การประกันอัคคีภัย คือ การให้ความคุ้มครองทรัพย์สินต่างๆ ของผู้เอาประกันภัย ไม่ว่าจะเป็น สังหาริมทรัพย์ หรือ อสังหาริมทรัพย์ ทั้งทรัพย์สินที่มีรูปร่าง และไม่มีรูปร่าง ที่อาจเกิดความสูญเสียหรือเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้เป็นหลัก สามารถให้บริการประกันอัคคีภัยได้ทุกประเภท เช่น การประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยและภัยพิบัติ, การประกันภัยอัคคีภัยสำหรับสิ่งปลูกสร้างตัวอาคาร, การประกันอัคคีภัยสำหรับเฟอร์นิเจอร์ สต๊อกสินค้า และเครื่องจักร หรือสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดย่อม โดยมีขอบเขตความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยมาตรฐาน คือ
• ความเสียหายจากเพลิงไหม้ ฟ้าผ่า และการระเบิดของแก๊สที่ใช้สำหรับสำหรับทำแสงสว่าง หรือใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น เช่นแก๊สหุงต้ม (ไม่ใช่เพื่อการค้าหรือเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม
• ความเสียหายจากน้ำหรือสารเคมีที่ใช้ในการดับเพลิง
• ความเสียหายอันเกิดจากเจ้าหน้าที่ ดับเพลิง เช่น การพังบ้านหรือการกระทำใดๆเพื่อการดับเพลิงและป้องกันไม่ให้ไฟขยายตัวและลุกลาม
• ความเสียหายจากควัน เขม่า เกรียม อันเนื่องมาจากการเกิดอัคคีภัย
จำเป็นต้องทำประกันอัคคีภัยบ้าน เมื่อกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร
ผู้ที่ขอกู้ซื้อบ้านกับธนาคารทุกคนจะถูกบังคับให้ทำประกันอัคคีภัยบ้านตามกฎหมาย เพื่อใช้เป็นหลักประกันให้กับธนาคารในกรณีที่บ้านเกิดความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ จึงเป็นเหตุผลที่ผู้กู้ซื้อบ้านจะถูกบังคับให้ทำประกันอัคคีภัยพร้อมกับการซื้อบ้านทุกครั้งโดยปฏิเสธไม่ได้ และจำเป็นต้องต่อประกันอัคคีภัยในระหว่างการผ่อนบ้านจนกว่าจะหมดสัญญาการกู้ซื้อบ้านด้วย
ไม่จำเป็นต้องทำประกันอัคคีภัย เมื่อซื้อบ้านเงินสด
กฎหมายไม่ได้บังคับให้ผู้ที่ซื้อบ้านด้วยเงินสดต้องทำประกันอัคคีภัยบ้าน ผู้ซื้อบ้านเงินสดจึงไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อประกันเพิ่ม แต่ทั้งนี้ เจ้าของบ้านก็ควรทำประกันไว้ด้วยเพื่อความอุ่นใจ เพราะอาจเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นได้โดยไม่คาดคิด หรืออาจมีไฟลุกลามมาจากบ้านข้าง ๆ หากมีประกันติดบ้านไว้ เงินสินไหมทดแทนก็จะช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เจ้าของบ้านทุกหลังจึงควรทำประกันอัคคีภัยไว้ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้จากเหตุไม่คาดคิด
รีไฟแนนซ์บ้าน ต้องทำอย่างไรกับประกันอัคคีภัย?
การประกันอัคคีภัยที่เจ้าของบ้านทำไว้กับธนาคารเดิมเพื่อคุ้มครองความเสียหายของทรัพย์สินที่เป็นตัวบ้านและเฟอร์นิเจอร์ในบ้านนั้น เฉพาะตัวบ้านเท่านั้นที่เป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ในกรมธรรม์ประกันภัยจึงมีการกำหนดให้ธนาคารเป็นผู้รับผลประโยชน์จากการเอาประกันภัย เมื่อมีการรีไฟแนนซ์กับธนาคารแห่งใหม่ จะมีการปิดยอดเงินกู้กับธนาคารแห่งเดิม ก็สามารถโอนความคุ้มครองจากกรมธรรม์เดิมที่ระบุชื่อผู้รับประโยชน์เป็นชื่อธนาคารเก่าไปเป็นชื่อธนาคารแห่งใหม่ได้
โดยที่ตัวบ้านและชื่อผู้เอาประกันภัยยังคงเป็นข้อมูลเดิม หากแต่ให้มีการเปลี่ยนชื่อผู้รับผลประโยชน์จากชื่อธนาคารเก่ามาเป็นธนาคารใหม่ โดยส่วนใหญ่ทางธนาคารแห่งใหม่จะเป็นผู้ประสานดำเนินการให้ แต่ก็อาจมีบางธนาคารไม่มีสัญญากับบริษัทประกันภัยที่เจ้าของบ้านได้ทำไว้ เจ้าของบ้านก็สามารถดำเนินการได้เอง โดยขอหนังสือรับรองจากธนาคารแห่งใหม่และนำกรมธรรม์ไปติดต่อกับบริษัทประกันภัยเพื่อออกสลักหลังแก้ไขชื่อผู้รับประโยชน์จากชื่อธนาคารเก่าเป็นชื่อธนาคารแห่งใหม่ที่รีไฟแนนซ์ไป
ทำประกันอัคคีภัยบ้านกับใคร ?
ตามปกติแล้ว เมื่อมีการตกลงทำสัญญากู้ซื้อบ้าน ธนาคารเจ้าของสัญญาจะเป็นผู้เสนอประกันอัคคีภัยบ้านจากบริษัทในเครือหรือพันธมิตรของตนเอง และให้ผู้ซื้อทำสัญญาพร้อมกันในคราวเดียว แต่หากรู้สึกว่าประกันบ้านที่ธนาคารเสนอมีเงื่อนไขที่ไม่ดีพอ ผู้ซื้อก็สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทอื่นได้ แต่ธนาคารเจ้าของสัญญาจะต้องเป็นผู้รับผลประโยชน์จากประกันนั้น ธนาคารเจ้าของสัญญาจึงจะยอมรับได้
ควรเลือกประกันอัคคีภัยบ้านอย่างไร ?
ตามกฎหมายประกันอัคคีภัยบ้าน หากมีความเสียหายที่อยู่ในความคุ้มครองของประกันประเภทนี้ ผู้ซื้อจะได้รับสินไหมทดแทนตามมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินมูลค่าของที่อยู่อาศัยและทุนประกัน ดังนั้น ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องทำประกันเกินมูลค่าบ้านแต่อย่างใด เช่น บ้านราคา 3 ล้านบาท แต่เลือกทุนประกัน 5 ล้านบาท หากเกิดความเสียหายทั้งหมด ก็จะได้รับสินไหมทดแทนสูงสุดเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น
ประกันอัคคีภัยถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยคุ้มครองความเสียหายของบ้านรวมถึงทรัพย์สินในบ้านเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ และยังเป็นประกันวินาศภัยที่คุ้มค่า ด้วยเบี้ยประกันอัคคีภัยบ้านเพียงล้านละหลักพันเท่านั้น แม้ในบางเงื่อนไขหากไม่ได้ถูกบังคับให้ทำประกันตามข้อกำหนดของธนาคาร ก็ยังจำเป็นจะต้องทำประกันอัคคีภัยไว้เพื่อความอุ่นใจ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันจนบ้านและทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
“ซื้อบ้านต้องซื้อประกันด้วยหรือ?” คือหนึ่งในคำถามที่ผู้วางแผนตัดสินใจจะซื้อบ้านมักจะถามกันเสมอ ด้วยส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกว่า บ้านหรือคอนโดนั้นก็มีมูลค่าสูงอยู่แล้ว ถ้ายังต้องทำประกันเพิ่มด้วยอีก ก็จะกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่มากขึ้นอีก จึงมีความลังเลสงสัยกันอยู่ไม่น้อยว่า จำเป็นมากแค่ไหนที่จะต้องทำประกันเมื่อซื้อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ในการทำประกันที่มาพร้อมกับการซื้อที่อยู่อาศัยนั้น สามารถแบ่งได้หลัก ๆ ออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ดังต่อไปนี้
ประกันภัยภาคบังคับ
ประกันภัยภาคบังคับ เป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนดว่าจำเป็นจะต้องทำ อันได้แก่ประกันอัคคีภัย ซึ่งโดยมากแล้วถ้าเรายื่นขอกู้สินเชื่อที่ไหน ก็มักจะถูกเสนอให้ทำประกันอัคคีภัยกับธนาคารที่ให้กู้ทันที ทั้งนี้ ประกันอัคคีภัยเป็นสิ่งที่ใช้คุ้มครองยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน ที่หากเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมา บริษัทประกันก็จะคืนเงินสินเชื่อให้กับธนาคาร และผู้ซื้อบ้านก็จะไม่ต้องสูญเสียเงินเปล่านั่นเอง
ประกันภัยภาคสมัครใจ
ประกันภาคสมัครใจ คือประกันที่ผู้ซื้อบ้านจะทำหรือไม่ทำก็ได้ แล้วแต่สมัครใจ โดยมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท เช่น ประกันภัยพิบัติ ที่คุ้มครองความเสียหายจากเหตุภัยธรรมชาติ ประกันคุ้มครองการโจรกรรม ที่ช่วยคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินและตัวอาคาร แต่ที่มักเป็นประเด็นกันมากที่สุดเลยก็คือ ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ที่หลาย ๆ ธนาคารมักเสนอให้ผู้ขอกู้ซื้อบ้านทำเพื่อแลกกับสิทธิพิเศษเช่นส่วนลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะทำหรือไม่ทำก็ได้ โดยข้อดีของประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ก็คือ หากผู้ขอสินเชื่อเกิดจากไปกะทันหัน ก็จะมีประกันช่วยผ่อนบ้านต่อแทน ไม่ต้องเป็นภาระคนข้างหลัง
ผลิตภัณฑ์ประกันที่มาพร้อมกับการซื้อที่อยู่อาศัยไหน มีวัตถุประสงค์หลักสำคัญคือ ช่วยคุ้มครองความเสี่ยงให้กับธนาคารผู้ให้สินเชื่อ และผู้ขอสินเชื่อ เพื่อหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา บริษัทประกันจะเข้ามาดูแลความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งการมีประกันช่วยคุ้มครองจึงช่วยให้อุ่นใจได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ประกันแต่ละประเภท ก็มีเงื่อนไข มีกำหนดระยะเวลาในการคุ้มครอง มีทุนประกัน และมีมูลค่าเบี้ยที่ต้องชำระแตกต่างกัน ซึ่งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้สถานะการเงินการใช้จ่ายไม่มีปัญหา ก็จำเป็นต้องศึกษาสิทธิ์และเงื่อนไขอย่างละเอียดรอบคอบ ก่อนจะตัดสินใจกับตัวว่าควรทำหรือไม่ทำดีกว่ากัน