ชุมชนพอเพียงคือชุมชนที่สมาชิกมีความเข้มแข็งมั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทั้งในทางปฏิบัติและมีทัศนคติที่ดีในการดำรงชีวิต พอมี พอกิน พออยู่ พอเพียง ตามฐานะและมีความสุขยั่งยืน ชุมชนมีความสมดุลทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม
“เศรษฐกิจพอเพียง” คือ “เศรษฐกิจแห่งความยั่งยืน”
แปลจากบทความ “Sufficiency economy may mean sustainable economy”
ของ ”K I Woo” ใน The Nation ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2552
คำอธิบายสาเหตุที่ทำให้บางคนแปลความหมายของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผิดไป
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเห็นว่าชาติต่างๆในยุคโลกาภิวัฒน์ควรพิจารณาอย่างจริงจังถึงการนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติใช้งาน
แม้ว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้รับการยอมรับว่าสามารถบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดกับประชาชนชาวไทยจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันเป็นอย่างมาก แต่มีชาวต่างชาติเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจหรือเห็นคุณค่าของมันอย่างแท้จริง
เหตุผลสำคัญคือคำว่า “พอเพียง” ซึ่งบางคนตีความว่าหมายถึงหลักปรัชญาที่คับแคบซึ่งอาจจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยย้อนกลับไปสู่ยุคหิน
บางทีหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาจจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกถ้าหากมันถูกเปลี่ยนชื่อเป็นหลักปรัชญา “เศรษฐกิจยั่งยืน”
ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่ได้รับการยอมรับหลายท่าน รวมถึงนาย Peter Warr แห่ง Australian National University ได้ศึกษาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอย่างละเอียดมาเป็นเวลาหลายปี
นาย Warr ได้ยกพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ว่า
“เศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักปรัชญาที่เน้นการจัดการอย่างเหมาะสมและการดำเนินชีวิตอย่างพอประมาณโดยพิจารณาแนวทางการจัดการทั้งหมด และความจำเป็น ที่จะต้องมีการป้องกันแรงกระทบทั้งภายในและภายนอกอย่างเพียงพอ”
ในบทความของนาย Warr ซึ่งตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ใน GH Bank Housing Journal เขาได้กล่าวว่ามี “หลักการสำคัญห้าประการ” จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
“ได้แก่ ความสำคัญในการกำหนดเป้าหมายสำคัญอย่างสมเหตุสมผลและเหมาะสม (มีเหตุมีผล) ความสำคัญของการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นในการดำเนินตามเป้าหมาย (พอประมาณ) ความพอใจยินดีที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง (มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี) ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีความตระหนักถึงการปกป้องตนเองจากสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจมีการผันแปรไป (ความรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) และมีการตระหนักรู้ถึงการใช้ชีวิตที่ไม่ยึดติดกับวัตถุ(คุณธรรม)”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้แสดงให้เห็นถึงแต่ละหลักการทั้งห้าดังกล่าว ซึ่งความสัมพันธ์กันในหลักการทั้งห้าของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถทำความเข้าใจได้ในหลายระดับ ในระดับปัจเจกบุคคล หลักการทั้งห้าให้แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินชีวิตโดยประหยัดซึ่งก็จะมีผลดีต่อระดับชุมชนและองค์กร สำหรับในระดับประเทศหลักการทั้งห้าก็มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการบริหารประเทศในการปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสว่า ความพอเพียงหมายถึงการมีอย่างเพียงพอที่จะใช้ในการดำเนินชีวิต ความพอเพียงยังหมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างสุขสบายอย่างพอประมาณ ไม่มากเกินไป หรือไม่ตามใจตัวเองในสิ่งฟุ่มเฟือยมากเกินไป โดยบางสิ่งที่อาจดูเหมือนฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อแต่หากนำมาซึ่งความสุขก็อาจจะยอมรับได้ เมื่อเป็นการทำในระดับปัจเจกบุคคล
บทวิจารณ์เกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในช่วงแรกหลายบทวิจารณ์เข้าใจว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับแนวทางพระราชดำริซึ่งทรงแนะนำให้กับเกษตรกรที่เรียกว่า “ทฤษฎีใหม่” ผู้สังเกตการณ์บางคนเริ่มที่จะคิดว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นที่จะย้อนกลับไปใช้ชีวิตแบบพอเพียง แบบเกษตรกร และดำรงชีพโดยใช้เฉพาะแต่สิ่งที่จำเป็น
และแล้วเมื่อเวลาผ่านไปหลายคนก็ได้เริ่มตระหนักว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นการปฏิบัติอย่างพอดีพอประมาณตามหลักการห้าข้อดังกล่าวข้างต้น โดยสามารถนำไปใช้ได้ทั้งบุคคลที่มีอาชีพต่างๆ องค์กร บริษัท หน่วยงาน จนถึงระดับรัฐบาล
หลักสำคัญห้าประการนี้ได้มีการนำไปปฏิบัติตามอย่างรอบคอบโดยทุกภาคส่วนในสังคมไทยและทำให้เรารอดพ้นจากการได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ในพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งกล่าวว่า “การได้เป็นเสือ[เศรษฐกิจ]นั้นไม่สำคัญ สิ่งซึ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือการมีเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหมายถึงการมีเพียงพอให้อยู่รอดได้”
นาย Warr กล่าวว่า “หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงระบุว่าความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมิได้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาความอยู่ดีมีสุขของคน และการมุ่งเน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไปกว่าสิ่งสำคัญอื่นๆ อาจทำให้เกิดความทุกข์ พูดโดยสั้นๆคือหลักเหตุผลของทางสายกลาง”
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของแนวทางนี้และอันตรายจากการเพิกเฉยต่อการปฏิบัติตามแนวทางนี้ เขากล่าวว่า “แนวความคิดนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสุขภาพจิตในช่วงที่ผ่านมา”
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่าในประเทศต่างๆส่วนใหญ่ นโยบายสาธารณะยังไม่สามารถสื่อถึงวิสัยทัศน์อันลึกซึ้งนี้ได้ “คุณค่าของคนในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ร่ำรวยได้ถูกประเมินค่าไว้สูงมากเกินไป”
หวังว่ามุมมองของนายกอภิสิทธิ์ที่มีต่อหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆให้สามารถสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความผาสุกของประเทศชาติอย่างยั่งยืนได้