เราสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone ของคุณโดยมีค่าธรรมเนียมบริการได้ การรับประกันของเราไม่ครอบคลุมแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพจากการใช้งานตามปกติ หาก iPhone ของคุณได้รับการคุ้มครองจากการรับประกัน, AppleCare+ หรือกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เราจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้คุณโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ฉันจะขอรับบริการแบตเตอรี่สำหรับ iPhone ของฉันได้อย่างไร
นัดหมายการเข้ารับบริการ
นัดหมายกับผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจาก Apple หรือ Apple Store
ติดต่อเรา
คุยกับที่ปรึกษาฝ่ายบริการช่วยเหลือของ Apple
การบริการจะมีค่าใช้จ่ายเท่าใด
ใช้เครื่องมือ “ทราบราคาโดยประมาณ” ของเราเพื่อดูค่าใช้จ่ายที่เป็นไปได้ โดยค่าธรรมเนียมการให้บริการจะคิดตามนี้หากคุณรับบริการจาก Apple Store ผู้ให้บริการอื่นๆ สามารถกำหนดค่าธรรมเนียมของตนเองได้ ดังนั้นโปรดติดต่อสอบถามราคาประเมินจากผู้ให้บริการ
เราจะตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของคุณเมื่อเราได้รับและยืนยันค่าบริการ หาก iPhone ของคุณได้รับความเสียหายที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแบตเตอรี่ เช่น หน้าจอแตก ปัญหาดังกล่าวจะต้องได้รับการแก้ไขก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่ ในบางกรณี อาจมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมด้วย
ดูค่าบริการอื่นๆ ของ iPhone
ค่าธรรมเนียมทั้งหมดเป็นสกุลเงินบาทไทย (฿) และรวม VAT แล้ว เราจะตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของคุณเมื่อได้รับผลิตภัณฑ์แล้วจะยืนยันค่าบริการ
คุณมี AppleCare+ หรือไม่
ประเทศหรือภูมิภาคของคุณมี AppleCare+ สำหรับผลิตภัณฑ์นี้
ผลิตภัณฑ์ของคุณจะเข้าเกณฑ์รับการเปลี่ยนแบตเตอรี่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากคุณมี AppleCare+ และแบตเตอรี่ในผลิตภัณฑ์ของคุณเก็บประจุได้น้อยกว่า 80% ของความจุเดิม
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AppleCare+ ในไทย
การรับประกัน
การรับประกันแบบจำกัดของ Apple คุ้มครอง iPhone ของคุณและอุปกรณ์เสริมที่เป็นของ Apple ซึ่งมาพร้อมกล่องผลิตภัณฑ์ของคุณสำหรับปัญหาอันเกิดจากการผลิตเป็นเวลาหนึ่งปีนับจากวันที่คุณซื้อผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์เสริมแบรนด์ Apple ที่ซื้อแยกต่างหากจะได้รับการคุ้มครองโดยการรับประกันแบบจำกัดของ Apple สำหรับอุปกรณ์เสริม ซึ่งได้แก่ อะแดปเตอร์ สายสำรอง ที่ชาร์จไร้สาย หรือเคส
การรับประกันของเราเป็นส่วนเพิ่มเติมนอกเหนือจากสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
คุณอาจได้รับความคุ้มครองจาก AppleCare+ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหา ความคุ้มครองจะเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไข รวมถึงค่าธรรมเนียม ความพร้อมใช้งานของคุณสมบัติและตัวเลือกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
หากปัญหาของคุณไม่ได้รับความคุ้มครอง คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม หากปัญหา iPhone ของคุณไม่เข้าเกณฑ์การรับบริการ คุณอาจต้องชำระค่าเปลี่ยนทดแทนเต็มจำนวน
ตรวจสอบสถานะความคุ้มครองของคุณ
อ่านการรับประกันแบบจำกัดของ Apple
ค้นดูกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศหรือภูมิภาคของคุณ
รับประกัน
เรารับประกันการให้บริการของเรา ซึ่งรวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ ที่เปลี่ยนให้เป็นเวลา 90 วันหรือตามระยะเวลาที่เหลือของการรับประกันของ Apple หรือแผน AppleCare ของคุณ ขึ้นอยู่กับว่าแบบใดมีระยะเวลานานกว่า การรับประกันนี้เป็นส่วนเพิ่มเติมนอกเหนือจากสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของคุณ
อุปกรณ์สำหรับเปลี่ยนที่ Apple จัดหาให้เป็นส่วนหนึ่งของบริการซ่อมหรือเปลี่ยนทดแทนอาจมีชิ้นส่วนแท้ของ Apple ที่เป็นของใหม่หรือผ่านการใช้งานมาแล้ว โดยได้รับการทดสอบและผ่านข้อกำหนดด้านการทำงานของ Apple
อ่านข้อกำหนดและเงื่อนไขการซ่อมของ Apple
อ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Apple
การใช้โหมดประหยัดพลังงานสามารถช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้นานขึ้นได้อย่างมาก สลับเป็นโหมดประหยัดพลังงานเมื่อแบตเตอรี่ iPhone ของคุณมีพลังงานเหลือน้อยหรือเมื่อคุณไม่ได้เสียบปลั๊กชาร์จไฟ iPhone เป็นเวลานาน
ไปที่ การตั้งค่า
> แบตเตอรี่เปิดใช้โหมดประหยัดพลังงาน
โหมดประหยัดพลังงานจะจำกัดกิจกรรมที่มีอยู่ในเบื้องหลังและจะปรับประสิทธิภาพของงานที่จำเป็น เช่น การรับสายโทร อีเมล ข้อความ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และอื่นๆ
หมายเหตุ: ถ้า iPhone ของคุณสลับไปเป็นโหมดพลังงานต่ำโดยอัตโนมัติ เครื่องจะสลับกลับมาเป็นโหมดพลังงานปกติหลังจากชาร์จได้ 80% iPhone ของคุณอาจดำเนินงานบางอย่างช้าลงเมื่ออยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน
ทำความเข้าใจประสิทธิภาพการทำงานของ iPhone และความเกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ของคุณ
iPhone ของคุณได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายและไม่ซับซ้อน ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการผสมผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและวิศวกรรมที่ซับซ้อนเท่านั้น หนึ่งในเทคโนโลยีด้านที่สำคัญคือแบตเตอรี่และประสิทธิภาพการทำงาน แบตเตอรี่เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและมีตัวแปรจำนวนมากที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่และ iPhone แบตเตอรี่ชนิดชาร์จซ้ำได้ทุกชนิดเป็นชิ้นส่วนสิ้นเปลืองและมีอายุการใช้งานที่จำกัด ซึ่งหมายความว่าท้ายที่สุดแล้วความจุและประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่เหล่านี้จะเสื่อมถอย แบตเตอรี่จึงจำเป็นต้องรับการเปลี่ยน และเมื่ออายุของแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับประสิทธิภาพการทำงานของ iPhone เราได้เรียบเรียงข้อมูลเหล่านี้สำหรับผู้ที่ต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม
เกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
แบตเตอรี่ iPhone ใช้เทคโนโลยีลิเธียมไอออน ซึ่งเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่รุ่นเก่าๆ แล้ว แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถชาร์จได้เร็วกว่า ใช้งานได้นานกว่า และมีความหนาแน่นของกำลังไฟที่สูงกว่า จึงให้ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นพร้อมทั้งมีน้ำหนักที่เบาลง ในปัจจุบันเทคโนโลยีลิเธียมไอออนแบบชาร์จซ้ำได้เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดสำหรับอุปกรณ์ของคุณ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ให้เต็มขีดความสามารถ
“ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่” หมายถึงระยะเวลาที่อุปกรณ์สามารถทำงานได้ก่อนที่จะต้องชาร์จใหม่ “อายุการใช้งานแบตเตอรี่” หมายถึงระยะเวลาที่แบตเตอรี่สามารถทำงานได้ก่อนที่จะต้องเปลี่ยนใหม่ ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่และอายุการใช้งานแบตเตอรี่มาจากหลายๆ สิ่งที่คุณทำกับอุปกรณ์ของคุณ แต่ไม่ว่าคุณจะใช้อุปกรณ์อย่างไร จะมีวิธีช่วยยืดอายุการใช้งานเสมอ อายุการใช้งานของแบตเตอรี่จะเชื่อมโยงกับ “อายุทางเคมี” ของแบตเตอรี่ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของระยะเวลาเพียงอย่างเดียว แต่จะประกอบไปด้วยปัจจัยอื่นๆ อาทิ จำนวนรอบการชาร์จและวิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ให้เต็มขีดความสามารถ และเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ตัวอย่างเช่น ชาร์จ iPhone เพียงครึ่งเดียวเมื่อต้องเก็บในระยะยาว อีกทั้งให้หลีกเลี่ยงการชาร์จหรือวาง iPhone ทิ้งไว้ในสภาพแวดล้อมที่ร้อน รวมถึงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นระยะเวลานาน
เมื่อแบตเตอรี่มีอายุทางเคมีเพิ่มขึ้น
แบตเตอรี่แบบชาร์จซ้ำได้ทุกชนิดเป็นชิ้นส่วนสิ้นเปลืองซึ่งจะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อมีอายุทางเคมีเพิ่มขึ้น
เมื่อแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีอายุทางเคมีเพิ่มขึ้น ปริมาณประจุที่แบตเตอรี่สามารถเก็บได้จะลดลง ส่งผลให้อุปกรณ์มีระยะเวลาการใช้งานสั้นลงก่อนที่จะต้องชาร์จใหม่ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าความจุสูงสุดของแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นค่าปริมาณความจุของแบตเตอรี่ที่สัมพันธ์กับความจุเมื่อแบตเตอรี่ยังใหม่อยู่ นอกจากนี้ ความสามารถของแบตเตอรี่ในการมอบประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดในทันทีหรือ “กำลังไฟสูงสุด” อาจลดลงด้วย เพื่อให้โทรศัพท์สามารถทำงานอย่างเป็นปกติได้ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต้องสามารถดึงกำลังไฟจากแบตเตอรี่ได้อย่างทันที คุณลักษณะหนึ่งที่ส่งผลต่อการจ่ายไฟอย่างทันทีนี้คือความต้านทานของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่ที่มีความต้านทานสูงอาจไม่สามารถจ่ายไฟได้เพียงพอตามที่ระบบต้องการ ซึ่งความต้านทานของแบตเตอรี่สามารถเพิ่มขึ้นได้หากแบตเตอรี่มีอายุทางเคมีมากขึ้น ความต้านทานของแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้นชั่วคราวเมื่อแบตเตอรี่มีกำลังไฟต่ำและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำ โดยเมื่อผนวกกับอายุทางเคมีที่สูงแล้ว ความต้านทานจะเพิ่มยิ่งขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของคุณสมบัติทางเคมีในแบตเตอรี่ซึ่งเป็นปกติทั่วไปของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้
เมื่อมีการดึงกำลังไฟจากแบตเตอรี่ที่มีระดับความต้านทานสูง แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ก้อนนั้นจะลดลงเป็นอย่างมาก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จำเป็นต้องใช้แรงดันไฟฟ้าขั้นต่ำเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้จะหมายรวมถึงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายในของอุปกรณ์ วงจรไฟฟ้า และตัวแบตเตอรี่เอง ระบบการจัดการพลังงานจะกำหนดขีดปริมาณการจ่ายไฟของแบตเตอรี่ รวมถึงจัดการปริมาณงานเพื่อให้สามารถรักษาการทำงานได้ เมื่อระบบการจัดการพลังงานไม่สามารถรองรับการทำงานอีกต่อไป ระบบจะปิดเครื่องเพื่อปกป้องชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ ซึ่งแม้ว่าการปิดเครื่องนี้จะเป็นการกระทำโดยเจตนาจากฝั่งของอุปกรณ์ แต่ฝั่งของผู้ใช้อาจไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
การป้องกันไม่ให้ปิดเครื่องโดยไม่คาดคิด
เมื่อแบตเตอรี่มีกำลังไฟต่ำ อายุทางเคมีสูง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิต่ำ ผู้ใช้จะมีโอกาสประสบกับเหตุการณ์เครื่องปิดโดยไม่คาดคิดมากขึ้น ซึ่งในกรณีร้ายแรง การปิดเครื่องอาจเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากจนส่งผลให้อุปกรณ์เชื่อถือไม่ได้หรือไม่สามารถใช้งานได้ สำหรับ iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPhone 6s, iPhone 6s Plus, iPhone SE (รุ่นที่ 1), iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ระบบ iOS จะจัดการประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ปิดเครื่องโดยไม่คาดคิด ส่งผลให้ iPhone ยังสามารถใช้งานได้ต่อไป คุณสมบัติการจัดการประสิทธิภาพการทำงานนี้มีเฉพาะสำหรับ iPhone และจะไม่มีในผลิตภัณฑ์อื่นของ Apple ใน iOS 12.1 เป็นต้นไป iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X จะมีคุณสมบัตินี้ ส่วน iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR จะมีคุณสมบัตินี้ตั้งแต่ iOS 13.1 เป็นต้นไป คุณอาจเห็นผลกระทบของการจัดการประสิทธิภาพการทำงานบนรุ่นใหม่ๆ เหล่านี้ได้ชัดเจนน้อยลงเพราะมีการออกแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น
การจัดการประสิทธิภาพการทำงานนี้จะทำงานโดยตรวจตราหลายๆ ส่วนพร้อมกัน ซึ่งได้แก่ อุณหภูมิของอุปกรณ์ กำลังไฟของแบตเตอรี่ และความต้านทานของแบตเตอรี่ iOS จะเข้าไปจัดการประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดของส่วนประกอบระบบบางชิ้น เช่น CPU และ GPU อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิด เมื่อตัวแปรเหล่านี้จำเป็นต้องรับการจัดการเท่านั้น ดังนั้น ปริมาณงานของอุปกรณ์จะปรับสมดุลด้วยตัวเอง ทำให้เครื่องกระจายงานระบบได้ราบรื่นขึ้น แทนที่การเร่งประสิทธิภาพการทำงานอย่างฉับพลัน เป็นวงกว้างพร้อมกันทั้งหมด ในบางกรณี ผู้ใช้อาจไม่ได้รู้สึกว่าอุปกรณ์มีประสิทธิภาพการทำงานประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งระดับการเปลี่ยนแปลงที่รับรู้ได้จะขึ้นอยู่กับว่าอุปกรณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องรับการจัดการประสิทธิภาพการทำงานมากน้อยเพียงใด
ในกรณีที่เครื่องจำเป็นต้องรับการจัดการประสิทธิภาพการทำงานในระดับที่สูงมาก ผู้ใช้อาจรู้สึกถึงผลกระทบต่างๆ อาทิ
- ใช้เวลานานขึ้นในการเปิดใช้แอป
- อัตราเฟรมลดลงขณะเลื่อนหน้า
- แบ็คไลท์หรี่แสงลง (ซึ่งสามารถแก้ไขได้ในศูนย์ควบคุม)
- ความดังเสียงของลำโพงลดลงไม่เกิน -3 dB
- บางแอปมีอัตราเฟรมที่ค่อยๆ ลดลง
- ในกรณีที่ร้ายแรงมาก แฟลชของกล้องจะถูกปิดใช้งานตามที่แสดงบน UI กล้อง
- แอปที่รีเฟรชอยู่เบื้องหลังอาจจำเป็นต้องโหลดอีกครั้งเมื่อเปิด
ส่วนที่สำคัญหลายๆ ส่วนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากคุณสมบัติการจัดการประสิทธิภาพการทำงานนี้ ส่วนดังกล่าวประกอบด้วย
- คุณภาพการโทรผ่านเซลลูลาร์และประสิทธิภาพการทำงานในการรับส่งข้อมูลของเครือข่าย
- คุณภาพของรูปภาพและวิดีโอที่ถ่าย
- ประสิทธิภาพการทำงานของ GPS
- ความแม่นยำของตำแหน่งที่ตั้ง
- เซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น ไจโรสโคป อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว บารอมิเตอร์
- Apple Pay
สำหรับกรณีที่แบตเตอรี่มีกำลังไฟต่ำและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำ การเปลี่ยนแปลงของการจัดการประสิทธิภาพการทำงานจะเกิดขึ้นชั่วคราว หากแบตเตอรี่ของอุปกรณ์มีอายุทางเคมีที่สูงในระดับหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของการจัดการประสิทธิภาพการทำงานอาจเกิดขึ้นนานกว่าเดิม ซึ่งเป็นเพราะแบตเตอรี่แบบชาร์จซ้ำได้ทุกชนิดเป็นชิ้นส่วนสิ้นเปลืองและมีอายุการใช้งานที่จำกัด สุดท้ายแล้ว แบตเตอรี่เหล่านี้ต่างจำเป็นต้องรับการเปลี่ยน หากคุณได้รับผลกระทบจากส่วนนี้และต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ของอุปกรณ์อาจช่วยได้
สำหรับ iOS 11.3 และใหม่กว่า
iOS 11.3 และใหม่กว่าปรับปรุงคุณสมบัติการจัดการประสิทธิภาพการทำงานนี้ โดยจะประเมินระดับการจัดการประสิทธิภาพที่จำเป็นอยู่เป็นระยะๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิด หากสภาพแบตเตอรี่สามารถรองรับความต้องการกำลังไฟสูงสุดที่สังเกตได้ ปริมาณการจัดการประสิทธิภาพการทำงานจะลดลง หากการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก การจัดการประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น การประเมินเช่นนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การจัดการประสิทธิภาพการทำงานสามารถปรับเปลี่ยนได้ดีขึ้น
iPhone 8 และใหม่กว่าใช้การออกแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น ทำให้สามารถคาดการณ์ทั้งกำลังไฟที่จำเป็นและความจุกำลังไฟของแบตเตอรี่ได้แม่นยำมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยรวมให้เต็มขีดความสามารถ ซึ่งทำให้เครื่องสามารถใช้ระบบการจัดการประสิทธิภาพการทำงานที่แตกต่างออกไป ทำให้ iOS คาดการณ์และหลีกเลี่ยงการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิดได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ คุณจึงอาจเห็นผลกระทบของการจัดการประสิทธิภาพการทำงานใน iPhone 8 และใหม่กว่าได้น้อยลง เมื่อเวลาผ่านไป ความจุและประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดของแบตเตอรี่แบบชาร์จได้ใน iPhone ทุกรุ่นจะเสื่อมสภาพลงและจะต้องเปลี่ยนใหม่ในที่สุด
สภาพแบตเตอรี่
สำหรับ iPhone 6 และใหม่กว่า iOS 11.3 และใหม่กว่าได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เพื่อแสดงสภาพแบตเตอรี่และคำแนะนำหากจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ คุณสมบัติเหล่านี้สามารถพบได้ในการตั้งค่า > แบตเตอรี่ > สภาพแบตเตอรี่
นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถดูได้ว่าคุณสมบัติการจัดการประสิทธิภาพการทำงานกำลังเปิดอยู่หรือไม่และสามารถเลือกปิดได้ โดยคุณสมบัตินี้คือส่วนที่จัดการประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิด คุณสมบัตินี้จะเปิดใช้งานเฉพาะหลังจากที่เกิดการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิดเป็นครั้งแรกบนอุปกรณ์ซึ่งใช้แบตเตอรี่ที่ความสามารถในการให้กำลังไฟสูงสุดโดยทันทีลดลง คุณสมบัตินี้มีอยู่ใน iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPhone 6s, iPhone 6s Plus, iPhone SE (รุ่นที่ 1), iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ใน iOS 12.1 เป็นต้นไป iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X จะมีคุณสมบัตินี้ ส่วน iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR จะมีคุณสมบัตินี้ตั้งแต่ iOS 13.1 เป็นต้นไป คุณอาจเห็นผลกระทบของการจัดการประสิทธิภาพการทำงานบนรุ่นใหม่ๆ เหล่านี้ได้ชัดเจนน้อยลงเพราะมีการออกแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น
(หมายเหตุ: ในตอนแรก อุปกรณ์ที่อัปเดตจาก iOS 11.2.6 หรือเก่ากว่าจะปิดใช้งานการจัดการประสิทธิภาพการทำงานเอาไว้ คุณสมบัตินี้จะเปิดใช้งานขึ้นอีกครั้งหากอุปกรณ์ปิดเครื่องโดยไม่คาดคิด)
iPhone ทุกรุ่นมาพร้อมการจัดการประสิทธิภาพการทำงานขั้นพื้นฐาน เพื่อให้แน่ใจว่าแบตเตอรี่และระบบโดยรวมจะทำงานได้ตามที่ได้รับการออกแบบมาและส่วนประกอบภายในได้รับการปกป้อง ซึ่งรวมถึงลักษณะการทำงานในอุณหภูมิสูงหรือต่ำและการจัดการแรงดันไฟฟ้าภายใน การจัดการประสิทธิภาพการทำงานประเภทนี้จำเป็นต่อความปลอดภัยและการทำงานที่คาดหวัง และไม่สามารถปิดใช้งานได้
ความจุสูงสุดของแบตเตอรี่ของคุณ
หน้าจอสภาพแบตเตอรี่ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับความจุสูงสุดและประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดของแบตเตอรี่
ความจุสูงสุดของแบตเตอรี่คือปริมาณความจุของแบตเตอรี่ที่สัมพันธ์กับความจุเมื่อแบตเตอรี่ยังใหม่อยู่ ความจุของแบตเตอรี่จะลดลงเมื่อมีอายุทางเคมีเพิ่มขึ้น อาจทำให้ชั่วโมงการใช้งานน้อยลงหลังจากชาร์จเต็มแล้วได้ ความจุของแบตเตอรี่อาจแสดงว่าเหลือน้อยกว่า 100% เพียงเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาระหว่างการผลิตและการเปิดใช้งาน iPhone
แบตเตอรี่ปกติจะได้รับการออกแบบให้รักษาความจุไว้สูงสุด 80% ของความจุดั้งเดิมเมื่อชาร์จแบบเต็มได้ 500 รอบเมื่อทำงานในสภาวะปกติ การรับประกันหนึ่งปีจะรวมความคุ้มครองการบริการแบตเตอรี่ที่มีข้อบกพร่อง หากเครื่องไม่อยู่ภายใต้การรับประกัน Apple จะเสนอบริการแบตเตอรี่แบบมีค่าใช้จ่าย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอบการชาร์จ
เมื่อสภาพแบตเตอรี่ของคุณเสื่อมลง ความสามารถในการมอบประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดของแบตเตอรี่ก็ลดลงเช่นกัน หน้าจอสภาพแบตเตอรี่จะประกอบด้วยส่วนประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดที่อาจมีข้อความต่อไปนี้ปรากฏขึ้น
ประสิทธิภาพการทำงานปกติ
เมื่อสภาพแบตเตอรี่สามารถรองรับประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดได้ตามปกติและไม่ได้ปรับใช้คุณสมบัติการจัดการประสิทธิภาพ คุณจะเห็นข้อความต่อไปนี้
แบตเตอรี่ของคุณรองรับประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดตามปกติอยู่ในตอนนี้
ปรับใช้การจัดการประสิทธิภาพการทำงาน
เมื่อปรับใช้คุณสมบัติการจัดการประสิทธิภาพการทำงาน คุณจะเห็นข้อความนี้
iPhone เครื่องนี้มีปัญหาในการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิดเนื่องจากแบตเตอรี่ไม่สามารถส่งมอบพลังงานสูงสุดที่จำเป็นได้ จึงมีการปรับใช้การจัดการประสิทธิภาพการทำงานเพื่อช่วยปกป้องไม่ให้เกิดปัญหานี้อีกครั้ง ปิดใช้งาน…
โปรดทราบว่าหากคุณปิดใช้งานการจัดการประสิทธิภาพการทำงาน คุณจะไม่สามารถเปิดกลับได้อีก คุณสมบัตินี้จะเปิดอีกครั้งโดยอัตโนมัติหากเกิดการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิด ตัวเลือกเพื่อปิดการใช้งานจะปรากฏขึ้นเช่นกัน
ไม่ทราบสภาพแบตเตอรี่
หาก iOS ไม่สามารถระบุสภาพแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ คุณจะเห็นข้อความนี้
iPhone เครื่องนี้ไม่สามารถประเมินสภาพแบตเตอรี่ได้ ผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจาก Apple สามารถให้บริการเกี่ยวกับแบตเตอรี่ได้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเลือกการบริการ…
นี่อาจมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่ได้รับการติดตั้งไม่ถูกต้องหรือมีชิ้นส่วนของแบตเตอรี่ที่ไม่รู้จัก
การจัดการประสิทธิภาพการทำงานปิดอยู่
หากคุณปิดใช้งานคุณสมบัติการจัดการประสิทธิภาพการทำงานที่ปรับใช้ คุณจะเห็นข้อความนี้
iPhone เครื่องนี้มีปัญหาในการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิดเนื่องจากแบตเตอรี่ไม่สามารถส่งมอบพลังงานสูงสุดที่จำเป็นได้ คุณได้ปิดใช้งานการปกป้องการจัดการประสิทธิภาพการทำงานด้วยตัวเองแล้ว
หากอุปกรณ์ของคุณประสบปัญหาการปิดเครื่องโดยไม่คาดคิดอีก คุณสมบัติการจัดการประสิทธิภาพการทำงานจะถูกปรับใช้อีกครั้ง ตัวเลือกเพื่อปิดการใช้งานจะปรากฏขึ้นเช่นกัน
สภาพแบตเตอรี่เสื่อมลง
หากสภาพแบตเตอรี่เสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อความด้านล่างนี้จะปรากฏขึ้น
ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ของคุณลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจาก Apple สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่เพื่อให้มีประสิทธิภาพการทำงานและความจุเต็มรูปแบบดังเดิมได้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเลือกการบริการ…
ข้อความนี้ไม่ได้แสดงถึงปัญหาด้านความปลอดภัย แบตเตอรี่ของคุณยังสามารถใช้งานได้ อย่างไรก็ตาม คุณอาจประสบปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่และประสิทธิภาพการทำงานอื่นๆ ที่สังเกตได้ แบตเตอรี่สำหรับเปลี่ยนใหม่จะปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานของคุณ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเลือกการบริการ
ข้อความสำคัญเกี่ยวกับแบตเตอรี่
วิธีขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม
การปรับเทียบการรายงานสุขภาพแบตเตอรี่ใหม่บน iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
iOS 14.5 และเวอร์ชั่นใหม่กว่าจะมีรายการอัปเดตซึ่งระบบรายงานสุขภาพแบตเตอรี่จะปรับเทียบความจุและประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดของแบตเตอรี่ใหม่ใน iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เพื่อแก้ไขการประเมินที่ไม่ถูกต้องในรายงานสุขภาพแบตเตอรี่สำหรับผู้ใช้บางราย
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับเทียบการรายงานสุขภาพแบตเตอรี่ใหม่ใน iOS 14.5
วันที่เผยแพร่: 24 มีนาคม 2565