เงินเยียวยาล่าสุดวันนี้ 2564 ผู้ประกันตนมาตรา 33, ม. 39 และมาตรา 40 ตั้งกองทุนคุ้มครอง แรงงานนอกระบบแล้วเช็คด่วน
อัพเดท เงินเยียวยาประกันสังคม มาตรา 33,มาตรา 39 และ มาตรา 40 เกาะติดความคืบหน้าล่าสุดภายหลังรัฐบาลได้อนุมัติเงินเยียวยา นายจ้าง และ ผู้ประกันตน มาตรา 33 มาตรา 39 มาตรา 40 ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ใน 9 ประเภทกิจการ ได้แก่
9 ประเภทกิจการ ในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้ม
- ก่อสร้าง
- ที่พักแรมบริการด้านอาหาร
- ศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ
- กิจกรรม บริการด้านอื่นๆ
- การขายส่งขายปลีก ซ่อมยานยนต์
- การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
- กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน
- กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ
- กิจกรรมทางวิชาการ สาขาข้อมูลข่าวสาร และการสื่อสาร
29 จังหวัดสีแดงเข้ม
แบ่งเป็น 3 กลุ่มตามการประกาศล็อคดาวน์ ดังนี้
- 10 จังหวัด กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา
- 3 จังหวัด ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา
- 16 จังหวัด กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี และอ่างทอง
เมื่อเร็วๆนี้ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้มีมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลได้เร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 มาตรา 40 ที่ได้รับผลกระทบใน 9 ประเภทกิจการ ครอบคลุมพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด โดยได้เริ่มทยอยโอนเงินเยียวยาเข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชนของผู้ประกันตน ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2564 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบันการจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตน มาตรา 33 , 39 และ 40 สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จ่ายไปแล้วเป็นเงิน 100,807,738,500 บาท ครอบคลุม นายจ้างจำนวน 176,769 แห่ง และผู้ประกันตนรวมทั้งสิน 12,096,818 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564)
สำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ ซึ่งสถิติปี 2563 ประเทศไทยมีแรงงานนอกระบบจำนวน 20.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 53.8 ของผู้มีงานทำทั้งหมด 37.9 ล้านคน อยู่ในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด ร้อยละ 55.6 รองลงมาคือภาคการค้าและบริการ ร้อยละ 34.1 และภาคการผลิต ร้อยละ 10.3 รัฐบาลมีนโยบายดูแลเพื่อให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ในการประกอบอาชีพและหลักประกันทางสังคมให้ครอบคลุม โดยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ เช่น การรณรงค์ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ การช่วยเหลือกลุ่มแรงงานนอกระบบหรือองค์กรแรงงานนอกระบบ รวมถึงการให้แรงงานนอกระบบสามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนทั้งแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม
“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ สำหรับผู้มีอาชีพอิสระ ขอเชิญชวนให้มาสมัครเป็นสมาชิกประกันสังคม มาตรา 40 เพราะจะได้รับความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ประกันสังคม กรณี เช่น ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยทุพพลภาพ ตาย และขณะนี้ รัฐบาลได้ขยาย อายุผู้ประกันตน มาตรา 40 เป็น 65 ปี ทั้งนี้ในระยะต่อไป เมื่อกองทุนฯได้จัดตั้งเป็นที่เรียบร้อย ก็จะเป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงเงินทุนประกอบอาชีพ และความมั่นคงในการประกอบอาชีพ” นางสาวรัชดา กล่าว.
วันนี้ 31 กรกฎาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคน จึงได้สั่งการให้เร่งรัดขยับเวลาการจ่ายเงินเยียวยา ให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ โดยจะเริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้ ซึ่งผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ซึ่งสามารถดำเนินการได้วันละ 1 ล้านบัญชี จากผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามีจำนวน 2.87 ล้านคน ส่วนนายจ้างจะได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล ตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุดลูกจ้างไม่เกิน 200 คน สำหรับนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามชื่อนิติบุคคลนายจ้าง ทุกๆวันศุกร์ จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564 โฆษก ศบศ. ยังกล่าวถึงการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ที่เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิล่าสุดไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 หลังผ่านมา 1 เดือน ปรากฎว่ายอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการมีผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 36.89 ล้านคน มียอดใช้จ่ายสะสม รวม 49,884.3 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 22.74 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 46,317.4 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 23,455.6 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 22,861.8 ล้านบาท 2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 59,284 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 758.3 ล้านบาท 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.26 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 2,644.8 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 826,684 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 163.8 ล้านบาท นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้จากการประเมินพบว่าประชาชนทั่วประเทศ ยังมีการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงรายละเอียดของบางโครงการ เช่น โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โดยขยายระยะเวลาการซื้อสินค้าหรือบริการที่จะได้รับ e-Voucher ถึงวันที่ 31 พฤศจิกายน 2564 เพิ่มวงเงินการใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณ e-Voucher สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน และปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ เป็น 1.4 ล้านสิทธิ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และขณะนี้กระทรวงการคลังได้กำชับให้ธนาคารกรุงไทย เร่งดำเนินการปรับปรุงระบบการใช้จ่ายเงินในโครงการ “คนละครึ่ง” ให้สามารถเชื่อมกับระบบของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ โดยคาดว่าจะดำเนินการเชื่อมระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อรองรับการใช้จ่ายหลังกระทรวงการคลังโอนเงิน “คนละครึ่ง” รอบ 2 อีก 1,500 บาทเข้าแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ซึ่งประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ถึงสิ้นปี 2564 ส่วนยอดการลงทะเบียนล่าสุดของวันที่ 30 ก.ค. 2564 โครงการคนละครึ่งมีการลงทะเบียนแล้ว 29.9 ล้านคน เหลืออีก 1.1 ล้านคน จะครบ 31 ล้านคน และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่ปรับลดเหลือ 1.4 ล้านสิทธิ ขณะนี้เหลืออีก 937,338 สิทธิ โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนควบคู่ไปกับการดำเนินการป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเต็มที่ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี --------- ....