ทั้งนี้เนื่องจากคดียาเสพติดนั้นเป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติดพ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘ หากจะฎีกา ต้องขออนุญาตฎีกาต่อศาล ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติดพ.ศ. ๒๕๕๐มาตรา ๑๙
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเคยได้รวบรวม ตัวอย่างคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดจำนวนประมาณ 30 กว่าคดีที่สามารถใช้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางต่อสู้คดีได้ซึ่งผู้สนใจสามารถอ่านได้ในบทความเรื่อง 7แนวทางต่อสู้คดียาเสพติด ประเด็นครอบครองเพื่อเสพ พร้อมตัวอย่างคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องจำนวน 32 คดี
แต่ปัจจุบัน มีคำพิพากษาศาลฎีกาใหม่ล่าสุด จำนวน 2 ฎีกา ที่พึ่งตึพิมพ์เผยแพร่ ได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง ในประเด็น เรื่องเจตนาของจำเลยว่า ครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพหรือเพื่อจำหน่าย โดยทั้งสองฎีกามีข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกัน แต่ปรากฎว่าศาลฎีกาวินิจฉัยไปคนละแนว
คดีแรก คือ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๕๑/๒๕๖๓ ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ ส่วนคดีที่ 2 คือ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๔๗/๒๕๖๓ ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพเท่านั้น จึงรอการลงโทษจำคุกไว้และคุมประพฤติจำเลย
จากแนวคำพิพากษาศาลฎีกาทั้ง 2 ฎีกาดังกล่าว สามารถวิเคราะห์เป็นอุทาหรณ์ในการต่อสู้คดียาเสพติด ประเด็นเรื่อง ครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพหรือเพื่อจำหน่าย ได้ดังนี้
1.ในการต่อสู้คดียาเสพติด ประเด็นเรื่องการมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อเสพ การนำสืบถึงเรื่องรายได้ของจำเลยมีความสำคัญมาก ในคำพิพากษาฎีกาแรก จำเลยอ้างว่ามีรายได้จากการค้าขายไก่ทอดและรับจ้างขับรถ แต่รายได้ไม่แน่นอน อีกทั้งมีภาระต้องส่งเงินเลี้ยงภรรยา รายได้ของจำเลย จึงไม่สัมพันธ์กับราคายาเสพติด ไม่เชื่อว่าจำเลยมีรายได้จากอาชีพสุจริตเพียงพอที่จะซื้อยาเสพติดได้ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย
2.การที่ตำรวจชุดจับกุมกล่าวอ้างลอยๆ ว่า มีการสืบทราบว่า จำเลยเคยมีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติดมาก่อน หากเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีการนำพยานมาสืบ หรือขัดต่อเหตุผล ก็จะไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ดังนั้นถ้าพยานโจทก์อ้างว่ามีการสืบทราบว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติดมาก่อน ก็เป็นหน้าที่ทนายความจำเลยที่จะต้องถามค้านให้ปรากฎความจริง
3.การนำสืบสาเหตุ หรือพฤติการณ์ประกอบการเสพของจำเลยก็มีความสำคัญ เช่น จำเลยทำงานใช้แรงงานต้องเสพยาเสพติด เพื่อให้มีกำลังในการทำงานใช้แรงงานเป็นเวลานานๆ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในแต่รูปคดีตามข้อเท็จจริงได้
4.ลักษณะการเก็บยาเสพติด ก็เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ศาลจะนำมาวินิจฉัย ว่าลักษณะการเก็บยาเสพติดนั้น เป็นการเก็บในลักษณะแบ่งบรรจุเพื่อจำหน่ายต่อไปหรือไม่ ถ้าไม่มีลักษณะเป็นการเก็บยาเสพติดไว้เพื่อพร้อมจำหน่าย ก็จะเป็นประโยชน์แก่รูปคคีฝั่งจำเลย
อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับย่อยาว ประเด็นเรื่อง ครอบครองยาเสพติดเพื่อเสพหรือเพื่อจำหน่าย ? ได้ด้านล่างนี้
คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๕๑/๒๕๖๓
เมทแอมเฟตามีนของกลางคํานวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ ๑.๕๔๐ กรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.๑ จึงเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่า สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไปเข้าข้อสันนิษฐานว่าเป็นการมีไว้ในครอบครอง เพื่อจําหน่ายตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสาม (๒) จําเลยมีหน้าที่นําสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว การที่ จําเลยนําสืบโดยอ้างตัวเองเป็นพยานเพียงปากเดียวยืนยันว่าเมทแอมเฟตามีน ของกลางจําเลยมีไว้เพื่อเสพ พิเคราะห์ประกอบทางนําสืบของจําเลยว่า มีอาชีพขายอาหารประเภทไก่บริเวณหน้าโรงเรียนรายได้วันละ ๓๐๐ บาท กับรายได้อื่นคือการขับรถรับจ้างซึ่งจะมีรายได้รอบละ ๕๐๐ บาท แต่ไม่ปรากฏว่า รายได้ส่วนนี้จําเลยจะได้รับเป็นประจําทุกวันหรือเฉพาะในวันที่มีผู้ว่าจ้าง พิจารณาเปรียบเทียบรายได้ของจําเลยกับราคาเมทแอมเฟตามีนของกลาง ที่ประเมินไว้เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท ตามบัญชีของกลางคดีอาญา เมทแอมเฟตามีนของกลางมีราคามากกว่ารายได้ของจําเลยในแต่ละวัน ยิ่งทําให้ไม่น่าเชื่อว่า จําเลยจะนําเงินรายได้ในแต่ละวันมาซื้อเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อเสพ อีกทั้งจําเลยเองก็มีภรรยาแล้ว รายได้ที่ได้รับย่อมต้องนํามาใช้จ่ายในครอบครัว การที่จําเลยรับว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ตลอดจนไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตํารวจจับจําเลยครั้งนี้เนื่องมาจากจําเลยมีพฤติการณ์จําหน่ายเมทแอมเฟตามีน ก็ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ยืนยันว่าจําเลยไม่ได้มี เมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย เชื่อว่าจําเลยให้การรับสารภาพว่า มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพ เพราะประสงค์จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องรับผิดในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจําหน่าย อันเป็นความผิดที่มีโทษหนักกว่า พยานห ที่นําสืบไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ฟังได้ว่า จําเลยกระทําความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๒, ๑๕, ๖๖, ๑๐๐/๑, ๑๐๒ ริบของกลาง
จําเลยให้การรับสารภาพข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบ โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธว่ามิได้มีไว้เพื่อจําหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๗ จําคุก ๓ ปี และปรับ๕๐,๐๐๐ บาท คําให้การและทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๑ ปี 5 เดือน และปรับ ๒๕,000 บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี ให้จําเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ๔ ครั้ง กับทํางานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจําเลยเห็นสมควรมีกําหนด ๑๒ ชั่วโมง และ ห้ามจําเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ หากจําเลยไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๗ จําคุก ๒ ปี ๖ เดือน และปรับ ๕๐,000 บาท จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๑ ปี ๓ เดือน และปรับ ๒๕,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนแล้ว เป็นจําคุก ๑ ปี ๕ เดือน และปรับ ๓๐,๐๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี และให้คุมความประพฤติจําเลย ๑ ปี นับแต่วันอ่านคําพิพากษาศาลฎีกา โดยให้จําเลยกระทํากิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเวลา ๓๐ ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ หากไม่ชําระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไป ตามคําพิพากษาศาลอุทธรณ์