2024 ทำไม โลกก บดวงจ นทร ไม เคร อนท เข าหาก น

ซึ่งระยะเวลาในเเต่ละวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ที่จะถอยออกห่างไปจากโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอัตรา 3.82 เซนติเมตรต่อปี

ดังนั้น กว่าที่โลกของเราจะมี 1 วัน 24 ชั่วโมง อย่างแท้จริงนั้น จะต้องใช้เวลาอีกถึง 15 ล้านปีเลย

2024 ทำไม โลกก บดวงจ นทร ไม เคร อนท เข าหาก น

“เเล้วถ้าวันหนึ่งดวงจันทร์เกิดเคลื่อนที่ออกไปไกลจนมันหลุดวงโคจรของโลกละ มันจะเกิดอะไรขึ้น ?”

การค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานต่างๆ จนกลายมาเป็นบทสรุป 7 ข้อ ที่พอจะบอกได้ว่า “มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าโลกนี้ไม่มีดวงจันทร์”

  1. โลกจะหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม

“ดวงจันทร์ก็เหมือนกับการหมุนของนักสเก็ตน้ำแข็ง คือ ถ้าเก็บแขนเเนบไว้ที่หน้าอก...การหมุนก็จะเร็วขึ้น เเต่ถ้าเกิดเหยียดแขนออก...การหมุนก็จะช้าลง”

ดังนั้น หากดวงจันทร์หายไป โลกจะขาดความเสียดทาน “ที่เรียกว่าความเสียดทานไทดัล” (Tidal Friction) ซึ่งจะส่งผลให้โลกหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น เเละจะส่งผลให้ในเเต่ละวันนั้นผ่านไปเร็วขึ้นด้วยนั่นเอง

2024 ทำไม โลกก บดวงจ นทร ไม เคร อนท เข าหาก น

  1. โลกอาจแกว่งตัวอย่างรุนแรง

หากเปรียบดวงจันทร์เหมือนกับการหมุนของนักสเก็ตน้ำแข็ง การที่โลกไม่มีดวงจันทร์ก็ไม่ต่างอะไรกับนักสเก็ตน้ำแข็งที่เเขนขาด เพราะนอกจากจะทำให้การหมุนเร็วขึ้นเเล้ว มันยังทำให้นักสเก็ตน้ำแข็งคนนั้นทรงตัวไม่ได้จนเเกว่งไปมาเเบบไม่มีทิศทางอีกด้วย เพราะแรงดึงดูดของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อโลกอย่างมาก ซึ่งถ้าหากดวงจันทร์หายไป แกนโลกจะเปลี่ยนแปลงจนเกิดการแกว่งตัวครั้งใหญ่

คราวนี้มันก็จะทำให้ฤดูกาลบนโลกนี้มั่วไปหมด จนสิ่งมีชีวิตบนโลกจำนวนมากไม่อาจอยู่รอดได้อีกต่อไป

2024 ทำไม โลกก บดวงจ นทร ไม เคร อนท เข าหาก น

  1. ประเทศไทยอาจกลายเป็นเมืองหนาว

ด้วยเเรงดึงดูดของดวงจันทร์ที่มีอิทธิพลต่อโลก ซึ่งทำหน้าที่คอยถ่วงแกนโลกให้เอียงอยู่ในระดับ 23.5 องศา นั่นจึงทำให้ประเทศที่อยู่ในบริเวณเส้นศูนย์สูตรจะเป็นเขตร้อน เพราะเป็นจุดที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงเหนือศีรษะพอดี เเต่ถ้าวันหนึ่งโลกนี้เกิดไม่มีดวงจันทร์ขึ้นมา โลกก็จะไม่ได้เอียงอยู่ในระดับ 23.5 องศา เเละดวงอาทิตย์ก็จะไม่อยู่เหนือศีรษะของประเทศที่อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรอีกต่อไป

ทำให้บริเวณขั้วโลกที่เคยหนาวเหน็บก็จะกลายเป็นเขตร้อน ส่วนบริเวณเส้นศูนย์สูตรที่เคยเป็นเขตร้อนก็จะกลายเป็นเขตหนาว

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่เเน่ว่าประเทศไทยที่อยู่ตรงบริเวณเส้นศูนย์สูตรพอดี ก็อาจจะมีหิมะตกลงมา...ก็...เป็น...ได้…

2024 ทำไม โลกก บดวงจ นทร ไม เคร อนท เข าหาก น

  1. กระแสน้ำจะอ่อนกำลังลงอย่างมาก

อย่างที่ทราบกันดีว่า ดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง

ดังนั้นการที่โลกไม่มีดวงจันทร์ แรงดึงดูดของกระแสน้ำก็จะไปขึ้นอยู่กับดวงอาทิตย์แทน และด้วยความที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกมาก จึงทำให้กระแสน้ำที่เกิดจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวจะอ่อนกำลังลงเหลือเพียง 40% เท่านั้น เมื่อเทียบกับกระแสน้ำแบบเดิมที่ขึ้นอยู่กับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์รวมกัน

2024 ทำไม โลกก บดวงจ นทร ไม เคร อนท เข าหาก น

เนื่องจากท้องฟ้าที่มืดมิด สัตว์นานาชนิดจึงต้องมีการวิวัฒนาการขึ้นให้มี “ดวงตาโปน” มากขึ้นกว่าเดิม

โดย นีล โคมินส์ นักดาราศาสตร์ ชื่อดังคนหนึ่ง ได้กล่าวเอาไว้ว่า สัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืนจะต้องพัฒนาดวงตาของพวกมันให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีประสาทสัมผัสที่ดีขึ้น เพื่อช่วยในนำทาง หาอาหาร และสืบพันธุ์ ในเวลากลางคืน

ซึ่งภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิดไร้ดวงจันทร์ สัตว์เหล่านี้จะถูกบังคับให้ปรับตัวเป็นสัตว์ที่สามารถมองเห็นกลางคืนได้อย่างชัดเจน

2024 ทำไม โลกก บดวงจ นทร ไม เคร อนท เข าหาก น

  1. การสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำจะเปลี่ยนไป

การไม่มีดวงจันทร์ ทำให้ช่วงจังหวะเวลาการสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำหลายชนิดที่ต้องอาศัยแสงจากดวงจันทร์ที่มากระทบกับผิวน้ำต้องเปลี่ยนไป จากการศึกษาพบว่า หากโลกนี้ไม่มีดวงจันทร์สัตว์หลายชนิดอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่าง เช่น ปลากรูเนียน ที่จะวางไข่หลังจากพระจันทร์เต็มดวงเพียง 2-3 วันเท่านั้น

ดังนั้น หากโลกนี้ไม่มีดวงจันทร์ ปลากรูเนียนก็อาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสืบพันธุ์ หรือถ้ามันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ มันก็อาจจะสูญพันธุ์ไปเลย...

เผยแพร่: 5 เม.ย. 2554 00:59 โดย: MGR Online

เห็นกันอยู่แทบทุกคืน แต่นานๆ จะเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ มาให้ชมสักที หลายคนเลยไม่ได้ใส่ใจ “ดวงจันทร์” ที่โคจรรอบโลกอยู่ทุกวัน พลอยทำให้พลาดข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับบริวารของโลกดวงนี้

ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV จึงคัด “10 เรื่องไม่ลับของดวงจันทร์” ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ซึ่งรวบรวมจากเว็บไซต์ข่าวอวกาศ “สเปซด็อทคอม” อโดย โจ ราโอ (Joe Rao) วิทยากรประจำท้องฟ้าจำลองไฮเดน (Hayden Planetarium) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ และ “ไลฟ์ไซน์ด็อทคอม” มานำเสนอ

1.ดวงจันทร์ไม่ได้กลม

หากเราออกไปยืนมองดวงจันทร์จากบนโลก จะได้เห็นด้านสั้นที่สุดชี้ตรงมาหาเรา และศูนย์กลางมวลของดวงจันทร์ ไม่ได้อยู่ตรงเส้นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของดวงจันทร์ แต่อยู่ห่างออกจากเส้นสมมติดังกล่าวออกมา 2 กิโลเมตร

2.เราได้เห็นดวงจันทร์มากกว่าครึ่งดวง

ตำราหลายๆ เล่มมักระบุว่า ดวงจันทร์จะหมุนเพียงด้านเดียวเข้าหาโลก ทำให้เราไม่ได้เห็นอีกครึ่งของดวงจันทร์ หากแต่ความจริง เราได้เห็นดวงจันทร์ทั้งหมด 59% ของพื้นที่ดวงจันทร์ทั้งหมดในวงโคจรรูปวงรี

3.จันทร์ครึ่งดวงสว่างไม่ถึงครึ่งของเต็มดวง

ดวงจันทร์ช่วงขึ้น 7 ค่ำ (first quarter moon) และแรม 7 ค่ำ (last quarter moon) ที่เห็นครึ่งดวงนั้น ไม่ได้สว่างเท่ากับครึ่งหนึ่งของช่วงจันทร์เต็มดวง

ทว่าหากผิวดวงจันทร์เกลี้ยงเกลาเหมือนลูกบิลเลียด ความสว่างของพื้นผิวดวงจันทร์ทั้งหมดจะเท่ากัน แต่ดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของโลกนี้มีพื้นผิวที่ขรุขระมาก ทั้งภูเขา หินก้อนใหญ่ กรวดก้อนเล็กและฝุ่นดวงจันทร์ ซึ่งทำให้เกิดเงามากมายบนดวงจันทร์ ดังนั้น ความสว่างในช่วงดังกล่าวของดวงจันทร์จึงเหลือแค่ 1 ใน 11 ของความสว่างเมื่อจันทร์เต็มดวง

4. แสงจันทร์เกือบเต็มดวงยังไม่ถึงครึ่งของจันทร์เพ็ญ

ช่วงที่ดวงจันทร์ปรากฏเกือบจะเต็มดวง 95% มีความสว่างเพียงแค่ครึ่งของจันทร์เต็มดวง แม้ว่าจะดูสว่างเหมือนกำลังเต็มดวง แต่มีค่าความสว่างเพียง 0.7 ขณะที่จันทร์เต็มดวงสว่างประมาณ -12 (ยิ่งเลขน้อยแปลว่ายิ่งสว่างมาก) ซึ่งจะเห็นว่าแม้จะเกือบเต็มดวงแต่ความสว่างยังห่างไกลจันทร์เต็มดวง

5. จันทร์ 3 แสนดวงถึงสว่างได้เท่าดวงอาทิตย์

จันทร์เต็มดวงมีความสว่าง -12.7 ขณะที่ดวงอาทิตย์มีความสว่างอยู่ที่ -26.7 ซึ่งสัดส่วนความสว่างของดวงอาทิตย์ต่อดวงจันทร์เป็น 398,110 ต่อ 1 นั่นหมายความว่า เราต้องใช้จันทร์เต็มดวงเกือบ 4 แสนดวงเพื่อให้ได้ความสว่างเท่าดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว

แต่ถึงเราจะแปะจันทร์เต็มดวงให้ทั่วท้องฟ้า (ทั้งครึ่งบนที่เรามองเห็นกับอีกครึ่งท้องฟ้าซีกล่างที่เรามองไม่เห็น) ก็มีเพื้นที่ให้แค่ดวงจันทร์ได้เพียง 206,264 ดวง ยังขาดอีก 191,836 เราจึงจะได้ความสว่างเทียบเท่าดวงอาทิตย์

6. ดาวโลก-ดวงจันทร์แหว่งกันกลับข้าง

เมื่ออยู่บนดวงจันทร์ในคืนเดือนมืด เราจะเห็นโลก “เต็มดวง” แต่เมื่อจันทร์อยู่ในช่วงข้างขึ้น ซึ่งเราจะเห็นจันทร์แหว่งซีกซ้าย ในทางตรงกันข้ามเราจะเห็นโลกในช่วงแรมแหว่งครึ่งดวงทางขวา

ทว่า เมื่อจันทร์อยู่ในช่วงข้างแรมจะเห็นจันทร์แหว่งด้านขวา แต่เราจะเห็นโลกในช่วงขึ้น ซึ่งปรากฎโลกแหว่งทางซ้าย และเราจะเห็นโลกจากบนดวงจันทร์ ในตำแหน่งเดียวกับที่เห็นดวงจันทร์บนโลก

อย่างไรก็ดี โลกไม่มีวันลับขอบฟ้าที่ดวงจันทร์ โดยจะอยู่ในตำแหน่งเดิมเสมอเมื่อมองจากดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวนี้

7. แสงสีเลือดหมูจากอุปราคาบนโลก

ถ้าเราอยู่บนดวงจันทร์แล้วเห็นโลกบังดวงอาทิตย์ทั้งดวง เราจะได้เห็นวงแหวนแคบๆ สีเลือดหมูรอบโลกดวงมืดๆ ซึ่งเกิดจากแสงดวงอาทิตย์ผ่านชั้นบรรยากาศของโลกเรา โดยสีที่เห็นนั้น เกิดจากการผสมผสานระหว่างแสงยามอาทิตย์ขึ้นและลับขอบฟ้า เช่นเดียวกันกับที่เราเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีเลือด เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง

8. อุณหภูมิสูง-ต่ำบนดวงจันทร์ต่างกันสุดขั้ว

อ้างจากข้อมูลบนเว็บไซต์ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) อุณหภูมิที่เส้นศูนย์สูตรของดวงจันทร์ตอนกลางคืนต่ำถึง -173 องศาเซลเซียส และสูงถึง 127 องศาเซลเซียสในตอนกลางวัน ส่วนในหลุมลึกใกล้ๆ ขั้วดวงจันทร์ มีอุณหภูมิเกือบถึง -240 องศาเซลเซียส

นอกจากนี้ระหว่างเกิดอุปราคา ที่ดวงจันทร์เข้าสู่เงาของโลก อุณหภูมิพื้นผิวของดวงจันทร์จะลดลงฮวบไป 300 องศาเซลเซียสในเวลาไม่ถึง 90 นาทีเลยทีเดียว

9.ดวงจันทร์ก็มี “โซนแบ่งเวลา”

ไม่ใช่แค่โลกเราที่มี “เขตเวลา” (Time Zone) แต่บนดวงจันทร์ก็มี เมื่อปี 1970 เคนเนธ แอล แฟรงกลิน (Kenneth L. Franklin) หัวหน้านักดาราศาสตร์ของท้องฟ้าจำลองไฮเดน ในนิวยอร์ก ได้รับการร้องขอจากบริษัทนาฬิกาให้ออกแบบนาฬิกาสำหรับใช้บนดวงจันทร์ โดยสามารถวัดเวลาแบบ “ลูเนชัน” (Lunations) ซึ่งเป็นคาบเวลาที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก (ลูเนชันละ 29.530589 วันบนโลก)

ทั้งนี้ เส้นแบ่งเวลาหรือเส้นแวงบนดวงจันทร์นั้น มีความกว้าง 12 องศา (ขณะที่เส้นแวงโลกกว้าง 15 องศา) และเขตเวลาบนดวงจันทร์ล้วนมีชื่อเฉพาะ เช่น เขตเวลาโคเปอร์นิแคน (Copernican time), เขตเวลา 36 องศาตะวันออก (36-degree East Zone time) เป็นต้น ส่วนชั่วโมงบนดวงจันทร์มีชื่อเรียกว่า “ลูนาวร์” (Lunour)

10. บริวารหนึ่งเดียวกำลังลอยห่างไปเรื่อยๆ

แม้ว่าเราจะแหงนฟ้าเห็นดวงจันทร์กันอยู่ทุกคืน แต่รู้ไหมว่าดาวบริวารดวงเดียวของโลกกำลังเคลื่อนห่างเราไปเรื่อยๆ ซึ่งทุกๆ ปีดวงจันทร์จะขโมยพลังงานในรูปของการหมุนจากโลก (rotational energy) และใช้ขับเคลื่อนตัวเองให้ห่างออกไป 4 เซนติเมตร