“ไทรอยด์” เป็นต่อมไร้ท่อที่อยู่บริเวณคอหน้าหลอดลม มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย กระตุ้นการเต้นของหัวใจ รักษาอุณหภูมิของร่างกาย และการหลั่งเหงื่อ หากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติจะส่งผลให้ร่างกายเกิดความผิดปกติไปด้วย เช่น มีก้อนโตที่คอ อ้วน หรือผอมง่าย ปัจจุบันมีคนจำนวนมากป่วยเป็นโรคไทรอยด์โดยที่ไม่รู้ตัวเพราะไม่รู้จักโรคนี้ดีพอ บางคนจึงไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น การสังเกตว่าตัวเองมีความผิดปกติที่เกิดจากต่อมไทรอยด์จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะถ้าไทรอยด์ทำงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไปย่อมส่งต่อสุขภาพ จึงควรรีบเข้ารับการรักษา
อาการแบบไหนคือไทรอยด์ทำงานผิดปกติ?
- รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง เหนื่อยง่าย ที่เป็นเช่นนี้เพราะหัวใจถูกกระตุ้นให้ทำงานหนัก จากภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ใจสั่น เหงื่อออกง่าย และมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
- ภาวะนอนไม่หลับ เนื่องจากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ จึงหลั่งฮอร์โมนมากเกินไป ส่งผลต่อการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและรบกวนการพักผ่อนของเราได้ จึงทำให้รู้สึกไม่สดชื่นและง่วงตลอดเวลา
- ท้องเสียง่าย ระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ เพราะต่อมไทรอยด์มีส่วนกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหารด้วย อาจทำให้อุจจาระบ่อยขึ้น แต่หากเกิดภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำจะมีอาการท้องผูก
- ตาโปนกว่าปกติ เนื่องจากเนื้อเยื่อหลังนัยน์ตาขยายขนาดขึ้นจากภาวะไทรอยด์เป็นพิษ
- อ้วนง่าย หรือ ผอมง่าย เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติในลักษณะหลั่งฮอร์โมนออกมามาก ก็จะกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึมให้ขยันเกินไป ในภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะพบว่าน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนในภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่าย เนื่องจากมีการเผาผลาญที่ต่ำลง
- เส้นผม และขนตามผิวหนังร่วง
- ผิวแห้ง ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำทำให้ระบบเผาผลาญทำงานลดลง อาจทำให้เหงื่อลดน้อยลง และผิวแห้งมากขึ้นได้
เมื่อรู้ตัวว่าไทรอยด์ผิดปกติ ควรปฎิบัติอย่างไร?
โดยปกติแล้วโรคไทรอยด์สามารถรักษาได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ป่วยต่ละราย เช่น อายุของผู้ป่วย ขนาดของต่อมไทรอยด์ ระยะเวลาที่เป็นมาหรือระดับความรุนแรงของโรคไทรอยด์ผิดปกติ...รักษาอย่างไร?
- รักษาด้วยยา ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 -2 ปี โดยในระหว่างนั้น ผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม เพราะการไม่ปฎิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำหรือไม่กินยาอย่างต่อเนื่องจะทำให้อาการของต่อมไทรอยด์มีความรุนแรงขึ้น และยากต่อการควบคุมได้ั
- รักษาด้วยการกลืนแร่ไอโอดีน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะพิจารณาเลือกใช้วิธีนี้ในผู้ป่วยที่มีอายุมาก และมีอาการค่อนข้างรุนแรง หรือเคยเป็นและอาการดีขึ้นแล้วจากที่รักษาด้วยการให้ยา แต่กลับมาเป็นซ้ำ
- รักษาด้วยผ่าตัด วิธีการนี้แพทย์จะพิจารณาเลือกเป็นขั้นตอนสุดท้าย มักใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากๆ และต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมากขึ้น แพ้กลุ่มยากินที่ใช้ในการรักษา หรือเกิดผลข้างเคียงต่อระบบเม็ดเลือดและหลอดเลือด
อาการแบบไหน ที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดไทรอยด์
การรักษาต่อมไทรอยด์ที่แพทย์พิจารณาเลือกมาใช้รักษาผู้ป่วยมักขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนการผ่าตัด แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการให้ยารับประทาน กลืนแร่ และการผ่าตัดเอาไทรอยด์ที่โตออกไปตามลำดับความรุนแรง บางกรณีการรักษาอาจจบลงด้วยการผ่าตัด เพราะรักษาวิธีก่อนหน้านี้แล้วก้อนไทรอยด์ยังไม่ยุบ อีกทั้งหากปล่อยทิ้งไว้นาน ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่มะเร็งได้ผ่าตัดไทรอยด์ไร้แผล เทคนิคใหม่ไร้รอยแผลเป็น
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้องทางช่องปาก บริเวณริมฝีปากล่าง จึงไม่เกิดแผลเป็นที่ผิวหนังหลังจากผ่าตัด การผ่าตัดแบบนี้ ถือเป็น NOTES (Natural Orifice Trans luminal Endoscopic Surgery) ซึ่งผ่าตัดผ่านช่องธรรมชาติของคนไข้ (ในที่นี้คือช่องปาก) จึงไม่เกิดแผลเป็นหลังผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดวิธีนี้ต้องอาศัยเทคนิคและความเชี่ยวชาญเฉพาะของแพทย์ การเกิดภาวะแทรกซ้อนจะน้อยมาก เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมในปัจจุบันผ่าตัดไทรอยด์ผ่านกล้องทางช่องปากดีอย่างไร
- ไม่เกิดรอยแผลเป็นหลังการผ่าตัด
- แผลที่เกิดจากการผ่าตัดจะอยู่ที่รอยต่อระหว่างเหงือกล่างกับริมฝีปากล่าง จึงไม่เห็นแผลภายนอก
- ภาวะแทรกซ้อนน้อยมาก เสียเลือดน้อยมาก
- แผลหายเร็ว ไม่เกิดพังผืด
- สามารถตัดต่อมไทรอยด์ได้ทั้ง 2 ข้าง โดยที่ไม่ต้องผ่าจุดอื่นเพิ่ม
- เจ็บน้อย พักฟื้นไม่นาน
- ไม่มีผลกระทบต่อกล่องเสียงของผู้ป่วย
- การผ่าตัดมีความแม่นยำ เนื่องจากแพทย์จะมองเห็นเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล่องเสียงที่วางขนานหลอดลมได้ง่ายกว่า จึงเก็บเส้นประสาทนี้ได้ดี
การผ่าตัดไทรอยด์ผ่านกล้องทางช่องปากทำได้กับผู้ป่วยทุกรายหรือไม่?
การผ่าตัดผ่านกล้องทางช่องปากแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดให้ตามความเหมาะสมของความรุนแรงและขนาดของไทรอยด์ ในกรณีของเนื้องอกไม่ควรใหญ่เกิน 6 ซม. หากใหญ่กว่านี้แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดแบบเปิดแผล เนื่องจากเนื้องอกมีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาจากความสมบูรณ์ทางร่างกายของผู้ป่วยด้วย คือ ในช่วงเวลาที่ทำการผ่าตัด การทำงานของต่อมไทรอยด์ต้องไม่ผิดปกติก่อนการผ่าตัด การผ่าตัดส่องกล้อง เทคโนโลยีที่ช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง ลดอาการเจ็บแผล ใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ช่วยลดการเกิดพังผืดในช่องท้อง และภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด เรามีข้อแนะนำเฉพาะสำหรับการดูแลตัวเองทั้งก่อน และหลังผ่าตัดมาบอกก่อนเข้ารับการผ่าตัด
จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำทุกชนิดนานอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อลด และป้องกันการสำลักอาหารในขณะที่มีการให้ยาระงับความรู้สึก และอาหารมื้อสุดท้ายที่รับประทานก่อนการผ่าตัดควรจะเป็นอาหารอ่อน และย่อยง่าย การรับประทานอาหารมากเกินไปก่อนผ่าตัดจะเกิดความเสี่ยงต่อการสำลักอาหาร และยังทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องอืดหลังผ่าตัดได้อีกด้วย กรณีที่ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถบริจาคเลือดของตนเอง เพื่อสำรองไว้ในกรณีที่มีเลือดออกมากขณะผ่าตัด และจำเป็นต้องให้เลือดตัวเองต่อได้
หลังการผ่าตัด
ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกเหนื่อย และไม่มีแรงอยู่ประมาณ 2-3 วัน ซึ่ง ถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้ การลุกขึ้นจากเตียงและพยายามเคลื่อนไหวร่างกายตั้งแต่วันแรกหลังผ่าตัด จะช่วยให้ฟื้นตัวภายหลังการผ่าตัดได้เร็วยิ่งขึ้น และช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้อีกด้วย โดยทั่วไปแพทย์มักปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ ผู้ป่วยสามารถอาบน้ำได้โดยไม่ต้องกลัวแผลเปียก แต่หากเป็นพลาสเตอร์ปิดแผลแบบไม่กันน้ำ ก็ควรระวังไม่ให้แผลโดนน้ำอย่างเด็ดขาด จนกว่าจะครบกำหนดวันที่แพทย์นัดไปตรวจอีกครั้ง
- งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
- อาการปวดแผล อาจพบได้ในช่วงสัปดาห์แรกของผ่าตัด การรับประทานยาแก้ปวดก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และอาการปวดแผลจะทุเลาลงเมื่อระยะเวลาผ่านไป
- หลีกเลี่ยงการยกสิ่งของที่หนักเกิน 4 กิโลกรัม หรือการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องในช่วง 6 สัปดาห์แรก และงดการออกกำลังกายอย่างหนัก ประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
- หลีกเลี่ยงการขับรถเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 7-10 วัน หลังผ่าตัด
- งดการมีเพศสัมพันธ์เป็นระยะเวลาประมาณ 6 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมง ในสถานที่ซึ่งมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
- รับประทานยาให้ตรงตามเวลา และครบจำนวนตามที่แพทย์สั่ง
- ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด ตับจำเป็นต้องได้รับการบำรุง เนื่องจากยาทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกายจะไปทำปฏิกิริยากับตับ ควรรับประทานอาหารเสริมจำพวก มิลค์ทิสเทิล (Milk Thistle) ซึ่งมีสรรพคุณเป็นแอนติออกซิแดนท์ เลือกรับประทานผัก ผลไม้สด หลีกเลี่ยงช็อกโกแลต ชา กาแฟ เนื่องจากมีคาเฟอีนที่จะไปเพิ่มภาระการทำงานของตับให้มากขึ้น
- ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร. 0-2271-7000 ต่อ ศัลยกรรม
พักฟื้นหลังผ่าตัดไทรอยด์ กี่วัน
ผ่าตัดไทรอยด์พักฟื้นกี่วัน? การพักฟื้นหลังจากผ่าตัดต่อมไทรอยด์มักกินระยะเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ โดยหลังจากผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยจะนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน หากไม่มีอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายก็จะอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้
ผ่าตัดไทรอยด์ กี่วันตัดไหม
การนัดตรวจหลังออกจากโรงพยาบาล แพทย์จะนัดมาดูแผลผ่าตัดและตัดไหม รวมทั้งฟังผลชิ้นเนื้อ ประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด
ทำไมถึงต้องผ่าไทรอยด์
การผ่าตัดต่อมไทรอยด์เป็นหัตถการที่มักทำกับผู้ป่วยที่มีเนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ขนาดใหญ่และได้รับยาไทรอกซีน แต่ก้อนเนื้อยังคงมีขนาดโตขึ้นจนไปกดทับหลอดลมหรือหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยหายใจและกลืนอาหารลำบาก นอกจากนี้การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ยังทำได้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งและเพื่อความสวยงาม
หลังผ่าตัดไทรอยด์ทานอะไรได้บ้าง
ตามปกติแล้วหลังจากที่รับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยแล้วแพทย์มักจะสั่งอาหารประเภทน้ำแบบใส (Clear liquid) ให้รับประทานที่โรงพยาบาล ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคุณสามารถดื่มหรือจิบที่คุณสามารถมองทะลุได้ (ก็คือน้ำที่ไม่มีเนื้อปน) อาทิ เช่น น้ำซุปไก่ น้ำแอปเปิ้ล และน้ำบุกปรุงรส เมื่อคุณสามารถรับประทานอาหารที่เป็นน้ำเหล่านี้ได้แล้ว ...