การจ้างทำผลงานทางวิชาการ การรับจ้างทำผลงานทางวิชาการ และการคัดลอกผลงานทางวิชาการ เป็นความผิดวินัยร้ายแรง
สวัสดีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำหรับผู้ที่ประสงค์จะขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีหรือเลื่อนวิทยฐานะ ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ด่วนที่สุด ที่ศธ 0206.4/ว 17 ลงวันที่ 30 กันยายน 2552 (ว 17/2552) โดยที่หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว กำหนดให้มีการประเมิน 3 ด้าน คือ
ด้านที่ 1 ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
ด้านที่ 2 ด้านความรู้ความสามารถ และ
ด้านที่ 3 ด้านผลการปฏิบัติงาน
สำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษขึ้นไป
การประเมินด้านที่ 1 และ 2 คณะกรรมการจะประเมิน ณ สถานที่ปฏิบัติงานจริง ด้านที่ 3 มี 2 ส่วน ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 ผลการพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียน/ผลการพัฒนาคุณภาพในการบริหารจัดการสถานศึกษา/ผลการพัฒนาคุณภาพในการบริหาร และการจัดการศึกษา/ผลการพัฒนาคุณภาพการนิเทศการศึกษา และ
ส่วนที่ 2 ผลงานทางวิชาการ ก.ค.ศ. กำหนดให้มีการจัดทำผลงานทางวิชาการสำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จำนวน 1 รายการ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ จำนวน 2 รายการโดยต้องเป็นงานวิจัย อย่างน้อย 1
รายการสำหรับวิทยฐานะ เชี่ยวชาญ และวิจัยและพัฒนา อย่างน้อย 1 รายการสำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ
ก.ค.ศ. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะ โดยมี เจตนารมณ์ต้องการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้สั่งสมประสบการณ์การปฏิบัติงานในหน้าที่ความรู้รับผิดชอบ จนเกิดความชำนาญ ความเชี่ยวชาญในตำแหน่งนึ่งและมีผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์และเกิดประโยชน์กับผู้เรียน ครู สถานศึกษาหรือผู้เกี่ยวข้อง สามารถนำผลงานดังกล่าวไป ขอมีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตามมีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่วนหนึ่งที่เสนอผลงานทางวิชาการที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น ชื่อเรื่อง การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ในบทที่ 2 ส่วนใหญ่นำเนื้อหาของนักวิชาการมานำเสนอโดยขาดการอ้างอิง เนื้อหาของผลงานทางวิชาการส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น ซึ่ง ก.ค.ศ. มีมติให้ส่วนราชการต้นสังกัดตรวจสอบและรายงานให้ ก.ค.ศ. ทราบ
ในกรณีดังกล่าวกฎหมายได้กำหนดหลักปฏิบัติไว้ใน มาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. 2547 บัญญัติไว้ว่า “ข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาต้องไม่คัดลอก หรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบุหรี่อนำเอาผลงาน ทางวิชาการของผู้อื่น หรือจ้าง วาน ใชผู้อื่นทำผลงานทางวิชาการเพื่อไปใช้ในการเสนอขอปรับปรุง การกำหนดตำแหน่ง การเลื่อตำแหน่งนึ่ง การเลื่อนวิทยฐานะหรือการให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้น การฝ่าฝืนหลักการดังกล่าวนี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ร่วมดำเนนการคัดลอก หรือลอกเลียนผลงานของผู้อื่น โดยมิชอบุหรี่อรับจัดทำผลงานทางวิชาการไม่ว่าจะมีค่าตอบแทน หรือไม่ เพื่อให้ผู้อื่นนำผลงานนั้น ไปใช้ประโยชน์ในการดำเนนการตามวรรคหนึ่ง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง”
ในเรื่องการคัดลอก ลอกเรียนผลงานทางวิชาการนี้ ก.ค.ศ. เคยมีแนววินิจฉัยสรุปได้ว่า การจัดทำผลงานทางวิชาการเพื่อขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ ถ้าจะมีการนำผลงานทางวิชาการของผู้อื่นมาอ้างอิงก็ต้อง ระบุไว้ได้ถูกต้องในเชิงอรรถ และบรรณานุกรมว่าได้มาจากแหลงค้นคว้าที่ไหน ใครเป็นผู้แต่งหรือวิจัยซึ่งกระทำได้โดยชอบ แต่พฤติการณ์ที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้คัดลอกผลงานวิจัยของผู้อื่น ประมาณ 80% โดยไม่มีการอ้างอิงไว้โดยชอบตามหลักการวิจัย นั้นเป็นกรณีที่เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 แล้ว
ดังนั้น ในกรณีที่ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วปรากฏว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีการลอกเลียนผลงานทางวิชาการและเข้าข่ายตามมาตรา 91 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้นั้น นอกจาก ก.ค.ศ. จะไม่อนุมัติให้เลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้นแล้ว อาจเข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงด้วย จึงขอให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้ตระหนี่กและให้ความสำคัญกับการอ้างอิง แหลงที่มาของข้อมูล ให้เป็นไปตามหลักการวิจัยในการจัดทำผลงานทางวิชาการเพื่อเสนอขอมีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะด้วย
ดร.อุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการ ก.ค.ศ.
Back to top button
Advertisement
คอลัมน์: สถานีก.ค.ศ.: คัดลอกผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบมีความผิด
โดย ศิริพร กิจเกื้อกูล
ระยะนี้มีข่าวเกี่ยวกับการคัดลอกหรือลอกเลียนหรือการรับจ้างทำผลงานทางวิชาการหรือจ้างวาน ใช้ผู้อื่นทำผลงานทางวิชาการหรือนำผลงานทางวิชาการของผู้อื่นไปใช้เสนอขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะหรือการให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้นอย่างเปิดเผย โดยมิได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของข้าราชการ
ครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
และตลอดจนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ร่วมดำเนินการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือรับจ้างทำผลงานทางวิชาการไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่เพื่อให้ข้าราชการครูหรือบุคลากรทางการศึกษานำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการดังกล่าวเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
สำนักงาน ก.ค.ศ. เห็นว่า พฤติการณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อาจจะยังไม่ทราบผลของการกระทำการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการ
ซึ่งมีบทบัญญัติของกฎหมายโดยเฉพาะพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาพ.ศ.2547 กำหนดโทษไว้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เพราะเป็นวิชาชีพครูชั้นสูง ต้องการคนเก่งคนดีเข้าสู่องค์กรวิชาชีพครูจึงมีการกำหนดวิทยฐานะโดยให้มีค่าตอบแทน ดังนั้น การคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย เกิดความเสียหายมีผลต่อประสิทธิผลคือ คุณภาพการศึกษาของเด็กนักเรียน จึงกำหนดบทลงโทษทางวินัยเสมือนเป็นการทุจริตคือ การแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้กล่าวคือต้องถูกลงโทษวินัยอย่างร้ายแรงคือ
ปลดออกจากราชการหรือไล่ออกจากราชการ
กรณีคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการ จะเป็นความผิดต้องมีองค์ประกอบดังนี้ ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547
1.ผู้กระทำความผิดได้แก่ข้าราชการครูบุคลากรทางการศึกษา
2.ผู้กระทำผิดโดยมีพฤติกรรม
- คัดลอกผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบ
- ลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบ
- จ้าง วาน ใช้ ผู้อื่นทำผลงานทางวิชาการ- ร่วมดำเนินการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของผู้อื่นโดยมิชอบ
- รับจัดทำผลงานทางวิชาการไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่เพื่อให้ผู้อื่นทำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์โดยมิชอบ
3.เจตนา คือ การกระทำที่ผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำตามแห่งประมวลกฎหมายอาญา คือ นำผลงานทางวิชาการไปเสนอขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งการเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะหรือการให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้น
เนื่องจากมีเนื้อที่จำกัด โปรดติดตามตอนต่อไปในสัปดาห์หน้านะค่ะ
ที่มา
มติชน ฉบับวันที่ 14 มี.ค. 2554 (กรอบบ่าย)