กรุงสุโขทัยได้รับการสถาปนาเมื่อประมาณ พ.ศ.1800 หรืออาจก่อนหน้านั้น จากนั้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็ได้ขยายอำนาจลงไปตลอดแหลมทอง โดยได้ครอบครองอาณาจักรฟูนัน อาณาจักรทวาราวดี และอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีการค้าขายมาก่อน กรุงสุโขทัยมีตลาดใหญ่ มีการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ อาทิ การค้าขายกับจีน การค้าขายกับมอญ พ่อขุนรามคำแหง ได้ทรงมองเห็นช่องทางที่จะทำให้ประเทศมั่งคั่งสมบูรณ์ จากการค้าขายระหว่างเมืองและระหว่างประเทศ ตามที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในหนังสือพงศาวดารสยาม ว่า อุดหนุนให้มหาชนไปมาค้าขายถึงกันในระหว่างเมืองต่อเมืองและประเทศต่อประเทศ ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงตอนหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหงเมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลาในนามีข้าวเจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงงัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส” คำว่าจกอบหรือจำกอบ หรือจังกอบ เป็นภาษาเขมร แปลว่าภาษีชนิดหนึ่งที่เก็บจากผู้นำสัตว์และสิ่งของที่มาจำหน่าย จกอบคงจะเรียกเก็บจากสินค้าเข้าออกของพ่อค้าที่ค้าขายกันในแหลมทองมาตั้งแต่โบราณ ดังเช่น ประเทศฟูนันและศรีวิชัย ทุกเมืองในชั้นหลัง ๆ ก็คงจะดำเนินการมาแบบเดียวกัน การที่พ่อขุนรามคำแหงได้เลิกเก็บจกอบนี้เสีย แสดงว่าพระองค์มุ่งส่งเสริมการค้าขายระหว่างประเทศเป็นการใหญ่ เปิดโอกาสให้พ่อค้าไทยกับต่างประเทศได้นำสินค้าเข้ามาและออกจากอาณาจักรสุโขทัยได้โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรใด ๆ ทั้งสิ้น (Free Trade)
การปรับปรุงแก้ไขการเขียนอักษรไทยขึ้นใหม่ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ได้ช่วยให้การติดต่อค้าขายสะดวกมากขึ้นแก่ภายในและภายนอกประเทศ การยกเลิกจกอบเป็นการเปิดทางให้มีการค้าขายอย่างเสรีแบบที่เรียกว่า Free Trade พร้อมทั้งได้ขยายการค้าควบคู่ไปกับการขยายอาณาเขต
สำหรับเส้นทางการค้าสมัยกรุงสุโขทัย ที่สำคัญและใช้ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานได้แก่
1.)เส้นทางระหว่างกรุงสุโขทัยกับเมืองเมาตะมะ มะริดและตะนาวศรี เป็นเส้นทางเชื่อมกรุงสุโขทัยกับมอญ พม่า อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ และ แอฟริกา พ่อค้าไทยนำสินค้า อาทิ เครื่องสังคโลกจากสุโขทัยผ่านแม่สอดไปเมืองเมาะตะมะ อันเป็นปลายทางและเป็นเมืองท่าสำหรับขนส่งสินค้าต่อไปยังประเทศดังกล่าวอีกทอดหนึ่ง
2.)เส้นทางสุโขทัยกับหัวเมืองฝ่ายใต้ ตั้งแต่เพชรบุรี ลงไป นครศรีธรรมราช ปัตตานี ตลอดแหลมมลายู
3.)เส้นทางสุโขทัย กับ จีน เขมร สุมาตรา ชวา ฟิลิปปินส์ เกาหลี ลังกา (ศรีลังกา) และอินเดีย
การค้าขายกับต่างประเทศ
สมัยสุโขทัยมีการค้าขายกับต่างประแทศหลายประเทศด้วยกันเช่น จีน ญี่ปุ่น มลายู ชวา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ อินเดีย ลังกา อิหร่าน และอาหรับชาติอื่นๆ โดยใช้เส้นทางในการติดต่อค้าขาย ดังนี้
ทางบก มีเส้นทางที่สำคัญ 3 เส้นทาง ได้แก่
1. เส้นทางสุโขทัย – เมาะตะมะ จากสุโขทัยไปตามถนนพระร่วงถึงเมืองกำแพงเพชร จากนั้นมีเส้นทางผ่านเมืองตาก ตัดออกช่องเขาที่แม่สอด ผ่านเมืองเมียวดีไปยังเมืองเมาะตะมะ
2. เส้นทางสุโขทัย – ตะนาวศรี จากสุโขทัยผ่านเองเพชรบุรี เมืองกุยบุรี เมืองมะริด จนถึงเมืองตะนาวศรี
3. เส้นทางสุโขทัย – เชียงใหม่ จากสุโขทัยผ่นเมืองตาก เมืองลำพูน จนถึงเมืองเชียงใหม่
ทางน้ำ มีเส้นทางน้ำ คือ แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งไหลลงสู่อ่าวไทยสามแห่ง ทำให้การลำเลียงสินค้าไป
ต่างประเทศมีหลายทาง การคมนาคมทางน้ำใต้ประจวบคีรีขันธ์ลงไป เป็นการคมนาคมริมฝั่งทะเลและแม่น้ำลำคลอง ทั้งสายสั้นสายยาวที่ขนานกับฝั่งไปถึงสงขลา ปัตตานี
อาณาจักรสุโขทัยทำหน้าทีเป็นตลอดกลางขนถ่ายสินค้าจากดินแดนของเมืองที่ตั้งอยู่นอกเส้นทาง โดยรับและส่งต่อไปยังเมืองชายทะเลที่ต้องการสินค้า สินค้าที่มีการแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าออก ได้แก่ เครื่องสังคโลก ผลิตผลจากการเกษตร และของป่า หนังสัตว์ ไม้ฝาง ไม้กฤษณา งาช้าง นอแรด และของป่าอื่นๆ ส่วนสินค้าเข้า ได้แก่ ผ้าแพร ผ้าไหม ผ้าต่วน เครื่องเหล็ก และอาวุธต่างๆ
เครื่องสังคโลก
ระบบเงินตราสมัยสุโขทัย
การนำระบบเงินตรามาใช้มีส่วนช่วยระบบเสรษฐกิจให้ดีขึ้น เป็นการจูงใจให้ประชาชนประกอบอาชีพเพื่อจะได้มีทรัพย์สินเป็นของตนเอง ด้วยเหตุที่สุโขทัยมีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น เงิน ทอง ดีบุก เหล็ก จึงมีการนำแร่เงินมาใช้ในการทำเงินตราที่เรียกว่า เงิพดด้วง เป็นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจเพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนให้คล่องขึ้น เงินพดด้วง แบ่งออกเป็น สลึง บาท และตำลึง (เงินตราที่มีค่าน้อยที่สุด คือ เบี้ย ทำจากหอยเรียกว่า เบี้ยหอย)
การมีเงินตราใช้เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนทำให้สะดวกต่อการชำระหนี้ในการซื้อขาย และการชำระหนี้จึงมีการกระจายสินค้าอย่างกว้างขวาง ตลาดการค้าขยายตัว พ่อค้าได้รับความสะดวก สามารถใช้เงินพดด้วงซื้อสินค้าราคาแพงได้สะดวกขึ้น
ข้อมูลจาก :: //sites.google.com/site/social00083/home