• การสอบในระยะหลังเป็นส่วนหนึ่งในระบบ TCAS
แต่ก็อย่าประมาทในการสอบเด็ดขาด
• GPAX ทางมหาวิทยาลัยกําหนดเป็นตัวคัดกรองเท่านั้น
• ต้องมาสอบความถนัดทางวิชาชีพ (คณะจัดสอบ) มิเช่นนั้นโอกาส
หลุดรอบ 3 มีแน่นอน และใช้คะแนน GAT ในการพิจารณาด้วย
• การทดสอบมีทั้งการสอบปรนัยและการสอบอัตนัย
• ความรู้เบื้องต้นสังคมสงเคราะห์ และ คําที่เกี่ยวข้องเช่น สิทธิ มนุษยชน สวัสดิกา
ความขัดแย้ง พิมพ์เขียว ความเท่าเทียม
• ปรากฏการณ์ทางสังคมข่าวสารและความรู้รอบตัว
• ความรู้วิชาสังคม (เชิงบูรณาการ)
• ทักษะการตัดสินใจ+ความแม่นยํา+การประยุกต์ความรู้และการบริหารเวลา
3. Admission : รอบ4 (GPAXGATและONET)
รอบนี้เป็นรอบที่คะแนนค่อนข้างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยส่วนมากคะแนนที่ ศูนย์รังสิตจะมากกว่าศูนย์ลําปาง เช่น เดียวกับประชากรที่สามารถรับได้ อย่างไรก็ ตามองค์ประกอบคะแนนที่จะใช้ในรอบนี้คือ GPAX GAT
และ ONET แต่ทว่า มี หลายสื่อได้อธิบายว่า มีการใช้ PAT1 หรือ PAT7 ด้วย
ซึ่งผู้เขียนขออธิบายว่า ในกรณีที่จะใช้คะแนน PAT1 หรือ PAT7 ควรพิจารณาตนเองว่าคะแนนที่ได้นั้น มากกว่า 200 ขึ้นไปหรือไม่ หากไม่ถึง ไม่ควรนํามาใช้โดยเด็ดขาด แต่ในขณะเดียวกัน ก็อย่าประมาทกับคะแนน O-NET และ GAT นะ เพราะกรณีนี้ไม่ได้จํากัดเกณฑ์ขั้นต่ำของเกรด
ดังนั้นถ้าสองตัวหลังถ้าใครคะแนนสูงมากและเกรดพอสมควรย่อมสามารถเข้าถึงโอกาสได้มากกว่า
- การฝึกงานครั้งที่ 2 (Summer ปี 3) : เป็นการฝึกงานในชุมชนโดยจะเป็นการประยุกต์ทักษะ วิถีคิด และ เครื่องมือที่ได้รับจากการศึกษารวมถึงประสบการณ์การฝึกงานในครั้งแรก โดยเป็นการมองโดยรอบด้านภายใต้หลักการ การมีส่วนร่วมและการพัฒนาที่เกิดขึ้น
- การฝึกงานครั้งที่ 3 (ปี 4 เทอม 2) : เป็นการประยุกต์แบบผสมผสานภายใต้การทำโครงการทางสังคม (Project Base) ที่มีการเชื่อมโยงศาสตร์และศิลป์รวมถึงนโยบายและการจัดการอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้เงื่อนไขและความท้าทายทั้งปัจจัยภายในและภายนอก
ประสบการณ์ของพี่จูน (หลักสูตรที่พี่เรียนเป็นหลักสูตรเก่านะครับ : หลักสูตร 2556)
- ปี 1: เป็นการเปิดประตูทางความคิดและมุมมองที่เกี่ยวกับมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของงานสังคมสงเคราะห์ผ่านทฤษฎี นักคิด กระบวนการสังคมสงเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งไม่ยากมาก แต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ การอ่านและทำความเข้าใจ- ปี 2 : เริ่มลงรายละเอียดมากขึ้นทั้งในเชิงทฤษฎี ความรู้ด้านสวัสดิการสังคมและการคุ้มครองทางสังคม ณ จุดนี้จะต้องเริ่มหาความสนใจเฉพาะด้านที่จะนำไปสู่การต่อยอดในรายละเอียดที่สนใจในปี 3 ซึ่งจะเห็นได้ชัดขึ้นผ่านการศึกษาดูงาน ตามหน่วยงานต่างๆและการฝึกงานครั้งแรก (ตามหลักสูตรปัจจุบัน : แต่สมัยที่พี่จูนเรียนนั้นฝึกงานครั้งแรกตอนปี 3) ซึ่งในการฝึกงานนั้นจะได้ประยุกต์ความรู้ทั้งเชิงทฤษฎี ระบบการจัดการองค์กร และ รูปแบบการทำงานต่างๆผ่านการปฏิบัติงานจริงกับกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง
- ปี 3 : เป็นช่วงที่จะเห็นถึงความหลากหลายและความสัมพันธ์ตามบริบทของรูปแบบงานที่มีความหลากหลายมากขึ้นจากประสบการณ์ในองค์กรต่างๆไปสู่การเรียนรู้การดำเนินกระบวนการกับชุมชนและศึกษาในสาขาวิชาโทตามความสนใจที่เน้นไปสู่กลุ่มเป้าหมาย ลักษณะของงานที่มีความชำนาญมากขึ้น ซึ่งเลือกได้ว่าเรียนวิชาโทในคณะหรือนอกคณะก็ได้ (ส่วนตัวพี่จูนเรียนวิชาโทสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา)
- ปี 4 : เป็นการประยุกต์ศาสตร์และศิลป์ทั้งความรู้ ทักษะ กระบวนการ และ ประสบการณ์ไปสู่ความสร้างสรรค์ที่หลากหลายในการมองบริบทของรูปแบบงานสังคมสงเคราะห์ที่หลากหลายและมีความสร้างสรรค์มากขึ้นภายใต้การจัดโครงการ
"พี่มองว่าการเรียนสังคมสงเคราะห์ศาสตร์เป็นการเรียนแบบผสมผสานทั้งการเรียนทฤษฎีทางวิชาการ การเรียนวิจัยและพัฒนาร่วมกันตามกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาในด้านต่างๆที่มีสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้อง รวมทั้งการประยุกต์ทักษะต่างๆไม่ว่าจะเป็น การถาม การวิเคราะห์ การฟัง การประเมินความเสี่ยง รวมถึง การประสานงาน ฯลฯ ซึ่งในฐานะที่เป็นผู้สนใจอาจจะมองได้ว่าการทำงานนั้นเราไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่ต้องประสานและร่วมมือกับวิชาชีพอื่นเช่น นักทัณฑวิทยา แพทย์ พยาบาล ครู นักจิตวิทยา ตำรวจ นักจัดการทรัพยากรมนุษย์ ฯลฯ เพื่อให้การทำงานสามารถเกิดความสำเร็จและเป็นประโยชน์สูงสุดทั้งตัวเราเอง องค์กร และ ผู้รับบริการ ดังนั้นความยากอาจจะมีบ้าง แต่สิ่งที่ยากและท้าทายที่สุดคือ เราจะทำอย่างไรในฐานะผู้สนใจที่จะค่อยเรียนรู้ ฝึกฝน และ พัฒนาตนเองไปสู่การฝึกทักษะในสนามจริงที่ทุกอย่างไม่มีรีรันและผิดพลาดไม่ได้ แม้ว่าความผิดพลาดจะเป็นบทเรียนที่ดีในการปรับปรุงตัวแต่บางครั้งความผิดพลาดคือ ความเสียหายที่มีความซับซ้อนทั้งตัวผู้รับบริการ องค์กร และ ภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นที่เราบอกว่าเราช่วยเขาแต่กลับทำให้เป็นปัญหามากกว่าเดิม และอีกอย่างคือ การจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกที่บางครั้งต้องเจอกับความท้าทายบนบรรทัดฐานทางวิชาชีพที่จะต้องแยกแยะความสัมพันธ์และการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดและเหมาะสมกับกาลเทศะ"
ข้อแนะนำ (สำหรับน้อง ม.6 และ เด็กซิ่ว)
- ลองเปิดใจกับคำว่า “จิตอาสา” “จิตสาธารณะ” และ “การช่วยเหลือสังคม” ว่ามีความสัมพันธ์และมีความเข้าใจอย่างไรในภาพจำของเรา- ลองนึกภาพคำว่า "สังคมสงเคราะห์” โดยแนะนำให้แยกคำแล้วลองคิดว่า สิ่งที่เข้าใจนั้นคือภาพจำเดิมที่เป็นเพียงแค่การแจกของหรือไม่ ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่นั้น
- เราพร้อมที่จะเข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่น และ มีเหตุผลกับสิ่งที่เรียกว่า “ความถูกใจ” “ความถูกต้อง” และ “ประโยชน์ต่อส่วนรวม” ได้อย่างไรภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในเรื่องนวัตกรรม วิถีคิด และ ความต้องการที่ไม่สิ้นสุด
- มองสิ่งรอบด้านไม่ว่าจะเป็น สิทธิพื้นฐาน สิ่งที่ใช้บริการในทุกๆวัน ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และเรามีความคิดอย่างไรที่อย่างน้อยเราจะมาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมในอนาคตรวมทั้งติดตามประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆด้วย
REFERENCE : สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ (ตัวอย่างมหาวิทยาลัยที่เปิดสอน)
- //socadmin.tu.ac.th/uploads/socadmin/pdf/courseBachelor2563.pdf (หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2563)- //www.swpc.or.th (สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ : ผู้ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ.2556)
- //www.swhcu.net (คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ)
- //huso.pn.psu.ac.th/th/Data/Cirriculum/BA/Brochure/human_BSW.pdf (สาขาสังคมสงเคราะห์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี)
จริงๆแล้วปัจจุบันมีเปิดสอนในหลายๆที่ สามารถศึกษารายละเอียดและเทียบข้อมูลได้หากใครที่ต้องการจะประกอบอาชีพนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพ (เพราะตามกฎหมายจะมีเงื่อนไขบางอย่างอยู่)