หน้าแรก > Samsung Internet Browser
วิธีแก้ปัญหาไม่สามารถเข้าใช้งานระบบผ่านเบราว์เซอร์ซัมซุงอินเทอร์เน็ตได้
หากเจอปัญหาการกรอกรหัส OTP เพื่อเข้าใช้งานผ่านมือถือซัมซุง ด้วยเบราว์เซอร์ซัมซุงอินเทอร์เน็ตที่ติดมากับตัวเครื่อง แล้วระบบแจ้งว่า "พบข้อผิดพลาด กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่" สาเหตุอาจเกิดจากเบราว์เซอร์ปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูล (คุกกี้) แนะนำผู้ใช้งานตรวจสอบการตั้งค่าเบราว์เซอร์ ดังนี้ค่ะ
1. เข้าเบราว์เซอร์ซัมซุงอินเทอร์เน็ต จากนั้นให้ไปที่สัญลักษณ์ ขีดสามขีด ที่มุมล่างขวา
2.เลือกหัวข้อ ตั้งค่า (Settings) ค่ะ
3.เลือก ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย (Privacy and security) ค่ะ
4. ที่หัวข้อ ยอมรับคุกกี้ (Accept cookies) ให้เลือก อนุญาตให้เว็บไซต์บันทึกและอ่านคุกกี้บนโทรศัพท์ ค่ะ
5. หลังจากนั้น ให้ผู้ใช้งานลองเข้าใช้งานอีกครั้งค่ะ
Samsung Internet มอบประสบการณ์การท่องเว็บที่ดีที่สุดให้กับคุณด้วย Video Assistant, โหมดมืด, การกำหนดเมนูเอง, ส่วนขยาย เช่น Translator และ Samsung Internet ให้การปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณด้วยโหมดความลับ การป้องกันการติดตามแบบสมาร์ท และการปกป้องอัจฉริยะ
นอกจากนี้คุณยังสามารถติดตั้ง Samsung Internet Browser บนนาฬิกาที่ใช้ WearOS (Galaxy Watch4, Galaxy Watch4 Classic)
■ คุณสมบัติใหม่ๆ เพื่อคุณ
* มีตัวเลือกเพื่อย้ายบาร์ URL
ไปด้านล่างของอุปกรณ์แบบพับได้
คุณยังสามารถย้ายบาร์ URL ไปด้านล่างของอุปกรณ์ Galaxy Fold
* รองรับ “เปิดลิงก์จากแอพอื่นในโหมดความลับ”
เมื่อเปิดแอพผ่านทางแอพภายนอกโดยการใช้ Samsung Internet ขณะที่ใช้โหมดความลับ สามารถเปิดลิงก์ได้ในโหมดความลับ
■ ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
Samsung Internet ช่วยคุณปกป้องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวขณะเรียกดูอินเทอร์เน็ต
* การป้องกันการติดตามอัจฉริยะ
ระบุโดเมนที่มีความสามารถในการติดตามข้ามไซต์ และบล็อกการเข้าถึงพื้นที่จัดเก็บข้อมูล
(คุกกี้) ได้อย่างชาญฉลาด
* การเรียกดูที่ได้รับการปกป้อง
เราจะเตือนให้คุณทราบก่อนจะเข้าชมไซต์ประสงค์ร้ายที่เรารู้จัก เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเข้าชมเว็บไซต์ที่อาจขโมยข้อมูลของคุณ
* ตัวบล็อกคอนเทนท์
Samsung Internet สำหรับ Android อนุญาตให้แอพบุคคลที่ 3 สร้างฟิลเตอร์สำหรับการบล็อกคอนเทนท์ ทำให้การเรียกดูปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ต้องมีการอนุญาตต่อไปนี้สำหรับบริการแอพ
สำหรับการอนุญาตที่เลือกได้ การทำงานพื้นฐานของบริการจะเปิด แต่ไม่ได้รับอนุญาต
[การอนุญาตที่จำเป็น]
ไม่มี
[การอนุญาตที่เลือกได้]
ตำแหน่ง: ใช้เพื่อมอบคอนเทนท์ที่อิงจากตำแหน่งที่ผู้ใช้ขอ หรือข้อมูลตำแหน่งที่เว็บเพจที่กำลังใช้งานขอ
กล้อง: ใช้เพื่อมอบฟังก์ชั่นการถ่ายของเว็บเพจและฟังก์ชั่นการถ่าย QR Code
ไมโครโฟน: ใช้เพื่อมอบฟังก์ชั่นการบันทึกบนเว็บเพจ
พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: ใช้เพื่อจัดเก็บไฟล์เมื่อดาวน์โหลดจากเว็บเพจ
รายชื่อ: หากต้องการอัพโหลดรายชื่อบนหน้าเว็บ
โทรศัพท์: (บางเวอร์ชันของ Android)
ต้องได้รับอนุญาตให้เข้าถึงเพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์มือถือจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพคุณสมบัติสำหรับเฉพาะประเทศได้
อุปกรณ์ใกล้เคียง: (Android บางเวอร์ชัน) หากต้องการค้นหาและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Bluetooth ที่อยู่ใกล้เคียงตามคำขอของเว็บไซต์
ในบางครั้งการใช้งานคอมพิวเตอร์และมือถือที่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมักจะมีการแจ้งเตือนแปลก ๆ ที่ในบางครั้งผู้ใช้งานก็ไม่รู้ ว่ามาจากไหน อาจรู้สึกรำคาญกับการแจ้งเตือนที่รบกวนการทำงาน จนอาจเป็นช่องทางในการส่ง Malware URL ได้ ซึ่งการแจ้งเตือนแบบนี้เรียกว่า Push Notification ไม่ว่าจะเป็นจากสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ดังนั้นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือปิดแจ้งเตือนเหล่านั้น แต่จะทำอย่างไรให้ถูกวิธี?การทำงานของ Push Notification
Push Notification เป็นการแจ้งเตือนแบบข้อความที่ส่งโดยเซิร์ฟเวอร์ไปยังอินเทอร์เฟซของผู้ใช้งาน เมื่อมีการอัปเดตภายในแอปพลิเคชัน สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานก็จะได้รับการแจ้งเตือน ซึ่งเป้าหมายหลักของ Push Notification คือเพื่อให้ผู้ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีไม่พลาดทุกการอัปเดตใหม่ ๆ ในส่วนของภาคธุรกิจมักใช้ Push Notification เพื่อโปรโมทสินค้า หรือบริการ จนทำให้ในบางครั้งผู้ใช้งานอาจได้รับการแจ้งเตือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองบ่อย ๆ จนเกิดความรำคาญ ซึ่งบางเว็บอาจส่ง URL ที่เป็นมัลแวร์มาได้ ดังนั้น ผู้ใช้งานควรตระหนักเรื่องความปลอดภัยไอที (Cyber Security) การปิด Notification ที่ไม่จำเป็น จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งในบทความนี้ ทีมงาน NT cyfence ได้รวบรวมขั้นตอนในการปิด Notification สำหรับมือถือระบบ Android , iOS และคอมพิวเตอร์ ดังนี้
ปิดการตั้งค่าการแจ้งเตือนตั้งแต่เริ่มต้น
โดยส่วนใหญ่แอปพลิชันต่าง ๆ มักจะขออนุญาตจากทางผู้ใช้งานก่อน เพื่อแสดงการแจ้งเตือนทันทีหลังการติดตั้ง ก็ควรเลือก Allow เฉพาะ Notification ที่ต้องการจริง ๆ เท่านั้น แต่ในกรณีที่ Allow ไปไปแล้วก็ยังสามารถเปลี่ยนการอนุญาตแจ้งเตือนได้เช่นกัน
การตั้งค่าการแจ้งเตือน บนอุปกรณ์ Android (Samsung, Oppo, Huaweii)
วิธีที่ 1 หากผู้ใช้งานจะเปลี่ยนการตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับแอปพลิชันสามารถทำได้ ดังนี้
- เลือกที่ “แอปพลิเคชัน” ใน “การตั้งค่า”
- เลือก “จัดการแอปพลิเคชัน” (ถ้ามี)
- แตะที่แอปพลิเคชันใดที่ต้องการ
- เลือกที่ “สิทธิ์”
- เลือก “การแจ้งเตือน”
- กดเปลี่ยนที่พฤติกรรม เช่น การแจ้งเตือนด้วยเสียง หรือการแจ้งเตือนแบบลอย เป็นต้น
ผู้ใช้งานสามารถเลือกปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันนี้อย่างถาวรโดยปิดใช้งานการควบคุมหลัก
วิธีที่ 2: การยกเลิกการแจ้งเตือนจากหลายแอปพลิเคชัน
- ไปที่ “การตั้งค่า”
- เลือก “การแจ้งเตือน”
- เลือกระหว่าง “การแจ้งเตือนบนหน้าจอล็อก” “การแจ้งเตือนแบบลอย” และ “ป้ายแจ้งเตือน”
รายการแอปพลิเคชันจะปรากฏขึ้น ซึ่งจะได้รับอนุญาตให้แสดงการแจ้งเตือนเฉพาะในหมวดหมู่ที่เลือก
- ให้ปิดการใช้งานแอปพลิเคชันอย่างน้อยหนึ่งแอปฯ จากรายการนั้นเพื่อหยุดรับการแจ้งเตือน
การตั้งค่าการแจ้งเตือน บนอุปกรณ์ iOS (iPhone, iPad)
- ไปที่ “การตั้งค่า”
- เลือก “การแจ้งเตือน”
- เลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการเพื่อจำกัดการแจ้งเตือน
- ปิดใช้งาน “อนุญาตการแจ้งเตือน” เพื่อจำกัดการแจ้งเตือนทั้งหมดจากแอปพลิเคชัน
- ผู้ใช้งานสามารถยกเลิก “การล็อกหน้าจอ” ที่ “ศูนย์การแจ้งเตือน” และ “แบนเนอร์” เพื่อไม่ให้แอปพลิเคชันแสดงการแจ้งเตือนในโหมดนั้นได้
- ผู้ใช้งานสามารถปิดใช้งาน “เสียง” และ “ป้าย” เพื่อปิดใช้งาน PushNotification
หากผู้ใช้งานต้องการหลีกเลี่ยงการแจ้งเตือนที่เข้ามาทั้งหมดของ iPhone ให้เข้าไปจัดการที่โหมด “ห้ามรบกวน” และ ผู้ใช้งานยังสามารถตั้งเวลาสำหรับฟังก์ชันนี้ได้ โดยที่โทรศัพท์จะไม่แสดงการแจ้งเตือนในช่วงเวลานั้น
การตั้งค่าการปิดการแจ้งเตือนบน Windows 10
ไปที่ “การตั้งค่า”
เลือกที่ “ระบบ”
คลิก
“การแจ้งเตือนและการดำเนินการ”
จากนี้ผู้ใช้งานจะสามารถปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดหรือปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันเฉพาะได้
การตั้งค่าการปิดการแจ้งเตือนบน Mac
เลือกเมนู “Apple”
คลิกที่ “การตั้งค่าระบบ”
เลือก “การแจ้งเตือน” ใน “การตั้งค่าการแจ้งเตือน”
ให้เลือกแอปพลิเคชันทางด้านซ้ายเพื่อปิดใช้งานตัวเลือก “อนุญาตการแจ้งเตือน”
เลือกใช้โหมด “ห้ามรบกวน” ในกรณีที่ต้องการปิดการแจ้งเตือนชั่วคราว
บางครั้งผู้ใช้งานอาจจะอยากแค่หยุดพักการแจ้งเตือนชั่วคราว เช่น ในขณะที่กำลังประชุมงานสำคัญ ดูหนังเรื่องโปรด หรือตอนที่กำลังนอนหลับ ระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น Windows, Mac, Android และ iOS ล้วนมีโหมด “ห้ามรบกวน” ที่ผู้ใช้งานสามารถตั้งเวลาสำหรับระยะเวลาที่ต้องการพักการแจ้งเตือนได้ ในช่วงเวลานี้อุปกรณ์จะบันทึกการแจ้งเตือนในหน้าของการแจ้งเตือน แต่ไม่มีการแจ้งเตือนแบบ Push Notification ขึ้นมา
หนึ่งในสาเหตุของการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ เกิดจากการใช้งานที่ไม่ระมัดระวัง เช่น กด อนุญาตโดยไม่ได้อ่าน หรือ คลิก Ok แม้ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร นอกจากในบางครั้งการคลิกโอเค หรือ คลิก Next โดยไม่ได้ดูว่าเป็นการยอมรับ หรือ ตกลงในเรื่องใด อาจพาเราไปเรื่องราวใหญ่โตอื่น ๆ เช่น ติดตั้ง Malware เป็นต้น
ข้อมูลจาก : //www.hackread.com/how-to-control-push-notifications-of-your-devices/
ทีมงาน NT cyfence ที่พร้อมให้คำปรึกษา และ ดูแลความปลอดภัยให้กับทุกองค์กร อย่างครบวงจร ด้วยทีมงานมืออาชีพ