เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ของกระบวนการทางการเรียนทักษะในวิชาดนตรี โดยระบบการศึกษาเมื่อมีการเรียนย่อมมีการวัดและการประเมินผลการเรียน เพื่อให้ทราบว่า ผู้เรียนได้เรียนสิ่งใดไปบ้าง มากน้อยเพียงใด และได้ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์หรือผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้อย่างไร สำหรับผู้สอน การวัดและประเมินผลทำให้ทราบด้วยว่า กระบวนการเรียนการสอนประสบความสำเร็จเพียงใด มีสิ่งใดที่ดีหรือสิ่งใดควรปรับปรุงแก้ไขเพื่อทำให้การเรียนการสอนในครั้งต่อไปพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น การวัดและประเมินผลจึงควรมีหลักการ มีระบบ มีการจัดการที่ครอบคลุม มีความรัดกุม ความสะดวก และให้ผลตามที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ การวัดและประเมินผลดนตรี จึงเป็นเรื่องสำคัญและสามารถทำให้เกิดประโยชน์ได้ในหลายแง่มุม
ในการวัดและประเมินผลนั้น การเรียนในวิชาทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือการประเมินผลในกระบวนการ และการประเมินผลหลังการเรียนการสอน ( กิ่งกาญจน์ สิรสุคนธ์, 25450 )ในกระบวนการเรียนดนตรีนั้นแม้ผลลัพธ์สุดท้ายที่เราคาดหวังคือการแสดงออกถึงประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นในภาพรวมทั้งหมด อาจเป็นการแสดงดนตรีเพื่อสอบ หรือการสอบเนื้อหาวิชาดนตรีในช่วงปลายภาคเรียน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนในระหว่างการศึกษาของผู้เรียน (อาจเห็นได้ชัดเจน ในเรื่องการเรียนทักษะทางเครื่องดนตรี) ผลการประเมินในลักษณะนี้ไม่สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอนได้ทันที แต่สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการเรียนการสอนในครั้งต่อไปที่ผู้สอน สอนในวิชานั้นๆอีกครั้งหนึ่งในอนาคตได้ ( ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2547 )เมื่อใดที่การสอนไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากผู้เรียนไม่เข้าใจ ผู้สอนก็ต้องพยายามคิดหาเทคนิคการสอน การอธิบายหรือสาธิตให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้นในทันทีหรือในการเรียนชั่วโมงถัดไป
การประเมินผลในกระบวนการจึงน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญในการเรียนทักษะดนตรี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ใช้ในการพัฒนาความสามารถของนักเรียน ซึ่งผู้สอนสามารถประเมินและปรับปรุงแก้ไขปัญหาของผู้เรียนได้ทันท่วงที ซึ่งในปัจจุบันได้มีการวัดและประเมินผลรูปแบบหนึ่งที่อนุญาตให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการวัดและประเมินตนเองได้ ซึ่งส่งผลดีหลายอย่างในกระบวนการเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเรียนด้าน เช่น นักเรียนได้มีการจัดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง รู้ถึงกระบวนการเรียน ข้อดี ข้อด้อยของตนเอง เห็นถึงเนื้อหาและผลลัพธ์ทางการเรียนที่ตนจะต้องไปถึง อันเป็นผลดีต่อการจัดการทางด้านการเรียน และลดเวลาในการประเมินของครูผู้สอนอีกด้วย วิธีการนี้คือ การวัดและประเมินผลแบบ รูบริค (Rubrics)
รูบริคจะประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ ช่วงชั้นความสามารถหรือเกณฑ์ที่ใช้ประเมินการปฏิบัติ ทักษะต่างๆของผู้เรียน และระดับคุณภาพหรือระดับคะแนน เกณฑ์จะบอกผู้สอนหรือผู้ประเมินว่าการปฏิบัติงานหรือผลงานนั้น ๆ จะต้องครอบคลุมพิจารณาถึงสิ่งใดบ้าง ระดับคุณภาพหรือระดับคะแนนจะบอกว่า การปฏิบัติทักษะนั้นๆสมควรจะได้ระดับคุณภาพหรือระดับคะแนนใดของเกณฑ์แต่ละตัว (ฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธิ์, 2544) รูบริคจึงเป็นเหมือนการกำหนดลักษณะเฉพาะ ที่ผู้เรียนและผู้สอนได้ตั้งข้อตกลงร่วมกันก่อนการเรียนและระหว่างการเรียน
สิ่งสำคัญที่การวัดแบบรูบริค ทำได้อย่างดีเยี่ยมคือ การช่วยให้ผู้เรียนตัดสินคุณภาพทักษะทางดนตรีของตนเองและของคนอื่น ๆ อย่างมีเหตุผล เมื่อใช้รูบริคเป็นแนวทางในการประเมิน ผู้เรียนจะสามารถชี้แนะและ แก้ปัญหาเกี่ยวกับผลงานของตนและผู้อื่นได้อย่างตรงจุด การฝึกฝนซ้ำ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินทักษะของตนเองจะทำให้ผู้เรียนเพิ่มความรับผิดชอบ เกี่ยวกับการฝึกฝนของตนมากขึ้น และทำให้ผู้สอนนั้นสามารถประเมินความก้าวหน้าผู้เรียนได้อย่างชัดเจน
การวัดและประเมินผลเป็นสิ่งสำคัญที่ครูผู้สอนทักษะทางดนตรีควรเรียนรู้อย่างยิ่ง ผู้สอนทักษะที่เก่งควรเป็นผู้ประเมินผลที่เก่งด้วย เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทั้ง2ฝ่ายกล่าวคือ ผู้เรียนทักษะจะได้รับการพัฒนาอย่างตรงจุดมุ่งหมาย รัดกุม และครูผู้สอนก็ได้มีการพัฒนาในด้านการจัดการเรียนการสอนของตนต่อไป
เกณฑ์ในการประเมินผลงานดนตรี หมายถึง หลักที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินผลงานการแสดงทางดนตรีว่ามีคุณภาพ หรือคุณค่าอย่างไร
การประเมินผลงานดนตรีมีเกณฑ์ ดังนี้
1. คุณภาพของผลงานทางดนตรี พิจารณาจากองค์ประกอบของดนตรีและบทเพลง ดังนี้
1.พิจารณาทางด้านเสียง เครื่องดนตรีที่ใช้ต้องเหมาะสมกับเสียงขับร้อง คุณภาพเสียงของเครื่องดนตรีหรือเสียงเป็นไปตามอารมณ์เพลง
2.พิจารณาทางด้านจังหวะ จังหวะเพลงแบบใดมีความสอดคล้องกับทำนองเพลงหรือไม่ เครื่องดนตรีเล่นได้ตามจังหวะหรือไม่
3.พิจารณาทางด้านทำนองเพลง เพลงที่ฟังมีเครื่องดนตรีดำเนินทำนองอะไรบ้าง สามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจจังหวะของทำนองเพลงหรือไม่
4.พิจารณาทางด้านการประสานเสียง เสียงประสานเสียงมีความสอดคล้องกันหรือไม่ ทั้งการประสานเสียงของเครื่องดนตรีกับการประสานเสียง
5.พิจารณาทางด้านรูปแบบ รูปแบบของเพลงมีความต่อเนื่องสัมพันธ์กันหรือไม่
6.พิจารณาลักษณะการนำเสนอ ผู้ขับร้องสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สัมพันธ์กับเสียงดนตรี ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจดนตรีมากขึ้นหรือไม่ ถ้าเป็นการบรรเลงดนตรี พิจารณาเทคนิคการนำเสนอ
7.พิจารณาอารมณ์ในการร้อง การถ่ายทอดเพลงผ่านสีหน้า ท่าทางสัมพันธ์กับความหมายของเพลงหรือไม่
2.คุณค่าของผลงานทางดนตรี ดนตรีมีคุณค่าต่อสังคมและวัฒนธรรม ดังนี้
1.คุณค่าของผลงานดนตรีต่อสังคม
– ดนตรีเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงสภาพของคนในสังคม การดำเนินชีวิตความเป็นอยู่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม
– ดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาจิตใจและอารมณ์ของคนในสังคม
– ดนตรีเป็นสิ่งสำคัญในการประกอบพิธีกรรม และงานประเพณีต่างๆ ให้มีความสนุกสนานรื่นเริง
– ดนตรีทำให้เกิดความสามัคคีในสังคม
2.คุณค่าของผลงานดนตรีต่อวัฒนธรรม
– ดนตรีเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์มีความสำคัญต่อชาติและคนในสังคม
– ดนตรีเป็นสิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นนั้นๆ
– ดนตรีเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของชาติ กล่าวคือ ดนตรีสามารถบ่งบอกถึงพิธีกรรมทางศาสนา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มคนของท้องถิ่นนั้นๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมและเป็นเอกลักษณ์ของชาติได้
Advertisement
Share this:
Like this:
Like Loading...