สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แต่งตั้งชุดพิเศษ 250 คน ใกล้จะหมดวาระในช่วงกลางปี 2567 และส.ว.ชุดใหม่ที่มาแบบใหม่เป็นส.ว.ตามบทหลักภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ต่อในฐานะสภาสูง แม้อำนาจตามบทเฉพาะกาล เช่น การเลือกนายกฯ ร่วมกับส.ส. นั้นจะสิ้นผลไปตามส.ว.แต่งตั้งชุดแรก แต่อำนาจหลักอื่นๆ ยังคงมีอยู่เต็มมือ ส.ว.ชุดใหม่ 200 คน มาจากกลุ่มอาชีพต่างๆ และกลุ่มพิเศษคัดเลือกกันเอง หลังจากที่ครบวาระห้าปีนับตั้งแต่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ชุดแรกที่ถูกแต่งตั้งมาใช้อำนาจเฉพาะกิจสานต่อช่วงรอยต่อของการดำเนินงานตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็จะหมดอายุไป โดยที่มาของส.ว.ชุดใหม่ ก็ไม่เหมือน ส.ว. ชุดพิเศษ ตามบทเฉพาะกาลอีกต่อไป และมีจำนวนลดลงเหลือเพียง 200 คน แตกต่างจาก ส.ว. ชุดพิเศษตามบทเฉพาะกาลที่มีถึง 250 คน รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดหลักการที่มาและจำนวนวุฒิสภาตามบทบัญญัติหลัก โดยให้ส.ว.มีจำนวน 200 คน วาระดำรงตำแหน่งคราวละห้าปี ซึ่งจะเริ่มนับอายุตั้งแต่วันที่กรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผล มีที่มาจากการที่ผู้สมัครตามแต่ละกลุ่มอาชีพ “เลือกกันเอง” โดยบุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะหรือประโยชน์ร่วมกัน ทำงานหรือเคยทำงานด้านๆ ต่าง ที่หลากหลายของสังคม ซึ่งรายละเอียดการจัดสรรกลุ่มอาชีพต่างๆ จำนวนและหลักเกณฑ์ขั้นตอนการเลือกกันเองอย่างชัดเจนจะถูกลงไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป.วุฒิสภา) พ.ร.ป.วุฒิสภา มาตรา 10 และมาตรา 11 กำหนดให้ผู้สมัครส.ว.สามารถเลือกสมัครเป็นตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ได้ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งมีจำนวน 18 กลุ่ม และกลุ่มพิเศษอีกสองกลุ่มคือ กลุ่มสตรี และกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ รวมจำนวนทั้งหมด 20 กลุ่ม ดังนี้
โดยผู้สมัครจะต้องมีไม่มีลักษณะต้องห้ามต่างๆ ตามมาตรา 14 เช่น ไม่เป็นข้าราชการ ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง และต้องมีคุณสมบัติครบตามมาตรา 13 ดังนี้
ทั้งนี้ คุณสมบัติเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานไม่น้อยกว่า 10 ปี นั้น จะไม่ถูกนำมาใช้กับผู้ที่สมัครในกลุ่มสตรีหรือกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มอัตลักษณ์อื่น นอกจากนี้ หากเป็นผู้ประกอบอาชีพที่อยู่ในข่าย “อื่น ๆ หรือในทำนองเดียวกัน” จะต้องเป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย เปิดที่มา ส.ว. ให้เวียนเลือกกันเอง ตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด จนถึงระดับประเทศ ที่มาของส.ว.ชุดใหม่ เมื่อผู้สมัครคุณสมบัติผ่านฉลุยก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกกันเองภายใน 20 กลุ่ม ซึ่งผู้สมัครแต่ละคนมีสิทธิเลือกสมัครได้แค่หนึ่งกลุ่มและในหนึ่งอำเภอเท่านั้น (มาตรา 15) โดยทุกกลุ่มจะทำการเลือกกันเองตั้งแต่ในระดับอำเภอ พอได้ตัวแทนระดับอำเภอก็ไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับจังหวัด จากนั้นค่อยไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับประเทศ จนได้สมาชิกครบ 200 คน ซึ่งขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้ ด่านแรก เลือกกันเองในระดับอำเภอ (มาตรา 40) ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ห้าอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม
ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม เพื่อให้ได้สามอันดับแรกของแต่ละกลุ่มไปเลือกกันต่อในระดับจังหวัด
ด่านที่สอง เลือกกันเองในระดับจังหวัด (มาตรา 41) ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ห้าอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม
ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม เพื่อให้ได้สองอันดับแรกของแต่ละกลุ่มไปเลือกกันต่อในระดับประเทศ
ด่านที่สาม เลือกกันเองในระดับประเทศ (มาตรา 42) ขั้นแรก เลือกกันเองภายในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้ได้ 40 คนแรกของแต่ละกลุ่ม
ขั้นที่สอง เลือกผู้สมัครต่างกลุ่ม โดย 10 คนแรก ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็น ส.ว.
โดยสรุป เมื่อผ่านการเลือกกันเองของกลุ่มผู้สมัครส.ว.ทั้งหมดสามด่านแล้ว ก็จะได้ตัวแทนจากแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 10 คน เป็นตัวจริงที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นส.ว. ยกตัวอย่างเช่น นาย A เคยเป็นครู ทำงานมาแล้ว 20 ปี อยากเป็นส.ว. ดังนั้น นาย A จึงไปสมัครตามอำเภอที่ตนพำนัก เพื่อเข้ารับเลือกในกลุ่มอาชีพที่ตนเชี่ยวชาญคือกลุ่มการศึกษา เมื่อตรวจคุณสมบัติผ่านก็ต้องเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกกันเองสามด่าน ซึ่งนั่นหมายความว่า นาย A จะเป็นทั้งผู้มีสิทธิเลือกส.ว.และเป็นผู้มีสิทธิได้รับเลือกให้เป็นส.ว.ไปพร้อมกัน และการที่ 'นาย A' จะเป็นส.ว.ได้นั้น นาย A ต้องติด Top 40 ของประเทศที่ได้รับความไว้วางใจจากคนในกลุ่มอาชีพเดียวกัน และยังต้องได้รับความไว้วางใจจากผู้สมัครกลุ่มอื่นๆ ถูกเลือกจนกลายเป็น Top 10 ของกลุ่มการศึกษา และเป็นหนึ่งใน 200 คนที่ได้รับตำแหน่งส.ว. ในที่สุด ส.ว.แบบคัดเลือกกันเอง จะเป็นตัวแทนที่ดีกว่าเดิมจริงหรือ? การได้มาซึ่ง ส.ว. ด้วยวิธีการ "คัดเลือกกันเอง" นับว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่แปลกและแหวกแนวที่สุดนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้นมา โดยวิวัฒนาการของที่ ส.ว. ในปี 2540 เริ่มต้นที่ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด จากนั้นในปี 2550 จึงเปลี่ยนมาเป็นเลือกตั้งส่วนหนึ่งและสรรหาอีกส่วนหนึ่ง แต่ทว่า ที่มา ส.ว.แบบใหม่นี้จะไม่ง้อการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งหมด โดยมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ ถึงที่มาส.ว.แบบใหม่นี้ว่า “ประชาชนเขาจะเข้ามามีส่วนร่วมได้โดยตรง และไม่ต้องอิงกับพรรคการเมืองเพราะไม่ต้องหาเสียง เขาก็คุยกันเฉพาะแต่ในกลุ่มบุคคลที่สมัคร กลไกในลักษณะนี้จะทำให้ส.ว.ปลอดจากการเมือง มาจากทุกสาขาอาชีพ มาจากคนทั่วประเทศ และกลุ่มบุคคลเหล่านี้ก็คือ ‘ประชาชน’” อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคำถามที่ตามมาภายหลังว่า ส.ว. ในฐานะที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย จะยังยึดโยงกับเสียงประชาชนมากน้อยเพียงใดในเมื่อจำกัดสิทธิเลือกตั้งส.ว.ไว้ให้เฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยกันเองเท่านั้น [อ้างอิง : ภูวดล คงแสง “ปัญหาเกี่ยวกับวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560” ,วารสารนาคบุตรปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ปีที่ 14 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2565 , หน้า 146.] นอกจากนี้ ปัญหาซื้อเสียงอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม เพราะ จำนวนคนที่ผู้สมัครต้อง "ซื้อ" มีขนาดเล็กลง กล่าวคือ หากเป็นระบบการเลือกตั้ง ผู้สมัครชิงตำแหน่ง ส.ว. จะต้องมั่นใจว่า ตนจะได้รับเสียงจากประชาชนตามจำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่ซึ่งมีขนาดใหญ่ แต่พอเปลี่ยนเป็น "การคัดเลือกกันเอง" ในกลุ่มอาชีพ ยิ่งกลุ่มอาชีพใดมีผู้สมัครน้อย การซื้อเสียงก็จะยิ่งทำได้ง่ายมากขึ้นไปอีก ส.ว. ชุดใหม่ ไม่มีอำนาจโหวตเลือกนายกฯ ร่วมกับ ส.ส. อำนาจเฉพาะกิจที่มาตามบทเฉพาะกาลนั้นหลังจากที่ครบวาระห้าปีของ ส.ว.ชุดแรกเริ่มของรัฐธรรมนูญปี 60 ก็จะสิ้นผลไปตามความของบทเฉพาะกาลซึ่งมีไว้เพื่อใช้บังคับในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยอำนาจชั่วคราวที่เคยเป็นเครื่องมือสำคัญ มีดังนี้
อำนาจหลักของส.ว. ชุดใหม่ยังอยู่ แก้รัฐธรรมนูญผ่านได้ใช้เสียง 1 ใน 3 เช่นเดิม กรอบการคิดเรื่องอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. จะมีส่วนสัมพันธ์กับที่มาของอำนาจ โดยปกติแล้วฐานคิดก็คือ “ถ้า ส.ว.มีอำนาจมากก็ต้องยึดโยงกับประชาชนให้มากที่สุด” เพื่อให้มีความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งกันและกัน แต่ในรัฐธรรมนูญ 2560 อำนาจของ ส.ว. กลับเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก โดยอำนาจหลัก ๆ มีดังนี้ หนึ่ง พิจารณาและกลั่นกรองกฎหมาย โดยเป็นการร่วมพิจารณากับสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีที่เป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (มาตรา 132) ส่วนการกลั่นกรองกฎหมายคือ การพิจารณากลั่นกรองเป็นชั้นที่สองต่อจากสภาผู้แทนราษฎร และหากไม่เห็นด้วยก็มีอำนาจเพียงยับยั้งไว้ (มาตรา 136 และ มาตรา 143) โดยอำนาจใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาใหม่โดยผลของรัฐธรรมนูญปี 2560 คือ การเข้ามามีส่วนร่วมพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญหากมีผู้เสนอเข้ามา โดยวาระที่หนึ่งและวาระที่สามจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกทั้งสองสภาไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เช่น ถ้ามี ส.ส. ครบจำนวน 500 และ ส.ว. ครบจำนวน 200 รวม 700 คน จะต้องได้เสียงของ ส.ส. และส.ว. รวมกัน 351 เสียงขึ้นไป และในจำนวนดังกล่าว จะต้องมีเสียงของส.ว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวน ส.ว. ที่มีอยู่ หรืออย่างน้อย 67 คน จึงจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ (มาตรา 256) สอง อำนาจตรวจสอบฝ่ายบริหาร เช่น การตั้งกระทู้ถาม (มาตรา 150) หรือ เปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อให้ ครม. แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสําคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ (มาตรา 153) สาม อำนาจให้ความเห็นชอบเพื่อแต่งตั้ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการในองค์กรอิสระ นอกจากนี้ ส.ว. มีอำนาจในการให้ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระในการจัดทำ “มาตรฐานทางจริยธรรม” เพื่อบังคับใช้ต่อองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญนี้ และมาตรฐานทางจริยธรรมที่จัดทำขึ้นเสร็จแล้ว ก็จะมีผลบังคับใช้ต่อนักการเมืองทั้งคณะรัฐมนตรี ส.ส. และ ส.ว. เองด้วย (มาตรา 219) นอกจากนี้ยังมีอำนาจอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเกี่ยวกับการทำหน้าที่ในวุฒิสภาเอง เช่น การตั้งกรรมาธิการ (มาตรา 129) หรือการทำงานร่วมกันกับสภาผู้แทนราษฎรอื่น ๆ เช่น หากมีกรณีที่เกิดปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความเห็น ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งต่อประธานรัฐสภา เพื่อเปิดประชุมสภาและให้ ส.ส. กับ ส.ว. ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวได้ แต่จะไม่สามารถทำการลงมติในปัญหานั้นได้ (มาตรา 165) |