Home การดูแลเด็กวัยอนุบาล มาทำความสะอาดร่างกายกันเถอะ !
event July 16, 2015
อาบน้ำ : อายุที่ควรทำเองได้คือ 5 – 6 ขวบ
คุณช่วยลูกได้โดย คอยเตือนให้เขาทำความสะอาดในบริเวณที่มักจะลืม เช่น รักแร้ หู และคอ
เคล็ดลับ : เด็กวัยนี้ยังชอบเล่นในอ่าง อาบน้ำ คุณอาจเตรียมของเล่นตอนอาบน้ำที่เหมาะกับวัยไว้ให้ลูก หรือจะแถมสบู่เหลวสีสันสดใสและผ้าถูตัวน่ารักๆ ให้ด้วยก็ยังได้
แปรงฟัน : อายุที่ควรทำเองได้คือ 5 ขวบ
คุณช่วยลูกได้โดย คอยดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้แปรงฟันแบบถูไป – มาตามแนวนอนแต่ใช้วิธีแปรงขึ้น – ลงหรือแปรงวนเป็นวงกลมเล็กๆ เด็กวัยนี้มักลืมแปรงฟันด้านในโดยเฉพาะฟันหน้าซึ่งเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรีย อ้อ ! อย่าลืมเตือนให้เขาแปรงลิ้นด้วยทุกครั้งละ
เคล็ดลับ : ตั้งเวลาให้เขาแปรงฟันบน 1 นาทีและแปรงฟันล่างอีก 1 นาที ให้เขาลองนึกภาพฟันแต่ละซี่ที่กำลังยืนเข้าแถวรอให้ช่วยแปรง (และอย่าลืมว่าคุณต้องเป็นคนใช้ไหมขัดฟันให้ลูกไปจนกว่าเขาจะอายุครบ 11 ขวบเป็นอย่างน้อย)
ทำความสะอาดหลังเข้าห้องน้ำ : อายุที่ควรทำเองได้คือ 5 ขวบ
คุณช่วยลูกได้โดย ถ้าลูกยังไม่ค่อยคล่อง ต้องคอยเช็คดูทุกครั้งที่เขาเข้าห้องน้ำถ่ายหนัก เพื่อให้แน่ใจว่าเขาทำความสะอาดดีแล้ว จะได้ไม่เป็นผื่นคันหรือติดเชื้อตามมา
เคล็ดลับ : หากต้องเข้าห้องน้ำสาธารณะที่ไม่มีกระดาษชำระ ต้องสอนลูกผู้หญิงให้เช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง (เศษอุจจาระจะได้ไม่ติดเข้าไปในช่องคลอด) และสอนลูกทั้งสองเพศให้เช็ดทำความสะอาดจนไม่มีอะไรติดกระดาษชำระออกมาอีก (อาจใช้กระดาษชำระแบบเปียกที่ทิ้งในชักโครกได้ เพื่อความสะดวกและหมดจด)
สระผม : อายุที่ควรทำเองได้คือ 7 ขวบ
คุณช่วยลูกได้โดย คอยควบคุมปริมาณแชมพูที่ลูกใช้ และคอยดูให้ล้างฟองออกจนหมด
เคล็ดลับ : ติดกระจกบานใหญ่ไว้บนผนังห้องน้ำ เขาจะได้ใช้ส่องดูว่าล้างฟองออกหมดหรือยัง หาหมวกสำหรับกันน้ำและแชมพูเข้าตาให้ลูกใส่ถ้าเขายังลูบออกจากหน้าเองไม่เป็น และสอนให้เอนศีรษะไปข้างหลังเมื่อจะล้างฟองออก
บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง
การดูแลเด็กวัยอนุบาล เด็ก 3-6 ปี
กุญแจสำคัญของการสร้างทัศนคติที่ดีในการทำความสะอาดร่างกาย คือการสอนให้เด็กวัย 1-3 ปีนี้ เริ่มรู้จักดูแลความสะอาด เพื่อสร้างนิสัยรักความสะอาด รักสุขภาพ ให้มีสุขอนามัยที่ดีในอนาคต โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชกันอีกต่อไป
การทำความสะอาดร่างกายเด็กวัย 1-2 ปี
เด็กวัยนี้จะมีความกลัวมากกว่าวัยอื่นๆ หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้กลัวเพียงครั้งเดียว ก็จะจดจำจนทำให้แก้ไขได้ยาก เช่น การอาบน้ำ หากเด็กเคยโดนแชมพู หรือสบู่เข้าตา ก็จะกลัวการอาบน้ำสระผมขึ้นสมองเลย ดังนั้น จึงควรระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่ดีที่จะทำให้ลูกฝังใจได้
การสอนเด็กวัย 1-2 ขวบ เป็นการสอนให้ซึมซับและเคยชินกับการดูแลความสะอาดเท่านั้น อย่าคาดหวังว่าเด็กจะทำความสะอาดร่างกายได้หมดจด และทำได้เองโดยไม่ต้องสั่ง เพราะยังเด็กเกินไปที่จะคิดทำอะไรด้วยตัวเอง คุณยังต้องคอยช่วยลูกจับแปรง ใช้ขัน ถูสบู่อยู่ คอยแนะแนวทางปฏิบัติให้ลูกทีละขั้นตอน และทำให้เป็นกิจวัตร ซึ่งต้องบวกกับความสนุกและใช้เวลาสั้นๆ เพื่อไม่ให้ลูกเบื่อ
การทำความสะอาดร่างกายเด็กวัย 2-3 ปี
มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และมีความเชื่อมั่นและต้องการแสดงศักยภาพให้พ่อแม่ได้เห็น พ่อแม่ก็ต้องเชื่อมั่นลูกด้วย ปล่อยให้เด็กได้หัดทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง เช่น ถอดเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ล้างหน้า อาบน้ำ สระผมเอง โดยคอยดูแลอยู่ข้างๆ อธิบายว่าการทำความสะอาดเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำทุกวัน เพราะพ่อแม่ก็ทำแบบนี้เช่นกัน
และถ้าลูกยังทำอะไรไม่ดีนัก ไม่ต้องรีบจัดการให้เสียหมดทุกอย่างจนลูกเกิดความเคยชินไม่ยอมทำอะไรด้วยตัวเองอีก และยิ่งถ้าคุณบ่นว่า จะเป็นการลดทอนความมั่นใจของเด็กด้วยค่ะ
วิธีทำให้ช่วงเวลาแห่งการสอนลูกรักสะอาดเป็นเรื่องสนุก
- เลือกเอง ให้ลูกเลือกอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำความสะอาดร่างกายไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน แชมพู สบู่ ฟองน้ำขัดตัวด้วยตัวเอง แต่ต้องแน่ใจว่าของทุกชิ้นที่ลูกเลือกเหมาะกับช่วงวัยของเด็กจริงๆ เช่น แปรงสีฟันควรเป็นแปรงที่ออกแบบมาสำหรับเด็ก แชมพู สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง เป็นต้น
- หลากหลาย ให้ลูกมีแปรงสีฟัน แชมพู สบู่ ที่หลากหลาย เพื่อเป็นตัวเลือกที่เพิ่มความสนุกตื่นเต้นก่อนทำความสะอาดร่างกายค่ะ
- ป้องกันได้ ชวนกันไปซื้อหมวกคลุมเวลาสระผม ถามลูกว่าอยากได้สีไหน และอธิบายสรรพคุณ เช่น "หมวกเอาไว้ใส่เวลาสระผม กันแชมพูเข้าตาลูก ต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องกลัวการสระผมแล้ว หนูอยากได้สีไหนจ๊ะ" เป็นต้น
- สนุก หาของเล่นสำหรับเล่นเวลาอาบน้ำ อาจเป็นตุ๊กตาลอยน้ำได้ หรือที่เป่าฟองสบู่มาเล่นกับลูกขณะทำกิจกรรม อาจเปิดดนตรีคลอไปด้วย จะได้ทั้งสนุกและผ่อนคลาย
สอนลูกทำความสะอาดร่างกาย
เด็กวัย 1-3 ปีนี้ต้องการแสดงความเป็นตัวเองของตัวเองสูง เวลาบอกให้ทำอะไร มักจะ "ไม่ ไม่ ไม่" ไว้ก่อน จึงทำให้ถูกเข้าใจว่าเป็นวัยต่อต้าน ซึ่งจริงๆ แล้วเด็กไม่ได้คิดจะต่อต้านพ่อแม่เลย แต่ถ้าต้องการขจัดปัญหานี้ ลองทำตามนี้