ทุกเมืองค่ากินอยู่เพิ่มขึ้นทั่วโลก จากปัจจัยลบรุมเร้า โดยมี สิงคโปร์-นิวยอร์กขึ้นแท่น เมืองค่าครองชีพแพงสุดในโลก
วันที่ 1 ธันวาคม 2565 บลูมเบิร์ก เว็บไซต์ข่าวธุรกิจชั้นนำ รายงานผลการสำรวจเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก จากการสำรวจค่าครองชีพทั่วโลกของ Economist Intelligence Unit หรือ EIU ปรากฏว่านิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา และประเทศสิงคโปร์ ครองอันดับ 1 ร่วมกัน
- บอยท่าพระจันทร์ ลบโพสต์-ขอโทษ กูรูวีไอ ทรงอย่างแบด แซดอย่างบอย
- ใครคือ บาเชติช ?
- ผู้โดยสารโวย การบินไทย ไม่เก็บถาดอาหารก่อนเครื่องแลนดิ้ง
การสำรวจค่าครองชีพของอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต จัดทำใน 172 เมืองหลักทั่วโลก ช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน เปรียบเทียบราคาสินค้าแต่ละตัวมากกว่า 400 ราคา ในกลุ่มสินค้าและบริการมากกว่า 200 รายการ
Advertisement
พบว่าค่าครองชีพของเมืองเหล่านี้ทะยานขึ้นถึง 8.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีแรงผลักดันหลายด้าน รวมถึงสงครามรัสเซียบุกยูเครน นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน และห่วงโซ่อุปทานมีปัญหา
“สงครามในยูเครนและการใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจของยูเครนต่อรัสเซีย และนโยบายซีโร่โควิดของจีนทำให้เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน เมื่อรวมกับภาวะเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ยิ่งทำให้เกิดวิกฤตค่าครองชีพไปทั่วโลก เราได้เห็นผลกระทบจากดัชนีในปีนี้ ด้วยค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นทั้ง 172 เมือง ในการสำรวจของเราอย่างแข็งกร้าวที่สุดเท่าที่เราเห็นมาในรอบ 20 ปีที่เรามีข้อมูลดิจิทัลแล้ว” อุษณา ดัตต์ หัวหน้าทีมค่าครองชีพทั่วโลกของ EIU ระบุในรายงาน
Advertisement
ทั้งนี้ เมืองใหญ่ของเอเชียโดยรวมแล้วอาจไม่ได้มีค่าครองชีพพุ่งทะยานเท่ากับพื้นที่อื่นของโลก เมื่อค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นที่ 4.5% แต่สถานการณ์ของแต่ประเทศได้อานิสงส์มาจากนโยบายของรัฐบาลและการรับมือกับค่าเงิน ซึ่งยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม
ปีนี้ นครเทลอาวีฟของอิสราเอลหล่นจากอันดับ 1 เมื่อปีก่อนลงไปอยู่อันดับ 3 ขณะที่ฮ่องกงและลอสแองเจลิสทะยานขึ้นมาติดท็อปไฟว์
Advertisement
ด้านโตเกียวและโอซากา หล่นจากอันดับค่าครองชีพสูง ไปอยู่ที่ 24 และ 33 ตามลำดับ เพราะอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นยังต่ำอยู่
เมื่อเทียบกับนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย ขยับขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จากอันดับ 24 เมื่อปีก่อน มาอยู่ที่อันดับ 8 ของปีนี้ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย
ส่วน 6 เมืองของจีนที่มีค่าครองชีพสูงสุด ต่างขยับค่าครองชีพไปตาม ๆ กัน นำโดยนครเซี่ยงไฮ้ที่สูงขึ้นมาติดอันดับ 20
สำหรับเมืองที่มีค่าครองชีพน้อยที่สุด คือกรุงดามัสกัสของซีเรีย และเมืองตริโปลีของลิเบีย ขณะที่สองเมืองของรัสเซีย ได้แก่ กรุงมอสโก และนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ขยับพุ่งพรวดขึ้นจากเดิมมากที่สุด มอสโกทะยานขึ้นสูงถึง 88 อันดับ ส่วนเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สูงจากเดิม 70 อันดับ เนื่องมาจากการถูกชาติตะวันตกแซงก์ชั่น
เมืองของยุโรปพากันลดอันดับลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจซึมลึก ลักเซมเบิร์กและลียง ค่าครองชีพดิ่งแรงที่สุด แต่ราคาข้าวของกลับเพิ่มขึ้นรวดเร็ว เฉลี่ยแล้วยุโรปตะวันตกมีค่าแก๊สและไฟฟ้าเพิ่มเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 29% โดยเฉลี่ย ระหว่างพยายามหาทางบรรเทาผลกระทบจากการที่ไม่ได้รับพลังงานจากรัสเซีย
หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ Economist Intelligence Unit (EIU) ของนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ เผยแพร่รายงานดัชนีชี้วัดค่าครองชีพสากล ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายนที่ผ่านมา โดยมีการสำรวจเมืองต่างๆ 172 แห่งทั่วโลก และพบว่า นครนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ และประเทศสิงคโปร์ ครองตำแหน่งแชมป์ร่วมในฐานะเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก
ขณะที่เมืองเทลอาวีฟ เมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของอิสราเอลที่เคยครองแชมป์ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกเมื่อปีที่แล้ว ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 3 ในปีนี้
เคลื่อนหีบศพอดีตประธานาธิบดีจีน “เจียง เจ๋อหมิน” ถึงกรุงปักกิ่งแล้ว
“โจ ไบเดน” เปิดทำเนียบขาวต้อนรับ “เอมมานูเอล มาครง” ปธน.ฝรั่งเศส
ส่วนนครลอสแอนเจลิส และฮ่องกงติดอยู่ใน 5 อันดับแรก ขณะที่อับดับ 6 และ 7 คือ เมืองซูริค และนครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ ตามด้วยอันดับ 8 คือ ซานฟรานซิสโกของสหรัฐฯ และ อันดับ 9 คือ กรุงปารีสของฝรั่งเศส
ขณะที่กรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก และนครซิดนีย์ของออสเตรเลียอยู่ในอันดับ 10 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีชื่อนครซิดนีย์ติดอับดับท็อปเทนในเมืองที่มีค่าครองชีพสูง
นอกจากนี้ยังมีกรุงมอสโกและนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซียก็อยู่ในกลุ่มเมืองที่มีค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
โดย กรุงมอสโก มีอันดับเพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึง 88 อันดับ และนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 70 อันดับ เนื่องจากต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก และปัญหาราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้รายงานระบุว่า ค่าเฉลี่ยของค่าครองชีพจากเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้นราว 8.1 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ส่วนแนวโน้มภาพรวมของค่าครองชีพในเมืองต่างๆ ของทวีปเอเชียยังไม่ค่อยสูงขึ้นมากนัก และมีค่าครองชีพโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 4.5 % ซึ่งแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันไป เพราะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลและกระแสการเงิน