กระดูกสันหลังคดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยพบได้ในทุกเพศทุกวัยและมีสาเหตุที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ทำอาชีพแอร์โฮสเตสมักต้องเผชิญกับปัญหากระดูกสันหลังคด ตั้งแต่คดมากจนมองเห็นจากภายนอกหรือคดเล็กน้อยและไม่มีอาการใด ๆ การรู้เท่าทันปัญหากระดูกสันหลังคดที่พบในแอร์โฮสเตสจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย
รู้จักกระดูกสันหลังคด
กระดูกสันหลังคดเป็นภาวะที่กระดูกสันหลังมีความคดตัวในแนวซ้าย – ขวาที่มากผิดปกติ ส่งผลให้กระดูกสันหลังเกิดเป็นรูปร่างคล้ายตัว S สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภทตามช่วงอายุและสาเหตุ
แต่ภาวะกระดูกสันหลังคดที่พบได้บ่อยที่สุดคือชนิด “ไม่ทราบสาเหตุ” (Idiopathic Scoliosis) ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาการหลังคดมักเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก (อายุ 10 ปีขึ้นไป) ถ้ากระดูกสันหลังคดเยอะผู้ปกครองมักสังเกตเห็นได้ง่ายและมักมาพบแพทย์ตั้งแต่ในเด็ก แต่ส่วนใหญ่อาการคดมักไม่มากผู้ปกครองจึงสังเกตไม่เห็น จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่จึงมักจะเริ่มสังเกตเห็นเพราะมีการคดมากขึ้น หรือตรวจพบโดยบังเอิญ (กรณีแอร์โฮสเตสมักเป็นในกรณีนี้ โดยมักจะตรวจพบกระดูกสันหลังคดโดยบังเอิญจากการตรวจร่างกายโดยการเอกซเรย์ปอด)
อาการกระดูกสันหลังคด
- กรณีกระดูกสันหลังคดไม่มากมักไม่มีอาการใด ๆ
- ถ้ามีกระดูกสันหลังคดมากกว่า 30 – 40 องศาขึ้นไปอาจมีอาการปวดหลังจากกล้ามเนื้อหลังที่ทำงานไม่สมดุลเพราะกระดูกคด และอาจมีปัญหาด้านความสวยงาม เพราะกระดูกหลังมักจะคดชัดเจนจนสังเกตเห็นได้ง่าย หรือในรายที่มีการคดรุนแรงอาจส่งผลต่อการทำงานของปอดและหัวใจได้
วิธีสังเกตกระดูกสันหลังคด
- ถ้าผู้ปกครองสงสัยว่าบุตรหลานมีภาวะกระดูกสันหลังคด อาจสังเกตง่าย ๆ ด้วยการให้เด็กยืนหน้ากระจกแล้วสังเกตว่าไหล่ทั้งสองข้างสูงต่ำเท่ากันหรือไม่
- ตรวจดูกระดูกสันหลังคดที่บ้านแบบง่าย ๆ โดยตรวจ “Adam Forward Bending Test” เริ่มจากท่ายืนตัวตรง เท้าทั้งสองข้างชิดกัน หลังจากนั้นค่อย ๆ ก้มยืดมือไปแตะปลายเท้า โดยที่หัวเข่าเหยียดตรง ถ้าผู้ปกครองสังเกตเห็นว่าหลังทั้งสองข้างมีความนูนไม่เท่ากัน อาจหมายถึงว่าเด็กมีกระดูกสันหลังคด
ตรวจวินิจฉัยกระดูกสันหลังคด
ในกรณีที่สงสัยว่าบุตรหลานหรือตัวเองอาจมีภาวะกระดูกสันหลังคดแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยด้วยการทำเอกซเรย์ซึ่งเป็นวิธีการตรวจตามมาตรฐานเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังคด
รักษากระดูกสันหลังคด
การป้องกันรักษาโรคกระดูกสันหลังคดควรเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้
- ถ้าผู้ปกครองสังเกตเห็นว่าบุตรหลานอาจมีภาวะกระดูกสันหลังคด แนะนำให้เข้ารับการปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยการทำเอกซเรย์
- หากกระดูกสันหลังคดไม่มาก แพทย์อาจใช้การสังเกตอาการเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเข้าวัยผู้ใหญ่ (กรณีกระดูกสันหลังคดไม่มาก มักจะหยุดคดได้เองโดยธรรมชาติเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่หรือเมื่อส่วนสูงไม่เพิ่มขึ้นแล้ว)
- ในกรณีที่กระดูกสันหลังคดมากกว่า 30 องศา อาจต้องมีการใส่เสื้อเกราะพยุงลำตัว (Brace) เพื่อดัดลำตัวไว้ตลอดในช่วงวัยรุ่นและถอดเมื่อกระดูกโตเต็มที่ เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกคดมากเกินไปจนต้องผ่าตัด
- ถ้ากระดูกคดมากกว่า 40 องศาขึ้นไป อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อดามกระดูกให้ตรงด้วยอุปกรณ์โลหะและทำการเชื่อมข้อกระดูกสันหลังในส่วนที่คด
- กระดูกสันหลังคดในกลุ่มแอร์โฮสเตสมักมีการคดไม่มากจึงไม่ได้สังเกตเห็นตั้งแต่ช่วงเด็ก โดยส่วนมากมักไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ในการทำงาน อาจมีบ้างในบางรายที่คดเยอะจนส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังเวลายกของหนักหรือก้มแอ่นหลังบ่อย ๆ การรักษามักเป็นการบรรเทาปวดตามอาการและมักไม่จำเป็นต้องผ่าตัด
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือ หลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองถูกทำลาย ทำให้การทำงานของสมองบางส่วนหรือทั้งหมดผิดปกติไป อาการมักจะเกิดขึ้นทันทีทันใด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดในผู้ที่มีอายุมาก
แต่อย่างไรตาม ในผู้อายุน้อยกว่า 50 ปี ก็สามารถพบโรคหลอดเลือดสมองได้มากถึง 15% โดยทั่วไปหากเรากล่าวถึงโรคหลอดเลือดสมองในคนอายุน้อย หรือ stroke in the young จะหมายความถึง โรคหลอดเลือดสมองที่พบในผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่า 40 ปี
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ในคนอายุน้อยมีอะไรบ้าง ?
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองในคนอายุน้อย มีความคล้ายกันกับคนที่อายุมาก แต่ที่สำคัญคือ ในคนอายุน้อยจะมีปัจจัยเสี่ยงที่กว้างกว่า โดยปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้แก่ ข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้
ปัจจัยที่ทำให้เกิดไขมันอุดตันและทำลายหลอดเลือด
ปัจจัยต่างๆ ต่อไปนี้ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ในทุกกลุ่มอายุ ในกลุ่มคนอายุน้อย ที่ควบคุมโรคประจำตัวดังกล่าวได้ไม่ดี อาจทำให้เกิดภาวะไขมันอุดตัน และเสี่ยงกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
- โรคความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูง
- โรคเบาหวาน
- การสูบบุหรี่
- การดื่มแอลกอฮอล์
- ใช้ยาเสพติด เช่น ยาบ้า โคเคน เฮโรอีน เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงในผู้หญิงอายุน้อย
- การมีไมเกรนชนิดมีอาการนำ (Migraine with aura)
ไมเกรนชนิดมีอาการนำ คือ ไมเกรนที่มีอาการเห็นแสงแวบ ๆ สีขาวหรือรุ้ง เป็นรอยหยึกหยัก หรือเป็นเส้นนำมาก่อน หรือเกิดพร้อมกับอาการปวดหัว โดยพบว่าไมเกรนชนิดมีออร่า มักจะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke) ในผู้ป่วยไมเกรนชนิดมีอาการนำ ได้แก่ การสูบบุหรี่และการใช้ยาคุมกำเนิด โดยการศึกษาพบว่าถ้าผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงทั้ง 3 ข้อนี้ จะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าประชากรทั่วไปถึง 9 เท่า
ศึกษาเพิ่มเติมเรื่องไมเกรนได้จาก //www.praram9.com/migraine/
- การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
ยาคุมกำเนิดชนิดที่ใช้ในปัจจุบันมีหลากหลายแบบ แต่ชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น 2.75 เท่า ในขณะที่ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ซึ่งมีฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำกว่า และเป็นที่แพร่หลายมากกว่าในปัจจุบันนั้น มีผลการศึกษาพบว่า เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น 1.9 เท่า และบางการศึกษาพบว่าไม่เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ส่วนยาคุมกำเนิดแบบที่มีแต่ฮอร์โมนโปรเจสติน ไม่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
แต่อย่างไรก็ดี การตั้งครรภ์ก็อาจเป็นความเสี่ยงหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมองได้ ดังนั้นเมื่อเทียบกับความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองที่อาจเกิดได้ขณะตั้งครรภ์นั้น คำแนะนำของแพทย์ ณ ปัจจุบัน คือ ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ยังสามารถกินยาคุมกำเนิดได้ โดยอาจเลือกชนิดให้เหมาะสมกับโรคประจำตัวของตัวเอง
- การตั้งครรภ์
การเกิดโรคหลอดเลือดสมองในการตั้งครรภ์นั้น พบได้ประมาณ 30 ครั้งต่อการตั้งครรภ์ 100,000 ครั้ง สาเหตุที่ระหว่างตั้งครรภ์มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น เพราะการตั้งครรภ์ทำให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัวง่ายขึ้น นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์มีโอกาสเกิดโรคครรภ์เป็นพิษ และภาวะความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์ อันอาจทำให้เกิดทั้งสมองขาดเลือดและหลอดเลือดสมองแตกตามมาได้
ปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ
- การมีรูที่ผนังห้องหัวใจ (Patent foramen ovale)
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
- โรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว
- มีการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจหรือลิ้นหัวใจ
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
- หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดหัวใจห้องบนเต้นพริ้ว (Atrial fibrillation)
ปัจจัยเสี่ยงจากโรคที่ทำให้เกิดเลือดแข็งตัวง่าย
- กลุ่มอาการต้านฟอสโฟไลปิด (Antiphospholipid syndrome)
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE (Systemic lupus erythematosus) ทำให้เกิดเลือดแข็งตัวง่าย หรือหลอดเลือดตีบไขมันอุดตันง่าย หรือทำให้เกิดหลอดเลือดอักเสบ
- โรคมะเร็ง ทั้งมะเร็งทั่วไปหรือมะเร็งระบบเลือด ทำให้เกิดเลือดแข็งตัวง่ายและอุดตันที่สมอง
ผู้มีภาวะหลอดเลือดแดงปริแตก
ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ด้านหน้าคอปริแตก หรือหลอดเลือดแดงที่คอด้านหลังปริแตก ซึ่งสัมพันธ์กับการบาดเจ็บของหลอดเลือด การหมุนบิดคอรุนแรงจากการนวดการทำนวดจัดกระดูก (Chiropractic) หรืออุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงจากโรคทางพันธุกรรมบางอย่าง
- โรค แฟเบร (X-linked Fabry Disease) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน ทำให้ขาดเอนไซม์บางชนิดที่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่อวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ปอด ไต ช่องท้องระบบประสาท และสมองได้
- โรค MELAS เป็นโรคที่มีความผิดปรกติของระบบประสาท ที่เกิดจากการกลายพันธุ์ในดีเอ็นเอของไมโทรคอนเดรียภายในเซลล์
- โรค CADASIL เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการกลายพันธุ์ของเซลล์กล้ามเนื้อของ หลอดเลือดขนาดเล็กทำให้กล้ามเนื้อของหลอดเลือดเสียหาย และทำให้การไหลเวียนเลือดในสมองไม่ดี
- โรคโมยาโมยา (Moyamoya disease) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดในสมองเนื่องจากหลอดเลือดหลักที่นำเลือดไปสู่สมองเกิดอุดตันหรือตีบแคบลง
- โรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด เช่น
- * ความผิดปกติทางพันธุกรรมของ Factor V Leiden (Factor V Leiden mutation) ซึ่งพบบ่อยในผู้ป่วยเชื้อชาติตะวันตก
- ภาวะพร่อง Protein C และ S
- ภาวะพร่อง Antithrombin III
- ภาวะระดับ Homocysteine ในเลือดสูง (Hyperhomocysteinemia)
ผู้มีประวัติเคยฉายรังสีบริเวณคอ
ผู้ที่เคยมีประวัติเคยฉายรังสีบริเวณคออาจทำให้หลอดเลือดแดงที่คอเสื่อมสภาพ และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้
ปัจจัยเสี่ยงจากโรคของหลอดเลือดแดง
ความเสี่ยงจากสาเหตุโรคของหลอดเลือดแดงอาจพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นความเสี่ยงหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมองในคนอายุน้อยได้ โรคของหลอดเลือดแดงดังกล่าว ได้แก่
- โรคทากายาสุ (Takayasu arteritis) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ และแขนงต่างๆ
- โรคหลอดเลือดสมองอักเสบ เป็นโรคที่มีการอักเสบของหลอดเลือดในสมองหรือไขสันหลังอาจตามหลังการติดเชื้อ เช่น วัณโรคในเยื่อหุ้มสมอง
- ภาวะที่มีการแคบลงของหลอดเลือดแดง (Fibromuscular dysplasia) เป็นภาวะการเจริญเติบโตของเซลล์ส่วนเกินภายในหลอดเลือดจะทำให้หลอดเลือดแดงแคบลงแล้วทำให้เลือดไหลผ่านได้น้อยลง
- ภาวะหลอดเลือดแดงหดตัวชั่วคราว (Reversible Cerebral Vasoconstriction Syndrome) เกิดจากการที่หลอดเลือดในสมองหดตัวชั่วคราว ทำให้เกิดการขาดเลือดชั่วคราว สาเหตุ อาจเกิดจากยาบางอย่าง เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาโรคไมเกรน ยาลดน้ำมูก ยากดภูมิต้านทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาเสพติด เช่น โคเคน ยาบ้า หรืออาจกระตุ้นได้ด้วยการตั้งครรภ์ เป็นต้น
อาการของโรคหลอดเลือดสมอง ในคนอายุน้อย
อาการจะเหมือนกับในคนที่อายุมาก กล่าวคืออาการที่เกิดจากเนื้อเยื่อสมองส่วนที่ขาดเลือดเสียการทำงานไป ตัวอย่างเช่น
- พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง
- คิดคำพูดไม่ออก สื่อสารไม่เข้าใจ
- แขนขาอ่อนแรง ข้างใดข้างหนึ่ง
- แขนขาชา ข้างใด ข้างหนึ่ง
- เวียนหัว เดินเซ
- ภาพซ้อน มองเห็นผิดปกติไป
ซึ่งอาจสังเกตอาการได้ตามหลัก FAST ได้แก่
- F (Face) ผู้ป่วยจะมีอาการหน้าเบี้ยว
- A (Arms) อาการแขนขาอ่อนแรง
- S (Speech) ผู้ป่วยจะมีอาการพูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ เหมือนลิ้นคับปาก
- T (Time) การรีบนำผู้ป่วยที่สงสัยไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็วที่สุด
เมื่อสงสัยว่ามีอาการโรคหลอดเลือดสมอง ต้องทำอย่างไร ?
ถ้ามีอาการตามหลัก FAST ดังกล่าวข้างต้นข้อใดข้อหนึ่ง ถึงแม้ผู้ป่วยจะอายุน้อย ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีหรือ ภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง หลังจากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินและวินิจฉัย
หากตรวจพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง แนวทางการรักษา คือ การให้ยาละลายลิ่มเลือด เพื่อเปิดหลอดเลือดสมองให้ทันเวลา ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วคราวและอาการหายไปได้เองก็ควรนัดหมายเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทเพื่อตรวจหาปัจจัยเสี่ยง และทำการป้องกันการเกิดอาการขึ้นอีก
การนำผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ทันเวลาจะช่วยลดความเสียหายของเนื้อเยื่อสมองและลดความเสี่ยงของความพิการหรือการเสียชีวิตได้
ศึกษาการวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มเติมที่: //www.praram9.com/stroke-prevention-and-treatment/
วิธีการป้องกัน การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ โดยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงของโรค (ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น) ในส่วนที่เราสามารถจัดการได้ ดังนี้
- ตรวจวัดความดันเลือดอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่ามีความดันเลือดมากกว่า 140/80 mmHg
- ควรพบแพทย์ และรับประทานยาลดความดันอย่างสม่ำเสมอ ตามแพทย์สั่ง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการลดอาหารเค็ม หวานจัด มันจัด เพิ่มผักผลไม้
- เลิกสูบบุหรี่ งดการดื่มสุรา
- ลดน้ำหนัก ในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยการออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ อย่างน้อย 10-20 ครั้ง ต่อนาที และอย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมง
- ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี เพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด และค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่มาของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- ตรวจร่างกายทางด้านหัวใจว่ามีความผิดปกติของการเต้นของหัวใจหรือไม่
บทสรุป
โรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke เป็นโรคที่นับได้ว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เพราะนำไปสู่ความพิการและการเสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่เรามักพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในคนอายุมากอย่างไรก็ตาม ยังสามารถพบโรคหลอดเลือดสมองได้ในคนอายุน้อยอีกด้วย ซึ่งถ้าพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอายุน้อยกว่า 40 ปี จะเรียกว่า “โรคหลอดเลือดสมองในคนอายุน้อย หรือ Stroke in the young”
แม้จะเป็นผู้ป่วยอายุน้อยแต่ความอันตรายและความรุนแรงของโรคไม่ได้แตกต่างจากในกลุ่มผู้ป่วยอายุมาก ดังนั้นเมื่อพบอาการที่สงสัยว่าเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ต้องนำผู้ป่วยเข้ารับการรักษาให้ทันเวลา เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของความพิการหรือการเสียชีวิตได้
และสิ่งทำคัญที่สุดคือ เราสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้ โดยการลดปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากพบอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทเพื่อสุขภาพที่ดีของเรา