เวลาที่เพื่อน ๆ เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการ นอกจาก “ใหญ่โตมาก” “สวยมาก” “อลังการสุดสุด” เพื่อน ๆ มีวิธีบรรยายอย่างอื่นอีกไหม ?
ถ้าไม่รู้จะบรรยายความยิ่งใหญ่อลังการยังไง วันนี้ StartDee อยากชวนเพื่อน ๆ ไปดูลีลาการบรรยายความ “ยิ่งใหญ่” ในแบบของบทโขน ที่กวีไทยได้บรรยายความวิจิตรงดงามของช้างเอราวัณ ช้างทรงของพระอินทร์ไว้ได้อย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติยศในบทพากย์เอราวัณกัน
เรื่องราวของโขน รามเกียรติ์ และบทพากย์เอราวัณ
ก่อนจะไปดูว่าช้างเอราวัณนั้นยิ่งใหญ่อลังการแค่ไหน เราอยากชวนเพื่อน ๆ มาทำความเข้าใจที่มาของบทพากย์เอราวัณ และความเกี่ยวเนื่องระหว่างบทพากย์เอราวัณ โขน และรามเกียรติ์กันก่อน ในสมัยก่อนโขนและละครในเป็นหนึ่งในมหรสพและความบันเทิงเพียงไม่กี่อย่างของคนไทย โดยเฉพาะ “โขน” ที่ถือว่าเป็นนาฏกรรมชั้นสูง เพราะมีการรวบรวมศิลปะหลายแขนงมาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมและวรรณศิลป์ในการประพันธ์บทและการพากย์ นาฏศิลป์สำหรับการร่ายรำขณะทำการแสดง คีตศิลป์สำหรับดนตรีที่บรรเลงประกอบการแสดง หัตถศิลป์สำหรับงานฉากและชุด โขนจึงถือเป็นความบันเทิงของชนชั้นสูงชาวไทยในรั้วในวังสมัยนั้น
การแสดงโขนจะนิยมเล่นเรื่องรามเกียรติ์เท่านั้น โดยรามเกียรติ์เป็นวรรณคดีเรื่องยาว (มากกกกก) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากมหากาพย์รามายณะ วรรณคดีภาษาสันสกฤตจากอินเดีย ที่ฤาษีวาลมิกิแต่งไว้กว่า ๒๔๐๐ ปีมาแล้ว มหากาพย์รามายณะเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ สันนิษฐานว่าเข้ามาในไทยพร้อมกับพ่อค้าชาวอินเดียและความเชื่อจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู
ส่วนบทละครเรื่องรามเกียรติ์นั้นปรากฏหลักฐานเป็นครั้งแรกในสมัยอยุธยา และต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นเพื่อให้ละครหลวงเล่น โดยปรับเนื้อเรื่องให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย แต่บทละครเรื่องรามเกียรติ์จากสมัยกรุงธนบุรีนั้นยังไม่ครบสมบูรณ์ (เนื่องจากมีระยะเวลาในการแต่งเพียง ๒ เดือน จึงมีแค่ ๔ - ๕ ตอนเท่านั้น) เมื่อถึงยุครัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) จึงทรงพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ และภายหลังพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ก็ทรงพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์บางตอนขึ้นใหม่เพื่อใช้สำหรับการแสดงโขน โดยบทพากย์เอราวัณที่เพื่อน ๆ จะได้เรียนในระดับชั้นม.๓ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกอินทรชิต (นอกจากนี้รัชกาลที่ ๒ ยังทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์รามเกียรติ์ตอนอื่น ๆ ไว้ด้วย ได้แก่ ตอนนางลอย ตอนนาคบาศ)
เรื่องย่อของบทพากย์เอราวัณ
บทพากย์เอราวัณมีที่มาจากรามเกียรติ์ ตอน ศึกอินทรชิต ซึ่งศึกอินทรชิตก็เป็นตอนหนึ่งจากรามเกียรติ์ทั้งหมดกว่า ๑๗๘ ตอน (อ้างอิงจากหนังสือชุดวรรณคดีอมตะของไทย โดยเปรมเสรี) อินทรชิตเป็นบุตรของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ เดิมทีชื่อ “รณพักตร์” แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “อินทรชิต” เนื่องจากเป็นผู้รบชนะพระอินทร์ อินทรชิตบำเพ็ญตบะมายาวนานจึงเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์แก่กล้ามาก แถมยังมีอาวุธวิเศษ ๓ อย่างที่ได้มาจากการทำพิธีขออาวุธจากมหาเทพทั้งสามอีก หนึ่งในนั้นคือศรพรหมาสตร์ และพรที่ทำให้แปลงร่างเป็นพระอินทร์ได้ (อาวุธและพรนี้อินทรชิตได้มาจากพระอิศวร) ซึ่งพรข้อนี้มีบทบาทอย่างมากในรามเกียรติ์ ตอน ศึกอินทรชิต
จากพรข้อนี้ ในตอนที่อินทรชิตจัดทัพออกไปรบกับฝ่ายพระราม อินทรชิตจึงใช้อุบายแปลงกายเป็นพระอินทร์ และให้การุณราชแปลงเป็นช้างเอราวัณ เพื่อให้พระรามและกองทัพหลงใหลในความงดงามอลังการ เนื้อหาส่วนใหญ่จึงพรรณนาถึงความยิ่งใหญ่สวยงามของช้างเอราวัณ (ปลอม ๆ) และกองทัพเหล่าผู้วิเศษ (ปลอม ๆ อีกเช่นกัน) และมีส่วนที่กล่าวถึงการเคลื่อนทัพของพระรามไปยังสนามรบ ซึ่งระหว่างที่เคลื่อนพลก็เกิดปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติต่าง ๆ มากมาย
โดยจุดมุ่งหมายของอินทรชิตในศึกครั้งนี้คือยิงศรพรหมาสตร์ใส่พระลักษมณ์ ศรพรหมาสตร์เป็นอาวุธวิเศษที่อินทรชิตได้มาจากพระอิศวร เป็นอาวุธที่ทรงพลังมาก และทำให้กองทัพของพระรามพ่ายแพ้ไปในศึกครั้งนี้
ลักษณะคำประพันธ์
บทพากย์เอราวัณแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกาพย์ฉบัง ๑๖ สาเหตุที่เป็น ๑๖ ก็เพราะหนึ่งบทจะมี ๑๖ คำ/พยางค์ โดย ๑ บท มี ๓ วรรค มีสัมผัสบังคับอยู่ที่คำสุดท้ายของวรรคแรกและวรรคที่สอง ส่วนคำสุดท้ายของวรรคที่สามใช้ส่งเข้าบทถัดไป กาพย์ฉบัง ๑๖ มีฉันทลักษณ์และตัวอย่างดังนี้
ฉบังแต่งได้ง่ายดี | สิบหกคำมี |
ท้ายวรรคหนึ่ง, สอง คล้องกัน | |
อย่าลืมเชื่อมบทผูกพัน | วรรคสามเชื่อมพลัน |
ไปหาคำท้ายวรรคหนึ่ง |
คำศัพท์ที่ควรรู้
เนื่องจากเป็นวรรณคดีที่แต่งไว้นานมากแล้ว (ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒) คำศัพท์ในบทพากย์เอราวัณหลายคำจึงค่อนข้างเข้าใจยากเพราะเป็นคำโบราณ เพื่อความสนุกเราขอแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองอ่านศัพท์ยากควรรู้ที่เราคัดมาฝากกันก่อน จะได้เข้าใจบทพากย์เอราวัณได้ง่ายมากขึ้น
คำศัพท์ | ความหมาย |
กง | วงรอบของล้อรถ |
กบี่ | ลิง |
กระวิน | ห่วงที่เกี่ยวกันสำหรับโยงสัปคับช้าง |
กายิน | ร่างกาย |
กำ | ซี่ล้อรถหรือเกวียน |
กินนร | อมนุษย์ที่มีรูปร่างครึ่งคนครึ่งนก |
เก้าแก้ว | แก้วเก้าประการ, นพรัตน์ |
แกล | หน้าต่าง |
โกมิน | โกเมน, พลอยสีแดงเข้ม |
โกลาหล | เสียงกึกก้อง |
ขวัญหนี | ตกใจ |
ไข | บอก |
คนธรรพ์ | ชาวสวรรค์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านดนตรี |
จันทรี | พระจันทร์ |
จับระบำ | ฟ้อนรำ |
ฉงน | สงสัย |
ฉิมพลี | ต้นงิ้ว |
ชนัก | เครื่องผูกคอช้างทำด้วยเชือก |
ชันหู | อาการแสดงการเตรียมพร้อมของสัตว์โดยยกหูตั้งขึ้น |
ชุมสาย | เครื่องสูงเป็นรูปฉัตรสามชั้น |
ซ้อง | พร้อมกัน |
ซองหาง | เครื่องคล้องโคนหางช้าง |
ดวงมาลย์ | ดอกบัว |
โตมร | หอกด้ามสั้น |
ถา | ถลา |
ทัศนา | เห็น |
เทพไท | เทวดา |
เทพอัปสร | นางฟ้า |
เทียม | เอาสัตว์ผูกกับยานพาหนะ |
ธรณินทร์ | แผ่นดิน |
ธรณี | แผ่นดิน |
ธิบดินทร์ | พระราม |
นงพาล | นางรุ่นสาว |
นาค | งูใหญ่มีหงอน |
แน่งน้อย | งดงาม |
บรรเทือง | ตื่นขึ้น |
บรรพต | ภูเขา |
บิดเบือน | แปลง (กาย) |
บุษปมาลา | ดอกไม้ |
โบกขรณี | สระบัว |
ปักษา | นก |
ผกา | ดอกไม้ หรือ ดอกบัว |
ผ้าทิพย์ | ผ้าคลุมตระพองช้าง (ส่วนนูนสองข้างที่หัวช้าง) |
พรหมาสตร์ | ศรที่พระอิศวรประทานให้แก่อินทรชิต |
พระขรรค์ | ดาบ |
พระจักรี | พระราม |
พระศรีอนุชา | พระลักษมณ์ |
พระสุริย์ศรี | พระอาทิตย์ |
พระอนุชา | พระลักษมณ์ |
พฤกษา | ต้นไม้ |
พสุธา | แผ่นดิน |
พัชนี | พัด |
พัดโบก | เครื่องสูงสำหรับแสดงอิสริยยศ เป็นพัดสำหรับโบกลมถวายกษัตริย์ |
พานรินทร์ | ลิง |
พิภพ | พื้นโลก |
พู่ | ระย้าที่ทำเป็นพวง ๆ |
ไพรี | ศัตรู |
มยุรฉัตร | เครื่องสูงสำหรับแสดงอิสริยยศ ทำด้วยหางนกยูง |
มาตลี | สารถีของพระอินทร์ซึ่งมาขับรถทรงให้พระราม |
มารยา | ที่เนรมิตขึ้นมา |
เยาวมาลย์ | หญิงสาวสวย |
แย่งยล | ดูงาม |
โยธาจัตุรงค์ | กองทัพ ๔ เหล่า ได้แก่ เหล่าช้าง เหล่าม้า เหล่ารถ และเหล่าราบ |
โยธี | ทหาร |
รถแก้วโกสีย์ | รถทรงที่พระอินทร์ประทานให้พระราม |
รอย | เป็นลวดลาย หรือแกะสลัก |
ระเหิด | สูง |
ราพณ์ | ทศกัณฐ์ |
ราศี | ทั่วไป |
รูจี | ความงาม |
ฤทธิรงค์ | มีความสามารถในการสู้รบ |
ฤทธิรณ | มีความสามารถในการสู้รบ |
ฤาษิต | ฤๅษี |
ลำเพา | โฉมงาม |
โลทัน | ชื่อสารถี (คนขับ) ของอินทรชิต |
วนา | ป่า |
วิทยา | ชาวสวรรค์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิชาอาคม |
เวไชยันต์ | ชื่อวิมานของพระอินทร์ |
เวหน | ฟ้า |
ศัสตรา | อาวุธ |
สถิต | อยู่ |
สร้อยสุมาลี | ดอกไม้ |
สหัสนัย | พระอินทร์ |
สัตภัณฑ์ | ชื่อหมู่เขา 7 ชั้นที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ |
สำแดง | แสดง |
สินธพ | ม้า |
สุบรรณ | ครุฑ |
สุริย์ศรี | พระอาทิตย์ |
เสนี | กองทหาร |
ไสยา | ที่นอน หรือ นอน |
หัสดิน | ช้าง |
หัสดินอินทรี | นกหัสดี |
เหมหงส์ | หงส์ทอง (เหม แปลว่า ทอง) |
อมรินทร์ | พระอินทร์ |
อรุณ | เวลาใกล้รุ่ง |
อาชาไนย | ม้าพันธุ์ดี |
อาธรรม์ | อธรรม |
อารักขไพรสัณฑ์ | เทวดาที่ดูแลรักษาป่า |
อินทเภรี | กลองที่ตีให้สัญญาณเวลาออกศึก |
อินทรีย์ | ร่างกาย |
อึงอล | ดังลั่น |
อุบล | ดอกบัว |
เอื้อน | พูด |
โอฬาร์ | ใหญ่โต |
ไอยรา | ช้าง |
ถอดคำประพันธ์บทพากย์เอราวัณ
หลังจากเรียนรู้คำศัพท์กันมาแล้ว ขั้นต่อไปเราลองมาอ่านและถอดคำประพันธ์ไปพร้อม ๆ กันดู
อินทรชิตบิดเบือนกายิน | เหมือนองค์อมรินทร์ |
ทรงคชเอราวัณ | |
ช้างนิรมิตฤทธิแรงแข็งขัน | เผือกผ่องผิวพรรณ |
สีสังข์สะอาดโอฬาร์ | |
สามสิบสามเศียรโสภา | เศียรหนึ่งเจ็ดงา |
ดังเพชรรัตน์รูจี |
บทแรกนั้นเล่าว่าอินทรชิตได้ “บิดเบือน” หรือ “แปลง” กายเป็นพระอินทร์ (ด้วยการใช้พรที่ได้มาจากพระอิศวรนั่นแหละ !) พร้อมกับทรงช้างเอราวัณที่เป็นช้างทรงของพระอินทร์ ส่วนช้างเอราวัณที่ถูกเนรมิตขึ้นมานั้นก็แข็งแกร่งสวยงามสุด ๆ ผิวของช้างเอราวัณนั้นสีขาวสะอาดเหมือนหอยสังข์ มีเศียรงดงาม ๓๓ เศียร แต่ละเศียรมีงา ๗ กิ่ง สวยงามราวกับเพชร งาแต่ละกิ่งมีสระบัว ๗ สระ แต่ละสระมีกอบัว ๗ กอ แต่ละกอมีดอกบัว ๗ ดอก แต่ละดอกมีกลีบบัวบาน ๗ กลีบ แต่ละกลีบมีนางฟ้ารูปงาม ๗ องค์ เรียกได้ว่าวิจิตรอลังการงดงามสุด ๆ
นางหนึ่งย่อมมีบริวาร | อีกเจ็ดเยาวมาลย์ |
ล้วนรูปนิรมิตมารยา | |
จับระบำรำร่ายส่ายหา | ชำเลืองหางตา |
ทำทีดังเทพอัปสร | |
มีวิมานแก้วงามบวร | ทุกเกศกุญชร |
ดังเวไชยันต์อมรินทร์ | |
เครื่องประดับเก้าแก้วโกมิน | ซองหางกระวิน |
สร้อยสายชนักถักทอง | |
ตาข่ายเพชรรัตน์ร้อยกรอง | ผ้าทิพย์ปกตระพอง |
ห้อยพู่ทุกหูคชสาร |
แต่ความปั๊วะปังอลังการยังไม่หมดแค่นี้ เพราะนางฟ้าแต่ละองค์ยังมีบริวารที่เป็นหญิงงามอีกตั้ง ๗ นาง แถมแต่ละนางก็กำลังร่ายรำด้วยท่าทางสวยงามอย่างนางฟ้า (มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มคิดเลขแล้วว่าช้างเอราวัณตัวหนึ่งมีนางฟ้ากี่องค์) นอกจากนี้ที่เศียรแต่ละเศียรของช้างเอราวัณยังมีวิมานแก้วที่สวยงามราวกับวิมานเวไชยันต์ของพระอินทร์ ประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยแก้วเก้าประการ ได้แก่ เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทาย และไพฑูรย์ ซองหาง และกระวินของช้างเอราวัณถูกถักร้อยด้วยสร้อยทอง และมีผ้าทิพย์ปกตระพองซึ่งร้อยประดับด้วยเพชร มีสายสร้อยห้อยเป็นพู่ลงทั่วทุกหูช้าง
โลทันสารถีขุนมาร | เป็นเทพบุตรควาญ |
ขับท้ายที่นั่งช้างทรง | |
บรรดาโยธาจัตุรงค์ | เปลี่ยนแปลงกายคง |
เป็นเทพไทเทวัญ | |
ลอยฟ้ามาในเวหน | รีบเร่งรี้พล |
มาถึงสมรภูมิชัย |
ขุนมารโลทัน (สารถี (คนขับรถ) ของอินทรชิต) แปลงกายเป็นเทพบุตรนั่งบังคับช้างอยู่ท้ายช้าง ทัพทั้ง ๔ เหล่าต่างแปลงกายเป็นเทพและอมนุษย์ผู้มีฤทธิ์
ทัพหน้าอารักขไพรสัณฑ์ | ทัพหลังสุบรรณ |
กินนรนาคนาคา | |
ปีกซ้ายฤาษิตวิทยา | คนธรรพ์ปีกขวา |
ตั้งตามตำรับทัพชัย | |
ล้วนถืออาวุธเกรียงไกร | โตมรศรชัย |
พระขรรค์คทาถ้วนตน | |
ลอยฟ้ามาในเวหน | รีบเร่งรี้พล |
มาถึงสมรภูมิชัย | |
ตาข่ายเพชรรัตน์ร้อยกรอง | ผ้าทิพย์ปกตระพอง |
ห้อยพู่ทุกหูคชสาร |
ทัพหน้าคือเทพารักษ์ ทัพหลังคือครุฑ กินนร และนาค ปีกซ้ายคือฤๅษีและวิทยาธร ปีกขวาคือคนธรรพ์ การจัดกระบวนทัพเป็นไปตามตำราสงคราม ทหารทั้ง ๔ เหล่าทัพต่างถืออาวุธครบครัน ได้แก่ หอก ธนู ดาบ กระบอง เหาะเหินบนฟ้าเคลื่อนทัพมาถึงสนามรบ
จากนั้นจึงเป็นเรื่องราวของฝั่งพระราม
เมื่อนั้นจึงพระจักรี | พอพระสุริย์ศรี |
อรุณเรืองเมฆา | |
ลมหวนอวลกลิ่นมาลา | เฟื่องฟุ้งวนา |
นิวาสแถวแนวดง | |
ผึ้งภู่หมู่คณาเหมหงส์ | ร่อนราถาลง |
แทรกไซ้ในสร้อยสุมาลี | |
ดุเหว่าเร้าเร่งพระสุริย์ศรี | ไก่ขันปีกตี |
กู่ก้องในท้องดงดาน |
ครั้นรุ่งเช้ามีลมพัดโชยกลิ่นหอมของดอกไม้ฟุ้งไปทั่วป่า ผึ้ง แมลงภู่ และหมู่หงส์ทองก็บินร่อนถลาแทรกตัวลงในดอกไม้เพื่อหาอาหาร นกดุเหว่าและไก่ขันร้องตีปีกไปทั่วเป็นสัญญาณว่าเช้าแล้ว
ปักษาตื่นตาขันขาน | หาคู่เคียงประสาน |
สำเนียงเสนาะในไพร | |
เดือนดาวดับเศร้าแสงใส | สร่างแสงอโณทัย |
ก็ผ่านพยับรองเรือง | |
จับฟ้าอากาศแลเหลือง | ธิบดินทร์เธอบรรเทือง |
บรรทมฟื้นจากไสยา |
นกตื่นนอนร้องขับขานหาคู่ประสานเสียงไพเราะอยู่ในป่า ส่วนเดือนและดาวก็อับแสงลง ท้องฟ้าสว่างไสวเป็นสีเหลือง พระรามตื่นขึ้นจากที่บรรทมแล้วจึงเตรียมกองทัพ
เสด็จทรงรถแก้วโกสีย์ | ไพโรจน์รูจี |
จะแข่งซึ่งแสงสุริย์ใส | |
เทียมสินธพอาชาไนย | เริงร้องถวายชัย |
ชันหูระเหิดหฤหรรษ์ | |
มาตลีสารถีเทวัญ | กรกุมพระขรรค์ |
ขับรถมากลางจัตุรงค์ | |
เพลารอยพลอยประดับดุมวง | กึกก้องกำกง |
กระทบกระทั่งธรณี |
พระรามขึ้นรถทรงอันงดงามที่พระอินทร์ประทานให้ รถม้าส่งเสียงร้อง ม้าชันหูสูงส่งสัญญาณพร้อมที่จะออกรบ มาตลีเป็นสารถีขับรถทรงมากลางกองทัพทั้ง ๔ เหล่า มือถือพระขรรค์ รถทรงประดับพลอยตามเพลาและดุม เสียงรถวิ่งดังกึกก้องทั้งแผ่นดิน
มยุรฉัตรชุมสายพรายศรี | พัดโบกพัชนี |
กบี่ระบายโบกลม | |
อึงอินทเภรีตีระงม | แตรสังข์เสียงประสม |
ประสานเสนาะในไพร | |
เสียงพลโห่ร้องเอาชัย | เลื่อนลั่นสนั่นใน |
พิภพเพียงทำลาย | |
สัตภัณฑ์บรรพตทั้งหลาย | อ่อนเอียงเพียงปลาย |
ประนอมประนมชมชัย |
ลิงคอยโบกมยุรฉัตร ชุมสาย พัดโบก พัชนี เสียงกลองที่ใช้ตีให้สัญญาณออกรบดังไปทั่ว เสียงแตรสังข์ประสานเสียงกันอย่างไพเราะในป่า
เสียงพลทหารโห่ร้องเอาชัยสนั่นหวั่นไหวราวกับจะพื้นถล่มก่อนออกรบ สัตภัณฑ์บรรพต (ชื่อหมู่เขา ๗ ชั้นที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ) ต่างโน้มเอียงลงมาเพื่อทำความเคารพ
พสุธาอากาศหวาดไหว | เนื้อนกตกใจ |
ซุกซ่อนประหวั่นขวัญหนี | |
ลูกครุฑพลัดตกฉิมพลี | หัสดินอินทรี |
คาบช้างก็วางไอยรา | |
วานรสำแดงเดชา | หักถอนพฤกษา |
ถือต่างอาวุธยุทธยง | |
ไม้ไหล้ยูงยางกลางดง | แหลกลู่ล้มลง |
ละเอียดด้วยฤทธิโยธี |
แผ่นดินและอากาศสะเทือนเลื่อนลั่น สัตว์ต่าง ๆ ตกใจหาที่ซุกซ่อนตัว แม้แต่ลูกครุฑเมื่อได้ยินเสียงของฝ่ายกองทัพพระรามก็ตกใจพลัดตกจากต้นงิ้ว นกหัสดีที่คาบช้างมาก็ตกใจปล่อยช้างหลุดจากปาก ฝ่ายลิงต่างแสดงฤทธิ์เดชหักถอนต้นไม้มาถือแทนอาวุธ ป่าไม้ล้มลงอย่างราบเรียบด้วยฤทธิ์ของกองทัพพระราม
อากาศบดบังสุริย์ศรี | เทวัญจันทรี |
ทุกชั้นอำนวยอวยชัย | |
บ้างเปิดแกลแก้วแววไว | โปรยทิพมาลัย |
ซ้องสาธุการบูชา | |
ชักรถรี่เรื่อยเฉื่อยมา | พุ่มบุษปมาลา |
กงรถไม่จดธรณินทร์ | |
เร่งพลโยธาพานรินทร์ | เร่งรัดหัสดิน |
วานรให้เร่งรีบมา |
ทันใดนั้นอากาศบดบังพระอาทิตย์ เหล่าเทวดาบนสวรรค์ทุกชั้นต่างอำนวยอวยชัย บ้างเปิดประตู หน้าต่างแล้วก็โปรยดอกไม้ทิพย์เพื่อสักการะบูชาและยกย่องสรรเสริญ บนพื้นเต็มไปด้วยดอกไม้จนทำให้กงรถไม่สัมผัสพื้น นอกจากนี้ยังเร่งกองทัพลิง กองทัพช้างให้รีบมาถึงสนามรบ
จากนั้นจึงเป็นเหตุการณ์ที่พระลักษมณ์พบกับกองทัพพระอินทร์ (ตัวปลอม) ของอินทรชิต
เมื่อนั้นพระศรีอนุชา | เอื้อนอรรถวัจนา |
ตรัสถามสุครีพขุนพล | |
เหตุไฉนสหัสนัยน์เสด็จดล | สมรภูมิไพรสณฑ์ |
เธอมาด้วยกลอันใด | |
สุครีพทูลทัดเฉลยไข | ทุกทีสหัสนัยน์ |
เสด็จด้วยหมู่เทวา | |
อวยชัยถวายทิพมาลา | บัดนี้เธอมา |
เห็นวิปริตดูฉงน | |
ทรงเครื่องศัสตราแย่งยล | ฤๅจะกลับเป็นกล |
ไปเข้าด้วยราพณ์อาธรรม์ |
พระลักษมณ์ (น้องของพระราม) ถามสุครีพว่าเพราะเหตุใดพระอินทร์เสด็จมาที่สนามรบนี้ สุครีพจึงทูลบอกพระลักษมณ์ว่า ปกติพระอินทร์จะเสด็จมาพร้อมกับเหล่าเทวดาเพื่ออวยชัยและถวายดอกไม้ แต่คราวนี้ดูผิดปกติและน่าสงสัยแปลก ๆ เพราะพระอินทร์แต่งกายมาพร้อมกับอาวุธดูงดงาม หรือว่าพระอินทร์จะเข้าข้างฝ่ายทศกัณฐ์
พระผู้เรืองฤทธิแข็งขัน | คอยดูสำคัญ |
อย่าไว้พระทัยไพรี | |
เมื่อนั้นอินทรชิตยักษี | ตรัสสั่งเสนี |
ให้จับระบำรำถวาย | |
ให้องค์อนุชานารายณ์ | เคลิบเคลิ้มวรกาย |
จะแผลงซึ่งศัสตรศรพล |
สุครีพเตือนพระรามว่าอย่าได้ไว้วางใจข้าศึกเด็ดขาด ฝ่ายอินทรชิตก็สั่งให้ยักษ์ (ที่แปลงร่างแล้วอย่างสวยงาม) ฟ้อนรำถวายพระลักษมณ์ เพื่อให้พระลักษมณ์เคลิบเคลิ้มและจะได้แผลงศรฆ่าให้ตาย
อินทรชิตสถิตเหนือเอรา | วัณทอดทัศนา |
เห็นองค์พระลักษณ์ฤทธิรงค์ | |
เคลิบเคลิ้มหฤทัยใหลหลง | จึงจับศรทรง |
พรหมาสตร์อันเรืองเดชา | |
ทูนเหนือเศียรเกล้ายักษา | หมายองค์พระอนุชา |
ก็แผลงสำแดงฤทธิรณ | |
อากาศก้องโกลาหล | โลกลั่นอึงอล |
อำนาจสะท้านธรณี | |
ศรเต็มไปทั่วราศี | ต้ององค์อินทรีย์ |
พระลักษณ์ก็กลิ้งกลางพล |
อินทรชิตนั่งอยู่บนช้างเอราวัณ เห็นพระลักษมณ์ผู้เก่งกาจในการรบ กำลังหลงใหลเคลิบเคลิ้มในสิ่งงดงามที่ได้เห็น เมื่อได้โอกาส อินทรชิตจึงจับศรพรหมาสตร์ขึ้นเหนือหัว เล็งใส่พระลักษมณ์ แล้วก็แผลงศรออกไปหมายจะให้ถูกพระลักษมณ์ ทันใดนั้นอากาศก็แปรปรวนเสียงดังกึกก้องสะท้านแผ่นดิน ศรพรหมาสตร์ที่อินทรชิตแผลงไปนั้นกระจายไปทั่วท้องฟ้า พระลักษมณ์ถูกศรของอินทรชิตแล้วล้มลงกลางไพร่พลในสนามรบ
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
ถึงศัพท์จะดูยากไปนิด แต่บทพากย์เอราวัณมีการใช้วรรณศิลป์ตามแบบฉบับวรรณคดีไทยที่น่าสนใจอยู่หลายรูปแบบ เช่น การใช้บทพรรณนาความสวยงาม และความยิ่งใหญ่ของช้างเอราวัณ ความยิ่งใหญ่ของกองทัพอินทรชิต อภินิหารและความยิ่งใหญ่ของกองทัพพระราม นอกจากนี้ยังมีบทพรรณนาที่บรรยายความงามของธรรมชาติทั้งกลิ่น รูป และเสียงอย่างเห็นภาพ และมีการใช้โวหารภาพพจน์ต่าง ๆ เช่น การอุปมา อติพจน์ และบุคคลวัต
ข้อคิดจากบทพากย์เอราวัณ
นอกจากใช้เล่นโขนละครในเพื่อความบันเทิง บทพากย์รามเกียรติ์แต่ละตอนก็มีคติสอนใจให้ผู้อ่านผู้ชมได้คิดตามด้วย บทพากย์เอราวัณเองก็มีข้อคิดที่น่าสนใจหลายข้อ ได้แก่
๑. ความลุ่มหลงเป็นบ่อเกิดของหายนะเช่น พระลักษมณ์ที่หลงใหลในความงดงามของกองทัพยักษ์จำแลง จนประมาทและถูกศรพรหมาสตร์ของอินทรชิต
๒. การใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกไม่ควรเช่น อินทรชิตที่มีทั้งพรและอาวุธจากมหาเทพ แต่ก็เลือกใช้อำนาจไปในทางที่ผิด ทั้งออกมารบกับพระรามและผู้อื่น (จริง ๆ ก่อนนี้อินทรชิตมีชื่อว่ารณพักตร์ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรจนมีฤทธิ์แก่กล้า เมื่อได้พรและอาวุธจากมหาเทพมาก็ไปท้ารบกับพระอินทร์ และได้ชัยชนะกลับมาด้วย จึงเป็นที่มาของชื่ออินทรชิต ซึ่งแปลว่า “ผู้ชนะพระอินทร์”)
๓. การใช้สติปัญญาพิจารณาสถานการณ์ต่าง ๆเช่น สุครีพที่ช่างสังเกต ใช้สติปัญญาประเมินสถานการณ์ในสนามรบ และเตือนให้พระลักษมณ์อย่าไว้ใจข้าศึก
รู้หรือไม่ ? โขนพระราชทานและเกร็ดเล็ก ๆ จากรามเกียรติ์
ขอบคุณรูปภาพจาก Khon Performance โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
อย่างที่เรารู้กันว่าโขนของประเทศไทยจะแสดงเรื่องรามเกียรติ์เท่านั้น และถึงจะหาชมได้ยาก แต่ในปัจจุบันก็ยังมี “โขนพระราชทาน” โดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพที่จัดแสดงเป็นประจำทุกปี โขนพระราชทานเริ่มจัดแสดงครั้งแรกในปีพ.ศ.๒๕๕๐ เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗๕ พรรษา โดยสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีดำริให้จัดแสดงโขนพระราชทานขึ้นเพื่ออนุรักษ์และสืบสานศิลปะวัฒนธรรมไทย และแม้จะเป็นศิลปะชั้นสูง แต่โขนพระราชทานก็ได้มีการปรับบทพูดหลาย ๆ จุดให้สนุกสนาน และเข้าถึงประชาชนทุกเพศทุกวัยได้มากขึ้น แถมยังมีการแทรกมุกตลกที่ทันสถานการณ์บ้านเมืองอยู่เป็นระยะ ๆ ซึ่งรามเกียรติ์ตอนที่ถูกนำมาจัดแสดงมีหลายตอนด้วยกัน เช่น ตอนพรหมาสตร์ นางลอย ศึกไมยราพ จองถนน นาคบาศ โมกขศักดิ์ พิเภกสวามิภักดิ์ สืบมรรคา
ตัวอย่างโขนพระราชทาน ศึกอินทรชิต ตอนนาคบาศ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: ธีรศักดิ์ จิระตราชู (ครูหนึ่ง)
Reference:
“กาพย์ฉบัง ๑๖.” วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร, 27 Apr. 2019, www.watmoli.com/poetry/351/.
“โขน.” Wikipedia, Wikimedia Foundation, 13 Aug. 2020, th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%99.
“รามเกียรติ์.” Wikipedia, Wikimedia Foundation, 9 Oct. 2020, th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%8C.