สหราชอาณาจักร
- เพิ่มจำนวนประชากรและชดเชย อัตราเจริญพันธุ์ ที่ต่ำด้วยการเปิดรับคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศ
ส่วนในไทย นโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ (พ.ศ. 2560-2569) อัตราการเจริญพันธุ์ของไทยลดลงเหลือต่ำกว่า 1.5/1,000 ประชากร ในปัจจุบันแม้ว่าอัตราการเกิดจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับพบว่าในการเกิดดังกล่าวถึงกว่าร้อยละ 25 เป็นการเกิดที่ไม่ได้ตั้งใจหรือไม่มีความพร้อมเกิดภาวะ “เด็กเกิดน้อย ด้อยคุณภาพ”
โครงการที่เกี่ยวข้องกับการเกิดและการเจริญเติบโตซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินงานโดยกระทรวงสาธารณสุข รวมแล้วมีจำนวน 144 โครงการ แต่ผลการดำเนินงานสำเร็จเพียงร้อยละ 21.2 เพราะหน่วยงานยังพึ่งพาการจัดสรรงบประมาณจากส่วนกลางเพื่อจัดกิจกรรม ทำให้ขาดความต่อเนื่องเมื่อไม่ได้รับการจัดสรร และอัตรากำลังบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข ไม่เพียงพอและขาดความต่อเนื่อง ทั้งบุคลากรขาดความรู้และประสบการณ์การทำงาน ซึ่งโครงการบางส่วนที่ไทยพยายามผลักดันส่งเสริมการเจริญพันธุ์มีดังนี้
ไทย
- โครงการวิวาห์สร้างชาติและโครงการสาวไทยแก้มแดง
- ครงการมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต
- โครงการเฝ้าระวังมารดาตายและห้องคลอดคุณภาพ
- โครงการดูแลหลังคลอดและการวางแผนครอบครัว
- โครงการส่งเสริมการเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่
- คลินิกสุขภาพเด็กดีและส่งเสริมพัฒนาการ
- คลินิกให้คำปรึกษาคู่สมรสและรักษาผู้มีบุตรยาก
โดยการมีบุตรนั้นจะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ มีการวางแผน และมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ รวมถึงมีการช่วยเหลือคู่ที่ประสบภาวะมีบุตรยากให้เข้าถึงบริการได้เร็วขึ้น
ผลกระทบในระยะยาว คือ
- จากปี 2020 ถึง ปี 2100 คนอายุ 80 ปี จะเพิ่มขึ้นจาก 146 ล้านคน เป็น 881 ล้านคน โดยอายุเฉลี่ยเพิ่มจาก 31 ปีเป็น 42 ปี
- ปัญหาการเมืองและโครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนไป ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เป็นคนส่งเงินเข้ากองทุนเกษียณมีจำนวนน้อยลง
- มิติครอบครัวเปลี่ยนแปลง เพราะในเจเนอเรชั่นต่อไปจำนวนญาติพี่น้องจะลดลง เกิดเป็นครอบครัวแบบเพื่อนที่มาอยู่เป็นครอบครัวแทน
คาดการณ์จากวอชิงตันโพสต์ที่น่าสนใจระบุว่า
- ทวีปแอฟริกา จะเป็นทวีปเดียวที่จำนวนประชากรหนุ่มสาวในปี 2100 จะเพิ่มสูงขึ้นและกระจุกตัวอยู่กันในทวีปนี้ ในปี 2100 แอฟริกาจะมีประชากรเพิ่มเป็น 2 เท่าของปัจจุบันมีสัดส่วน 49% หรือเกือบครึ่งนึงของประชากรโลกทั้งหมด
- อินเดียจะครองแชมป์จำนวนประชาการสูงสุดของโลกในปี 2050 จะมีจำนวนถึง 1.7 พันล้านคนขึ้นแซงหน้าจีนในช่วงปี 2030
ทรัพยากรมนุษย์ จะเป็นกำลังสำคัญสำหรับการแข่งขันกันทางเศรษฐกิจในอนาคต หลายประเทศจึงรณรงค์และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับความต้องการ กระตุ้นให้คนต้องการสร้างครอบครัวและให้กำเนิดเด็กขึ้นมา ซึ่งปัจจัยที่จะดึงดูดให้คนเพิ่มจำนวนประชากร นอกจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก เช่น คุณภาพชีวิต ความปลอดภัย ยังรวมถึงปัจจัยภายในเชิงนามธรรมที่ภาวะการเป็นผู้ปกครองในสังคมปัจจุบันนั้นไม่ง่ายเลย การจะเลี้ยงดูเด็กหนึ่งคนในเติบโตขึ้นมา แม้ว่าจะอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม ต้องเผชิญภาวะความเครียดจากโรคระบาดและเศรษฐกิจตกต่ำ ส่งผลต่อสำนึกทำให้หลายคู่รักเลือกที่จะครองคู่กันโดยไม่มีบุตร โดยเฉพาะผู้หญิงมีค่าเสียโอกาสมากมายที่ต้องหลุดลอยไปเมื่อตั้งครรภ์ สูญเสียการเติบโตในหน้าที่การงาน ความวิตกกังวลก่อนและหลังคลอด เงินและเวลามหาศาลที่ลงทุนไปกับเด็กคนนึงให้มีคุณภาพ ก็มีส่วนในการตัดสินท้องไม่ท้องของพวกเธอเช่นกัน การเตรียมความพร้อมองค์รวมเพื่อรองรับ สังคมผู้สูงอายุ ของไทยเอง ก็ยังช้ากว่าอัตราเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัยที่มีอยู่ อาชีพ สวัสดิการ การออกแบบเมือง เพื่อช่วยให้มีคุณภาพชีวิตเหมาะสมก็ยังต้องถกถามกันอีกต่อไป
ที่มา
Washingtonpost กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข