วิธีระบายความร้อนออกจากร่างกาย

กรมอนามัย ห่วงสุขภาพประชาชนในช่วงสภาพอากาศร้อน หากร่างกายได้รับความร้อนสูงเกินไปและไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ อาจทำให้เกิด 6 อาการ พร้อมแนะวิธีป้องกันตนเอง

พญ. พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สภาพอากาศที่ร้อนจัดและอุณหภูมิที่สูงในช่วงหน้าร้อนอาจเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน ผู้ทำงานกลางแจ้ง และผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เพราะหากร่างกายได้รับความร้อนสูงเกินไปและไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ อาจทำให้เกิด 6 อาการตามระดับความรุนแรง ได้แก่

1) ผื่นผิวหนัง เกิดจากร่างกายระบายความร้อนโดยการขับเหงื่อมากจนรูขุมขนอักเสบ ทำให้ระคายเคืองที่ผิวหนังและเป็นตุ่มสีแดงหรือผื่นที่บริเวณหน้า ลำคอ หน้าอกส่วนบน ใต้ราวนม และขาหนีบ แนะนำให้อาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และทายาบริเวณที่เป็นผื่น

2) บวมที่ข้อเท้า เกิดจากเส้นเลือดบริเวณผิวหนังขยายตัว ทำให้เกิดอาการ บวมที่ขา โดยเฉพาะที่ข้อเท้า จึงควรพักผ่อนและนอนยกขาสูง

3) ตะคริว เกิดจากกล้ามเนื้อหดตัวและเกร็งอย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะบริเวณขา แขน และท้อง ซึ่งพบในผู้ที่ทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างหนัก จนร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทางเหงื่อเป็นจำนวนมาก แนะนำให้ยืดกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นตะคริว นวดกล้ามเนื้อเบา ๆ ประมาณ 1 - 2 นาที สลับกับการยืดกล้ามเนื้อ และดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป

4) เป็นลม เกิดจากร่างกายไม่สามารถปรับตัวต่ออากาศที่ร้อนขึ้น ทำให้เป็นลมหมดสติได้ วิธีช่วยเหลือคือให้ผู้ป่วยนอนหงายราบกับพื้น ใช้หมอนรองขาและเท้าสูงกว่าลำตัว พัดโบกลมให้ถูกหน้า ลำตัว เพื่อช่วยระบายความร้อนจากร่างกาย ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า และบีบนวดแขนขา หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 30 นาที ให้ไปพบแพทย์

5) เพลียแดด เกิดจากการสูญเสียน้ำหรือเกลือแร่จำนวนมากไปกับเหงื่อนานหลายชั่วโมง อาการคือ มีเหงื่อออก อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และกระหายน้ำอย่างมาก หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว แต่ยังคงมีสติอยู่ วิธีช่วยเหลือคือให้ผู้ป่วยนอนยกขาสูง ใช้พัดลมเป่า วางถุงใส่น้ำแข็งไว้ตามซอกคอ รักแร้ ข้อพับและขาหนีบ หากผู้ป่วยยังมีอุณหภูมิร่างกายสูงให้นำส่งโรงพยาบาลทันที

“6) โรคลมร้อน หรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) เป็นโรคที่รุนแรงมากจนอาจเสียชีวิตได้ เนื่องจากเมื่ออยู่ในอากาศที่ร้อนจัด ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้ตามปกติจนไปทำลายระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกายและระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยมีอาการผิวหนังแดง ร้อน เหงื่อไม่ออก สับสน มึนงง หากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลทันทีอาจเสียชีวิตได้ วิธีช่วยเหลือผู้ป่วยคือ พาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่ม หรือในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ถอดเสื้อผ้าให้เหลือเท่าที่จำเป็น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ใช้พัดลมเป่า วางถุงใส่น้ำแข็ง ไว้ตามซอกคอ รักแร้ ข้อพับและขาหนีบ และรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว ทั้งนี้ หากพบคนไม่สบายจากความร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือ ให้รีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือติดต่อสายด่วนช่วยชีวิต 1669” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

จากกฏหมายคุ้มครองนโยบายความเป็นส่วนตัว ทางเว็บไซต์ www.cosmenet.in.th ขออนุญาตเก็บ ข้อมูลเพื่อนำไปใช้พัฒนาการให้บริการทางเว็บไซต์ ท่านสามารถอัปเดตข้อมูลส่วนตัว และทำความเข้าใจก่อนการยินยอมได้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

หากได้ยินใครพูดเล่นว่า ประเทศไทยตอนนี้มี 3 ฤดู คือฤดูร้อน ร้อนมาก และร้อนที่สุด คงไม่ใช่การกล่าวที่เกินจริงเลย ถ้าเกิดเป็นไอศกรีมคงละลายตั้งแต่ฉีกซองแล้ว โชคดีที่เกิดเป็นคน อย่างมากก็แค่แดดเผาจนผมเสีย หน้าไหม้ ร้อนในถามหา ส่วนตับ ไต ลำไส้ ข้างใน ไม่รู้ละลายกลายเป็นไอไปบ้างหรือยังนะ!

อากาศร้อนขนาดนี้ อยากรู้เหมือนกันค่ะว่า ร่างกายข้างในจะเป็นอย่างไร? ระบายความร้อนด้วยวิธีไหน? ถ้าต้องเผชิญกับอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ทุกวัน

1. ร่างกายจะเป็นอย่างไร ถ้าข้างในร้อนจนเกินไป ?

อุณหภูมิร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ควบคุมให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายยังทำงานได้ปกติ แต่ถ้าข้างในร่างกายร้อนเกินไป จนระบายความร้อนไม่ทัน จะทำให้เอนไซม์ในร่างกายเสื่อมสภาพ จนถูกทำลาย ถ้าเกิดในระบบสำคัญเช่น หัวใจ, ระบบไหลเวียนเลือด, ระบบหายใจ หรือสมอง ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยนะคะ

นอกจากนี้กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การมีประจำเดือน หรือโรคบางชนิด ก็ส่งผลทำให้ความร้อนในร่างกาย สูงขึ้นได้เหมือนกันค่ะ

ถ้าอากาศร้อนมาก จนร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน จะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อยล้า รู้สึกเหนื่อย มีร้อนใน บางทีอาจลุกลามจนกลายเป็นไข้ มีผื่นแดง หน้าแดง ผิวแห้ง ท้องผูก ปัสสาวะน้อยลง นอกจากจะทำให้ร่างกายป่วยและเสื่อมเร็วแล้ว ยังส่งผลต่อลดทอนประสิทธิภาพการทำงาน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนะคะ

แต่โชคยังดีที่ร่างกายมีระบบระบายความร้อนอัตโนมัติ ที่ทำให้เรายังไม่มอดไหม้ ละลายไปกับไอแดดนะคะ

2. วิธีระบายความร้อนออกจากร่างกาย ตามธรรมชาติ

1. การแผ่รังสี คือการส่งความร้อนของวัตถุหนึ่ง ไปยังวัตถุหนึ่งด้วยรังสี โดยที่วัตถุไม่ต้องสัมผัสกัน

   เช่น ที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส แค่นั่งอยู่เฉย ๆ ร่างกายก็สามารถแผ่ความร้อนจากภายในออกได้ มากถึง 60% แต่ถ้าอากาศข้างนอกร้อนขึ้น เราก็จะระบายความร้อนได้น้อยลง อวัยวะต่าง ๆ จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น เผลอ ๆ ร้อนในก็จะมาเยือนด้วยนะคะ

2. การนำความร้อน คือการส่งความร้อนจากตัว โดยระบายความร้อนไปยังวัตถุอื่น ด้วยการสัมผัส เช่นเวลาที่มือสัมผัสโต๊ะโลหะแล้วรู้สึกเย็น
3. การพาความร้อน คือการส่งผ่านความร้อนออกจากร่างกาย โดยมีตัวพาไป เช่น ลมพัดทำให้เรารู้สึกเย็น หรือเมื่อเวลาอาบน้ำแล้วทำรู้สึกร้อนน้อยลง เป็นการระบายความร้อนที่เรานิยมทำกันบ่อยที่สุด

4. การระเหย คือการที่น้ำในร่างกายเปลี่ยนรูปกลายเป็นไอ ร่างกายใช้วิธีนี้ในการระบายความร้อนถึง 25% โดยเฉพาะเวลาออกกำลังกาย จะสังเกตว่า เมื่อเหงื่อออก เราจะรู้สึกเย็นขึ้นกว่าเดิมมาก เป็นการปรับสมดุลให้ร่างกายเป็นปกติอีกครั้ง

แต่การระบายความร้อนด้วยวิธีเหล่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ, ความชื้นสัมพัทธ์, กระแสลม หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่เราเลือกใส่

3. วิธีช่วยร่างกายระบายความร้อน

1. การเลือกใส่เสื้อผ้า ที่ทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลมจะได้ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายได้อีกทางหนึ่ง
2. ลดกิจกรรมที่ต้องออกแรงหนัก เพราะการทำงานต่าง ๆ ร่างกายต้องใช้พลังงานจากสมองและกล้ามเนื้อลายเป็นหลัก ผลลัพธ์ทีได้คือความร้อน ที่ได้จากการสร้างพลังงานนั่นเองค่ะ
3. พาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็น ไม่ว่าจะเป็นห้องแอร์ สวนสาธารณะ หรือแม้แต่การแช่น้ำ จะได้ช่วยรางกายระบายความร้อนบ้างนะคะ

ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเสื้อผ้า การหยุดทำกิจกรรม หรือการเลือกอยู่ในที่อากาศเย็น คงไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา ด้วยข้อจำกัดในหน้าที่การงาน และการใช้ชีวิต เราเลือกทำตามใจไม่ได้เสมอไปนี่คะ

แต่สิ่งหนึ่งที่คุณเลือกเองได้อย่างแน่นอน คือ เลือกให้คูลแคปช่วยระบายความร้อนให้ร่างกายคุณสิคะ

4. คูลแคปตัวช่วยระบายความร้อน

“คูลแคป” เป็นยาแคปซูล ที่ได้รวมเอาสมุนไพรดับร้อนมารวมไว้ให้ครบ จบในแคปซูลเดียว ทั้งบอระเพ็ด, ส้มซ่า, ผักกาดน้ำ และโกฐน้ำเต้า

สมุนไพรทั้ง 4 ชนิดในคูลแคปมีฤทธิ์แก้ร้อนใน ระบายความร้อน

• โดยจะช่วยระบายความร้อนออกทางเหงื่อ
• ขับของเสียจากเลือด และความร้อนออกทางปัสสาวะ
• ฤทธิ์ของยาระบายอ่อน ๆ จึงแก้ปัญหาท้องผูกแบบร้อน ซึ่งเกิดจากความร้อนที่สะสมในระบบทางเดินอาหาร จะช่วยผลักอุจจาระออกร่างกาย ขับของเสีย ลดการคั่งค้างของสารพิษ ช่วยร่างกายระบายความร้อน

ให้คูลแคปช่วยระบายความร้อน ออกจากระบบต่าง ๆ ในร่างกาย นอกจากคลายร้อน แล้ว ยังช่วยลดอาการเจ็บคอ บรรเทาไข้ ปรับสมดุลหยินหยาง อวัยวะภายในจะได้ ไม่ร้อน เซลล์ต่าง ๆ จะไม่ทำงานหนักจนเกินไปนะคะ

คูลแคปพกพาไปไหนได้สะดวก หาซื้อง่ายแม้แต่ช่องทางออนไลน์ ก็ยังมีให้เลือกแล้วนะคะ หมดความกังวลที่ต้องคอยหาชุดระบายความร้อน หรือต้องหาห้องแอร์อยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป

5. บทสรุป คูลแคปช่วยร่างกายระบายความร้อน

“คูลแคป” ยาแคปซูลสมุนไพรที่คัดสรร เอาสรรพคุณที่ดีที่สุดของสมุนไพรไทยมารวมไว้ในเม็ดเดียว ทั้งบอระเพ็ด, ส้มซ่า, ผักกาดน้ำ และโกฐน้ำเต้า มีฤทธิ์ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย ทำให้ระบบต่าง ๆ ยังทำงานได้เป็นปกติ ระบบเลือดยังไหล ระบบหายใจยังไม่พัง สมองยังสั่งการได้ดี.. แค่มีคูลแคปติดตัวไว้ ข้างในไม่พังแน่นอนค่ะ!

ทำยังไงให้อุณหภูมิร่างกายลดลง

ทำยังไงให้ตัวเย็น

ทำไมร่างกายข้างในร้อน