การนำความร อนในสภาวะคงต วท เป นฟ งช นก บอ ณภ ม

อิหร่านกับการจุดชนวนสงครามตะวันออกกลาง

เผยแพร่: 26 ก.ค. 2561 16:19 โดย: ทับทิม พญาไท

ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องย้อนกลับร่อนกลับไปแถวๆ ตะวันออกกลางกันอีกซักเที่ยว หลังจากได้แวบมาส่งใจ ส่งกำลังใจให้บรรดาพี่น้องลาวเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว เพราะช่วงระหว่างนี้ กำลังเกิดรายการงัดเอาจรวด เครื่องบิน ปืนใหญ่ ฯลฯ มาถล่มใส่กันและกัน ตลอดทั่วแนวรบตะวันออกกลาง ชนิดตึงตังโครมครามมิใช่น้อย ช่วงวันอังคาร (24 ก.ค.)ที่ผ่านมา ขณะเครื่องบินขับไล่โจมตี “Sukhoi” ของกองทัพอากาศซีเรีย กำลังไล่บด ไล่บี้ พวกกบฏผู้ก่อการร้ายที่มีอาวุธยี่ห้อ “เมด อิน อิสราเอล” เป็นเครื่องปกป้อง คุ้มครอง ตัวเองอยู่แถวๆ เมือง “Dara’a” อย่างเมามันส์ส์ส์เสียเหลือเกิน ก็ดันโดนจรวดจากกองทัพอิสราเอลสอยซะร่วงพร้อมข้ออ้าง ข้อกล่าวหาว่าเครื่องบินดังกล่าว บินล้ำเข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร ในเขตพื้นที่ยึดครองของอิสราเอลบริเวณที่ราบสูงโกลัน ทั้งๆ ที่แต่แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นของซีเรียเขาเองนั่นแหละ...

แต่ก็นั่นแหละ...การสร้างแรงกดดัน ยื้อกันไป-ยื้อกันมาของกองกำลังต่างๆ แถบพรมแดนซีเรียกับอิสราเอลนั้น สุดท้ายแล้ว...คงหนีไม่พ้นต้องถูกนำไปเกี่ยวโยงกับ “ศัตรูคู่กัด” ระดับที่แทบอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ของอิสราเอล นั่นก็คือ “อิหร่าน” นั่นเอง ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลัก ที่ทั้งคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล ต้องการกำจัด กวาดล้างให้สูญสลายหายไปจากแนวรบตะวันออกกลางให้จงได้ และคงไม่ได้อาศัยแต่เพียง “การทหาร” หรือกองกำลังในแต่ละรูป แต่ละแบบ แต่เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะอยู่ในรูป “สงครามตัวแทน” ในซีเรีย กาซา เลบานอน หรือเยเมนก็ตาม เพราะที่สำคัญเอามากๆ ในช่วงนี้ ก็คือการอาศัยเศรษฐกิจ หรือ “การค้า” มาใช้เป็นเครื่องมือ ในการไล่บด ไล่บี้หาทางรุมกระทืบอิหร่านด้วย “มาตรการแซงชั่นขั้นสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์” ซึ่งกำลังจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงวันที่ 4 สิงหาคม ที่จะถึงนี้...

ชนิดใครก็ตาม...ที่คิดจะซื้อแก๊ส ซื้อน้ำมัน คิดประกอบธุรกรรมทางธุรกิจ การเงิน การทอง ฯลฯ กับอิหร่าน ต่างถูกเอาปูนหมายหัวว่าจะต้องโดนอเมริกาเล่นงานไปทั่วกันทั้งแผง กระทั่งธนาคารเยอรมนีอย่าง “Europaisch-Iranische Handelsbank-AG” ที่รับฝากเงินของคนอิหร่านแท้ๆ แต่พอรัฐบาลอิหร่านคิดจะถอนเงินของตัวเองประมาณ 350 ล้านดอลลาร์ออกจากธนาคารในช่วงนี้ ทูตอเมริกาประจำเยอรมนียังออกมาขู่เอาไว้ล่วงหน้า ว่าห้ามไม่ให้อิหร่านถอนเงินโดยเด็ดขาด เรียกว่า...กะจะเอาให้ “ตายหยังเขียด” ให้จงได้ รวมทั้งกะจะทำให้รายได้หลักของอิหร่าน อันที่มาจากการขายแก๊สและน้ำมัน ต้องมีค่าเท่ากับ “ศูนย์” ไปในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ก็แล้วแต่...

เมื่อเจอเข้ากับการกด การบีบ การเคล้นคลึงในลักษณะเช่นนี้...ก็ต้องถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่อิหร่านเขาย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องเรียกร้องหา “หลักประกัน” เอากับบรรดาประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศ “อียู” ว่าต้องไม่หวั่นไหว สั่นไหว ไปตามคำขู่ของประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ อันเนื่องมาจากบรรดาประเทศเหล่านี้ ล้วนมีส่วนร่วม มีข้อผูกพันที่ได้ทำเอาไว้กับอิหร่านตามข้อตกลง “JCPOA” (Joint Comprehensive Plan of Action) ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในแง่การซื้อ-ขาย การลงทุนในกิจการแก๊สและน้ำมัน การประกันภัย และการธนาคาร ฯลฯ แต่ก็แน่ล่ะว่า...ในเมื่อ “หลักประกัน” ที่ว่า มันคงไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย “คำพูด” หรือคำปลอบประโลมใจต่างๆ นานา แต่ต้องอาศัย “การกระทำ” หรือ “การปฏิบัติ” กันอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นกิจการ มันเลยต้องใช้เวลาในการ “เจรจา” การตกลงในรายละเอียด โดยมีช่วงเวลาแห่งการบังคับใช้มาตรการแซงชั่นอิหร่านของอเมริกา หรือวันที่ 4 สิงหาคมนั่นแหละ เป็น “เส้นตาย”...

แต่ระหว่างที่อียู...กำลังตัดสินใจในรายละเอียดต่อบรรดา “หลักประกัน” ที่จะให้กับอิหร่าน อียูอาจต้องจำแลงแปลงกาย แปรสภาพไปเป็น “อีย้วย” หรือไม่อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ เนื่องมาจากเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ประธานคณะกรรมาธิการอียู “นายฌอง คล็อด จุงเกอร์” (Jean-Claude Juncker) ต้องบินไปเจรจากับผู้นำอเมริกา ในวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับมาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างทั้งสองฝ่าย ว่าจะหา “จุดลงตัว” กันในแบบไหน อย่างไร มันถึงจะไม่ลุกลามบานปลายกลายเป็น “สงครามการค้า” ซึ่งอาจส่งผลให้ทั้งอเมริกาและยุโรปต่างฉิบหายไปด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะถ้าหากอเมริกาคิดงัดเอามาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยุโรปมาใช้เมื่อไหร่ หนึ่งในคณะกรรมาธิการการค้าของอียูอย่าง “นางเซซิเลีย มาล์มสตรอม” (Cecilia Malmstrom) ก็ได้ออกมา “ทวิต” เอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่า อียูหนีไม่พ้นต้องตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเกษตร เครื่องจักร และสินค้าไฮเทค ฯลฯ จากสหรัฐฯ มูลค่าไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...

แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งที่กำลังเป็นที่จับตาของโลกทั้งโลก โดยเฉพาะอิหร่าน ก็คือการหาจุดลงตัว หรือการหลีกเลี่ยงความฉิบหายของทั้งคู่ จะนำไปสู่การโยนความฉิบหายดังกล่าวมาให้กับอิหร่านต้องแบกรับไปแบบเน้นๆ เนื้อๆ หรือไม่ อย่างไร? หรือทำให้การ “สมประโยชน์” ระหว่างอเมริกากับอียู กลายเป็นสิ่งซึ่งทำให้ “หลักประกัน” ที่อิหร่านเรียกร้องเอาจากอียู ต้องกลายเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ และทำให้อิหร่านอาจต้องไปหาทางออกอื่นๆ หรือหนีไม่พ้นต้องหันไปแสดงออกถึง “อำนาจทางทหาร” โดยเฉพาะต่อคำขู่ของอเมริกาที่จะทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านต้องมีค่าเท่ากับศูนย์ จะด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ การเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ เพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมต่อ โดยไม่ต้องสนใจข้อตกลง “JCPOA” อีกต่อไปแล้ว หรือแม้แต่การเพิ่มแรงกดดันทางทหารในบริเวณพรมแดนซีเรีย-อิสราเอล ในฉนวนกาซา ในเลบานอน หรือในเยเมน ให้รู้แล้ว รู้แรดกันไปซะที???

อันนี้นี่แหละ...ที่เลยต้องจับตากันเอาไว้ อย่างชนิดกะพริบตาไม่ได้โดยเด็ดขาด!!! โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีอิหร่าน “นายฮัสซัน โรฮานี” ท่านออกมาเตือนเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า อย่า “แหย่หางสิงโต” เพราะอาจนำไปสู่ “สงคราม” ระดับ “มารดาแห่งสงคราม” ทั้งหลายเอาง่ายๆ แม้ว่าการนำไปสู่สภาวะเช่นนี้ อาจถือเป็นการ “เข้าทาง” ของคุณพ่ออเมริกาและอิสราเอลที่กำลัง “ง้างตีนรอ” อย่างกระเหี้ยนกระหือรือ แต่สำหรับบรรดาประชาคมโลกทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ใฝ่ใจใน “สันติภาพ” มีแต่ต้องร่วมมือ ร่วมใจ หาทาง “ควบคุมอุณหภูมิในหม้อต้ม” ไม่ให้ “กบกระหายเลือด” มีโอกาสโดดออกมาจากหม้อต้ม ได้ก่อนที่ตัวเองจะสุก อันนั้นนั่นแหละ...สันติภาพในโลกก็น่าจะยังดำรงคงอยู่ต่อไปได้ ความพยายามที่จะอาศัยแนวรบในตะวันออกกลางเป็นตัว “จุดชนวนสงคราม” ใดๆ ขึ้นมาอีก เหมือนอย่างที่พวกผู้ก่อการร้ายเคยพยายามจุดครั้งแล้ว ครั้งเล่า ย่อมต้องจุดไม่ติด หรือต้องดับลงไปอีกครั้ง อีกครา...