สภาพัฒน์ฯ คาดเศรษฐกิจไทยปี 65 โต 4% ส่งออก-รายจ่ายรัฐคือ ปัจจัยหนุน
21 กุมภาพันธ์ 2022
ที่มาของภาพ, Getty Images
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ เปิดเผยภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2564 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 1.6% ปรับตัวดีขึ้นจากที่เคยติดลบ 6.2% ในปี 2563 ขณะที่คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวในช่วง 3.5-4.5% เนื่องจากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า รวมทั้งการลงทุนภาครัฐ
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวเปิดเผยในการแถลงรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาสที่ 4/2564 (21 ก.พ.) ว่า ปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมากลับมาเป็นบวก มาจากด้านการใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วย มูลค่าการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 18.8% การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 0.3% และการลงทุนรวมเพิ่มขึ้น 3.4% แต่ในส่วนสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งฯ ลดลง 14.4% และ 2.9% ตามลำดับ
รวมทั้งปี 2564 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 232,176 บาทต่อคนต่อปี
- เอชเอสบีซีระบุเศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นหากนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมา
- ไอเอ็มเอฟ เตือนประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ตั้งรับธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ย
- 7 เหตุผลที่ทำให้ค่าครองชีพกำลังสูงขึ้นทั่วโลก
- สภาพัฒน์ฯ เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ติดลบ 0.3% เชื่อภาพรวมการเติบโตทั้งปียังคงเป็นไปตามเป้าหมาย
ในส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2565 มีปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากจาก การส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัว 4.9% การอุปโภคบริโภคขยายตัว 4.5% และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.8% ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 4.6% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5 - 2.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลร้อยละ 1.5 ของจีดีพี
นายดนุชา ยอมรับว่าในปีนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เดิมเคยทำรายได้เข้าหลักของประเทศยังคงไม่สามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยคาดว่าทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวในประเทศราว 5 ล้านคน สร้างรายได้ราว 4.2 แสนล้านบาท
ที่มาของภาพ, Wasawat Lukharang/BBC Thai
ทั้งนี้ การคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ระบุว่า มาจากข้อมูลและสมมติฐานอยู่บนสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนที่มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้น แต่จำนวนผู้ป่วยอาการรุนแรงและผู้เสียชีวิตยังคงทรงตัวในระดับต่ำและไม่เกินศักยภาพของระบบสาธารณสุข และยังไม่มีการระบาดระลอกใหม่จากไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าระดับในปัจจุบัน และการกระจายวัคซีน โดยเฉพาะเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกันดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมสัดส่วนประชากร โดยในปีนี้รัฐบาลได้สั่งซื้อวัคซีนมาไว้แล้วรวมอย่างน้อย 90 ล้านโดส
5 ปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจปี 2565
แม้ว่าภาพเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของไทยได้ จากการรายงานของสภาพัฒน์ฯ ได้สรุป 5 ข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
1. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ท่ามกลางการกลายพันธุ์ของไวรัสที่จะมีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน
2. การเพิ่มขึ้นของแรงกดดันด้านเงินเฟ้อตามการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก
ที่มาของภาพ, Getty Images
3. ภาระหนี้สินครัวเรือนและธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูงจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์หรือความต้องการในประเทศ รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ ในขณะเดียวกันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ประกอบกับตลาดแรงงานที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
4. ปัญหาชะงักงันของห่วงโซ่การผลิตที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ โดยเฉพาะปัญหาการบริหารจัดการตู้คอนเทนเนอร์ยังไม่ดีขึ้นจากปี 2564 ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าทางทะเลยังสูง
5. ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินของโลก จากการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ นโยบายทางการเงินของประเทศที่เป็นตลาดหลักของไทย รวมถึงความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจ
สาระสำคัญช่วงหนึ่งของเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ในส่วนแนวทางจัดการเศรษฐกิจในปีนี้ นอกจากเรื่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศให้อยู่ในวงจำกัด การสนับสนุนภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบให้กลับมาฟื้นตัว การกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและการท่องเที่ยวในประเทศ การจัดการดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือนแล้ว หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คือ การขับเคลื่อนการส่งออกและดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ พร้อมกับเร่งรัดให้มีการลงทุนจริง โดยเฉพาะโครงการลงทุนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย
ที่มาของภาพ, Getty Images
นายดนุชากล่าวว่า แม้ว่าการส่งออกจะยังคงมีแนวโน้มไปได้ดีอยู่ แต่เริ่มที่จะมีสัญญาณของการทำสงครามการค้า ซึ่งจะส่งผลต่อข้อจำกัดในการส่งออกของไทยในระยะถัดไป จึงต้องมีการหาตลาดใหม่เพิ่มเติมโดยเฉพาะตลาดในภูมิภาค เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจจะเกิดขึ้นหรือมาตรการที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นในระยะถัดไป โดยเฉพาะเรื่องการใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และข้อตกลงทางการค้าที่ได้ลงนามไปแล้ว การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาในการตัดสินใจเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) เพื่อขยายการส่งออกของเราให้ทันเทียมกับเพื่อนบ้าน
"เฉพาะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศด้วย เพราะเขาจะมองดูว่าประเทศไทยมีกรอบข้อตกลงทางการค้าอะไรอยู่บ้าง และมีตลาดขนาดไหน ซึ่งถ้าเราสามารถที่จะตัดสินใจเข้าสู่การเจรจากรอบ CPTPP ก็จะช่วยทำให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น สำหรับนักลงทุนต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนในไทย" นายอนุชา กล่าว
ที่มาของภาพ, Getty Images
คำบรรยายภาพ,
บรรดารัฐมนตรีด้านการค้าถ่ายรูปหมู่ร่วมกันหลังลงนามในข้อตกลง CPTPP ที่กรุงซานติอาโก ประเทศชิลี เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2018
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับความตกลงการค้า CPTPP หรือที่มีชื่อเต็มว่า Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ปัจจุบันมีสมาชิก 11 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม มีเพียง 7 ประเทศที่ให้สัตยาบันเข้าร่วม ได้แก่ เม็กซิโก ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย และเวียดนาม
- CPTPP : ระหว่างโอกาสทางธุรกิจกับชีวิตเกษตรกรและการเข้าถึงยารักษาโรค
- CPTPP : ความตกลงทางการค้าใหม่ คนไทยจะได้หรือเสียประโยชน์จากเมล็ดพันธุ์-การเข้าถึงยา
สำหรับการเข้าร่วมข้อตกลง CPTPP เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องถึงข้อดีและข้อเสียจากสังคม รวมไปถึงกระแสคัดค้านหลายครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา และเรื่องนี้ได้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง แต่กลุ่มที่ใช้ชื่อว่า "เครือข่ายต่อต้าน CPTPP" ก็ออกมาคัดค้านอยู่เสมอ
ประเด็นสำคัญของการคัดค้าน CPTPP โดยภาคประชาสังคมได้ตั้งข้อสังเกตไว้ คือ การเข้าร่วมความตกลงนี้ยังมีประเด็นที่อ่อนไหวหลายประการ รวมถึงการที่ไทยต้องแก้กฎหมายบางฉบับ ซึ่งภาคประชาชนกังวลว่าจะเกิดกระทบต่อภาคเกษตร ระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะ ประเด็นเรื่องสิทธิในเมล็ดพันธุ์พืช การคุ้มครองสิทธิบัตรยา รวมถึงการคุ้มครองการลงทุนให้ต่างชาติ