โดยมากบริษัทจะจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ หรือกำไรสะสมของกิจการ นั่นหมายความว่า บริษัทต้องจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลก่อน ส่วนที่เหลือจะเป็นกำไรสุทธิหลังหักภาษีแล้ว จึงมาจ่ายเป็นเงินปันผล ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทต้องจ่ายภาษีถึง 2 ครั้ง (Double Tax) โดยครั้งแรก คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และครั้งที่ 2 คือ ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผล หรือหากจะนำมารวมเป็นรายได้ของบุคคลธรรมดาตามมาตรา 40(4) ก็ต้องมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีก ถือเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อน และไม่เกิดความเป็นธรรมต่อผู้เสียภาษี ดังนั้นนักลงทุนจึงสามารถขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืนได้
ตัวอย่าง ในปีที่ผ่านมา บริษัทมุ่งก้าวหน้า จำกัด (มหาชน) มีกำไรก่อนภาษี 100 บาท โดยบริษัทมุ่งก้าวหน้า จำกัด (มหาชน) จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% ของกำไรก่อนภาษี หรือเท่ากับ 20 บาท ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ (กำไรหลังหักภาษี) เท่ากับ 80 บาท สมมติว่า บริษัทมุ่งก้าวหน้า จำกัด (มหาชน) มีนโยบายจ่ายเงินปันผลทั้งหมดจากกำไรสุทธิให้แก่ผู้ถือหุ้น เงินปันผลดังกล่าวจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้อีก 10% หรือเท่ากับ 8 บาท (10% ของ 80 บาท เท่ากับ 8 บาท) ทำให้นักลงทุนจะได้รับเงินปันผลไป 72 บาท ซึ่งจะเห็นว่าจากกำไร 100 บาทของกิจการ ได้เสียภาษีไปแล้ว 28 บาท
สิ่งที่เป็นประเด็นคือ เงินก้อนเดิมเสียภาษีถึง 2 ครั้ง ทำให้เงินปันผลลดลงจาก 100 บาท เป็น 80 บาท และเหลือ 72 บาทในที่สุด เท่ากับค่าภาษีประมาณ 28% ซึ่งถ้าปกติผู้ถือหุ้นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 10% เขาก็ควรจะเสียภาษีเพียงแค่ 10 บาทเท่านั้น ดังนั้นจึงมีทางเลือกให้ผู้ถือหุ้นว่าจะใช้เลือกใช้เครดิตภาษีเงินปันผลหรือไม่ก็ได้
ทั้งนี้กฎหมายได้ให้ทางเลือกว่า จะเลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10% แล้วไม่ต้องนําเงินปันผลมารวมคำนวณเป็นเงินได้ประจำปี หรือจะนําเงินปันผลมารวมคำนวณเป็นเงินได้และเสียภาษีตามอัตราก้าวหน้าก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากเลือกที่จะนําเงินปันผลมารวมคำนวณแล้ว ต้องนําเงินปันผลทุกก้อนที่ได้รับจากทุกบริษัทมารวมคํานวณด้วย จะเลือกเฉพาะเงินปันผลของบริษัทใดบริษัทหนึ่งมาคำนวณไม่ได้
แต่เนื่องจากบริษัทแต่ละบริษัทเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นปัจจัยที่ผู้ลงทุนจะใช้พิจารณาว่า เงินปันผลที่ได้รับนั้นสามารถนํามาเครดิตภาษีได้หรือไม่ก็คือ ให้เปรียบเทียบอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ลงทุน เทียบกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทที่เราลงทุน โดยสามารถดูข้อมูลอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลได้จากหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายของเงินปันผลที่ทางศูนย์รับฝากหลักทรัพย์จัดส่งให้
จากตัวอย่างข้างต้น ภาษีของเงินปันผลที่ถูกหักไปคิดเป็นประมาณ 28% ของกำไรของกิจการ หากผู้ถือหุ้นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 10% ซึ่งน้อยกว่า 28% กรณีนี้เราก็ควรขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืน แต่หากผู้ถือหุ้นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 30% ขึ้นไป ซึ่งมากกว่า 28% เราก็ไม่ควรขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืน เพราะกฎหมายได้ให้ทางเลือกว่าเราจะนำเงินปันผลมารวมหรือไม่รวมคำนวณเป็นเงินได้ก็ได้
อย่างไรก็ตาม หากต้องการความถูกต้อง ให้ลองคำนวณดูทั้ง 2 แบบ คือ ทั้งรวมและไม่รวมเงินปันผล แล้วพิจารณาภาระภาษีที่เกิดขึ้น วิธีไหนที่ทำให้เราสามารถประหยัดภาษีได้มากกว่า เราก็เลือกแบบนั้น เพียงเท่านี้ ท่านก็จะได้รับผลประโยชน์ที่ถูกมองข้ามกลับคืนมาไม่มากก็น้อย
บทความโดย นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร
เอากำไรที่ได้ มาเฉลี่ยจ่ายให้ผู้ถือหุ้นแต่ละคนตามจำนวนหุ้นที่ถือเพื่อเป็นการตอบแทนที่ได้ร่วมลงทุนในกิจการมาด้วยกัน
เปิดบัญชีกองทุนประหยัดภาษี SSF RMF กับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนประหยัดภาษีมากกว่า 10 บลจ.
คลิก //finno.me/open-plan
เครดิตภาษีเงินปันผล คืออะไร?
- การเครดิตภาษีเงินปันผล คือกระบวนการคิดกลับเพื่อให้ได้เงินปันผลก่อนที่จะถูกหักภาษีนิติบุคคล เพื่อให้นำไปคำนวณภาษีบุคคลธรรมดาต่อไปได้โดยไม่เป็นการคำนวณภาษีซ้ำซ้อน
- เราไม่จำเป็นต้องท่องจำสูตรคำนวณเลย เพราะในปัจจุบันเรามีตัวช่วยที่ทำให้การคำนวณเครดิตภาษีเงินปันผลง่ายกว่านั้นมาก
- เพียงแค่เข้าไปใน Investor Portal ที่จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะมีบริการให้ดาวน์โหลดไฟล์สำหรับใข้ยื่นภาษีเงินปันผลโดยเฉพาะ
- ตอนจะยื่นภาษีก็เพียงแค่อัปโหลดไฟล์ที่ได้มาลงไประบบยื่นภาษี ก็จะขึ้นข้อมูลมาให้ทั้งหมดว่า เราได้รับเงินปันผลมาเท่าไหร่ ถูกภาษีหัก ณ ที่จ่ายเท่าไหร่ และได้เครดิตภาษีเงินปันผลเท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้การจัดการภาษีเงินปันผลง่ายขึ้นเยอะ
ตรวจสอบฐานภาษี: แล้วเราควรเลือกทางไหนดี?
- ถ้าขั้นภาษีตกอยู่ที่ 30% ขึ้นไป (เงินได้พึงประเมินประมาณ 2,200,000 บาท/ปีเป็นต้นไป): กรณีนี้การ “หัก–จ่าย–จบ” มีแนวโน้มจะคุ้มกว่า เพราะจะทำให้เสียภาษีเพียงแค่ 28% แต่ถ้า “ยื่นรวมและเครดิต” จะเสียภาษีเงินในอัตรา 30% หรือมากกว่า
- ถ้าขั้นภาษีอยู่ที่ 25% ลงมา กรณีนี้การ “ยื่นรวมและเครดิต” มีแนวโน้มจะคุ้มกว่า เพราะจะทำให้เราเสียภาษีจริง ๆ เพียง 25% หรือน้อยกว่า แต่ถ้า “หัก–จ่าย–จบ” จะเสียภาษีในอัตรา 28%
สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีเงินปันผล
- บริษัทแต่ละบริษัทเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราที่ไม่เท่ากัน ซึ่งอาจมีตั้งแต่ได้รับยกเว้นภาษี ไปจนถึงอัตราภาษีที่ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทและลักษณะการดำเนินธุรกิจของกิจการ ดังนั้นภาษีทั้งหมดที่เราเจออาจจะไม่ใช่ 28% เสมอไป อาจจะมากหรือน้อยกว่า 28% ไปอีกก็ได้ เพราะตัวอย่างที่ได้พูดถึง เป็นเพียงกรณีที่อัตราภาษีนิติบุคคลอยู่ที่ 20%
- เมื่อเลือกแล้วว่า “หัก–จ่าย–จบ” หรือ“ยื่นรวมและเครดิต” จะต้องใช้วิธีการนั้น กับหุ้นทุกตัวที่มีอยู่ จะใช้วิธีนึงกับหุ้นตัวหนึ่ง และอีกวิธีหนึ่งกับหุ้นอีกตัวไม่ได้
- ในปัจจุบัน เงินปันผลที่ได้จากกองทุนรวมหุ้น จะถูกนับว่าเป็นเงินได้ลักษณะเดียวกันกับเงินปันผลจากหุ้น ทำให้เมื่อเลือก “หัก–จ่าย–จบ” หรือ “ยื่นรวมและเครดิต” กับหุ้นหรือกองทุนหุ้นปันผลตัวใดตัวหนึ่งแล้ว ก็จะต้องใช้วิธีการเดียวกันนั้นกับหุ้นและกองทุนหุ้นปันผลที่มีอยู่ทั้งหมดด้วย แต่ปันผลที่ได้จากกองทุนหุ้นจะไม่สามารถใช้สิทธิ์เครดิตภาษีได้
ทั้ง 3 ข้อนี้ มีผลทำให้การเลือก “หัก–จ่าย–จบ” หรือ “ยื่นรวมและเครดิต” สำหรับนักลงทุนแต่ละคนมีความคุ้มค่าไม่เท่ากัน เพื่อความมั่นใจ นักลงทุนควรลองคำนวณภาษีโดยใช้วิธีการทั้ง 2 แบบ แล้วเปรียบเทียบกันดูว่าวิธีไหนทำให้ประหยัดภาษีได้มากกว่ากัน
เปิดบัญชีกองทุนประหยัดภาษี SSF RMF กับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนประหยัดภาษีมากกว่า 10 บลจ.
คลิก //finno.me/open-plan
อ่านเพิ่มเติม ลดหย่อนภาษี: ทุกเรื่องที่ต้องรู้ รวบรวมมาให้แล้ว!
สรุปวิธีคำนวณภาษี: รายได้เท่าไรต้องเสียภาษีเท่าไร?
แท็ก: ArticleBasicFINNOMENA CHANNELKnowledgePersonalFinance101TAX เพื่อนๆVideoภาษีปันผลศัพท์การเงินเครดิตภาษีปันผลเงินปันผลปันผลบริษัท เสียภาษีไหม
ปันผลหุ้น ลดหย่อนภาษีได้ไหม
เล่นหุ้นต้องเสียภาษียังไง
บริษัทจ่ายเงินปันผลจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายกี่เปอร์เซ็น