มีภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์หลายอย่างที่อาจเกิดจากการตากแดด ดังต่อไปนี้คำอธิบายสั้นๆ ของภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด - จากการถูกแดดเผา คือ มะเร็งผิวหนัง
แพ้แสงอาทิตย์
โรคแพ้แดด หรือผื่นหลายรูปแบบจากแสงแดด (Polymorphus Light Eruption: PLE) เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดของการแพ้แสงแดด และถูกวินิจฉัยคิดเป็นประมาณ 90% ของผู้ป่วยทั้งหมดที่มีอาการแพ้แสงแดด มีความชุกในยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกาประมาณ 20% การแพ้แดดถูกกระตุ้นจากภาวะความเครียดอ็อกซิเดชั่น (Oxidative stress)ที่เกิดโดยรังสี UVA และในระดับน้อย, UVB ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
สิวผด หรือ Acne aestivalis (Mallorca acne) เกิดขึ้นเมื่อรังสียูวีรวมกับส่วนผสมบางอย่างในเครื่องสำอางหรือครีมกันแดด เช่น emulsifiers, ก่อให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบของไขมันบริเวณรูขุมขน สิวผด (Acne aestivalis) มีผลกระทบต่อประชากรประมาณ 1-2% โดยได้รับผลกระทบมากสุดในวัยรุ่นถึงวัยกลางคน (25-40 ปี) อาการจะคล้ายกันมากกับ PLE และมักจะเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างสองลักษณะนี้
มะเร็งผิวหนัง
โรคมะเร็งผิวหนังมีแนวโน้มที่จะเกิดกับผิวหนังบริเวณที่สัมผัสกับดวงอาทิตย์ ดังนั้นผิวหน้าเพื่อจึงเป็นบริเวณหนึ่งที่มีความเสี่ยง เกิดเป็นผื่นผิวหนังที่มีลักษณะหยาบเป็นขุย (Actinic keratosis) ซึ่งสามารถที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้
ผื่นผิวหนังที่มีลักษณะหยาบเป็นขุย (Actinic keratoses) เป็นสะเก็ดแห้งของผิว เกิดความเสียหายหลังจากสัมผัสแสงแดด อาจเป็นสีชมพู, สีแดง หรือสีน้ำตาล มีความกว้าง 0.5 ถึง 3 ซม. พบมากที่สุดบนใบหน้า (โดยเฉพาะริมฝีปากจมูกและหน้าผาก), คอแขน และหลังของมือ และในผู้ชายบนขอบของหู และกระโหลกศีรษะล้าน และในผู้หญิงที่ขาใต้เข่า
เซลล์มะเร็งผิวหนังแรกเริ่ม มีลักษณะขนาดเล็ก เติบโตช้า, มันวาว, เป็นก้อนสีชมพูหรือสีแดง หากปล่อยทิ้งไว้จะมีแนวโน้มที่กลายเป็นสะเก็ด, มีเลือดออก หรือพัฒนาเป็นแผลได้ สามารถพบบ่อยที่สุดบนใบหน้า หนังศีรษะ หู มือ ไหล่ และด้านหลัง Squamous cell skin cancers เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ผิวชั้นนอก มักจะมีก้อนสีชมพู, อาจมีลักษณะแข็ง หรือมีเกล็ดบนผิว และส่วนใหญ่มักพบบนใบหน้า, ลำคอ, ริมฝีปาก, หู, มือ, ไหล่, แขน และขา สามารถเกิดเลือดออกง่าย และอาจพัฒนาเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
มะเร็งไฝ หรือ Melanoma เป็นมะเร็งชนิดที่ร้ายแรงที่สุด สัญญาณแรกมักจะเป็นลักษณะของไฝที่เกิดขึ้นใหม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของไฝที่มีอยู่ melanomas มักจะมีรูปร่างที่ผิดปกติ และมักมีมากกว่าหนึ่งสี มีขนาดใหญ่กว่า 6mm สามารถพบได้ทุกที่บนร่างกาย แต่พบมากที่สุดที่ด้านหลังขาแขน และใบหน้า
ในปัจจุบันเราน่าจะเคยได้ยินคำว่ารังสี UV มาบ้างแล้ว แต่คุณรู้ไหมว่าแท้จริงแล้วนั้นรังสี UV คืออะไร มาจากไหน แล้วมีประโยชน์หรือโทษอะไรบ้าง บทความนี้จะทำให้ทุกคนเข้าใจเกี่ยวกับรังสี UV ได้ดีมากขึ้นอย่างแน่นอน
รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือชื่อภาษาไทยเรียกว่า รังสีเหนือม่วง แต่เรามักเรียกกันอย่างสั้นๆ ว่า รังสี UV ที่จริงแล้วก็คือ “ช่วงหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีความยาวคลื่นในช่วง 100-400 นาโนเมตร และมีพลังงานในช่วง 3-124 eV” ที่มันได้ชื่อดังกล่าวก็เพราะว่าสเปกตรัมของมันประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นที่มนุษย์มองเห็นเป็นสีม่วงนั้นเอง
แหล่งกำเนิดรังสีอัลตราไวโอเลต
1. แหล่งที่เกิดจากธรรมชาติ การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ (Solar Radiation) ถือเป็นต้นกำเนิดที่สำคัญของรังสีและคลื่นต่างๆ ที่แผ่มายังโลก เช่น รังสี UV รังสีแกมม่า รังสีเอ็กซ์ รังสีอินฟาเรด คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ รวมถึงช่วงคลื่นที่มนุษย์มองเห็น (สีต่างๆ) แต่รังสีและคลื่นบางส่วนจะถูกดูดซับไว้ในชั้นบรรยากาศ ส่วนที่เหลือสามารถส่องมาถึงผิวโลกในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
2. แหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้น (artificial sources) ได้แก่วัตถุทุกชนิดที่ถูกทำให้เกิดความร้อน จนมีอุณหภูมิสูง มากกว่า 2500 องศาเคลวิน สามารถปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลตได้ ซึ่งเป็นวัตถุอุปกรณ์ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น สำหรับการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ทางการแพทย์ ทางการเกษตร เป็นต้น
ชนิดของรังสี UV
UV-A มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 315 ถึง 400 nm มีระดับความเข้มข้นต่ำที่สุด แต่ชั้นโอโซนสามารถดูดซับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงแม้จะมีระดับความเข้มข้นที่ต่ำที่สุดในบรรดารังสี UV แต่กลับสามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกมากที่สุด ซึ่งหากสัมผัสในระยะเวลานานและต่อเนื่องจะทำให้เซลล์ผิวหนังอ่อนล้า เสื่อมเร็ว เหี่ยวย่น และอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดเป็นเซลล์มะเร็งขึ้นได้
UV-B มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 280 ถึง 315 nm มีระดับความเข้มข้นปานกลาง ชั้นโอโซนดูดซับได้ในระดับนึง มีผลสามารถทำลายดีเอ็นเอ (DNA) และเกิดมะเร็งส่วนผิวหนังได้
UV-C มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 175 ถึง 280 nm มีระดับความเข้มข้นสูงมาก แต่ชั้นโอโซนสามารถดูดซับได้เกือบทั้งหมด ซึ่งรังสี UVC นี้ หากผ่านมาถึงผิวโลกโดยตรงจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างมาก
ประโยชน์ของรังสี UV
รังสี UV นั้นถ้าหากสัมผัสโดยตรงกับร่างกายมนุษย์จะให้โทษมากกว่าประโยชน์ เพราะมันสามารถทำลายเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ รวมถึงทำลายดวงตาของเราด้วย ซึ่งนั้นอาจก่อให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้ แต่ถ้าหากนำไปประยุกต์ใช้ให้ถูกวิธี เราก็สามารถจะใช้ประโยชน์จากรังสี UV ได้ เช่น
1. ใช้ตรวจเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น ธนบัตร หนังสือเดินทาง บัตรเครดิต โดยใช้หลอดไฟแบล็กไลต์ (Black light) นอกจากนี้ยังสามารถใช้ตรวจหารอยนิ้วมือ หรือแม้กระทั่งล่อแมลงก็ตาม
2. ฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ที่อยู่ในน้ำและในอากาศโดยใช้ หลอดไฟฆ่าเชื้อ หรือ หลอด UV ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้ปล่อยรังสี UV ออกมา ส่วนใหญ่จะใช้เป็น UV-C เนื่องจากมีความสามารถในการฆ่าทำลายเชื้อโรคได้มากที่สุด ซึ่งทางเราก็ได้นำมาจำหน่ายในราคาถูก สามารถนำไปติดตั้งในห้องทดลอง ห้องแล็บ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับอาหาร เป็นต้น
3.กระตุ้นการสร้างวิตามินดี รังสียูวีบีมีคุณสมบัติกระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือด กระดูก และภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหารที่บริโภค
จากบทความข้างต้นเราจะสรุปได้ว่ารังสี UV นั้นแท้จริงแล้วมีทั้งคุณประโยชน์และโทษขึ้นอยู่กับการใช้งานของเรา หากเราเข้าใจว่ารังสี UV คืออะไรเราจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย