ความขัดแย้งในครอบครัวมี กี่ ประเภท อะไร บ้าง

ปัญหาครอบครัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป เพราะทุกครอบครัวล้วนมีเหตุที่อาจก่อความขัดแย้งระหว่างสมาชิกภายในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นที่แตกต่าง การเลี้ยงลูก ปัญหาสุขภาพ หรือสถานภาพทางการเงิน ซึ่งความขัดแย้งเหล่านี้อาจบานปลายจนกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว อาจทำให้ชีวิตคู่จบลงและส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กได้ด้วย ดังนั้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นภายในครอบครัว คนในบ้านควรร่วมมือกันจัดการปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้ชีวิตคู่ราบรื่น และสมาชิกคนอื่น ๆ ก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้

การมีชีวิตครอบครัวก็ไม่ใช่ของง่ายนะคะ มันก็มีเรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดใจ เสียใจ ผิดหวัง แล้วจะทำอย่างไร?

วิธีจัดการกับความขัดแย้งในครอบครัว

ต้องเข้าใจว่าครอบครัวเป็นการมาอยู่ร่วมกันของหลายๆ คน แต่ละคนมีความต้องการแตกต่างกัน มีความคาดหวังแตกต่างกัน เมื่อความคาดหวัง ความต้องการไม่เหมาะเจาะกัน ก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งได้ ครอบครัวที่จะผ่านปัญหาต่างๆ ไปได้ดีจะต้องมีทักษะอันหนึ่ง คือทักษะจัดการกับความขัดแย้ง

ความขัดแย้งคืออะไร?

ความขัดแย้งคือการที่แต่ละคนมีความต้องการหรือมีมุมมองหรือ มีความคาดหวังไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกันพอจัดการไม่ได้ก็เกิดความแตกต่างมากขึ้นบวกกับอารมณ์ อารมณ์โกรธ อารมณ์เสียใจผิดหวังขมขื่น ความแตกต่างบวกกับอารมณ์ก็นำไปสู่การที่มีความขัดแย้งกัน ปัญหาก็คือว่าถ้าความแตกต่างนี้มากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความขัดแย้งก็จะรุนแรงขึ้น เพราะฉะนั้นคุณจะต้องแก้ตรงนี้ ความแตกต่างแล้วก็อารมณ์นำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ความขัดแย้งก็ต้องลดความแตกต่างแล้วก็ลดอารมณ์ลง

วิธีจัดการ

การพูดคุยกัน แล้วก็หา solution หรือหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมสำหรับเรื่องที่เป้นความแตกต่างนี้
มีเคสหนึ่งที่คู่สมรสมาปรึกษา เป็นเคสที่ว่าสามีทำงานทุกวันแล้วก็เหนื่อย พอมีวันหยุดก็อยากพักผ่อนที่บ้าน ส่วนภรรยาเป็นแม่บ้านพอถึงวันหยุดก็อยากจะไปเที่ยวนอกบ้านกัน อยากให้สามีพาเธอแล้วก็ลูกไปข้างนอกบ้าง

ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นความขัดแย้งเกี่ยวกับวันหยุดว่า คนหนึ่งอยากอยู่บ้านอีกคนหนึ่งอยากออกไปข้างนอก
เห็นไหมคะว่าความต้องการที่แตกต่างกัน ประเด็นที่เป็นปัญหาของคู่นี้คือเขาไม่ได้พูดกัน มีความแตกต่าง แต่สิ่งที่ทำให้มีปัญหาก็คืออารมณ์

สิ่งที่ทำให้มีปัญหาคือ อารมณ์ของผู้หญิงที่หงุดหงิด โมโห เสียใจ น้อยใจ ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้ค่ะ แล้วพอผู้หญิงมีอารมณ์แบบนี้ผู้ชายก็รับมือลำบาก เพราะธรรมชาติของผู้ชายจะเป็นเพศที่จัดการอารมณ์ของผู้หญิงไม่ค่อยเก่ง
ก็เลยทำให้เกิดการที่ผู้ชายก็หงุดหงิดใจ อึดอัด แล้วก็เผอิญในคู่นี้สามีก็ใช้วิธีเงียบ ไม่พูด

การที่สามีใช้วิธีเงียบ ไม่พูด ยิ่งทำให้ภรรยารู้สึกว่าเขาไม่แคร์เธอ ภรรยาก็ยิ่งน้อยใจ เสียใจ โกรธ อย่าลืมว่าพอคนนึงมีอารมณ์แล้วมีปฏิกิริยามาก็กระทบอีกคนนึงแล้วอีกคนก็มีอารมณ์ปฏิกิริยาตอบก็กระทบคนแรก ความสัมพันธ์ของคู่สมรสก็เลยเป็นวงกลม เป็นอารมณ์ที่กระทบต่อกัน เหมือนกับเรากดปุ่มกันทั้งคู่

เพราะฉะนั้นพอสามีเงียบทำให้ภรรยารู้สึกยิ่งน้อยใจ ภรรยายิ่งน้อยใจก็ยิ่งโมโห พูดเยอะ ก็ยิ่งทำให้สามีถอยหนียิ่งเงียบใหญ่เลย คู่นี้ก็เลยกลายเป็นพื้นฐานกันไปเรื่อยๆ ทำแบบนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาระยะยาว

ความรักใคร่ผูกพันธ์ก็จะลดน้อยลง แต่ที่จะเกิดปัญหาเพิ่มขึ้นอีกก็คือ เขามีลูก แล้วเด็กๆ จะรับรู้อารมณ์ของพ่อแม่ได้มาก
ลูกจะรับรู้อารมณ์ความตึงเครียด ความเศร้า ความกังวลใจของพ่อแม่ เด็กๆ สามารถรับรับอารมณ์พวกนี้ได้โดยที่คุณไม่ต้องพูดเลย เขาแค่มองตาคุณ มองภาษากายของคุณเขาก็รู้ค่ะ แล้วเด็กๆ เองก็พูดไม่ค่อยเป็นว่าเขารู้สึก ไม่มีความสุขอย่างไร แต่เขาแสดงออกมาเป็นความอึดอัดของกายภาพ เช่น เขาอาจจะร้องง่ายขึ้น ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจจะมีร้องสามเดือนแบบนานขึ้นก็ได้

เพราะว่าเวลาแม่เครียดแม่อาจจะอุ้มด้วยกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด อ้อมกอดของแม่ก็ตึงเครียดก็ทำให้เด็กๆ เซ้นส์ความรู้สึกเครียดได้ ถ้าเป็นเด็กเล็กทางกายภาพของเด็กก็อาจจะรวน กิน นอน ไม่ค่อยดี อาจจะนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นมาร้องบ่อยๆ ถ้าเป็นเด็กโตก็ความตึงเครียดของเด็กก็จะทำให้เขาหงุดหงิด พุ่งพล่านข้างในก็ออกมาเป็นขี้โมโห อารมณ์เสียง่าย โดยที่บางทีพ่อแม่บอกว่าไม่เข้าใจเลย ไม่เห็นมีอะไรทำไมลูกโมโหง่ายจัง หรือบางทีก็ก้าวร้าว

ปัญหาของพ่อแม่ก็ส่งผลถึงลูก เพราะฉะนั้นอย่างที่บอก ว่าการแก้ไขความขัดแย้งนี้ต้องอาศัยแก้โดยการพูดคุยกันนะคะ แล้วก็ลดอารมณ์ลงนิดนึง

เรื่องที่เล่ามาที่เป็นปัญหาของคู่นี้ไม่ได้เป็นปัญหารุนแรง เป็นเพียงปัญหาของการจัดการว่าเราจะจัดการอย่างไรให้ความต้องการของทั้งสองคนได้รับการตอบสนอง เช่น ความต้องการของสามีที่อยากจะพักผ่อนแล้วความต้องการของภรรยาที่อยากจะออกข้างนอกบ้าน เพราะฉะนั้นทั้งคู่ต้องมาคุยกัน เพราะเรามาคุยกันและเราก็บอกความต้องการกันและกัน ก็มาหา solution หรือทางออกว่าจะพบกัน 50/50 ได้อย่างไร เช่น วันไหนที่สามีจะพักอาจจะเป้นเขาพักวันเสาร์ วันอาทิตย์อาจไปเที่ยวหรือบางทีเราอาจจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ที่เราจะไปเที่ยวกัน

ในที่นี้จะแก้ปัญหาได้เมื่อพูดคุยกันแล้วก็ต้องมีความเมตตาต่อกัน เห็นใจซึ่งกันและกัน เช่น สามีก็ต้องเข้าใจความรู้สึกของภรรยาที่เธออยู่บ้านตลอด ไม่ได้มีโอกาสไปข้างนอกแล้วอยากให้มี family time เป็นเวลาที่ของครอบครัวผู้หญิงก็รู้สึกว่าผู้ชายแสดงความรักโดยการให้เวลาถ้าสามีไม่ไปด้วยก็เหมือนกับไม่ได้ให้เวลากับครอบครัวก้คือไม่ค่อยได้รักครอบครัว สามีต้องเข้าใจมุมมองผู้หญิงเรื่องนี้

ในขณะเดียวกันภรรยาก็ต้องเข้าใจมุมมองของสามีความต้องการของสามีว่า เขาทำงานทุกวัน เขาเหนื่อย การที่คนเราได้พักหยุดอยู่กับบ้านมันก็คือการได้สงบความคิด สงบจิตใจ ฟื้นฟูพลังของตัวเองที่จะต้อนรับอีกอาทิตย์ใหม่ ที่จะต้องไปทำงาน มีพลังให้เพียงพอที่จะทำงานได้ดี อย่าลืมว่าถ้าเขาไปทำงานคนเดียว เขาหาเลี้ยงครอบครัวก็ต้องให้กำลังใจเขา

เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้ามาแก้ปัญหาด้วยกันแบบพูดคุยกัน รับฟังกัน มีความเมตตาต่อกัน เอาใจเขามาใส่ใจเราการแก้ปัญหาความขัดแย้งย่อมจะทำได้ไม่ยากเลย
อยากจะให้เราลองเข้ามาหากันและกันด้วยความเข้าใจในความรู้สึก มุมมอง โลกของอีกคนหนึ่ง อย่ายึดถือการมองด้วยมุมมองของเรา ด้วยความคิดของเรา มองในแบบของเราตลอดเวลา หัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา
คุณมาอยู่เป็นครอบครัว คุณจะต้องรู้บ้าง มันไม่ใช่ตัวคุณคนเดียวแล้ว มันเป็นอีกคนหนึ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อเขาด้วย

อาจารย์จะบอกคู่สมรสเสมอก็คือ มีความรักให้มากขึ้น ความรักนั้นอดทนนาน ความรักนึกถึงอีกคนหนึ่ง เป็นความรักในข้อพระคัมภีร์ที่อาจารย์ขอบมาก ความรักนั้นอดทนนานและกระทำคุณให้ความรักไม่อิจฉา ไม่หยิ่งผยอง ไม่ทำสิ่งอันเป็นที่น่าอาย ไม่คิดเห็นแก่ตัวเองฝ่ายเดียว ไม่จดจำความผิด ไม่ยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ยินดีเมื่อมีการประพฤติชอบ ไม่คุ้ยเขี่ยความผิดของเขาและเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ มีความหวังอยู่เสมอและอดทนต่อทุกอย่าง อยากให้เรามีความรักที่อดทนต่อคู่ของเรามากกว่านี้นะคะ ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านค่ะ

อยากทำชีวิตคู่ให้ดีแนะนำหลักสูตรออนไลน์ “ติวเข้มชีวิตคู่” และอ่านหนังสือ “สร้าง EQ ให้ชีวิตคู่”