ธ์ของ
องคป์ ระกอบของระบบนเิ วศและการถ่ายทอดพลงั งานในส่ิงมีชวี ิต

2. เขา้ ใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธ์ิ สารผสม หลกั การแยกสาร
การเปลีย่ นแปลงของสารในรูปแบบของการเปล่ียนสถานะ การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยา
เคมี และสมบตั ทิ างกายภาพ และการใช้ประโยชนข์ องวสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิกส์ และวสั ดผุ สม

3. เขา้ ใจการเคลอ่ื นท่ี แรงลัพธแ์ ละผลของแรงลพั ธ์กระทาต่อวตั ถุ โมเมนตข์ องแรง
แรงทป่ี รากฏในชีวิตประจาวัน สนามของแรง ความสมั พนั ธข์ องงาน พลงั งานจลน์ พลงั งานศักย์โนม้
ถว่ ง กฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน การถา่ ยโอนพลงั งาน สมดลุ ความรอ้ น ความสมั พนั ธ์ของปริมาณทาง
ไฟฟ้า การต่อวงจรไฟฟ้าในบา้ น พลงั งานไฟฟ้า และหลกั การเบื้องต้นของวงจรอเิ ล็กทรอนกิ ส์

4. เขา้ ใจสมบตั ขิ องคล่ืน และลักษณะของคลนื่ แบบต่าง ๆ แสง การสะท้อน การหกั เหของ
แสงและทัศนปู กรณ์

5. เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกดิ ฤดู การเคลือ่ นที่ปรากฏของดวง
อาทิตย์ การเกิดขา้ งขึ้นขา้ งแรม การขึ้นและตกของดวงจนั ทร์ การเกิดน้าข้นึ นา้ ลง ประโยชน์ของ
เทคโนโลยีอวกาศ และความกา้ วหนา้ ของโครงการสารวจอวกาศ

7

6. เข้าใจลกั ษณะของช้ันบรรยากาศ องคป์ ระกอบและปจั จัยที่มผี ลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิด
และผลกระทบของพายุฟา้ คะนอง พายหุ มุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์ การ
เปลย่ี นแปลงภูมอิ ากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลงิ ซากดึกดาบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงาน
ทดแทนและการใชป้ ระโยชน์ ลกั ษณะโครงสรา้ งภายในโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลงทางธรณวี ิทยา
บนผิวโลก ลกั ษณะช้นั หนา้ ตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหลง่ น้าผิวดนิ แหลง่ น้าใตด้ นิ กระบวนการ
เกิดและผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณีพบิ ตั ิภัย

7.เขา้ ใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยี ไดแ้ ก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลีย่ นแปลงของ
เทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยกี ับศาสตร์อน่ื โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรอื คณติ ศาสตร์
วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตดั สินใจเพอ่ื เลอื กใช้เทคโนโลยี โดยคานงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ิต สังคม และ
ส่ิงแวดล้อม ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพือ่ ออกแบบและสร้างผลงานสาหรับการ
แก้ปญั หาในชวี ิตประจาวนั หรอื การประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม รวมทงั้
เลือกใชว้ ัสดุ อปุ กรณ์ และเครื่องมอื ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง เหมาะสม ปลอดภัย รวมท้ังคานงึ ถึงทรัพยส์ นิ ทาง
ปัญญา

8. นาข้อมลู ปฐมภูมเิ ขา้ ส่รู ะบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นาเสนอขอ้ มูลและ
สารสนเทศได้ตามวตั ถุประสงค์ ใชท้ ักษะการคดิ เชงิ คานวณในการแก้ปญั หาท่ีพบในชวี ิตจริง และเขยี น
โปรแกรมอยา่ งง่ายเพอ่ื ช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สารอยา่ งรเู้ ทา่ ทัน
และรับผิดชอบต่อสังคม

9. ต้ังคาถามหรอื กาหนดปญั หาทเ่ี ชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลกั การทางวิทยาศาสตรท์ ี่
มีการกาหนดและควบคมุ ตวั แปร คดิ คาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมตฐิ านที่สามารถนาไปสู่
การสารวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมอื สารวจตรวจสอบโดยใชว้ ัสดแุ ละเครอื่ งมือท่เี หมาะสม
เลือกใชเ้ คร่ืองมอื และเทคโนโลยสี ารสนเทศทเี่ หมาะสมในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ท้งั ในเชงิ ปริมาณและ
คุณภาพทไี่ ด้ผลเทย่ี งตรงและปลอดภยั

10. วเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ความสอดคลอ้ งของข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากการสารวจตรวจสอบจาก
พยานหลกั ฐาน โดยใชค้ วามรู้และหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและ
สอ่ื สารความคดิ ความรู้ จากผลการสารวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
เพ่อื ใหผ้ ู้อืน่ เขา้ ใจได้อยา่ งเหมาะสม

11. แสดงถึงความสนใจ มงุ่ ม่นั รบั ผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสตั ย์ ในสิ่งทจ่ี ะเรยี นรู้ มี
ความคิดสรา้ งสรรค์เกีย่ วกบั เรื่องท่จี ะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครือ่ งมือและวิธกี ารที่ให้
ได้ผลถูกต้อง เช่อื ถือได้ ศกึ ษาค้นควา้ เพ่ิมเติมจากแหล่งความรู้ตา่ ง ๆ แสดงความคิดเหน็ ของตนเองรับ
ฟังความคดิ เหน็ ผู้อน่ื และยอมรับการเปล่ียนแปลงความรูท้ ค่ี น้ พบ เม่ือมขี อ้ มลู และประจกั ษ์พยานใหม่
เพิ่มขึน้ หรอื โต้แยง้ จากเดิม

12. ตระหนักในคณุ คา่ ของความรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ใี ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ใชค้ วามรู้
และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยใี นการดารงชีวติ และการประกอบอาชีพ แสดงความ

8

ช่นื ชม ยกยอ่ ง และเคารพสทิ ธิในผลงานของผ้คู ิดค้น เข้าใจผลกระทบทัง้ ด้านบวกและดา้ นลบของการ
พัฒนาทางวิทยาศาสตรต์ อ่ สิ่งแวดลอ้ มและตอ่ บริบทอน่ื ๆ และศกึ ษาหาความรเู้ พิ่มเติม ทาโครงงาน
หรือสรา้ งชิ้นงานตามความสนใจ

13. แสดงถึงความซาบซ้งึ หว่ งใย มีพฤตกิ รรมเกย่ี วกบั การดแู ลรักษาความสมดลุ ของระบบ
นเิ วศ และความหลากหลายทางชวี ภาพ

เมือ่ จบชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๖
1. เข้าใจการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนษุ ย์ ภูมคิ มุ้ กนั
ในรา่ งกายของมนุษย์และความผดิ ปกติของระบบภมู ิคุม้ กนั การใชป้ ระโยชนจ์ ากสารต่าง ๆ ที่พชื สรา้ ง
ขนึ้ การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม การเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรม วิวัฒนาการทท่ี าให้เกิดความ
หลากหลายของสิง่ มชี วี ิต ความสาคัญและผลของเทคโนโลยที างดีเอ็นเอต่อมนุษย์ สง่ิ มชี วี ติ และ
ส่งิ แวดลอ้ ม
2. เขา้ ใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมศิ าสตรต์ า่ ง ๆ ของโลก การเปลย่ี นแปลง
แทนทใี่ นระบบนเิ วศ ปัญหาและผลกระทบทีม่ ตี ่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม แนวทางในการ
อนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปัญหาสงิ่ แวดล้อม
3. เขา้ ใจชนดิ ของอนภุ าคสาคัญที่เปน็ สว่ นประกอบในโครงสรา้ งอะตอม สมบตั บิ างประการ
ของธาตุ การจดั เรียงธาตใุ นตารางธาตุ ชนดิ ของแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าคและสมบัตติ ่าง ๆ ของ
สารท่มี ีความสัมพันธก์ บั แรงยึดเหนยี่ ว พันธะเคมี โครงสรา้ งและสมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ การเกิดปฏิกิริยา
เคมี ปัจจยั ทมี่ ผี ลต่ออตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี และการเขยี นสมการเคมี
4. เข้าใจปรมิ าณทเี่ ก่ียวกับการเคลือ่ นท่ี ความสมั พันธร์ ะหว่างแรง มวลและความเร่งผลของ
ความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนท่ีแบบต่าง ๆ ของวตั ถุ แรงโน้มถว่ ง แรงแมเ่ หล็ก ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง
สนามแมเ่ หล็กและกระแสไฟฟ้า และแรงภายในนิวเคลียส
5. เข้าใจพลังงานนวิ เคลียร์ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งมวลและพลงั งาน การเปล่ียนพลังงาน
ทดแทนเปน็ พลงั งานไฟฟา้ เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหกั เห การเล้ยี วเบน และการรวม
คลืน่ การได้ยิน ปรากฏการณท์ ีเ่ กยี่ วขอ้ งกับเสยี ง สกี บั การมองเห็นสี คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและ
ประโยชนข์ องคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
6. เข้าใจการแบง่ ชัน้ และสมบตั ขิ องโครงสร้างโลก สาเหตุ และรปู แบบการเคลอื่ นทข่ี องแผ่น
ธรณีทสี่ ัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณสี ัณฐาน สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดนิ ไหว ภูเขาไฟระเบิด สึ
นามิ ผลกระทบ แนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏิบัตติ นใหป้ ลอดภยั
7. เข้าใจผลของแรงเน่อื งจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลสิ ทมี่ ตี อ่ การ
หมุนเวยี นของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูด และผลทม่ี ีตอ่ ภมู อิ ากาศ
ความสมั พันธ์ของการหมุนเวยี นของอากาศ และการหมนุ เวยี นของกระแสน้าผิวหน้าในมหาสมุทร
และผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ สง่ิ มีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ปจั จัยตา่ ง ๆ ทม่ี ีผลตอ่ การเปล่ียนแปลง

9

ภูมอิ ากาศโลก และแนวปฏิบัติเพอ่ื ลดกจิ กรรมของมนษุ ย์ทส่ี ่งผลตอ่ การเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศโลก
รวมทัง้ การแปลความหมายสญั ลกั ษณล์ มฟ้าอากาศทส่ี าคญั จากแผนท่อี ากาศ และข้อมลู สารสนเทศ

8. เข้าใจการกาเนดิ และการเปล่ยี นแปลงพลงั งาน สสาร ขนาด อณุ หภูมขิ องเอกภพ
หลักฐานท่ีสนับสนุนทฤษฎีบกิ แบง ประเภทของกาแลก็ ซี โครงสรา้ งและองค์ประกอบของกาแลก็ ซี
ทางช้างเผอื ก กระบวนการเกิดและการสรา้ งพลงั งาน ปัจจัยทส่ี ง่ ผลตอ่ ความสอ่ งสวา่ งของดาวฤกษ์
และความสัมพันธร์ ะหว่างความส่องสวา่ งกบั โชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสี อณุ หภมู ิ
ผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ ววิ ฒั นาการและการเปล่ยี นแปลงสมบัตบิ างประการของดาวฤกษ์
กระบวนการเกดิ ระบบสุรยิ ะ การแบง่ เขตบรวิ ารของดวงอาทติ ย์ ลักษณะของดาวเคราะหท์ ่ีเอ้ือต่อการ
ดารงชีวติ การเกิดลมสรุ ิยะ พายุสุริยะและผลทม่ี ีตอ่ โลก รวมทั้งการสารวจอวกาศและการประยกุ ตใ์ ช้
เทคโนโลยีอวกาศ

7. ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง
สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ เรยี นรู้เกีย่ วกับธรรมชาติของสาร การเปล่ยี นแปลงของสาร การ
เคล่อื นท่ี พลังงาน และคลืน่

มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ขิ อง
สสารกับโครงสรา้ งและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติ ของการ
เปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี

๑. เขา้ ใจโครงสร้างอะตอม การจดั เรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัตขิ องธาตพุ นั ธะเคมแี ละสมบัติ
ของสาร แก๊สและสมบัตขิ องแกส๊ ประเภทและสมบตั ขิ องสารประกอบอนิ ทรีย์และพอลิเมอร์
รวมท้งั การนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

10

ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พ่ิมเตมิ

ม.๔ ๑. บอกและอธิบายขอ้ ปฏบิ ัติ • การทาปฏิบัติการเคมีตอ้ งคานงึ ถงึ ความปลอดภยั และ

เบ้อื งตน้ และปฏิบัติตนทแ่ี สดงถึง ความเป็นมติ รตอ่ สง่ิ แวดล้อม ดังนัน้ จงึ ควรศึกษาขอ้ ปฏบิ ตั ิ

ความตระหนักในการทา ของการทาปฏิบตั ิการเคมเี ช่นความปลอดภัยในการใช้

ปฏิบตั กิ ารเคมีเพ่อื ให้มคี วาม อุปกรณ์และสารเคมกี ารปอ้ งกนั อบุ ัติเหตุ

ปลอดภยั ทง้ั ต่อตนเอง ผอู้ ื่นและ

สิ่งแวดลอ้ ม และเสนอแนว

ทางแก้ไขเมอ่ื เกดิ อบุ ัตเิ หตุ

๒. เลือก และใช้อุปกรณ์หรอื • อปุ กรณแ์ ละเคร่อื งมือชั่ง ตวง วัดแตล่ ะชนิดมวี ธิ กี ารใช้

เครอ่ื งมอื ในการทาปฏบิ ตั ิการ งานและการดูแลแตกต่างกนั ซงึ่ การวัดปรมิ าณต่าง ๆ ให้ได้

และวัดปริมาณตา่ ง ๆ ได้อย่าง ขอ้ มลู ท่มี คี วามเที่ยงและความแม่นในระดับนยั สาคัญท่ี

เหมาะสม ต้องการ ตอ้ งมกี ารเลือกและใช้อปุ กรณใ์ นการทาปฏบิ ตั ิการ

อยา่ งเหมาะสม

๓. นาเสนอแผนการทดลอง • การทาปฏบิ ตั กิ ารเคมีต้องมกี ารวางแผนการทดลอง การ

ทดลองและเขียนรายงานการ ทาการทดลอง การบันทึกข้อมูลสรุปและวเิ คราะห์นาเสนอ

ทดลอง ข้อมูล และการเขยี นรายงานการทดลองท่ถี ูกตอ้ ง โดยการ

ทาปฏบิ ัตกิ ารเคมีตอ้ งคานึงถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทักษะ

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร

๔. ระบุหนว่ ยวดั ปริมาณตา่ ง ๆ • การทาปฏบิ ัตกิ ารเคมตี ้องมีการวดั ปริมาณตา่ ง ๆของสาร

ของสาร และเปล่ียนหนว่ ยวดั ให้ การบอกปริมาณของสารอาจระบุอย่ใู นหนว่ ยต่าง ๆ ดงั นน้ั

เป็นหนว่ ยในระบบเอสไอด้วยการ เพื่อใหม้ มี าตรฐานเดียวกัน จึงมีการกาหนดหนว่ ยในระบบ

ใช้แฟกเตอรเ์ ปลยี่ นหน่วย เอสไอให้เป็นหนว่ ยสากล ซึง่ การเปลยี่ นหน่วยเพื่อใหเ้ ปน็

หน่วยสากล สามารถทาไดด้ ้วยการใช้แฟกเตอร์เปล่ยี น

หนว่ ย

๕. สบื คน้ ขอ้ มูลสมมติฐาน การ • นกั วทิ ยาศาสตรศ์ กึ ษาโครงสร้างของอะตอม และเสนอ

ทดลอง หรือผลการทดลองท่เี ป็น แบบจาลองอะตอมแบบต่าง ๆ จากการศกึ ษาขอ้ มูล การ

ประจกั ษ์พยานในการเสนอ สังเกต การต้งั สมมตฐิ าน และผลการทดลอง

แบบจาลองอะตอมของ • แบบจาลองอะตอมมวี ิวฒั นาการ โดยเรมิ่ จากดอลตนั

11

ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ

นกั วิทยาศาสตรแ์ ละอธิบาย เสนอว่าธาตุประกอบด้วยอะตอมซึง่ เป็นอนุภาคขนาดเล็กไม่

วิวัฒนาการของแบบจาลอง สามารถแบ่งแยกได้ต่อมาทอมสนั เสนอว่าอะตอม

อะตอม ประกอบดว้ ยอนภุ าคทมี่ ปี ระจลุ บ เรียกวา่ อิเล็กตรอน และ

อนภุ าคประจุบวก รัทเทอรฟ์ อร์ดเสนอว่าประจุบวกท่ี

เรียกว่า โปรตอน รวมตัวกนั อย่ตู รงกง่ึ กลางอะตอม เรียกว่า

นวิ เคลยี ส ซ่ึงมขี นาดเลก็ มากและมีอเิ ลก็ ตรอนอยู่รอบ

นิวเคลียส โบร์เสนอว่าอิเลก็ ตรอนเคล่อื นทเ่ี ปน็ วงรอบ

นิวเคลยี สโดยแตล่ ะวงมรี ะดับพลังงานเฉพาะตัว ในปัจจุบนั

นักวิทยาศาสตรย์ อมรับวา่ อิเล็กตรอนมีการเคลอื่ นทรี่ วดเรว็

รอบนวิ เคลียส และไมส่ ามารถระบุตาแหน่งท่แี น่นอนได้จึง

เสนอแบบจาลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก ซ่งึ แสดงโอกาส

การพบอเิ ล็กตรอนรอบนิวเคลียส

๖. เขยี นสัญลกั ษณน์ วิ เคลียร์ของ • สัญลักษณน์ ิวเคลยี ร์ของธาตุ ประกอบด้วยสัญลกั ษณ์ธาตุ

ธาตุและระบจุ านวนโปรตอน เลขอะตอมซึง่ แสดงจานวนโปรตอน และเลขมวลซง่ึ

นวิ ตรอน และอิเล็กตรอนของ แสดงผลรวมของจานวนโปรตอนกบั นิวตรอน อะตอมของ

อะตอมจากสัญลกั ษณ์นิวเคลยี ร์ ธาตุชนดิ เดียวกนั ท่มี ีจานวนโปรตอนเท่ากนั แตม่ จี านวน

รวมทัง้ บอกความหมายของ นวิ ตรอนตา่ งกนั เรยี กว่า ไอโซโทป

ไอโซโทป

๗. อธบิ าย และเขยี นการจัดเรยี ง • การศกึ ษาสเปกตรัมการเปล่งแสงของอะตอมแก๊สทาให้

อเิ ล็กตรอนในระดบั พลงั งานหลกั ทราบวา่ อเิ ล็กตรอนจดั เรียงอยรู่ อบ ๆนิวเคลียสในระดับ

และระดับพลงั งานยอ่ ยเมื่อทราบ พลงั งานหลักตา่ ง ๆ และแตล่ ะระดับพลังงานหลักยัง

เลขอะตอมของธาตุ แบง่ เป็นระดบั พลังงานย่อยซึ่งมบี ริเวณท่ีจะพบอิเล็กตรอน

เรียกว่า ออรบ์ ทิ ัล ได้แตกต่างกัน และอเิ ลก็ ตรอนจะจัดเรียง

ในออรบ์ ทิ ลั ให้มรี ะดบั พลังงานต่าทสี่ ดุ สาหรับอะตอมใน

สถานะพนื้

๘. ระบุหมคู่ าบ ความเปน็ โลหะ • ตารางธาตุในปัจจุบันจดั เรียงธาตุตามเลขอะตอมและ

อโลหะ และกงึ่ โลหะ ของธาตุ สมบัติที่คล้ายคลึงกนั เปน็ หมูแ่ ละคาบโดยอาจแบง่ ธาตุใน

เรพรเี ซนเททีฟและธาตุแทรนซิ ตารางธาตเุ ป็นกลมุ่ ธาตโุ ลหะกึง่ โลหะ และอโลหะ

ชนั ในตารางธาต นอกจากนอี้ าจแบง่ เปน็ กล่มุ ธาตุเรพรเี ซนเททีฟและกลุ่ม

ธาตุแทรนซชิ ัน

12

ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เตมิ

๙. วเิ คราะห์และบอกแนวโนม้ • ธาตุเรพรีเซนเททีฟในหม่เู ดยี วกนั มีจานวนเวเลนซ์-

สมบัติของธาตุเรพรเี ซนเททีฟตาม อิเลก็ ตรอนเทา่ กัน และธาตุทอี่ ยู่ในคาบเดยี วกนั มเี วเลนซ์

หมูแ่ ละตามคาบ อิเลก็ ตรอนในระดับพลังงานหลักเดียวกันธาตุ

เรพรีเซนเททฟี มีสมบตั ิทางเคมีคลา้ ยคลึงกนั ตามหมแู่ ละมี

แนวโน้มสมบตั ิบางประการเป็นไปตามหมูแ่ ละตามคาบ เช่น

ขนาดอะตอม รศั มีไอออนพลงั งานไอออไนเซชัน อิเลก็ โทร

เนกาตวิ ติ สี มั พรรคภาพอเิ ล็กตรอน

๑๐. บอกสมบตั ิของธาตโุ ลหะแท • ธาตุแทรนซชิ นั เป็นโลหะท่สี ่วนใหญม่ ีเวเลนซ์-อิเล็กตรอน

รนซชิ ัน และเปรียบเทยี บสมบตั ิ เทา่ กบั ๒ มขี นาดอะตอมใกลเ้ คียงกันมีจุดเดอื ด จดุ

กบั ธาตุโลหะในกล่มุ ธาตเุ รพรีเซน หลอมเหลวและความหนาแน่นสงู เกิดปฏิกิริยากบั นา้ ได้ชา้

เททฟี กว่าธาตโุ ลหะในกลุ่มธาตุเรพรเี ซนเททีฟ เม่อื เกิดเปน็

สารประกอบส่วนใหญจ่ ะมสี ี

๑๑. อธิบายสมบตั แิ ละคานวณ • ธาตุแตล่ ะชนิดมไี อโซโทป ซงึ่ ในธรรมชาตบิ างธาตมุ ี

คร่ึงชีวิตของไอโซโทปกมั มันตรงั สี ไอโซโทปทแี่ ผร่ งั สีไดเ้ นอื่ งจากนิวเคลยี สไมเ่ สถยี ร เรยี กวา่

ไอโซโทปกมั มันตรังสสี าหรับธาตกุ มั มนั ตรงั สเี ป็นธาตุท่ีทุก

ไอโซโทปสามารถแผ่รังสไี ด้รังสีที่เกิดข้นึ เช่น รังสีแอลฟา

รังสบี ตี ารงั สีแกมมา โดยคร่ึงชวี ิตของไอโซโทปกมั มันตรังสี

เป็นระยะเวลาทไ่ี อโซโทปกมั มนั ตรงั สีสลายตัวจนเหลือ

ครง่ึ หนง่ึ ของปรมิ าณเดมิ ซ่งึ เปน็ ค่าคงที่เฉพาะของแต่ละ

ไอโซโทปกมั มนั ตรงั สี

๑๒. สบื ค้นขอ้ มลู และ • สมบัตบิ างประการของธาตแุ ตล่ ะชนดิ ทาให้สามารถนา

ยกตัวอยา่ งการนาธาตมุ าใช้ ธาตุไปใชป้ ระโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆไดอ้ ยา่ งหลากหลาย ทั้งน้ี

ประโยชน์รวมท้งั ผลกระทบต่อ การนาธาตไุ ปใช้ตอ้ งตระหนกั ถงึ ผลกระทบทม่ี ตี อ่ สิ่งมีชวี ติ

สิ่งมชี ีวิตและสิง่ แวดลอ้ ม และสง่ิ แวดล้อมโดยเฉพาะสารกมั มนั ตรังสซี ่งึ ตอ้ งมกี าร

จัดการอยา่ งเหมาะสม

๑๓. อธบิ ายการเกดิ ไอออนและ • สารเคมีเกดิ จากการยึดเหนย่ี วกนั ดว้ ยพันธะเคมซี ่ึง

การเกิดพนั ธะไอออนกิ โดยใช้ เก่ยี วขอ้ งกบั เวเลนซ์อิเล็กตรอนที่แสดงไดด้ ้วยสัญลกั ษณ์

แผนภาพหรอื สญั ลักษณ์แบบจุด แบบจดุ ของลวิ อิส โดยการเกิดพนั ธะเคมสี ่วนใหญ่เปน็ ไป

ของลิวอิส ตามกฎออกเตต • พันธะไอออนกิ เกิดจากการยึดเหนี่ยว

ระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกกับไอออนลบสว่ นใหญ่

13

ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เติม

๑๔. เขยี นสูตร และเรยี กชื่อ ไอออนบวกเกดิ จากโลหะเสยี อเิ ลก็ ตรอนและไอออนลบเกดิ

สารประกอบไอออนกิ จากอโลหะรับอเิ ล็กตรอนสารประกอบท่เี กดิ จากพันธะไอออ

นกิ เรียกวา่ สารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกไม่

อยู่ในรูปโมเลกุล แตเ่ ปน็ โครงผลึกท่ปี ระกอบด้วยไอออน

บวกและไอออนลบจัดเรียงตัวต่อเนื่องกันไปทั้งสามมติ ิ

• สารประกอบไอออนกิ เขยี นแสดงสตู รเคมีโดยให้สัญลักษณ์

ธาตทุ ่ีเป็นไอออนบวกไวข้ ้างหน้าตามด้วยสัญลกั ษณธ์ าตุท่ี

เป็นไอออนลบ โดยมตี วั เลขแสดงอตั ราสว่ นอยา่ งตา่ ของ

จานวนไอออนทเี่ ปน็ องคป์ ระกอบ

• การเรียกชอ่ื สารประกอบไอออนกิ ทาไดโ้ ดยเรยี กชือ่

ไอออนบวกแล้วตามดว้ ยช่ือไอออนลบสาหรับสารประกอบ

ไอออนกิ ท่เี กิดจากโลหะท่มี ีเลขออกซเิ ดชันได้หลายคา่ ตอ้ ง

ระบุเลขออกซิเดชันของโลหะด้วย

๑๕. คานวณพลังงานท่ีเก่ียวขอ้ ง • ปฏิกริ ยิ าการเกิดสารประกอบไอออนิกจากธาตเุ กี่ยวขอ้ ง

กับปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบ กบั ปฏิกิริยาเคมหี ลายขัน้ ตอน มที งั้ ทีเ่ ป็นปฏิกิรยิ าดูด

ไอออนกิ จากวฏั จกั รบอรน์ -ฮา พลังงานและคายพลังงานซง่ึ แสดงได้ดว้ ยวฏั จักรบอร์น-ฮา

เบอร์ เบอร์และพลงั งานของปฏิกริ ิยาการเกดิ สารประกอบไอ

ออนิกเปน็ ผลรวมของพลงั งานทกุ ขัน้ ตอน

๑๖. อธบิ ายสมบตั ิของ • สารประกอบไอออนิกสว่ นใหญม่ ลี กั ษณะเป็นผลกึ ของแขง็

สารประกอบไอออนกิ เปราะ มจี ุดหลอมเหลวและจุดเดือดสงู ละลายนา้ แลว้ แตก

ตวั เป็นไอออนเรียกว่า สารละลายอเิ ล็กโทรไลต์เมือ่ เป็น

ของแขง็ ไม่นาไฟฟา้ แต่ถา้ ทาใหห้ ลอมเหลวหรอื ละลายใน

นา้ จะนาไฟฟา้ • สารละลายของสารประกอบไอออนิกแสดง

สมบัตคิ วามเป็นกรด–เบส ตา่ งกนั สารละลายของ

สารประกอบคลอไรด์มสี มบัติเป็นกลาง และสารละลายของ

สารประกอบออกไซด์มสี มบัติเปน็ เบส

๑๗. เขยี นสมการไอออนกิ และ • ปฏิกริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก สามารถเขียนแสดง

สมการไอออนกิ สุทธิของปฏิกริ ยิ า ดว้ ยสมการไอออนกิ หรอื สมการไอออนกิ สทุ ธโิ ดยท่ีสมการ

ของสารประกอบไอออนิก ไอออนิกแสดงสารต้งั ต้นและผลิตภัณฑ์ทุกชนดิ ที่แตกตัวได้

ในรปู ของไอออนสว่ นสมการไอออนกิ สุทธิแสดงเฉพาะ

14

ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม

ไอออนท่ีทาปฏิกิรยิ ากัน และผลิตภณั ฑ์ท่เี กิดขนึ้

๑๘. อธบิ ายการเกิดพันธะโคเว • พันธะโคเวเลนต์เปน็ การยึดเหน่ยี วที่เกดิ ขึน้ ภายในโมเลกุล

เลนต์แบบพนั ธะเด่ยี วพันธะคู่และ จากการใชเ้ วเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันของธาตุซ่ึงส่วนใหญ่

พนั ธะสาม ดว้ ยโครงสร้างลิวอสิ เปน็ ธาตอุ โลหะ โดยทั่วไปจะเป็นไปตามกฎออกเตต สารท่ี

ยดึ เหนีย่ วกันด้วยพนั ธะโคเวเลนต์

เรยี กว่า สารโคเวเลนตพ์ ันธะโคเวเลนตเ์ กิดได้ทง้ั พันธะเดีย่ ว

พันธะคแู่ ละพนั ธะสาม ซงึ่ สามารถเขยี นแสดงไดด้ ้วย

โครงสรา้ งลิวอิส โดยแสดงอเิ ล็กตรอนครู่ ว่ มพนั ธะด้วยจดุ

หรือเส้น และแสดงอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ียวของแตล่ ะอะตอม

ดว้ ยจุด

๑๙.เขียนสตู ร และเรยี กชือ่ สาร • สตู รโมเลกุลของสารโคเวเลนตโ์ ดยท่ัวไปเขยี นแสดงด้วย

โคเวเลนต์ สญั ลักษณข์ องธาตุเรยี งลาดบั ตามค่าอเิ ลก็ โทรเนกาติวติ จี าก

นอ้ ยไปมากโดยมตี ัวเลขแสดงจานวนอะตอมของธาตทุ ี่มี

มากกวา่ ๑ อะตอมในโมเลกุล

• การเรยี กชือ่ สารโคเวเลนตท์ าได้โดยเรยี กชื่อธาตุที่อยู่หนา้

กอ่ น แล้วตามด้วยชื่อธาตุทีอ่ ยู่ถดั มาโดยมีคานาหนา้ ระบุ

จานวนอะตอมของธาตุที่เปน็ องคป์ ระกอบ

๒๐. วเิ คราะหแ์ ละเปรียบเทียบ • ความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ข้นึ กบั

ความยาวพนั ธะและพลังงาน ชนิดของอะตอมคู่รว่ มพันธะและชนิดของพันธะ โดยพนั ธะ

พนั ธะในสารโคเวเลนตร์ วมทั้ง เดี่ยว พันธะค่แู ละพันธะสาม มีความยาวพันธะและพลงั งาน

คานวณพลงั งานท่เี ก่ียวข้องกบั พนั ธะแตกตา่ งกัน นอกจากน้โี มเลกุลโคเวเลนตบ์ างชนดิ มี

ปฏกิ ริ ยิ าของสารโคเวเลนต์จาก คา่ ความยาวพนั ธะและพลังงานพนั ธะแตกต่างจากของ

พลังงานพนั ธะ พนั ธะเด่ยี ว พนั ธะค่แู ละพนั ธะสามซึง่ สารเหล่านส้ี ามารถ

เขียนโครงสรา้ งลวิ อสิ ทเ่ี หมาะสมไดม้ ากกวา่ ๑ โครงสรา้ ง ท่ี

เรยี กวา่ โครงสรา้ งเรโซแนนซ์

• พลงั งานพันธะนามาใช้ในการคานวณพลังงานของ

ปฏกิ ริ ิยา ซง่ึ ไดจ้ ากผลต่างของพลงั งานพนั ธะรวมของสารต้ัง

ต้นกบั ผลิตภัณฑ์

15

ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติม

๒๑. คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเว • รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์อาจพจิ ารณาโดยใชท้ ฤษฎี

เลนตโ์ ดยใช้ทฤษฎกี ารผลัก การผลักระหว่างคูอ่ เิ ลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR) ซ่ึง

ระหวา่ งคอู่ เิ ล็กตรอนในวงเวเลนซ์ ข้นึ อยกู่ บั จานวนพนั ธะและจานวนอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ยี ว

และระบุสภาพขั้วของโมเลกลุ รอบอะตอมกลางโมเลกุลโคเวเลนตม์ ีทัง้ โมเลกุลมขี วั้ และไม่

โคเวเลนต์ มีขว้ั สภาพข้ัวของโมเลกุลโคเวเลนตเ์ ป็นผลรวมปริมาณ

เวกเตอร์สภาพข้วั ของแตล่ ะพันธะตามรูปรา่ งโมเลกุล

๒๒. ระบุชนิดของแรงยดึ เหนยี่ ว • แรงยดึ เหน่ียวระหว่างโมเลกุลซ่ึงอาจเปน็ แรงแผก่ ระจาย

ระหว่างโมเลกลุ โคเวเลนตแ์ ละ ลอนดอน แรงระหวา่ งขวั้ และพันธะไฮโดรเจน

เปรยี บเทียบจดุ หลอมเหลวจุด มีผลตอ่ จุดหลอมเหลวจุดเดอื ด และการละลายน้าของสาร

เดือด และการละลายน้าของสาร นอกจากน้ีสารโคเวเลนต์สว่ นใหญ่ยงั มจี ดุ หลอมเหลวและจดุ

โคเวเลนต์ เดอื ดต่ากวา่ สารประกอบไอออนิกเนอื่ งจากแรงยดึ เหนย่ี ว

ระหว่างโมเลกลุ มคี า่ น้อยกวา่ พันธะไอออนิก • สารโคเว

เลนต์สว่ นใหญม่ ีจุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดต่า และไม่

ละลายในนา้ สาหรบั สารโคเวเลนต์ที่ละลายนา้ มที งั้ แตกตวั

และไม่แตกตวั เปน็ ไอออน สารละลายท่ไี ด้จากสารทีไ่ ม่แตก

ตวั เป็นไอออนจะไม่นาไฟฟ้า เรยี กวา่ สารละลายนอนอเิ ล็ก

โทรไลตส์ ่วนสารละลายทไ่ี ด้จากสารทแี่ ตกตัวเป็นไอออนจะ

นาไฟฟา้ เรยี กวา่ สารละลายอิเลก็ โทรไลตส์ ารละลายของ

สารประกอบคลอไรดแ์ ละออกไซด์จะมสี มบตั เิ ป็นกรด

๒๓. สบื ค้นขอ้ มูล และอธบิ าย • สารโคเวเลนตบ์ างชนดิ ทีม่ ีโครงสรา้ งโมเลกุลขนาดใหญ่

สมบตั ิของสารโคเวเลนตโ์ ครงรา่ ง และมพี นั ธะโคเวเลนตต์ ่อเนอ่ื งเปน็ โครงร่างตาขา่ ย จะมีจุด

ตาข่ายชนดิ ต่าง ๆ หลอมเหลวและจุดเดือดสงู สารโคเวเลนตโ์ ครงรา่ งตาข่ายที่

มีธาตอุ งคป์ ระกอบเหมือนกัน แตม่ อี ัญรูปตา่ งกนั จะมสี มบัติ

ตา่ งกนั เช่น เพชร แกรไฟต์

๒๔. อธิบายการเกิดพันธะโลหะ • พนั ธะโลหะเกดิ จากเวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนของทุกอะตอมของ

และสมบตั ขิ องโลหะ โลหะเคล่ือนทอี่ ยา่ งอิสระไปท่วั ทง้ั โลหะ และเกดิ แรงยึด

เหนย่ี วกบั โปรตอนในนิวเคลยี สทุกทิศทาง • โลหะสว่ นใหญ่

เปน็ ของแข็ง มีผิวมันวาว สามารถตีเป็นแผน่ หรือดงึ เป็นเส้น

ได้นาความรอ้ นและนาไฟฟ้าได้ดีมจี ดุ หลอมเหลวและจุด

เดอื ดสงู

16

ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เตมิ

๒๕. เปรยี บเทยี บสมบัติบาง • สารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนตแ์ ละโลหะมสี มบัติ

ประการของสารประกอบไอออ เฉพาะตวั บางประการทแ่ี ตกต่างกัน เชน่ จดุ เดือด จุด

นิก สารโคเวเลนตแ์ ละโลหะ หลอมเหลว การละลายนา้ การนาไฟฟา้ จงึ สามารถนามาใช้

สบื ค้นข้อมูลและนาเสนอตวั อย่าง ประโยชน์ในด้านต่าง ๆได้ตามความเหมาะสม

การใชป้ ระโยชน์ของสารประกอบ

ไอออนิก สารโคเวเลนต์และโลหะ

ได้อย่างเหมาะสม

8. คาอธิบายรายวชิ า ว31221 เคมี 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4
บอกและอธบิ ายขอ้ ปฏบิ ตั เิ บอ้ื งตน้ และปฏบิ ตั ติ นท่แี สดงถึงความตระหนักในการทา

ปฏบิ ตั ิการเคมเี พื่อให้มีความปลอดภยั ทัง้ ตอ่ ตนเอง ผู้อ่ืนและสงิ่ แวดลอ้ ม และเสนอแนวทางแกไ้ ขเมื่อ
เกิดอบุ ตั ิเหตุ เลือก และใชอ้ ปุ กรณ์หรือเครอ่ื งมอื ในการทาปฏิบัติการ และวดั ปรมิ าณตา่ ง ๆ ได้อยา่ ง
เหมาะสม นาเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขยี นรายงานการทดลอง ระบหุ น่วยวัดปริมาณตา่ ง ๆ
ของสาร และเปลีย่ นหนว่ ยวัดใหเ้ ป็นหน่วยในระบบเอสไอดว้ ยการใชแ้ ฟกเตอรเ์ ปลี่ยนหนว่ ย สบื ค้น
ข้อมลู สมมตฐิ าน การทดลอง หรือผลการทดลองท่เี ป็นประจกั ษ์พยานในการเสนอแบบจาลองอะตอม
ของนักวิทยาศาสตรแ์ ละอธบิ ายวิวัฒนาการของแบบจาลองอะตอม เขยี นสญั ลกั ษณ์นวิ เคลียรข์ องธาตุ
และระบุจานวนโปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ลก็ ตรอนของอะตอมจากสัญลักษณน์ วิ เคลียร์รวมทง้ั บอก
ความหมายของไอโซโทป อธิบาย และเขยี นการจัดเรยี งอเิ ลก็ ตรอนในระดบั พลังงานหลักและระดับ
พลงั งานยอ่ ยเมอื่ ทราบเลขอะตอมของธาตุ ระบุหมูค่ าบ ความเป็นโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ของธาตุ
เรพรเี ซนเททีฟและธาตุแทรนซชิ ันในตารางธาตุ วิเคราะหแ์ ละบอกแนวโนม้ สมบัตขิ องธาตุเรพรีเซนเท
ทฟี ตามหม่แู ละตามคาบ บอกสมบตั ิของธาตุโลหะแทรนซิชนั และเปรียบเทยี บสมบตั ิกบั ธาตุโลหะใน
กลมุ่ ธาตุเรพรีเซนเททีฟ อธบิ ายสมบตั ิและคานวณครง่ึ ชวี ิตของไอโซโทปกัมมันตรงั สี สบื คน้ ข้อมลู
และยกตวั อยา่ งการนาธาตมุ าใชป้ ระโยชน์รวมทงั้ ผลกระทบต่อส่งิ มชี ีวิตและสง่ิ แวดล้อม อธบิ ายการ
เกดิ ไอออนและการเกดิ พันธะไอออนิก โดยใช้แผนภาพหรอื สญั ลักษณแ์ บบจดุ ของ ลวิ อสิ เขยี นสตู ร
และเรยี กชอ่ื สารประกอบไอออนกิ คานวณพลงั งานท่ีเกย่ี วข้องกับปฏกิ ิรยิ าการเกดิ สารประกอบไอ
ออนกิ จากวัฏจักรบอร์น-ฮาเบอร์ อธบิ ายสมบตั ิของสารประกอบไอออนกิ เขียนสมการไอออนกิ และ
สมการไอออนกิ สุทธิของปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนกิ อธบิ ายการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบ
พนั ธะเด่ยี วพันธะคู่และพนั ธะสาม ดว้ ยโครงสรา้ งลิวอสิ เขียนสูตร และเรยี กชอ่ื สารโคเวเลนต์
วเิ คราะห์และเปรยี บเทียบความยาวพันธะและพลงั งานพนั ธะในสารโคเวเลนตร์ วมท้งั คานวณพลังงาน
ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับปฏกิ ริ ิยาของสารโคเวเลนตจ์ ากพลังงานพนั ธะ คาดคะเนรปู ร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์โดยใช้
ทฤษฎกี ารผลกั ระหวา่ งคู่อเิ ล็กตรอนในวงเวเลนซ์และระบุสภาพข้วั ของโมเลกุลโคเวเลนต์ ระบชุ นิด

17

ของแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนตแ์ ละเปรยี บเทียบจดุ หลอมเหลวจดุ เดอื ด และการละลาย
น้าของสารโคเวเลนต์ สบื ค้นขอ้ มูล และอธบิ ายสมบตั ขิ องสารโคเวเลนตโ์ ครงรา่ งตาขา่ ยชนิดต่าง ๆ
อธิบายการเกิดพนั ธะโลหะและสมบตั ิของโลหะ เปรียบเทยี บสมบตั บิ างประการของสารประกอบ
ไอออนกิ สารโคเวเลนต์และโลหะ สบื ค้นขอ้ มูลและนาเสนอตวั อย่างการใช้ประโยชนข์ อสารประกอบ
ไอออนกิ สารโคเวเลนตแ์ ละโลหะ ได้อย่างเหมาะสม

โดยใช้การสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ
ทักษะการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 การสืบค้นข้อมูลและการอภิปราย เพ่อื ให้เกดิ ความรู้ ความคดิ
ความเข้าใจ สามารถสือ่ สารสงิ่ ที่เรยี นรู้ มคี วามสามารถในการตัดสินใจ การแกป้ ัญหา การนาความรู้
ไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และคา่ นยิ มที่เหมาะสม

บทท่ี 2 อะตอมและตารางธาตุ

ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้

1. สบื ค้นขอ้ มูลและอธิบายแนวคิด  แบบจาลองสร้างขนึ้ จากขอ้ มลู ทเี่ ป็นผลการทดลอง สามารถ

ในการพัฒนาแบบจาลองอะตอม เปลี่ยนแปลงไดต้ ามผลการทดลองทพี่ บใหม่

และเปรียบเทยี บแบบจาลอง  แนวคดิ เกย่ี วกับแบบจาลองอะตอมของ

อะตอม ดอลตนั ทอมสัน รทั เทอรฟ์ อรด์ โบร์ และแบบกลุ่มหมอกมี

ความแตกต่างกัน

2. สบื ค้นข้อมูล ทดลอง และ  อะตอมประกอบดว้ ยอนภุ าคทส่ี าคัญ คือ อิเล็กตรอน

อธิบายสมบัติของอนภุ าคมลู ฐาน โปรตอน และนวิ ตรอน อนภุ าคทง้ั 3 ชนิดน้ีเรยี กวา่ อนภุ าคมูล

ของอะตอม และแปลความหมาย ฐานของอะตอม

สัญลกั ษณน์ ิวเคลยี รข์ องธาตุ  สญั ลักษณ์ของธาตุท่ีเขยี นโดยแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ

จานวนอนภุ าคมลู ฐานของอะตอมเรียกวา่ สัญลักษณน์ วิ เคลียร์

3. สบื ค้นข้อมลู และอธิบาย  อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอนและนิวตรอนอย่รู วมกนั ใน

เกี่ยวกบั อเิ ล็กตรอนในอะตอมทอี่ ยู่ นวิ เคลียส มีอิเลก็ ตรอนเคลอื่ นที่อยรู่ อบ ๆ และอยู่ในระดับ

ในระดบั พลังงานต่าง ๆ กัน พลังงานต่างกนั

 อเิ ล็กตรอนทอ่ี ยู่ในระดบั พลังงานยอ่ ยจะเคล่ือนท่อี ยู่รอบ

นวิ เคลียสในรปู แบบทีแ่ ตกตา่ งกัน เรยี กบรเิ วณท่ีสามารถพบ

อิเลก็ ตรอนเคล่ือนท่อี ยู่นีว้ า่ ออรบ์ ทิ ัล แตล่ ะออร์บิทัลจะแทน

ด้วยกลมุ่ หมอกที่มรี ปู รา่ งแตกต่างกนั

 การบรรจุอิเล็กตรอนในออรบ์ ิทลั ถ้าทกุ ออร์บทิ ลั ทรี่ ะดับ

พลังงานเดียวกันมีอเิ ล็กตรอนอยู่เตม็ เรียกว่า การบรรจุเตม็

18

ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้

แต่ถา้ อเิ ลก็ ตรอนมีอย่เู พยี งคร่งึ เดยี วเรยี กวา่ การบรรจคุ รง่ึ ถา้

อะตอมมีหลายอเิ ล็กตรอน การบรรจอุ เิ ลก็ ตรอนจะตอ้ งบรรจุลง

ในออรบ์ ิทัลต่าง ๆ ตามลาดับระดบั พลังงานจากตา่ ไปสงู

4. อธิบายแนวคดิ และวิวัฒนาการ  ต้งั แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน นักวิทยาศาสตรไ์ ด้จดั กลมุ่ ธาตทุ ่ีพบ

ของการสร้างตารางธาตตุ ้ังแต่อดตี ออกเป็นหมวดหมู่โดยใชส้ มบตั ิของธาตุในด้านตา่ ง ๆ เปน็ เกณฑ์

จนถงึ ปจั จบุ ัน  ตารางธาตใุ นปจั จบุ ันปรับปรงุ มาจากตารางธาตุของเมนเดเล

เยฟ โดยมกี ารจดั เรยี งธาตุตามเลขอะตอมจากนอ้ ยไปมาก

 ธาตุในตารางธาตุจะถกู แบง่ ตามแนวตง้ั ออกเป็นหมู่ได้ 18 หมู่

และแบง่ ตามแนวนอนออกเปน็ คาบได้ 7 คาบ

5. สืบค้นขอ้ มูลและอธบิ าย  ขนาดอะตอมของธาตใุ นหมเู่ ดียวกันจะมแี นวโนม้ ใหญข่ น้ึ เมอื่

แนวโน้มสมบตั ิของธาตุตามหมู่และ เลขอะตอมเพิ่มขึน้ แตธ่ าตใุ นคาบเดยี วกัน ขนาดอะตอมมี

ตามคาบในด้านขนาดอะตอม รศั มี แนวโน้มลดลงเมื่อเลขอะตอมเพม่ิ ขนึ้

ไอออน พลังงานการแตกตัวเป็น  รศั มีไอออนของธาตหุ มู่ IA–VIIA มแี นวโนม้ เพิ่มขน้ึ จากบนลง

ไอออน สภาพไฟฟา้ ลบ สมั พรรค ล่าง โดยรศั มีไอออนบวกจะมคี า่ นอ้ ยกว่ารัศมีอะตอม แตร่ ศั มี

ภาพอิเลก็ ตรอน จดุ หลอมเหลว ไอออนลบจะมีค่ามากกวา่ รัศมอี ะตอม

และจุดเดือด และเลขออกซเิ ดชนั  พลงั งานการแตกตวั เปน็ ไอออนลาดับที่ 1 ของธาตุในหมู่

เดียวกัน จะมคี า่ ลดลงเม่ือเลขอะตอมเพม่ิ ขน้ึ แต่ธาตใุ นคาบ

เดียวกนั จะมีค่าเพ่มิ ขน้ึ เมอื่ เลขอะตอมเพ่ิมขึ้น

 สภาพไฟฟา้ ลบของธาตุในหมเู่ ดยี วกันจะมคี า่ ลดลงเม่ือเลข

อะตอมเพมิ่ ขน้ึ แตธ่ าตใุ นคาบเดียวกนั จะมีค่าเพ่ิมขึน้ เมื่อเลข

อะตอมเพ่ิมขึ้น

 คา่ สัมพรรคภาพอเิ ลก็ ตรอนของธาตใุ นหมู่ IA IIA และ VIIA

จะมแี นวโน้มในการรับอเิ ลก็ ตรอนไดย้ ากจากบนลงลา่ ง สว่ นธาตุ

ในคาบเดียวกนั ในหมู่ IA–IIIA จะมีแนวโน้มรับอเิ ล็กตรอนได้ยาก

แตธ่ าตใุ นหมู่ IVA– VIIA จะมแี นวโน้มในการรับอิเลก็ ตรอนได้

งา่ ย

 จุดหลอมเหลวและจดุ เดือดของธาตตุ ามหมแู่ ละตามคาบของ

ธาตุหมู่ IA–IVA จะสูง แต่ธาตใุ นหมู่ VA–VIIIA จะตา่

 ธาตุหมู่ IA–IIIA จะมีเลขออกซิเดชันเพยี งคา่ เดียว สว่ นธาตุใน

หมู่ IVA–VIIA จะมเี ลขออกซชิ ันไดห้ ลายค่า

19

บทที่ 3 พันธะเคมี สาระการเรยี นรู้
ผลการเรียนรู้  พนั ธะโคเวเลนซเ์ กดิ ข้ึนจากแรงยึดเหน่ียวระหว่างอะตอมที่
มกี ารใชเ้ วเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนรว่ มกันซึ่งเปน็ ไปตามกฎออกเตต
1. สืบคน้ ข้อมูล สังเกต และสรุป  สารโคเวเลนซ์ทป่ี ระกอบดว้ ยธาตุตา่ งชนิดกนั จะมีสูตร
เก่ยี วกับการเกิดพนั ธะโคเวเลนซ์ โมเลกุล การเรียกชอื่ และรูปรา่ งโมเลกุลท่ีแตกตา่ งกนั
 เม่อื สารโคเวเลนซเ์ กดิ การสร้างพนั ธะเคมีหรอื สลายพันธะ
2. สืบคน้ ขอ้ มูลและสรปุ เกี่ยวกบั เคมีจะมพี ลงั งานเขา้ มาเกย่ี วขอ้ งซง่ึ อาจเปน็ การดูดพลงั งาน
สมบัติของสารโคเวเลนซ์ หรอื คายพลงั งาน
 สภาพขวั้ ของสารโคเวเลนซเ์ ป็นการแสดงอานาจทางไฟฟา้
3. สบื คน้ ข้อมลู สังเกต และสรปุ รวมของสภาพขั้วของพันธะในสารโคเวเลนซ์
เกยี่ วกับการเกิดพนั ธะไอออน  จุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดของสารโคเวเลนซม์ ีความ
เกย่ี วขอ้ งกับแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ ถา้ แรงยึดเหน่ยี ว
4. สบื ค้นข้อมูล และสรุปเกยี่ วกับ ระหวา่ งโมเลกุลมีความแขง็ แรงสงู จุดหลอมเหลวและจดุ
สมบัตขิ องสารประกอบไอออน เดอื ดจะสูง
 พันธะไอออนเกิดจากแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งไอออนบวก
5. สบื ค้นขอ้ มูล และสรุปเกย่ี วกบั การ และไอออนลบซ่งึ เปน็ แรงดึงดดู ไฟฟ้าสถติ
เกิดพันธะโลหะ และสมบตั ขิ องโลหะ  สารประกอบไอออนทีป่ ระกอบด้วยไอออนต่างชนิดกันจะ
มสี ูตรสารประกอบไอออนและการเรยี กช่อื ทแ่ี ตกต่างกนั
 การเปลี่ยนแปลงพลงั งานในการเกดิ สารประกอบไออนมี
ทั้งขัน้ ตอนทด่ี ูดพลังงานและคายพลงั งาน
 การละลายของสารประกอบไอออนมพี ลังงานเข้ามา
เกี่ยวขอ้ งซงึ่ อาจเปน็ การดูดพลังงานหรอื คายพลังงาน
 การเกดิ ปฏิกริ ิยาระหว่างสารประกอบไอออนสามารถ
เขียนแสดงไอออนท่เี กิดปฏิกิรยิ าเคมีไดด้ ้วย สมการไอออน
สุทธิ
 พันธะโลหะเกิดขนึ้ จากแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโลหะทีใ่ ช้
อิเล็กตรอนอิสระร่วมกนั ซึ่งเป็นไปตามกฎออกเตต
 สมบัตขิ องโลหะเป็นผลจากอเิ ลก็ ตรอนอิสระท่ีเคลือ่ นทไี่ ด้
ตลอดทัว่ ท้งั กอ้ นโลหะ

20

บทท่ี 3 สมบัติของธาตุและสารประกอบ

ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้

1. อธบิ ายสมบตั ิของธาตุและ  สารประกอบออกไซด์และคลอไรดข์ องโลหะมจี ดุ

สารประกอบของธาตตุ ามคาบ และ หลอมเหลวและจุดเดอื ดสงู เม่อื ละลายนา้ ได้สารละลายคลอ

ทดลองการเกิดปฏิกริ ยิ าของธาตุและ ไรดม์ สี มบัติเป็นกลาง และสารละลายออกไซดม์ ีสมบตั เิ ปน็

สารประกอบของธาตุตามหมู่ รวมทั้ง เบส

เขียนสมการแสดงปฏิกิรยิ าทเี่ กดิ ขึ้น  สารประกอบออกไซด์และคลอไรด์ของอโลหะมจี ดุ เดือด

และจุดหลอมเหลวต่า เม่อื ละลายน้าไดส้ ารละลายคลอไรด์

และออกไซดท์ ่ีมีสมบัติเป็นกรด

 ธาตหุ มู่ IA เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีกบั นา้ ได้ดกี ว่าธาตหุ มู่ IIA

ความสามารถในการละลายน้าของสารประกอบของธาตหุ มู่

IA และหมู่ IIA แตกตา่ งกัน

2. อธิบายสมบัตแิ ละตาแหน่งของธาตุ  ธาตุไฮโดรเจนมสี มบัติบางประการคลา้ ยธาตหุ มู่ IA และมี

ไฮโดรเจนและธาตุกึง่ โลหะในตาราง สมบัติบางประการคล้ายธาตุหมู่ VIIA จึงไม่จดั เขา้ หมใู่ ดใน

ธาตุ ตารางธาตุ

 ธาตทุ ่ีมสี มบตั เิ ปน็ ทง้ั โลหะและอโลหะ เรียกว่า ธาตกุ งึ่

โลหะ

3. อธบิ ายสมบตั ขิ องธาตุแทรนซชิ ัน  ธาตแุ ทรนซชิ ันเปน็ โลหะทม่ี สี มบัติคลา้ ยกันตามคาบซง่ึ

และทดลองการเกดิ สขี องสารประกอบ แตกตา่ งจากธาตุหมู่ IA และหมู่ IIA

ของธาตแุ ทรนซิชนั รวมท้งั  ธาตุแทรนซชิ นั มีเลขออกซเิ ดชันได้หลายค่า เกิด

สารประกอบเชงิ ซ้อนของธาตุ สารประกอบได้หลายชนิด มีสีแตกตา่ งกนั

แทรนซิชัน  ธาตุแทรนซชิ ันเกดิ เป็นสารประกอบเชงิ ซอ้ นได้ โดยมี

อะตอมของธาตแุ ทรนซิชันท่เี ปน็ อะตอมกลาง และมโี มเลกลุ

หรือไอออนมาล้อมรอบ

4. อธิบายสมบัติของธาตกุ มั มันตรงั สี  ธาตุกัมมนั ตรังสมี ีนวิ เคลยี สทไี่ มเ่ สถยี ร เกิดการสลายตวั ให้

การเกิดปฏิกริ ิยาฟิชชันและฟิวชนั อนุภาคและรงั สีตา่ ง ๆ เช่น แอลฟา บีตา และแกมมา

และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์  ระยะเวลาทีน่ ิวเคลียสของไอโซโทปกัมมันตรงั สีสลายตวั

จนเหลอื ครงึ่ หนง่ึ ของปรมิ าณเดิม เรยี กวา่ คร่ึงชีวิต

 ปฏกิ ริ ิยานิวเคลียสของธาตหุ นกั แตกออกเป็นไอโซโทปของ

ธาตทุ เี่ บากวา่ เรียกวา่ ปฏิกริ ิยา ฟชิ ชัน

 ปฏกิ ริ ยิ าทนี่ วิ เคลยี สของไอโซโทปท่มี ีมวลต่ารวมตวั กนั เกิด

21

ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้
เป็นไอโซโทปใหม่ท่ีมมี วลมากกวา่ เดมิ เรียกวา่ ปฏิกิรยิ าฟวิ ชัน
5. อธบิ ายและทดลองสมบตั ิของธาตุ  สารกมั มันตรงั สีสามารถนามาใชป้ ระโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆ
เพอ่ื หาตาแหนง่ ในตารางธาตุ ได้มากมาย เช่น ด้านการแพทย์ เกษตรกรรม อตุ สาหกรรม
การตรวจหาอายุวัตถโุ บราณ
6. สืบคน้ ขอ้ มูลและอธิบายเกย่ี วกับ  การจดั ธาตตุ า่ ง ๆ ไวใ้ นตารางธาตอุ าศัยสมบตั ิท่คี ล้ายกนั
ธาตแุ ละสารประกอบของธาตุทีม่ ีผล และแตกต่างกันเป็นเกณฑ์ ถา้ ทราบสมบตั ิของธาตจุ ะทานาย
ต่อสิ่งมีชีวติ และส่ิงแวดล้อม ตาแหน่งของธาตุในตารางธาตไุ ด้ และถ้าทราบตาแหนง่ ของ
ธาตกุ ส็ ามารถทานายสมบัติของธาตไุ ด้
 ธาตุและสารประกอบของธาตุพบไดใ้ นสิ่งมชี วี ิตและ
สิง่ แวดลอ้ ม ธาตแุ ละสารประกอบเหลา่ นม้ี ีทั้งประโยชน์และ
โทษต่อส่ิงมชี ีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม

22

11. โครงสร้างการแบง่ เวลารายช่ัวโมงในการจดั การเรียนรู้

หนว่ ยการเรยี นรู้/ เรื่อง จานวน
แผนการจัดการเรยี นรู้ ชวั่ โมง

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 ความปลอดภยั และทกั ษะในการปฏิบัติการเคมี 12
2
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 1 ความปลอดภยั ในการทางานกบั สารเคมี 2
2
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 2 อุบตั ิเหตจุ ากสารเคมี 3
3
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การวัดปริมาณสาร 25
1
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 4 หนว่ ยวัด 1
1
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 5 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 2
1
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 อะตอมและตารางธาตุ 2
2
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 6 แบบจาลองอะตอมของดอลตนั และทอมสนั
2
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 7 แบบจาลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อรด์
2
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 8 แบบจาลองอะตอมของโบว์
2
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 9 สเปกตรมั ของธาตุ
23
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 10 แบบจาลองอะตอมแบบกลมุ่ หมอก 2
2
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 11 การจดั เรียงอิเลก็ ตรอนในอะตอม 2
2
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 12 วิวฒั นาการของตารางธาตุ 2

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 13 สมบัตขิ องธาตุ 1 (ขนาดอะตอม รศั มไี อออน พลงั งาน
การแตกตัวเปน็ ไอออน)

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 สมบัติของธาตุ 2 (สภาพไฟฟา้ ลบ สมั พรรคภาพ
อิเลก็ ตรอน)

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 15 สมบตั ขิ องธาตุ 3 (จุดหลอมเหลวและจุดเดอื ด
เลขออกซเิ ดชนั )

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 พันธะเคมี

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 16 การเกดิ พันธะและชนดิ ของพนั ธะโคเวเลนต์

แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 17 การเขยี นสูตรและการเรยี กชือ่ สารประกอบโคเวเลนต์

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 18 กฎออกเตตความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะ

แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 19 รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 20 สภาพขวั้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์

23

หน่วยการเรยี นรู้/ เรอื่ ง จานวน
แผนการจดั การเรียนรู้ ชั่วโมง

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 21 แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ 2
2
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 22 การเกดิ พนั ธะไอออนิก 2
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 23 การเขียนสตู รและการเรียกชื่อสารประกอบไอออนกิ 2
2
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 24 พลงั งานกับการเกดิ สารประกอบไอออนิก 2
1
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 25 สมบัตขิ องสารประกอบไอออนิก 60

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 26 ปฏกิ ิริยาของสารประกอบไอออนกิ

แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 27 พันธะโลหะ

รวม

12. การจัดการเรยี นรกู้ ลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 รายวชิ า
ว31221 เคมี 1 เรื่อง พันธะเคมี
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ า ว31221 เคมี 1 เรอื่ ง พันธะเคมี ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยใช้

การสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้ัน กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ผูส้ อนได้ใช้วิธกี ารออกแบบหน่วย
การเรยี นรู้แบบยอ้ นกลับ (Backward Design) หลกั การสาคญั ของการออกแบบหน่วยการเรียนรูต้ าม
แนวทาง Backward Design จะเนน้ ความสาคญั ไปทเ่ี ปา้ หมายการเรยี นรู้และการบรรลผุ ลตาม
มาตรฐานการเรยี นรู้ทก่ี าหนด โดยผเู้ รียนตอ้ งเกิดความเขา้ ใจท่ีติดตวั อยา่ งยง่ั ยนื (Enduring
Understanding) ซ่ึงครผู ู้สอนจะต้องมีความสามารถในการออกแบบตามลาดับขั้นการเรยี นรทู้ จี่ ะ
พฒั นาผู้เรยี นไปสู่จุดหมายที่พงึ ประสงคไ์ ด้อย่างแท้จรงิ

12.1 หนว่ ยการเรียนรู้
การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรูเ้ ป็นข้นั ตอนสาคญั ของการจัดทาหลักสูตรองิ มาตรฐาน โดย

อาศัยการออกแบบการเรยี นรูแ้ บบยอ้ นกลบั ตามแนว Backward Design นาหลกั สตู รแกนกลางของ
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ มาตรฐานการเรยี นรู้ของแตล่ ะช่วงชน้ั และตวั ชวี้ ดั ของแตล่ ะชัน้ ปมี า
ทาการวเิ คราะห์ แลว้ จดั ทาเป็นหนว่ ยการเรียนรู้ ในหน่วยการเรยี นรหู้ นง่ึ จะประกอบไปด้วย

1. เน้อื หาสาระ วเิ คราะห์จากมาตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ช้ีวดั จากหลักสตู รแกนกลาง
การศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551

2. รายละเอียดของการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน การออกแบบการเรยี นรแู้ บบ
ยอ้ นกลบั ตามแนว Backward Design ในหนว่ ยการเรียนรูม้ ีมาตรฐานเปน็ เป้าหมายของการพัฒนา
ผเู้ รียน มกี ารกาหนดแกน่ เรอื่ ง (Theme) กาหนดงานใหผ้ ู้เรยี นได้ปฏิบัติ มีการวัดและประเมนิ ผลว่า

24

ผูเ้ รียนมคี วามสามารถถงึ ระดับท่ีกาหนดไว้ในมาตรฐานหรือไม่ โดยมีรอ่ งรอย ช้ินงาน การวดั และ
ประเมนิ ผลท่ชี ัดเจน

12.2 การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรยี นรูน้ ับว่าเปน็ หวั ใจสาคญั ของการจดั กระบวนการเรียนรู้ (Learning Process)

เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ แสวงหาความรู้ สรา้ งความเข้าใจ รวมไปถงึ สามารถสร้างองค์ความร้แู ละ
พฒั นาตนเองใหม้ คี วามรคู้ วามสามารถตามทม่ี ุ่งหวังในหลักสตู ร

การจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดบั ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 เรื่อง
พนั ธะเคมี ผ้สู อนไดพ้ ฒั นากจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5E)
ประกอบดว้ ย

1. ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนาเข้าสบู่ ทเรียนหรือเรอ่ื งทสี่ นใจ ซ่งึ อาจ
เกิดข้ึนเองจากความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนกั เรียนเอง หรอื เกดิ จากการอภิปราย
ในกลมุ่ เรอื่ งทนี่ ่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กาลงั เกดิ ข้นึ อยใู่ นช่วงเวลาน้ัน หรือเป็นเร่ือง ท่ีเช่อื มโยง
กับความรู้เดมิ ท่เี พ่ิงเรยี นรมู้ าแล้ว เป็นตัวกระต้นุ ใหน้ ักเรียนสร้างคาถาม กาหนดประเดน็ ท่จี ะศกึ ษาใน
กรณที ีย่ ังไม่มปี ระเด็นใดนา่ สนใจ ครูอาจใหศ้ กึ ษาจากสอื่ ต่างๆ หรือเปน็ ผ้กู ระต้นุ ดว้ ยการเสนอ
ประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่ควรบังคบั ใหน้ กั เรยี นยอมรบั ประเดน็ หรอื คาถามทีค่ รูกาลังสนใจเป็นเร่อื งที่
จะใช้ศกึ ษา เม่ือมีคาถามท่ีน่าสนใจ และนักเรยี นสว่ นใหญย่ อมรับใหเ้ ปน็ ประเด็น ที่ต้องการศึกษาจึง
ร่วมกนั กาหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอยี ดของเร่อื งท่จี ะศึกษาใหม้ ีความชดั เจนยง่ิ ข้ึน อาจ
รวมทั้งการรวบรวมความร้ปู ระสบการณเ์ ดิม หรอื ความร้จู ากแหล่งตา่ งๆ ที่จะ ช่วยให้นาไปสคู่ วาม
เขา้ ใจเร่อื ง หรอื ประเดน็ ที่จะศึกษามากข้นึ และมีแนวทางท่ใี ช้ในการสารวจตรวจสอบอยา่ ง
หลากหลาย

2. ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทาความเข้าใจในประเดน็ หรอื คาถามทสี่ นใจจะ
ศึกษาอยา่ งถอ่ งแทแ้ ลว้ ก็มกี ารวางแผนกาหนดแนวทางการสารวจตรวจสอบ ต้ังสมมติฐาน กาหนด
ทางเลือกทีเ่ ปน็ ไปได้ ลงมือปฏบิ ัตเิ พ่อื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ข้อสนเทศ หรอื ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ วธิ ีการ
ตรวจสอบอาจทาไดห้ ลายวธิ ี เช่น ทาการทดลอง ทากจิ กรรมภาคสนาม การใชค้ อมพิวเตอรเ์ พอ่ื ช่วย
สรา้ งสถานการณ์จาลอง (Simulation) การศกึ ษาหาข้อมลู จากเอกสารอา้ งองิ หรือจากแหล่งข้อมูล
ตา่ งๆ เพื่อให้ไดม้ าซึง่ ข้อมูลอยา่ งเพยี งพอทจ่ี ะใชใ้ นข้นั ตอ่ ไป

3. ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) เมื่อไดข้ อ้ มลู อย่างเพียงพอจากการสารวจ
ตรวจสอบแลว้ จงึ นาขอ้ มูล ขอ้ สนเทศท่ีได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนาเสนอผลทไ่ี ดใ้ นรปู
ต่างๆ เช่น บรรยายสรปุ สร้างแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ หรือวาดรูป สร้างตาราง ฯลฯ การคน้ พบ
ในขนั้ นอ้ี าจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนบั สนนุ สมมติฐานทตี่ งั้ ไวโ้ ตแ้ ย้งกับสมมตฐิ านท่ตี ้ังไว้ หรือไม่
เก่ยี วขอ้ งกับประเด็นท่ไี ดก้ าหนดไว้ แต่ผลทไ่ี ดจ้ ะอยู่ในรปู ใดกส็ ามารถสร้างความรแู้ ละชว่ ยใหเ้ กิดการ
เรียนรู้ได้

25

4. ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) เปน็ การนาความร้ทู ี่สร้างขนึ้ ไปเช่ือมโยงกบั ความร้เู ดมิ
หรอื แนวคิดที่ไดค้ ้นคว้าเพมิ่ เติมหรอื นาแบบจาลองหรือข้อสรุปทไี่ ด้ไปใช้อธบิ ายสถานการณ์หรือ
เหตุการณ์อื่น ถ้าใชอ้ ธบิ ายเรอ่ื งต่างๆ ไดม้ ากแ็ สดงว่าข้อจากดั นอ้ ย ซ่ึงก็จะชว่ ยใหเ้ ชอ่ื มโยงกบั เรื่อง
ตา่ งๆ และทาใหเ้ กิดความรกู้ วา้ งขวางข้นึ

5. ข้นั ประเมิน (Evaluation) เปน็ การประเมนิ การเรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการตา่ งๆ ว่านกั เรยี นมี
ความรอู้ ะไรบา้ ง อย่างไรและมากนอ้ ยเพยี งใด จากขั้นน้จี ะนาไปสกู่ ารนาความรู้ ไปประยกุ ตใ์ ช้ในเรื่อง
อ่ืนๆ การนาความร้หู รอื แบบจาลองไปใชอ้ ธิบายหรือประยกุ ต์ใช้กับเหตกุ ารณ์หรือเรอ่ื งอื่นๆ จะนาไปสู่
ข้อโตแ้ ย้งหรือข้อจากัดซึง่ กอ่ ใหเ้ ปน็ ประเดน็ หรอื คาถาม หรอื ปัญหาทีจ่ ะต้องสารวจตรวจสอบต่อไป
ทาใหเ้ กดิ เปน็ กระบวนการทต่ี อ่ เนือ่ งกนั ไปเร่อื ยๆ จงึ เรียกวา่ Inquiry Cycle กระบวนการสืบเสาะหา
ความรู้จึงชว่ ยใหน้ ักเรียนเกิดการเรยี นรทู้ ้งั เนือ้ หาหลกั และหลักการ ทฤษฎี ตลอดจนการลงมอื ปฏบิ ัติ
เพื่อใหไ้ ดค้ วามรูซ้ งึ่ จะเปน็ พน้ื ฐานในการเรยี นรูต้ อ่ ไป

12.3 สื่อ/แหลง่ การเรียนรู้
สือ่ การเรยี นรทู้ ีใ่ ช้ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4 เร่ือง

พันธะเคมี ผสู้ อนใหค้ วามสาคัญต่อการใชส้ ือ่ ทห่ี ลากหลายและสอดคล้องต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ท่ีใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้

12.4 บนั ทึกหลงั การสอน
หลงั จากทคี่ รผู ู้สอนได้จัดกระบวนการเรยี นรตู้ ามแผนการจดั การเรียนร้แู ลว้ ครผู ู้สอนมกี าร

บนั ทกึ หลงั จากการใช้แผนการจดั การเรยี นรู้นนั้ เพอื่ มาสรุปผลจากการใชแ้ ผน โดยการบนั ทึกผลจาก
การใช้ ปัญหา อุปสรรค แนวทางการแกไ้ ข เพ่ือประเมนิ การใช้แผนว่าแผนทใ่ี ชป้ ระสบผลสาเรจ็
ผูเ้ รยี นมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน มคี ุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์ หรือแผนท่ใี ชย้ งั มปี ัญหาอุปสรรคทีค่ วร
ปรบั ปรุงแก้ไข จะได้หาแนวทางการปรบั ปรุงและนาไปสู่การวจิ ัยในช้นั เรียนเพื่อแก้ปัญหาและพฒั นา
ผเู้ รยี นตอ่ ไป

ตอนท่ี 2
หน่วยการเรยี นรู้

27

ผงั มโนทัศน์เปา้ หมายการเรยี นรู้
และขอบขา่ ยภาระงาน หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3

เรอ่ื ง พันธะเคมี
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์

ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4

ความรู้
1. การเกดิ พันธะเคมีชนดิ ต่าง ๆ
2. การเขยี นสูตรและการเรยี กชอื่ สารโคเวเลนซแ์ ละสารประกอบไอออน
3. การเปลีย่ นแปลงพลงั งานในการเกดิ สารโคเวเลนซแ์ ละสารประกอบไอออน
4. รปู ร่างโมเลกลุ และโครงสร้างของสารโคเวเลนซ์ สารประกอบไอออน และโลหะ
5. สมบัตพิ ืน้ ฐานของสารโคเวเลนซ์ สารประกอบไอออน และโลหะ

ทกั ษะ/กระบวนการ พันธะเคมี คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. การสังเกต 1. ใฝเ่ รียนรู้
2. การสบื ค้นข้อมูล 2. มุ่งมัน่ ในการทางาน
3. การอภิปราย 3. มเี จตคติทางวทิ ยาศาสตร์
4. การนาความรไู้ ปใช้ 4. เห็นคณุ คา่ ของการนาความรู้

ในชวี ติ ประจาวัน ไปใช้ประโยชน์ใชีวติ ประจาวัน

ภาระงาน/ช้ินงาน

ร่วมกจิ กรรมการเรียนรู้...

1. การเกิดพนั ธะและชนิดของพันธะโคเวเลนต์ 8. การเขียนสูตรและการเรียกช่อื สารประกอบ

2. การเขียนสตู รและการเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์ ไอออนกิ

3. กฎออกเตตความยาวพนั ธะและพลงั งานพันธะ 9. พลังงานกบั การเกดิ สารประกอบไอออนิก

4. รูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ 10. สมบตั ขิ องสารประกอบไอออนิก

5. สภาพขว้ั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ 11. ปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก
6. แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกกลุ าโครเวอเลอนกตแ์ บ1บ2.หนว่ ยการพเนั รธียะโนลหะ

7. การเกิดพันธะไอออนิก หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่ือง พนั ธะเคมี

28

ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4 เวลาเรยี น 23 ชัว่ โมง

ขน้ั ท่ี 1 ผลลัพธป์ ลายทางทต่ี อ้ งการให้เกดิ ขึ้นกับนกั เรียน

ผลการเรยี นรู้

1. สบื ค้นขอ้ มูล สงั เกต และสรปุ เก่ียวกบั การเกดิ พนั ธะโคเวเลนซ์

2. สบื คน้ ขอ้ มลู และสรปุ เกยี่ วกบั สมบตั ิของสารโคเวเลนซ์

3. สบื ค้นข้อมูล สงั เกต และสรปุ เกยี่ วกบั การเกดิ พนั ธะไอออน

4. สบื ค้นขอ้ มูล และสรปุ เกีย่ วกบั สมบัตขิ องสารประกอบไอออน

5. สบื ค้นขอ้ มูล และสรุปเกยี่ วกับการเกิดพนั ธะโลหะ และสมบัตขิ องโลหะ

ความเขา้ ใจท่ีคงทนของนกั เรียน คาถามสาคญั ทีท่ าใหเ้ กิดความเข้าใจท่ี

นกั เรยี นจะเข้าใจว่า คงทน

1. พันธะโคเวเลนซ์เกดิ การใชเ้ วเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 1. ธาตอุ โลหะยึดเหนย่ี วกันด้วยพนั ธะโค

ของธาตทุ ีส่ รา้ งพนั ธะโคเวเลนซก์ นั เวเลนซเ์ พราะเหตใุ ด

2. สารโคเวเลนซม์ ีความสมั พันธร์ ะหว่างความยาวพันธะ 2. ความยาวพันธะและพลังงานพนั ธะของ

กบั พลังงานพันธะแบบแปรผกผัน สารโคเวเลนซม์ คี วามสัมพนั ธ์กนั ใน

3. พลงั งานของปฏิกิรยิ าของสารโคเวเลนซเ์ ปน็ พลังงาน ลักษณะใด

รวมของการสลายพนั ธะเคมีของสารเร่ิมตน้ และการ 3. การคานวณพลงั งานในการเกดิ ปฏิกริ ยิ า

สร้างพันธะเคมีของผลติ ภัณฑ์ เคมขี องสารโคเวเลนซต์ ้องทราบค่าใดบา้ ง

4. รปู รา่ งโมเลกุลของสารโคเวเลนซข์ น้ึ อยู่กบั การจัดตวั 4. สารโคเวเลนซแ์ ตล่ ะชนิดมีรูปรา่ ง

ของอะตอมในโมเลกลุ แตกต่างกันเพราะเหตใุ ด

5. สภาพขั้วของสารโคเวเลนซ์เกิดจากอะตอมท่มี คี า่ 5. โมเลกลุ ของสารโคเวเลนซจ์ ะแสดง

สภาพไฟฟา้ ลบต่างกนั สรา้ งพันธะโคเวเลนซก์ นั สภาพขัว้ เม่อื ใด

6. สมบตั ิพ้ืนฐานของสารโคเวเลนซ์ขน้ึ อยกู่ ับชนิดของ 6. จุดหลอมเหลวและจุดเดอื ดท่แี ตกตา่ ง

แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ กนั ของสารโคเวเลนซแ์ ตล่ ะชนดิ เปน็ เพราะ

7. พันธะไอออนเป็นพันธะท่ียดึ เหนย่ี วระหวา่ งไอออน เหตุใด

บวกและไอออนลบ 7. แรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโซเดยี มและคลอ

8. วฏั จักรบอร์น-ฮาเบอร์ (Born-Haber cycle) ใช้ ไรดม์ ีลกั ษณะใด

อธิบายขน้ั ตอนในการเกิดสารประกอบไอออน 8. การเกิดสารประกอบไอออนมีขัน้ ตอน

9. สมบตั ิพนื้ ฐานของสารประกอบไอออนขึ้นอยกู่ บั ความ ในการเปลี่ยนแปลงพลังงานอยา่ งไร

แข็งแรงของแรงยึดเหน่ยี วระหว่างไอออนบวกและ 9. ถา้ ตอ้ งการใหโ้ ซเดยี มคลอไรดน์ าไฟฟ้า

ความเขา้ ใจท่คี งทนของนักเรยี น คาถามสาคัญท่ที าให้เกดิ ความเข้าใจท่ี

นกั เรยี นจะเขา้ ใจวา่ (ตอ่ ) คงทน (ตอ่ )

29

ไอออนลบ จะตอ้ งทาอย่างไร

10. สารละลายของสารประกอบไอออนจะเกิดปฏิกิริยา 10. ถา้ ผสมโซเดยี มคาร์บอเนตกับ

เคมีเม่อื ไอออนบวกและไอออนลบคู่ใหม่สร้างแรงยดึ แคลเซียมไฮดรอกไซดจ์ ะเกดิ การ

เหน่ยี วระหว่างกัน เปลยี่ นแปลงลักษณะใด

11. พันธะโลหะเปน็ แรงยึดเหน่ยี วระหว่างไอออนบวกของ 11. แรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งธาตุโลหะมี

อะตอมกบั อเิ ลก็ ตรอนเคล่อื นท่ีอย่างอสิ ระ ลักษณะใด

12. สมบตั ิพน้ื ฐานของโลหะเป็นผลมาจากการเคลอ่ื นที่ 12. อุปกรณ์เก่ยี วกับเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ มกั ใช้

อยา่ งอิสระของอเิ ล็กตรอน โลหะเปน็ สว่ นประกอบเพราะเหตใุ ด

30

ความรขู้ องนกั เรียนทีน่ าไปสู่ความเขา้ ใจที่คงทน ทกั ษะ/ความสามารถของนกั เรียนที่

นกั เรยี นจะรู้ว่า นาไปสู่ความเข้าใจทีค่ งทน นกั เรียนจะ

1. คาสาคัญ ได้แก่ กฎออกเตต ความยาวพนั ธะ สามารถ...

พลังงานพันธะ พันธะโคเวเลนซ์แบบมขี ัว้ 1. สบื ค้นข้อมูลการเกิดพนั ธะโคเวเลนซ์

พันธะโคเวเลนซ์แบบไมม่ ขี ว้ั แรงแวนเดอร์วาลส์ พนั ธะ 2. ฝกึ เขียนชื่อสารโคเวเลนซ์

ไฮโดรเจน สูตรเอมพิริคัล พลังงานโครงร่างผลกึ และ 3. สืบคน้ ขอ้ มลู พลังงานพันธะ

พลังงานไฮเดรชนั 4. สืบคน้ ข้อมลู เรโซแนนซ์

2. อะตอมของธาตอุ โลหะยดึ เหน่ียวกันด้วยพนั ธะโค 5. สงั เกตการจดั ตัวของลกู โปง่ กบั รูปร่าง

เวเลนซเ์ พราะมีคา่ พลังงานการแตกตัวเปน็ ไอออนต่า จึง โมเลกุลของสารโคเวเลนซ์

สูญเสยี เวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนไดย้ าก อะตอมจงึ ใชเ้ วเลนซ์ 6. สบื ค้นขอ้ มูลสภาพข้วั ของสารโคเวเลนซ์

อิเล็กตรอนรว่ มกัน 7. สืบค้นขอ้ มลู แรงยึดเหนย่ี วระหวา่ ง

3. ระยะหา่ งระหวา่ งอะตอมทส่ี ร้างพนั ธะโคเวเลนซก์ นั โมเลกุลของสารโคเวเลนซ์

จะอยู่ในตาแหนง่ ที่แรงผลกั และแรงดงึ ดูดระหวา่ ง 8. สืบคน้ ข้อมลู การเกดิ พนั ธะไอออน

อะตอมมีคา่ สมดลุ 9. สืบค้นข้อมูลการเขยี นสูตรและการ

4. การใช้เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนร่วมกันระหว่างอะตอมของ เรยี กชื่อสารประกอบไอออน

สารโคเวเลนซเ์ ป็นไปตามกฎออกเตต 10. สบื คน้ ข้อมูลพลงั งานกับการเกิด

5. อเิ ลก็ ตรอนคู่ร่วมพันธะเป็นเวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนท่ี สารประกอบไอออน

อะตอมในสารโคเวเลนซใ์ ชร้ ว่ มกนั เปน็ คู่ 11. สงั เกตการละลายของสารประกอบ

6. พนั ธะโคเวเลนซแ์ บบโคออรด์ ิเนตเปน็ พนั ธะท่เี กดิ จาก ไอออนในนา้

การใช้เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนของธาตใุ ดธาตุหนึง่ ในการสร้าง 12. สงั เกตการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมขี อง

พนั ธะโคเวเลนซ์ สารประกอบไอออน

7. สตู รโมเลกลุ ของสารโคเวเลนซ์จะแสดงจานวนอะตอม 13. สบื ค้นขอ้ มูลแบบจาลองและพลงั งาน

แต่ละชนิดท่ีอยู่ภายในโมเลกลุ ท่ีใช้ในการสลายพนั ธะต่าง ๆ

8. การเรยี กชอื่ สารโคเวเลนซ์ต้องระบุจานวนอะตอมที่

สร้างพนั ธะโคเวเลนซด์ ้วยภาษากรีก

9. พันธะเด่ยี วจะมคี วามยาวพนั ธะมากกว่าพันธะคแู่ ละ

พันธะสาม ตามลาดบั

10. พันธะเด่ยี วจะมีความแขง็ แรงของพันธะน้อยกว่า

พันธะคูแ่ ละพันธะสามตามลาดับ

31

ความรขู้ องนักเรียนท่ีนาไปสู่ความเข้าใจท่ีคงทน
นักเรียนจะรู้ว่า (ต่อ)
11. การเปลย่ี นแปลงของพลังงานของปฏกิ ริ ยิ าเคมีของ
สารโคเวเลนซ์ประกอบด้วยการดดู พลงั งานเพ่ือทาลาย
พันธะเคมีของสารเริ่มต้นและการคายพลงั งานเพ่ือสร้าง
พันธะเคมีของผลติ ภณั ฑ์
12. เรโซแนนซเ์ ปน็ ปรากฏการณ์ท่สี ารโคเวเลนซม์ ีคู่
อิเล็กตรอนเคลื่อนทีร่ ะหว่างอะตอมภายในโมเลกุลเพอ่ื
ทาใหอ้ ะตอมสรา้ งพันธะโคเวเลนซ์ได้
13. อะตอมภายในโมเลกลุ จะจดั ตัวใหอ้ ยู่ในตาแหนง่ ที่
เหมาะสมและห่างกนั ท่สี ุดเพอื่ ใหโ้ มเลกลุ มพี ลงั งานต่า
และมีเสถยี รภาพมากทีส่ ุด
14. เมอื่ อะตอมที่มคี ่าสภาพไฟฟา้ ลบตา่ งกันสร้างพนั ธะ
โคเวเลนซก์ ันอะตอมจะเกิดการแสดงอานาจไฟฟา้ ขนึ้
เรียกพนั ธะนว้ี า่ พนั ธะโคเวเลนซ์แบบมขี ้ัว
15. สารโคเวเลนซจ์ ะแสดงสภาพข้วั เมอ่ื ทิศทางข้ัวของ
พันธะไม่เกดิ การหักลา้ งกนั หมด
16. แกส๊ เฉอ่ื ยและโมเลกุลไมม่ ขี ัว้ มีจุดหลอมเหลวและ
จดุ เดอื ดต่าเนอ่ื งจากโมเลกลุ ยดึ เหนยี่ วกันดว้ ยแรง
ลอนดอนท่มี ีคา่ ตา่ มาก
17. โมเลกุลมีขว้ั มีจุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดสูงกว่าแกส๊
เฉอื่ ยและโมเลกลุ ไม่มขี ั้วเพราะโมเลกลุ ยึดเหนี่ยวกันดว้ ย
แรงแวนเดอร์วาลส์
18. พันธะไฮโดรเจนเปน็ พันธะท่มี คี วามแขง็ แรงมาก
เกิดในโมเลกุลมขี ั้วทไี่ ฮโดรเจนสรา้ งพนั ธะโคเวเลนซก์ บั
ธาตทุ ีม่ คี ่าสภาพไฟฟา้ ลบสงู ไดแ้ ก่ F, O และ N
19. สารโคเวเลนซ์ทมี่ โี ครงสร้างแบบโครงผลกึ รา่ งตาข่าย
จะมจี ุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงมาก และมคี วาม
แข็งแรง

20. การรับและใหเ้ วเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนในการเกดิ พนั ธะ
ไอออนเปน็ ไปตามกฎออกเตต เกดิ เป็นแรงยึดเหนี่ยว

32

ระหวา่ งไอออนบวกและไอออนลบซงึ่ เปน็ แรงดงึ ดงึ ดูด
ความรูข้ องนักเรยี นท่ีนาไปสคู่ วามเข้าใจทีค่ งทน
นกั เรียนจะรวู้ า่ (ตอ่ )
ไฟฟา้ สถิต
21. ไอออนบวกและไออนลบจะสร้างแรงยดึ เหนยี่ ว
ตอ่ ไปเรื่อย ๆ จนกลายเปน็ ผลกึ ขนาดใหญ่ทาให้ไม่
สามารถแยกออกเป็นโมเลกลุ ได้ สารประกอบไอออนจงึ
ใช้สูตรเอมพริ ิคัลเป็นสูตรโมเลกุลแทน
22. การเรียกชอ่ื สารประกอบไอออนจะระบตุ วั เลขประจุ
เมอ่ื ไอออนบวกเป็นธาตุแทรนซชิ ัน
23. พลงั งานท่ีเกี่ยวขอ้ งในการเกดิ สารประกอบ ไอออน
ได้แก่ พลงั งานการระเหิด พลงั งานการแตกตวั
เป็นไอออน พลังงานการสลายพันธะ สัมพรรคภาพ
อิเล็กตรอน และพลังงานโครงร่างผลกึ
24. สารประกอบไอออนจะนาไฟฟา้ ไดเ้ มือ่ เปน็ ของเหลว
หรือเปน็ สารละลายเน่ืองจากไอออนบวกและไอออนลบ
แยกออกจากกนั ทาใหไ้ อออนทงั้ 2 ชนิด เคลอื่ นท่เี ป็น
อิสระ
25. สารประกอบไอออนสามารถละลายน้าไดเ้ พราะน้า
ออกแรงดึงดูดใหไ้ อออนบวกและไอออนลบแยกออกจาก
กัน จากนนั้ นา้ จะเขา้ ไปล้อมไอออนทัง้ 2 ชนดิ น้ไี วแ้ ทน
26. สารประกอบไอออนทไ่ี ม่ละลายในน้าเพราะพลังงาน
แลตทิซมคี ่าสูงกวา่ พลงั งานไฮเดรชนั มาก
27. เม่ือผสมสารละลายของสารประกอบไอออน 2 ชนดิ
เข้าดว้ ยกนั ปฏกิ ริ ิยาเคมีจะเกดิ ขึน้ เม่อื ไอออนบวกและ
ไอออนลบเกดิ การรวมตัวกนั และเกดิ เปน็ ตะกอนขนึ้
28. สมการไอออนสทุ ธเิ ป็นสมการเคมีท่แี สดงเฉพาะ
ชนิดของไอออนทีท่ าปฏกิ ริ ยิ ากัน

29. ธาตโุ ลหะมคี า่ พลงั งานการแตกตวั เปน็ ไอออนตา่ จึง
สญู เสียอเิ ลก็ ตรอนได้งา่ ย อิเลก็ ตรอนที่เคลอ่ื นตัวอย่าง
อิสระน้ที าให้ธาตโุ ลหะท่สี รา้ งพนั ธะโลหะกนั เสมือนมี

33

เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนครบ 8 ตัวตามกฎออกเตตตลอดเวลา
30. อิเลก็ ตรอนทเี่ คลื่อนตวั อยา่ งอสิ ระทาใหอ้ ะตอมถา่ ย
ความร้ขู องนักเรยี นท่นี าไปสคู่ วามเขา้ ใจทค่ี งทน
นกั เรียนจะรู้ว่า (ตอ่ )
โอนความร้อนและประจุไฟฟ้าไดท้ ่ัวทั้งกอ้ นโลหะ และ
ทาใหพ้ ันธะโลหะมีความแข็งแรงมาก จดุ หลอมเหลวและ
จุดเดือดจึงมคี ่าสงู มาก

34

ขัน้ ท่ี 2 ภาระงานและการประเมินผลการเรยี นร้ซู งึ่ เปน็ หลักฐานทแ่ี สดงว่านกั เรยี นมผี ลการเรยี นรู้

ตามที่กาหนดไวอ้ ย่างแทจ้ ริง

1. ภาระงานท่นี ักเรยี นต้องปฏบิ ตั ิ

ร่วมกิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง การเกดิ พันธะและชนดิ ของพนั ธะโคเวเลนต์

ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง การเขยี นสตู รและการเรยี กชอ่ื สารประกอบโคเวเลนต์

ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ เร่อื ง กฎออกเตตความยาวพันธะและพลงั งานพันธะ

ภาระงานที่นกั เรียนตอ้ งปฏิบตั ิ(ต่อ)

ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง รูปร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์

ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สภาพขั้วของโมเลกลุ โคเวเลนต์

ร่วมกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์

ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเกิดพันธะไอออนกิ

ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การเขยี นสูตรและการเรียกชือ่ สารประกอบไอออนกิ

รว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พลงั งานกบั การเกดิ สารประกอบไอออนกิ

รว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง สมบตั ขิ องสารประกอบไอออนิก

ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง ปฏกิ ริ ิยาของสารประกอบไอออนิก

รว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พันธะโลหะ

2. วธิ กี ารและเครื่องมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้

วิธกี ารประเมินผลการเรียนรู้ เครอ่ื งมอื ประเมินผลการเรยี นรู้

– การทดสอบ – แบบทดสอบ

– การตรวจผลงาน – แบบประเมนิ ผลงาน

– การประเมนิ การปฏบิ ตั งิ านกลมุ่ – แบบประเมินการปฏิบัติงานกลุ่ม

– การประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ – แบบประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์

3. สง่ิ ทม่ี ่งุ ประเมนิ

– ความสามารถในการส่อื สาร การคดิ การแก้ปัญหา การใช้ทกั ษะ/กระบวนการ เช่น

ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะในการดาเนินชวี ติ และการใชเ้ ทคโนโลยี

– เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์และเจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นรายบุคคล

– พฤตกิ รรมการปฏิบตั งิ านเปน็ รายบุคคลหรือเปน็ กลมุ่

35

ขนั้ ท่ี 3 แผนการจัดการเรียนรู้ 23 ชว่ั โมง
ปฐมนิเทศ 2 ชวั่ โมง
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 1 การเกิดพันธะและชนดิ ของพนั ธะโคเวเลนต์ 2 ชั่วโมง
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 2 การเขียนสตู รและการเรียกช่ือสารประกอบโคเวเลนต์ 1 ชว่ั โมง
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 3 กฎออกเตตความยาวพนั ธะและพลงั งานพันธะ 2 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 4 รูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ 2 ช่ัวโมง
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 5 สภาพข้วั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ 2 ชว่ั โมง
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 6 แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ 2
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 7 การเกดิ พนั ธะไอออนิก ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 8 การเขยี นสูตรและการเรียกชือ่ สารประกอบไอออนิก 2 ชั่วโมง
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 9 พลงั งานกบั การเกดิ สารประกอบไอออนิก 1 ชว่ั โมง
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 10 สมบตั ขิ องสารประกอบไอออนกิ 2 ชวั่ โมง
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 11 ปฏกิ ิริยาของสารประกอบไอออนกิ 2 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 12 พันธะโลหะ 2 ชว่ั โมง
1 ชั่วโมง

36

แผนปฐมนเิ ทศ
เรือ่ ง การปฐมนิเทศ

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4

รายวชิ า ว31221 เคมี 1 ภาคเรยี นที่ 1

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 พนั ธะเคมี เวลา 2 ชั่วโมง

สอนวัน ที่ เดอื น พ.ศ.

1. สาระสาคัญ

การศกึ ษารายวชิ าเคมี ขอบข่ายเนอ้ื หา จดุ ประสงค์การเรยี นรรู้ ายวชิ า ว31221 เคมี 1

เกณฑ์การวดั ประเมินผลกระบวนการจัดการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้ัน เพอื่ ช่วยให้การเรียน

การสอนมีประสทิ ธิภาพและบรรลจุ ดุ ประสงค์ได้

2. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบัติ

ของ สสารกับโครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง
สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 จดุ ประสงค์ด้านความรู้ (K)
3.1.1 อธิบายขอบขา่ ยเนอ้ื หาสาระ เร่อื งหน่วยพันธะเคมี
3.1.2 อธิบายขั้นตอนวธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ได้
3.1.3 บอกเกณฑ์การวัดผล และการประเมนิ ผลได้
3.2 จดุ ประสงค์ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P)
3.2.1 อภิปราย สรปุ และเขยี นแผนผังมโนทศั นจ์ ากเน้อื หาที่ศึกษาเก่ียวกับเรื่องพนั ธะเคมี
3.3 คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
3.3.1 ซอ่ื สตั ย์สุจริต

3.3.2 มวี นิ ัย

3.3.3 ใฝเ่ รยี นรู้

3.3.4 มุง่ มน่ั ในการทางาน

37

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 เนอื้ หาสาระหน่วยการเรียนรู้เรอ่ื งหน่วยพนั ธะเคมี
4.2 เป้าหมาย ขั้นตอน วธิ กี ารเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ (5E) ได้
4.3 เกณฑ์การวัดและประเมินผล

5. ชิน้ งาน/ภาระงาน
5.1 ทาใบงานท่ี 1 เร่ือง การเขยี นแผนผงั มโนทศั น์
5.2 การบนั ทกึ สรุปผลการจดั กจิ กรรมในกระดาษแผ่นใหญ่

6. การประเมนิ ผล
6.1 ความรู้

การทดสอบ วิธีการวดั เครือ่ งมือ เกณฑ์ที่ใช้ ผู้ประเมนิ
ประเมนิ ครู
ใบงานที่ 1 เรอ่ื ง - สังเกตพฤตกิ รรม -แบบประเมนิ การ ผ่านเกณฑ์
การปฐมนิเทศ การทางานกลมุ่ ปฏิบตั ิงานกลุ่ม 75 % ขน้ึ ไป

6.2 ทกั ษะ/กระบวนการ/ทักษะการคดิ

ภาระ/ชิน้ งาน วธิ ีการวัด เคร่ืองมือ เกณฑท์ ่ใี ช้ประเมิน ผ้ปู ระเมนิ
ผ่านระดับดขี นึ้ ไป เพอ่ื น
- แผนผังมโมทัศน์ ตรวจผลงานการ แบบตรวจ

เขียนสรปุ ความรู้ ผลงาน

ด้วยแผนผังมโนทัศน์

6.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์

ภาระ/ช้นิ งาน วธิ ีการวัด เครือ่ งมือ เกณฑท์ ใ่ี ชป้ ระเมิน ผปู้ ระเมิน
คณุ ลกั ษณะอันพงึ - สงั เกตพฤติกรรม -แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ระดับดี ครู
คุณลักษณะอนั พงึ คุณลกั ษณะอนั พึง ขึ้นไป
ประสงค์ ประสงค์ ประสงค์
- ซือ่ สัตยส์ จุ ริต

- มวี ินัย

- ใฝเ่ รียนรู้
- มุง่ ม่นั ในการทางาน

38

7. กจิ กรรมการเรียนรู้

กิจกรรม ส่ือและแหลง่ เรยี นรู้

ชั่วโมงท่ี 1

ขั้นสร้างความสนใจ (Engage) ส่ือการเรยี นรู้

1. แจง้ จดุ ประสงค์การเรยี นรใู้ หน้ ักเรยี รนับรู้ และนกั เรยี นจะสามารถ 1. เกมจกิ๊ ซอสัมพันธ์

1) บอกขอบขา่ ยเน้ือหาสาระหนว่ ยการเรยี นรเู้ รอ่ื งหน่วยของพนั ธะ 2. ใบงานท่ี 1 เร่อื งการ

เคมี และจุดประสงค์การเรียนรู้ ปฐมนิเทศ

2) บอกเป้าหมาย ข้นั ตอน และวธิ ีการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหา 3. ใบความร้ทู ่ี1 เรอ่ื ง

ความรู้ (5E) ได้ เนอื้ หาสาระการเรียนรู้

3) บอกเกณฑ์การวดั และประเมินผลได้ เร่ืองพนั ธะเคมี

2. นักเรยี นแบ่งกลมุ่ ออกเปน็ กลุ่มยอ่ ย 6 กลุ่ม ๆ ละประมาณ5-6 คน 4. ใบความรู้ที่ 2 เรือ่ ง

โดยแตล่ ะกลมุ่ คละเพศชาย-หญิง และคละผลการเรยี นเก่ง ปานกลาง และอ่อน รูปแบบ

แล้วเลือกประธาน รองประธาน และเลขานกุ ารกลมุ่ การจดั กระบวนการ

3. นักเรียนแตล่ ะกลุม่ เล่นเกมจิก๊ ซอสมั พนั ธ์ โดยมวี ธิ ีการเล่น คอื 1 เรยี นรู้แบบสบื เสาะหา

กล่มุ ตอ่ 1 ชุด ซง่ึ สมาชิกภายในแต่ละกลุม่ มกี ารวางแผนต่อจิ๊กซอให้เสร็จใช้ ความรู้

เวลาไมเ่ กนิ 15 นาที เม่ือหมดเวลาก็ครูผสู้ อนตรวจใหค้ ะแนน การเลน่ 5. แบบบันทึกใบงานท่ี 1

เกมจ๊ิกซอเปน็ การเสรมิ สร้างการรู้จกั คิดการวางแผน การทางานเปน็ กลุม่ เรอ่ื งการเขยี นแผนผัง

และการเสริมสร้างการทางานให้ไดป้ ระสทิ ธภิ าพ มโนทศั น์

6. สอื่ คอมพวิ เตอร์

4. นกั เรยี นชว่ ยกนั สรุปจากการเลน่ เกมจก๊ิ ซอสัมพันธ์ โดยใชแ้ นว โปรแกรม power point

คาถามดงั น้ี เรอื่ งการปฐมนเิ ทศ

1) การทท่ี ุกคนในกลุ่มไดช้ ว่ ยกนั ต่อจกิ๊ ซอจนประสบสาเรจ็ ในเวลาที่

กาหนดน้นั เกดิ จากสาเหตอุ ะไร (แนวการตอบ การรจู้ ักคดิ วางแผนและ แหลง่ เรยี นรู้

ทางานรว่ มกัน, การสง่ เสริมการทางานเป็นกลมุ่ และการเสรมิ สร้างการ 1. หอ้ งสมดุ โรงเรียน

ทางานใหไ้ ด้ประสิทธภิ าพ) 2. ห้องปฏบิ ตั กิ ารกลุม่

2) การทางานกล่มุ มีวธิ ีการทางานและวธิ ีคดิ อยา่ งไร สาระวทิ ยาศาสตร์

(แนวการตอบ การทางานกลมุ่ จะตอ้ งมีการแบ่งหนา้ ท่คี วามรับผิดชอบเชน่ 3. หนงั สอื เคมี 1

บทบาทหนา้ ทีห่ ัวหน้า บทบาทสมาชิกหรือเลขานกุ าร ซงึ่ สมาชกิ ทกุ คนจะตอ้ งมี

การปรกึ ษาหารอื และแสดงความคดิ เหน็ พงึ่ พาอาศยั กันและกนั ร่วมมอื กัน

เพอื่ ช่วยให้บรรลเุ ปา้ หมายของกลุ่ม)

3) ในการเล่นเกมหรือการทางานกลุ่มมปี ญั หาและอปุ สรรคอยา่ งไร

39

กิจกรรม ส่อื และแหลง่ เรยี นรู้
บ้าง (แนวการตอบ สมาชกิ ในกลุ่มไม่ปรกึ ษาหารอื กนั ไมแ่ สดงความคิดเห็น
ร่วมกันหรอื อภิปรายกัน ไมแ่ บ่งหน้าทีก่ นั ทาให้บางครั้งเกิดความขัดแยง้ กนั
หรอื ความคดิ เห็นไมต่ รงกนั ภายในกลุ่ม)

40

กจิ กรรม สื่อและแหล่งเรยี นรู้
5. นกั เรียนและครูชว่ ยกันสรุปความสาคญั ของการทางานกลมุ่ ว่า
“มนุษย์ต้องอย่รู วมกัน ต้องมคี วามสัมพนั ธก์ บั ผอู้ ื่น งานบางอย่างเราไม่
สามารถทาโดยลาพังได้ จะตอ้ งขอความรว่ มมอื จากผอู้ ื่นมาชว่ ย และในการ
ทางานรว่ มกนั เปน็ กล่มุ ย่อยต้องมีการปรึกษาหารอื และแสดงความคดิ เห็น
เพื่อชว่ ยกันพจิ ารณาตัดสินใจไดถ้ กู ต้องและรอบคอบกว่าการคิดทาอยคู่ น
เดียว ซงึ่ จะทาใหป้ ระสบผลสาเร็จในการทางาน”
การสารวจและคน้ หา (Explore)
6. นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ รบั ใบงานที่ 1 เรอ่ื งการปฐมนิเทศ แล้วปฏบิ ัติ
กิจกรรม โดยศึกษาใบความรู้ที่1 เรื่องเน้ือหาสาระหนว่ ยการเรยี นรูเ้ รอื่ พงันธะ
เคมี และใบความรู้ที่2 เรื่องรูปแบบการจัดกระบวนการเรียนแรบู้ บสบื เสาะหา
ความรู้ (5E) แล้วสรุปผลการศึกษาลงในใบบนั ทึกใบงานที่ 1 เรอื่ งการเขียน
แผนผังมโนทศั น์
7. เมอื่ ปฏิบตั ิกิจกรรมเสร็จเรียบร้อยแลว้ ให้ตวั แทนแตล่ ะกลุม่ ไปรับ
เฉลยใบงานท่ี 1 จากครูแลว้ ตรวจสอบคาตอบร่วมกนั อภิปรายคาตอบทีถ่ ูกต้อง
และข้อบกพร่องในการทาใบงาน (ในกรณที พ่ี บข้อบกพรอ่ ง)
8. ประธานกลุ่มรวบรวมใบบนั ทึกใบงานท่ี 1 ของสมาชกิ
แลว้ แลกเปลยี่ นกบั กลุ่มอ่นื เพ่ือผลัดกนั ตรวจตามความเหมาะสม

กลมุ่ ที่ 1 ตรวจกลุ่มท่ี 2 กลุ่มท่ี 2 ตรวจกลมุ่ ท่ี 3
กลุม่ ท่ี 3 ตรวจกลุ่มที่ 4 กลมุ่ ท่ี 4 ตรวจกลมุ่ ท่ี 5
กลมุ่ ท่ี 5 ตรวจกลมุ่ ท่ี 6 กล่มุ ท่ี 6 ตรวจกลุ่มที่ 1
9. สมาชกิ ทกุ คนชว่ ยกันตรวจการบันทึกใบงานของกลมุ่ ท่ีแลกเปล่ยี น
มาแลว้ รวบรวมส่งครพู รอ้ มทง้ั รว่ มกันอภปิ รายและทากจิ กรรมที่ถูกต้อง
การอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explain)
10. นักเรยี นและครรู ว่ มกนั สรุปเก่ยี วกบั การจดั กลุ่มนักเรียน เนอื้ หา
สาระ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ การวดั ผลประเมินผลในรายวชิ า ว
31221 เคมี 1 หนว่ ยการเรยี นที่รเู้ ร่อื งพนั ธะเคมี
11. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ใชรู้ปแบบการจดั กระบวนการเรยี นแรู้บบ
สืบเสาะหาความร(ู้5E) ทเี่ นน้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทกั ษะการคดิ
เช่น การออกแบบกิจกรรม การออกแบบการทดลอง การปฏบิ ัติการ
ทดลอง การเขียนแผนผงั มโนทัศน์ การประดิษฐ์ชิน้ งาน

41

กจิ กรรม ส่อื และแหลง่ เรยี นรู้
12. การวดั ผลประเมนิ ผล ประเมนิ ด้านความรู้ ดา้ นพฤติกรรมการ
ปฏบิ ัตงิ านของกล่มุ และแบบประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยใช้
แบบประเมินหลากหลายตาม สภาพจริง เช่น แบบทดสอบ, ใบงาน, แบบ
ประเมนิ , แบบบันทึก, ประเมนิ ชนิ้ งาน เปน็ ต้น บันทึกสรุปลงในใบนทึกเกบ็
รวมรวบใน “แฟ้มสะสมงาน” สง่ ครูในชว่ั โมงเรียนถัดไปทุกครัง้ ที่มกี ารเรยี น
วชิ าเคมี

ชัว่ โมงท่ี 2
การขยายความรู้ (Elaborate)
13. นักเรียนและครูรว่ มกันอภปิ รายถึงเอกสารท่ีใช้ประกอบการเรียนรู้

ไดแ้ ก่
1) หนังสือเรียนรายวชิ าเคมเี พ่มิ เติม1 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี4 เล่ม 1

กลุ่มสาระการเรียนรวู้ทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน
พุทธศักราช 2551 จัดทาโดยสถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร

2) เอกสารการเรยี นรตู้ ามใบความรู้และสอื่ มัลตมิ ีเดีย ทคี่ รู
จัดทาข้นึ

3) หนงั สืออ่ืน ๆ ในห้องปฏิบตั กิ ารวทิ ยาศาสตรแ์ ละห้องสมุดของ
โรงเรียน

14. นกั เรยี นและครูร่วมกันแสดงความคิดเห็นและลงขอ้ สรปุ เกี่ยวกบั
การค้นคว้าหาความรจู้ ากเวบ็ ไซต์ต่าง ๆ ผ่านอินเทอรเ์ นต็ ซง่ึ ทาไดท้ หี่ ้อง
สืบคน้ ของห้องสมุดโรงเรยี นและหอ้ งปฏิบัตกิ ารคอมพิวเตอร์

การประเมินผล (Evaluate)
15. นกั เรยี นส่งตัวแทนนาเสนอผลการทาใบงานที่ 1 ข้อ 1 และ ขอ้

2 โดยให้กลุ่มที่ 1-3 ทาใบงานท่ี 1 ขอ้ 1 และใหก้ ลมุ่ ที่ 4-6 ทาใบงานที่ 1 ขอ้
2 ใชเ้ วลาในการนาเสนอกล่มุ ละ 3 นาที

16. นกั เรยี นแต่ละกลุม่ ชว่ ยกันอภิปรายและเสนอแนะความรู้เพมิ่ เติม
จากน้ันใหน้ กั เรียนทกุ คนส่งใบบนั ทึกกจิ กรรมและเขียนแผนผงั มโนทศั น์สง่
ครูผู้สอนกอ่ นหมดช่ัวโมงเรยี น

42

8. กจิ กรรมเสนอแนะ
ในการทากจิ กรรมแต่ละขนั้ ตอน ครูควรยา้ และช้แี นะใหน้ ักเรยี นทากจิ กรรมการเรียนรู้ตาม

ขั้นตอนและดูแลอย่างใกลช้ ดิ ถ้ามีปัญหาคอยให้ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแกป้ ัญหา

9. บันทึกผลหลงั สอน

9.1 ผลการสอน

1) นักเรียนมคี วามรคู้ วามเข้าใจ

ผลการตรวจผลงาน การเขยี นสรปุ ความรู้เร่อื งพันธะเคมดี ้วยแผนผงั มโนทศั น์นกั เรียนผา่ น

เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั ดีขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ 89.50 ของนกั เรยี นท้ังหมด

2) นักเรียนมีความสามารถด้านทกั ษะกระบวนการ

นักเรยี นผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ คดิ เป็นร้อยละ86.90 ของนกั เรียนทั้งหมด

3) นักเรยี นมีคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์

นักเรยี นผ่านเกณฑ์การประเมิน คดิ เป็นร้อยละ 100 ของนักเรยี นทงั้ หมด

9.2 ปญั หา/อปุ สรรค
นกั เรยี นไมก่ ลา้ แสดงความคิดเหน็ ในกลุม่ เท่าท่คี วร

9.3 แนวทางปรับปรงุ การเรียนการสอนครง้ั ต่อไป
ควรกระตุ้นเตือนและดูแลนกั เรยี นอย่างใกล้ชิดขณะทากิจกรรมกลุ่มและทางานเด่ยี ว

ลงชื่อ........................................................ นางคุณากร คาสขุ )
( ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการ

43

10. ความคิดเห็นของหวั หนา้ กลมุ่ บรหิ ารวชิ าการ
เปน็ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ครบองคป์ ระกอบ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สือ่ การเรยี นการสอน

และการวดั ผลประเมินผล กิจกรรมการเรยี นรูเ้ น้นสง่ เสริมการมีส่วนรว่ ม เหน็ ควรอนุญาตใหใ้ ช้
จดั การเรียนการสอนได้

ลงช่ือ……………………………………………………
(นางพรพริ ุณ แจง้ ใจ)

หัวหน้ากล่มุ บริหารวชิ าการ

11. ความคิดเห็นของผู้อานวยการโรงเรยี น
อนุญาตให้ใช้จดั การเรยี นการสอนได้

ลงช่ือ……………………………………………………
(นางลดั ดา ผาพันธ์)

ผูอ้ านวยการโรงเรยี นโคกโพธิ์ไชยศึกษา
วันท่ี ....... เดอื น...........................พ.ศ...........

44

ใบงานที่ 1
เรือ่ งการปฐมนเิ ทศ

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

เพ่ือใหน้ กั เรยี นมคี วามร้คู วามเขา้ ใจเกย่ี วกับขอบขา่ ยเนื้อหาสาระรายวิชา เคมี 1 รหัสวชิ า
ว31221 กิจกรรมการเรียนรู้และบทบาทหนา้ ทขี่ องนกั เรยี น และหลักเกณฑก์ ารวัดผลประเมนิ ผไลด้

คาชีแ้ จง : ใหน้ กั เรียนศกึ ษาบัตรความรแู้ ละปฏบิ ตั กิ ิจกรรมต่อไปนี้ ใช้เวลา 1 ชวั่ โมง

1. นักเรียนแบ่งกลมุ่ ย่อยตามลักษณะและวิธีการเรียนรูข้ องนกั เรยี เปน็นกลุ่ม ๆ ละ 5-6 โดย
กาหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกภายในกลุ่มใหช้ ดั เจนคือ ประธานกลุ่ม รองประธาน กรรมการ
และเลขานกุ ารกลุม่ เพอ่ื ใหก้ ารปฏิบัตกิ จิ กรรมไดท้ ันเวลาท่ีกาหนดไว้

2. นักเรยี นแต่ละกลุม่ ร่วมกันศกึ ษาบตั รความรทู้ ี่ 1 เร่อื งเนื้อหาสาระหน่วยการเรียนรู้
เรอื่ งพนั ธะเคมี แลว้ สรปุ ผลการศึกษาลงในใบบนั ทึก ใบงานที่ 2 เรอื่ งรปู แบบการจดั กระบวน
การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5E) แลว้ สรปุ ผลการศึกษาลงในใบบนั ทกึ ใบงาน

3. แต่ละกลุ่มนาขอ้ สรปุ ทัง้ หมดมาจัดทาเป็นผังมโนทัศน์

45

ใบความร้ทู ่ี 1
เรือ่ ง เน้อื หาสาระหน่วยการเรยี นรู้ เรอื่ งพันธะเคมี

ขอบขา่ ยเนือ้ หาวชิ าเคมี รหัสวชิ า ว31221 เคมี 1 หน่วยเรอื่ งพันธะเคมี ใชเ้ วลา 25 ชั่วโมง
โดยแบง่ เนอื้ หาออกเปน็ หัวข้อย่อย ดังตารางต่อไปน้ี
ตาราง แสดงแผนการจัดการเรยี นรเู้ รื่องพนั ธะเคมี

เร่ือง หวั ข้อเร่ือง กจิ กรรม เวลา การประเมนิ
ท่ี (ช.ม.) การเรียนรู้

1 การปฐมนิเทศ 1. ใบงานที่ 1 เร่อื งการเขยี นแผนผัง 2

มโนทัศน์ 2

2 การเกิดพันธะและชนดิ 2. กิจกรรมที่ 1 เรอ่ื งจับคู่พันธะและ 2 - ตรวจผลงานกลมุ่ ,
แบบฝกึ หดั
ของพนั ธะโคเวเลนต์ ชนิดของพนั ธะของโคเวเลนต์ - สังเกตการร่วม

3 การเขียนสูตรและ 3. กิจกรรมที่ 2 เรอ่ื ง 2 กจิ กรรม,ตอบคาถาม
- จากแบบบนั ทกึ
การเรียกชอื่ สาร การเขยี นสูตรและการเรยี กชื่อ
2 ของคร,ู และ
ประกอบโคเวเลนต์ สารประกอบโคเวเลนต์ นักเรยี น

4 ความยาวพันธะและ 4. กจิ กรรมที่ 3 เร่อื งความยาวพนั ธะ 2

พลงั งานพนั ธะ และพลงั งานพนั ธะ 2

5 รปู ร่างโมเลกลุ โคเว 5. กจิ กรรมที 4 เรื่องการจัดตวั ของ
เลนต์ ลกู โปง่ กับรูปรา่ งโมเลกลุ

6 สภาพขั้วของโมเลกุล 6. กจิ กรรมท่ี 5 เรื่องสภาพข้ัวของ

โคเวเลนต์ โมเลกลุ โคเวเลนต์

7 แรงยึดเหน่ียวระหว่าง 7. กจิ กรรมท่ี 6 เรอ่ื งยึดเหนยี่ วระหวา่ ง
โมเลกลุ โคเวเลนต์ โมแลกลุ

46

ตาราง แสดงแผนการจัดการเรยี นรู้เรอ่ื งพนั ธะเคมี (ต่อ)

เร่ือง หวั ข้อเรือ่ ง กิจกรรม เวลา (ช.ม.) การประเมนิ
ท่ี 2 การเรียนรู้

8 การเกดิ พันธะไอออนิก 8. กจิ กรรมที่ 7 เร่ือง

การเกิดและลักษณะโครง

ผลกึ พันธะไอออนกิ

9 การเขียนสูตรและการเรียก 9. กจิ กรรมท่ี 8 2

ชอ่ื สารประกอบไอออนิก เร่ืองเขียนสูตรและเรียกชื่อ

สารประกอบไอออนกิ

10 พลังงานกบั การเกดิ 10. กจิ กรรมท่ี 9 เร่อื ง 2

สารประกอบไอออนิก พลงั งานของสารประกอบ

ไอออนกิ

11 สมบัตขิ องสารประกอบ 11. กจิ กรรมที่ 10 2

ไอออนิก เรอ่ื งการละลายน้าของ

สารประกอบไอออนิก

12 ปฏิกริ ิยาของสารประกอบ 12. กิจกรรมท่ี 11 2

ไอออนิก เรื่องปฏิกิรยิ าของ

สารประกอบไอออนกิ

13 พนั ธะโลหะ 13. กิจกรรมที่ 12 เรือ่ ง 1
25 ชวั่ โมง
สมบตั ิของโลหะ

รวมท้ังสิ้นจานวน

47

ใบความรูท้ ี่ 2
เรือ่ ง รปู แบบการจัดกระบวนการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้

รูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ Inquiry Cycles (5Es)
เป็นกระบวนการจดั การเรยี นรู้ท่ีใหผ้ ูเ้ รยี นมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมการเรยี นรตู้ ลอดเวลาให้โอกาส

แกผ่ เู้ รียนไดฝ้ ึกคดิ ฝกึ สงั เกต ฝกึ ถาม-ตอบ ฝึกการสือ่ สาร ฝึกเชอ่ื มโยงบูรณาการฝกึ บนั ทึก
ฝึกนาเสนอ ฝึกวิเคราะหว์ จิ ารณ์ ฝึกสรา้ งองค์ความรู้ โดยมีครเู ปน็ ผ้กู ากับควบคุมดาเนนิ การให้
คาปรึกษาช้แี นะ ชว่ ยเหลือ ให้กาลงั ใจ เปน็ ผ้กู ระตุ้น ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รียนคดิ และเรียนรดู้ ว้ ยตนเองรวมทงั้
ร่วมแลกเปลยี่ นเรียนรู้ กจิ กรรมแตล่ ะขั้นตอนมีสาระสาคัญ ดังนี้

1. ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engage) เป็นการจัดกจิ กรรมหรือสถานการณ์ท่กี ระตนุ้ ยวั่ ยุ ให้
ผเู้ รยี นเกดิ ความสงสัย ใคร่รู้อยากรูอ้ ยากเห็น แล้วเกิดปญั หาหรือประเดน็ ท่ีจะศึกษา ซึง่ ผ้เู รียนจะต้อง
สารวจตรวจสอบตอ่ ไปด้วยตัวของผเู้ รยี นเอง

2. ขน้ั สารวจและคน้ หา (Explore) เป็นการจัดกิจกรรมหรอื สถานการณท์ ใี่ ห้ผ้เู รยี น
มปี ระสบการณร์ ว่ มกนั เปน็ กลมุ่ ในการสร้างองค์ความรใู้ หม่ โดยการวางแผนกาหนดการสารวจ
ตรวจสอบ และลงมือปฏิบัติ ในการสารวจตรวจสอบปญั หาหรอื ประเดน็ ทผี่ เู้ รียนสนใจใคร่ร้คู รู
มีหนา้ ท่ีสง่ เสริม กระตุน้ ใหค้ าปรึกษาช้ีแนะ ช่วยเหลอื และอานวยความสะดวกใหผ้ เู้ รยี นดาเนนิ การ
สารวจตรวจสอบเปน็ ไปดว้ ยดี

3. ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explain) เปน็ การจัดกิจกรรมหรอื สถานการณ์ท่ใี ห้ผู้เรียนได้
สรา้ งองค์ความร้ใู หม่รว่ มกันทงั้ ชน้ั เรยี น โดยนาเสนอองคค์ วามรูท้ ่ีไดจ้ ากการสารวจตรวจสอบ พรอ้ ม
ทัง้ วิเคราะห์ อธิบาย และเปิดโอกาสใหม้ ีการอภปิ รายซักถามแลกเปลย่ี นเรยี นรู้หรือโตแ้ ยง้ ในองค์
ความรู้ใหมท่ ไ่ี ด้อย่างสร้างสรรค์มีการอ้างองิ หลักฐานทฤษฎีหลักการ กฎเกณฑ์ หรอื องค์ความรู้เดมิ
แล้วลงข้อสรปุ อยา่ งสมเหตุสมผล

4. ขน้ั ขยายความรู้ (Elaborate) เปน็ การจัดกจิ กรรมหรอื สถานการณ์ที่ให้ผู้เรยี นได้
เพิม่ เตมิ หรือเตมิ เตม็ องคค์ วามรู้ใหมใ่ ห้กวา้ งขวางสมบูรณก์ ระจ่างและลกึ ซงึ้ ยง่ิ ขึน้ โดยการอธบิ าย
ยกตัวอย่าง อภิปรายซักถามแลกเปล่ยี นเรียนรู้ และเช่ือมโยงความรู้เดมิ ส่อู งคค์ วามรู้ใหมอ่ ยา่ งเปน็
ระบบ ละเอยี ดสมบูรณ์ นาไปประยุกต์ใชใ้ นเรอ่ื งอ่ืนๆ หรอื ในชีวิตประจาวนั หรอื ผเู้ รียนอาจจะเกิด
ปัญหาสงสยั ใครร่ ู้ นาไปสกู่ ารศึกษาค้นคว้าทดลอง หรอื สารวจตรวจสอบใหมต่ ามที่สนใจ

5. ข้ันประเมินผล (Evaluate) เปน็ การจัดกิจกรรมหรือสถานการณท์ ่ใี หผ้ ู้เรียนไดป้ ระเมนิ
กระบวนการสารวจตรวจสอบและผลการสารวจตรวจสอบ หรือองค์ความร้ใู หมข่ องตนเอง
และของเพ่ือนร่วมชั้นเรียนโดยการวเิ คราะห์วิจารณ์ อภปิ รายซักถามแลกเปลย่ี นองค์ความรซู้ งึ่ กัน

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก

แปลภาษาไทย ไทยแปลอังกฤษ โปรแกรม-แปล-ภาษา-อังกฤษ พร้อม-คำ-อ่าน ห่อหมกฮวกไปฝากป้าmv แปลภาษาอาหรับ-ไทย lmyour แปลภาษา ข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย pantip ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แอพแปลภาษาอาหรับเป็นไทย ห่อหมกฮวกไปฝากป้า หนังเต็มเรื่อง แปลภาษาเวียดนามเป็นไทยทั้งประโยค Google Translate การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 4 หยน อาจารย์ ตจต เมอร์ซี่ อาร์สยาม ล่าสุด ศัพท์ทหาร ภาษาอังกฤษ pdf ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คาราโอเกะ app แปลภาษาไทยเป็นเวียดนาม การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 3 บบบย ศัพท์ทหารบก แปลภาษาจีน การประปาส่วนภูมิภาค การ์ดแคปเตอร์ซากุระ ภาค 1 ขุนแผนหลวงปู่ทิม มีกี่รุ่น ชขภใ ตม.เชียงใหม่ เซ็นทรัลเฟสติวัล พจนานุกรมศัพท์ทหาร รหัสจังหวัด อําเภอ ตําบล รหัสประจำจังหวัด 77 จังหวัด สอบโอเน็ต ม.3 จําเป็นไหม หนังสือราชการ ตัวอย่าง ห่อหมกฮวกไปฝากป้า คอร์ด อเวนเจอร์ส ทั้งหมด แปลภาษา มาเลเซีย ไทย ไทยแปลอังกฤษ ประโยค ่้แปลภาษา Egp G no Reconguista Google map ขุนแผนหลวงปู่ทิมรุ่นแรก ข้อสอบภาษาไทยพร้อมเฉลย ข้อสอบโอเน็ต ม.3 ออกเรื่องอะไรบ้าง ค้นหา ประวัติ นามสกุล จองคิว ตม เชียงใหม่ ชื่อเต็ม ร.9 คําอ่าน ดีแม็กมือสองราคาไม่เกิน350000 ตัวอย่างรายงานการประชุมสั้นๆ