เวลาเกิดอาการไข้ ปวดหัว ปวดตามเนื้อตัวตั้งแต่กล้ามเนื้อ ข้อต่อ ลามไปจนถึงกระดูก คุณมักเลือกใช้ยาแก้ปวดตัวไหนกันบ้างคะ Show
วันนี้ KDMS มีข้อสังเกตลักษณะอาการปวดที่แตกต่างกัน ที่จะช่วยให้คุณเลือกยาให้ถูกขนานและกินได้ถูกต้อง เพื่อแก้ต้นตอของอาการปวดได้อย่างถูกจุดค่ะ ยาพาราเซตามอล (Paracetamol)ยาพาราเซตามอลออกฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง เป็นยาสามัญประจำบ้านที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มักเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจของผู้ป่วยส่วนใหญ่เวลาปวดหัว มีไข้ และครั่นเนื้อครั่นตัว ข้อควรระวัง
ข้อควรระวัง
ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant)ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ต้องจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น ออกฤทธิ์ช่วยลดการตึงตัว หดเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุก หรือตามภาษาชาวบ้านเรียกรวมๆ ว่าอาการเส้นตึง เนื่องจากเวลาให้หมอนวดแผนโบราณจับเส้นกดจุดจะสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อแข็งตึงและหดเกร็ง นั่นเอง มักพบบ่อยในคนวัยทำงานที่ใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนัก ใช้งานผิดท่า หรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ จึงมีอาการปวดไหล่ ปวดคอ ปวดหลัง และรู้สึกช้ำไปหมดทั้งตัว จนต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อช่วยบรรเทาอาการปวด สามารถช่วยลดปวดในระดับที่มีความรุนแรงน้อยถึงปานกลางที่เกิดจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ไม่สามารถลดปวดที่เกิดจากสาเหตุอื่นได้ โดยมากมักใช้ในอาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน เมื่ออาการดีขึ้นแล้วควรหยุดใช้ยาทันที และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ข้อควรระวัง
ผลข้างเคียงและอาการแพ้ยา
ยาแก้อักเสบ (NSAID, Non-steroidal anti inflammatory)ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ต้องจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อในระดับปานกลางถึงรุนแรง ออกฤทธิ์ลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย หลังเกิดอุบัติเหตุมีแผลฟกช้ำ ปวดบวม หรืออาการเส้นเอ็นอักเสบ ข้ออักเสบ หรือข้อเสื่อม และยังสามารถใช้ลดไข้ แก้ปวดศีรษะ และอาการปวดประจำเดือนได้อีกด้วย ข้อควรระวัง
ผลข้างเคียงและอาการแพ้ยา
KDMS ขอแนะนำว่า ถ้าคุณรู้ตัวว่าแพ้ยาชนิดไหน ควรเขียนชื่อยาที่แพ้พกใส่กระเป๋าสตางค์ติดตัวไว้ตลอด สอดในซองเดียวกับบัตรประชาชนได้ยิ่งดี เผื่อเหตุฉุกเฉินกู้ภัยหรือพยาบาลจะได้ทราบข้อมูลสำคัญนี้ก่อนส่งตัวรักษา ถ้ายังมีสติจะต้องแจ้งพยาบาล และย้ำกับแพทย์ก่อนสั่งยาทุกครั้ง เพราะอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของคุณได้ หากนำยาที่มีอยู่เดิมมาใช้ทุเลาอาการเอง ก็อย่าลืมตรวจสอบให้ดีว่ายาหมดอายุแล้วหรือยังทุกครั้งด้วยนะคะ ควรกินยาตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ไม่ควรปรับขนาดเองสุ่มสี่สุ่มห้า เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้ป่วยค่ะ ยาธาตุแก้ท้องเสียใช้รับประทานเพื่อทำลายเชื้อโรคในลำไส้ แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย (อาการท้องเสียจากการติดเชื้อแบบไม่รุนแรง) แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง แต่ไม่ใช่ยาธาตุทุกชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกใช้ควรพิจารณาให้ดีก่อนว่ายาธาตุชนิดนั้นเป็นยาสำหรับแก้ท้องเสียหรือไม่?ยาธาตุแก้ท้องเสีย เป็นแบบไหน ? เวลาท้องเสีย ยาที่เรามักจะนึกถึงอย่างแรกก็คือ ยาธาตุ เพราะเป็นยาที่กินง่าย ปลอดภัย และยังเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ แต่หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าต้องกินยาธาตุชนิดไหน เพราะมีทั้งยาธาตุน้ำแดงและยาธาตุน้ำขาว บางคนเข้าใจผิดว่ายาทั้งสองชนิดสามารถใช้แทนกันได้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ยาธาตุทั้ง 2 ชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน แล้วถ้าท้องเสียต้องใช้ยาธาตุชนิดไหนกันแน่ ? แอปฯ หมอดี มีข้อมูลของยาธาตุมาฝากกันค่ะ ยาธาตุน้ำแดง ใช้เป็นยาขับลมในกระเพาะและลำไส้ ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว อาเจียน เนื่องจากมีกรดในกระเพาะ ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากจุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ นอกจากนี้ยัง มีผลกระตุ้นความอยากอาหารได้บ้าง ยาธาตุน้ำขาว สรรพคุณของยาธาตุน้ำขาว ใช้รับประทานเพื่อทำลายเชื้อโรคในลำไส้ รักษาอาการอักเสบของลำไส้ แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย (อาการท้องเสียจากการติดเชื้อแบบไม่รุนแรง) แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ช่วยขับลม นอกจากนี้ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหารเพื่อการทำลายเชื้อโรคในลำไส้ หรือควบคุมเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่เป็นต้นเหตุทำให้กระเพาะอาหารมีกรดมาก (แต่ยานี้ไม่ได้มีส่วนช่วยในการลดกรด) จะเห็นได้ว่าการเลือกใช้ยาธาตุทั้ง 2 ชนิดขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการปวดท้องที่เป็นอยู่ ไม่สามารถรักษาอาการปวดท้องได้ในทุกกรณี และสำหรับในกรณีที่ท้องเสีย ควรกิน “ยาธาตุน้ำขาว” เพราะยาธาตุน้ำแดงไม่มีส่วนช่วยในการแก้ท้องเสีย และที่สำคัญก่อนใช้ยาทุกครั้งแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายนะคะ ข้อควรระวังของการใช้ยาธาตุแก้ท้องเสีย 1. ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยาแอสไพริน ถ้ามีประวัติแพ้ยาแอสไพรินก็อาจแพ้ยาธาตุแก้ท้องเสียได้เช่นกัน เพราะมีโครงสร้างยาคล้ายกัน 2. ผู้ที่แพ้สารซาลิไซเลต (Salicylate) ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาชนิดนี้ 3. หญิงมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา เนื่องจากตัวยามีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่ จึงควรใช้ยาด้วยความระมัดระวัง 4. ไม่ควรรับประทานยาธาตุแก้ท้องเสียพร้อมกับยาชนิดอื่นภายใน 2-4 ชั่วโมง เพราะอาจดูดซึมฤทธิ์ยาตัวอื่นจนทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ 5. ยามีส่วนผสมของเมนทอล (Menthol) อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนได้ (จากรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาประจำปี พ.ศ.2550 ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2525-2550 พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่ประกอบด้วย Salol + Anise oil + Menthol โดยอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่พบคือ ปากชา หน้าบวม ปากบวม ตัวบวม ผื่นชนิด Erythematous อย่างละ 1 รายงาน พบอาการคัน (Pruritus) และผื่น (Rash) อย่างละ 2 รายงาน และพบรายงานการเกิดผื่นชนิด Maculopapular rash และผื่นลมพิษ (Urticaria) อย่างละ 3 รายงาน) สาระสุขภาพโดย พญ.ปวิตรา วาสุเทพรังสรรค์ แพทย์แผนกอายุรกรรม บนแอปฯ หมอดี หากคุณมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง ไม่แน่ใจว่าต้องกินยาอะไร ไม่สะดวกเดินทางไป รพ. สามารถปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรผ่านแอปฯ หมอดี ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องไป รพ. พร้อมมีบริการจัดส่งยาถึงบ้าน 5 ขั้นตอนง่ายๆ ในการใช้แอปฯ หมอดี 1. ดาวน์โหลดแอปฯ คลิก>> https://mordee.app.link/mordee จากนั้นเลือกเมนูโปรไฟล์ เพื่อลงทะเบียนเข้าใช้งาน 2.ไปที่หน้าแรกของแอปฯ กดแถบค้นหา แล้วเลือกแผนกโรคทั่วไป หรือแผนกเภสัชกรรม 3. เลือกแพทย์ที่ต้องการปรึกษา แล้วทำนัดหมาย โดยเลือกวันและเวลาที่ต้องการ แล้วเลือกรูปแบบการปรึกษาเป็น วิดีโอคอล โทร หรือ แชต จากนั้นทำการชำระเงิน หรือกรอกโค้ดส่วนลด (ถ้ามี) 4. เข้าห้องสนทนาในแอปฯ เพื่อทำการปรึกษาแพทย์ เมื่อถึงเวลานัดหมาย 5. รอสรุปผลการปรึกษาจากแพทย์ พร้อมใบสั่งยา(หากมี) โดยสามารถสั่งซื้อยา แล้วรอรับยาที่บ้านได้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line ID: @mordeeapp MorDee #หมอดี #หมอประจำบ้านในมือคุณTrueHEALTH#ปวดท้อง #ยา #ยาธาตุ #ยาน้ำ #แก้ท้องเสีย #แก้ปวดท้อง
ยอมรับนโยบายการใช้คุกกี้นโยบายการใช้คุกกี้นี้ จะอธิบายถึงประเภท เหตุผล และลักษณะการใช้คุกกี้ รวมถึงวิธีการจัดการคุกกี้ ของเว็บไซต์ทั้งหมด โดยท่านสามารถดูรายการคุกกี้และตั้งค่าการยอมรับการใช้งาน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม |