ม ว ธ ทำไห คาบท ต ดเตาร ดหายไหม

วันที่ 24 ธ.ค.2566 จินตหรา พูนลาภ นักร้องชื่อดัง มาขึ้นเวทีในงานฟรีคอนเสิร์ตของคลื่นลูกทุ่งมหานคร FM 95 ที่บมจ.อสมท โดยร้องเพลง เต่างอย เปิดตัวเป็นเพลงแรก

ทั้งนี้เจ้าตัวได้ทักทายแฟนเพลงด้วยสีหน้าสดใส แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด หลังโชว์จบนักร้องสาวได้รีบเดินทางกลับเพื่อไปทำการแสดงต่ออีกงานทันที.

โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากกรณีที่ชาวเน็ตไปคอมเมนต์แซะ นักร้องลูกทุ่งสาว จินตหรา ที่เคยชวนนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่โดนศาลชั้นต้นติดคุก 10 ปี

ทั้งนี้จินตราเคยได้ร่วมเพลงเต่างอยกับลุงพล จนเป็นกระแสโด่งดังในขณะนั้น มียอดวิวสูงกว่า 20 ล้านวิว โดยหลายความเห็นระบุว่า ที่เอานักโทษคดีน้องชมพู่มาร่วมงานสร้างกระแส ศิลปินและทางค่ายเพลง จะออกมาขอโทษกับสังคมไหม ซึ่งทางด้านนักร้องสาวก็ไม่ได้ออกมาตอบกลับคอมเมนต์แต่อย่างใด

เผยแพร่: 27 ธ.ค. 2559 20:10 ปรับปรุง: 27 ธ.ค. 2559 20:14 โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวศรีราชา - รอง ผบช.ภ.2 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนภาค 2 ลงพื้นที่ตรวจสอบหลักฐาน และเส้นทางหลบหนีของคนร้ายที่ก่อเหตุขโมยเต่า มั่นใจในหลักฐาน แต่ขอเวลาทำงานระยะหนึ่งก่อน

บ่ายวันนี้ (27 ธ.ค.) พล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน เดินทางมาดูพื้นที่เกิดเหตุกรณีเต่าของกลางหายไปจากสถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำ พร้อมเผยว่า กรณีเรื่องเต่าอินเดีย 62 ตัว และเต่าดาวรัศมี ของกลางที่ถูกคนร้ายขโมยไปจากสถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นั้น ขณะนี้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้มอบหมายให้ตนลงมาดูเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ จึงได้ลงพื้นที่มาติดตาม และดูรายละเอียดต่างๆ พร้อมหลักฐานซึ่งคิดว่าคนที่ก่อเหตุขโมยในครั้งนี้มีความรู้เรื่องเต่าเป็นอย่างดี เพราะคนธรรมดาทั่วไปคงจะไม่มาขโมยเต่าอย่างแน่นอน

ส่วนวัตถุประสงค์ที่คนร้ายลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบพิรุธอยู่หลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนลงมาตรวจสอบแล้ว และรายงานให้ตนทราบแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยให้ทราบได้ เพราะเกรงจะเสียรูปคดี

พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อไปว่า ต้องขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานระยะหนึ่งก่อน เพราะทุกอย่างที่ชุดสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่นั้นมีประเด็นสำคัญแทบทั้งสิ้น และหากเปิดเผยไปมาก อาจจะทำให้คนร้ายหลบหนี หรือทำลายหลักฐานได้ โดยขอเวลา และหากมีความคืบหน้าจะชี้แจงหรือแถลงข่าวให้ทราบต่อไป ซึ่งมั่นใจจะจับคนร้ายได้เร็วๆ นี้

อัดรัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่า ธีรยุทธจี้ตั้งกก.ล้างความชอบธรรม "แม้ว"

เผยแพร่: 26 ก.พ. 2550 00:34 โดย: MGR Online

"ธีรยุทธ"ขนานนามใหม่ "รัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่า" ต้วมเตี้ยมมีแต่โรค เชื่อตัวเองเป็นคนดี ตั้งใจทำงานที่สุดความชั่วต้องแพ้ความดี จนไม่คิดการรื้อล้างความชอบธรรมทักษิณเป็นเป้าหมายจำเป็นที่ต้องสืบทอด แถมใช้อำนาจกะปริบกะปรอย ไม่ประสานกัน ส่งผลการเมืองไทยตกอยู่ในสภาพ ทหารฮึ่มๆ คตส.ฮึดฮัด รัฐบาล แหะๆ แนะคมช.รัฐบาล อย่ามัวชกผิดเป้า จี้ตั้ง"คกก.รื้อล้างความชอบธรรมของรัฐบาลทักษิณ"โดยนายกฯเป็นประธาน พร้อมส่งเสริมค่านิยมทุนนิยมแบบพอเพียง รื้อทุนนิยมแบบบริโภคฟรีแบบประชานิยม ขณะที่"สุรยุทธ์"ต้องปรับภาวะการนำ เลิกปลีกวิเวก ต้องสวมบทแม่ทัพ เด็ดขาด จริงจัง ใกล้ชิดประชาชน ก่อนสายเกินแก้จนนำประเทศเข้าสู่วิกฤตความขัดแย้งครั้งใหม่ ที่ใหญ่หลวงเกินตัวเองแบกรับไหว ฟันธงอำนาจเก่าสิ้นฤทธิ์ 4-5 ปีถึงจะหวนคืนแผ่นดินเกิดได้

วานนี้ (25 ก.พ.)นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)และรัฐบาล พร้อมกับมีข้อเสนอแนะ โดยระบุว่า คมช.และรัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาระบอบทักษิณที่ทำให้ประเทศไทยเสียหายร้ายแรงหลายด้าน เหตุการณ์ที่นำมาสู่การรัฐประหารไม่ควรมองว่าเป็นความสำเร็จของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ควรร่วมกันพิจารณาว่า การกู้คืนที่ผ่านมายังทำได้ไม่ดีพอ และตั้งสติร่วมกันหาทิศทางดีที่สุดให้ประเทศ ในแง่ตัวบุคคลมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หมดอนาคตการเมืองแล้ว ต่างประเทศจะเลือกไทยมากกว่าเลือก พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว พลังการเมืองภายในก็ไม่เอา เนื่องจากเป็นตัวเพิ่มปัญหา แต่ทั้งนี้รัฐบาลต้องแก้ปัญหาให้ชาวบ้านจริงจัง เพราะทักษิณสร้างความฝันเอาไว้มาก และต้องหวนกลับสู่ประชาธิปไตยเร็วที่สุด ไม่ใช่เพราะกลัวพ.ต.ท.ทักษิณ แต่เพื่อสร้างการยอมรับทั้งภายในและนอกประเทศ

นายธีรยุทธ มองว่า โดยรวมสภาพของสังคมไทยหลังวิกฤติทักษิณ ความชอบธรรมของทุกภาคส่วนทั้งการเมือง ราชการ สังคม กองทัพ สถานศึกษา อ่อนแอลง ไม่เว้นแม้กระทั่งสื่อ ที่มีความขัดแย้งทางความคิดมากเกินไป ภาคสถาบันประเพณี และยุติธรรมก็ถูกกระทบภาคประชาชนก็สับสนรวนเร เกิดปัญหาข้อขัดแย้งง่าย ส่งผลให้การเมืองในอนาคตไม่มีเสถียรภาพ ไม่ราบรื่น แม้ร่างรัฐธรรมนูญออกมาดีก็ตาม ขณะที่ คมช.เริ่มออกอาการไม่นิ่ง ไม่หลุดพ้นจากวัฒนธรรมอำนาจแบบทหาร ชกผิดเป้า เช่น เปลี่ยนเป้าสร้างกระแสชาตินิยมไปชกสิงคโปร์ ชกกับนามธรรม คือเผด็จการทุนนิยมมากกว่าการยืนยันการโกงกินของระบอบทักษิณ ทั้งยังปิดกั้นการเคลื่อนไหวพรรคการเมือง ระแวงชาวบ้านแบบเหมารวม

"มีแนวโน้มหวนไปใช้วัฒนธรรมอำนาจนิยม 3 ลักษณะ คือ ไม่แก้ปัญหาด้วยระบบ แต่แก้ด้วยตัวบุคคล เช่น วางตัวคนนอกเป็นนายกฯ ให้ทหารคุมกลาโหม หรือความมั่นคง แก้ปัญหาแบบแบ่งแยกและปกครอง โดยสลายฐานกำลัง ดึงคนของ ทรท.มาเป็นพวก เห็นได้จากกรณี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ผลคือทหารจะเข้าไปร่วมมีอำนาจผลประโยชน์กับกลุ่มการเมืองต่างๆ แต่จะไม่ทันเกมและเสียเครดิตในที่สุด มีความเชื่อมั่นที่ผิดว่า อำนาจเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหา ทั้งที่ที่ถูกต้องปัญหาต้องแก้ด้วยความรู้ ความคิด กลไกเชิงสถาบันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับการยอมรับจากสังคม และภาคประชาชน"

ทางแก้ไขปัญหานายธีรยุทธ มองว่า คมช.รัฐบาลควรตระหนักว่า ภารกิจแรกของประเทศคือ ต้องการรื้อล้างความชอบธรรมรัฐบาลทักษิณ โดยรัฐบาลควรตั้ง"คณะกรรมการรื้อล้างความชอบธรรมของรัฐบาลทักษิณ" มีนายกฯ หรือรองนายกฯ ป็นประธาน เพื่อสั่งงานประสานกับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ สอบสวน รวบรวมข้อมูลหลักฐานเส้นทางการเงิน ประวัติบุคคล ในและนอกประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของรัฐบาลทักษิณ พร้อมกับต้องประสานอย่างใกล้ชิดเป็นระบบกับสภานิติบัญญัติ องค์กรตรวจสอบ เร่งรัดแก้กฎหมาย ระเบียบ ทรัพยากรและบุคลากรแบบองค์รวม คือตรวจสอบการคอร์รัปชั่น ความเสียหายอย่างมีเป้า ไม่ใช่ทำงานทางกฎหมายไม่เน้นการเมืองแบบ คตส.และ ป.ป.ช. พร้อมต้องอธิบายความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลทักษิณ ต่อคนไทยและสังคมโลก โดยคณะกรรมการฯ ควรทำงานครอบคลุมในประเด็น รัฐบาลทักษิณก่อความเสียหายต่อประเทศอย่างไร ขาดความชอบธรรมเพราะเข้าดำรงตำแหน่งนายกฯ อย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากซุกหุ้น แอมเพิลริช วินมาร์ค ฯลฯ หรือไม่ ขาดความชอบธรรมเพราะดำเนินนโยบายเชิงทับซ้อนกับผลประโยชน์ส่วนตัว และพวกพ้อง เช่น กรณีแก้ พ.ร.บ.โทรคมนาคม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม การปล่อยเงินกู้แก่พม่า หรือไม่ระบอบทักษิณขาดความชอบธรรมเพราะเปิดช่องทางให้นักการเมือง ทรท. คอร์รัปชั่นสนามบินสุวรรณภูมิ อย่างมโหฬาร เพื่อใช้ในการเลือกตั้งปี 2548 รัฐบาลทักษิณ เปิดช่องให้เครือญาติคอร์รัปชั่นอย่างมหาศาลหรือไม่

อย่างไรก็ตาม นายธีรยุทธ มองว่า รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ เป็น"โรคต่อมความดีโต และต่อมอำนาจโต" เช่นเดียวกับชนชั้นนำทั่วไปของไทยคือ มีความเชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี ตั้งใจทำงาน มีเจตนาดี ความชั่วย่อมจะต้องแพ้ความดี การเข้ามาทำงานให้กับผู้อื่นถือเป็นความดีของตัวเอง จึงกลายเป็นผู้รับไม่ได้ เป็นผู้ให้จริงๆ เป็นเหตุให้รัฐบาลมีทัศนคติผิดพลาดว่า ตัวเองเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่ประคองสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องสืบทอดเป้าหมายการรื้อล้างความชอบธรรมรัฐบาลทักษิณ และเมื่อมีอำนาจแล้ว ก็จะยึดติดอำนาจเป็นของตน เกิดอาการหน้าใหญ่ใจโต แต่ละคนต่างใช้อำนาจกันกะปริบกะปรอย ไม่ประสานงานกัน คล้ายคนเป็น "โรคต่อมลูกหมากโต" จึงแก้ปัญหาไม่ตรงเป้าไม่สุดปลายทาง

"ผมมองว่า ถ้าทักษิณเป็น CEO พล.อ.สุรยุทธ์ ควรเป็นแม่ทัพ เป็นขุนพันธรักษ์ราชเดช ไม่ใช่เป็นแค่ขุนพันธ์เฉพาะกิจ ยิ่งเป็นยุคที่ไม่มีระบบผู้แทนเป็นตัวกลางเชื่อมต่อปัญหาต่างๆ ชาวบ้านเครียด วิตก จากปัญหาเผาโรงเรียน วางระเบิด เศรษฐกิจชะลอตัว ก่อการร้ายภาคใต้ ยิ่งต้องการผู้นำที่มีลักษณะผู้นำสูงกว่าระบอบทักษิณ ถ้าเปรียบก็คือ คนอยากให้มีจตุคามรามเทพ 4 องค์ 4 ทิศ คือ นายกฯ ประธานคมช. ประธานสนช. องค์กรตรวจสอบ มาช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ร้อน ภัยอันตรายต่อชีวิตทรัพย์สินให้ ไม่ใช่ประทับอยู่ในเจว็ดของตน ถ้านายกฯไม่ปรับบุคลิกการนำของตน ปรับครม.อีกกี่ครั้งก็จะไม่ช่วยแก้ปัญหา เพราะสื่อและสังคมไม่เชื่อมั่นในตัวรมต." นายธีรยุทธยังกล่าวอีกว่า นายกฯ ต้องแสดงความเป็นผู้นำใน 5 ด้าน คือ 1. การต่อสู้เชิงการเมืองกับทักษิณ 2. การถอดรื้อความชอบธรรมของทักษิณ 3. การชักชวนคนไทยทั่วประเทศเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อรับมือกับโลกความเสี่ยงยุคใหม่ 4. การระดมสมองนักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ เพื่อแก้ปัญหาและเปิดแนวรุกและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ 5. เป็นผู้นำในการเข้าถึง เข้าใจปัญหาของชาวบ้าน คนยากคนจน อย่าคงลักษณะปลีกวิเวก เพราะจะทำให้ภาวะวุฒิผู้นำต่ำกว่าที่เป็น นอกจากนี้ ยังมีภารกิจการนำทางความคิดเพื่อปูพื้นฐานทิศทางใหม่ของประเทศให้ชัดเจน โดยด้านเศรษฐกิจต้องประสานระหว่างนโยบายเศรษฐกิจทุนนิยมกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือที่เรียกง่ายๆว่า ทุนนิยมแบบพอเพียง ไม่ใช่ทุนนิยมแบบเก็งกำไร หรือทุนนิยมบริโภคฟรีแบบประชานิยม

ด้านการต่างประเทศ ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าไม่มีทางก้าวกระโดดแบบเกาหลีใต้ หรือ สิงคโปร์ แต่เติบโตตามจังหวะก้าวแบบประเทศในเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และเน้นการเป็นพันธมิตรกับประเทศมุสลิม รักษาระยะห่างกับอเมริกาและประเทศตะวันตกที่มีนโยบายแข็งกร้าว เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้

ขณะที่ภาคการเมือง คมช.และรัฐบาลต้องไม่ก้าวล่วงในรายละเอียดการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ต้องตอกย้ำประเด็นไม่สืบทอดอำนาจ และส่งเสริมพรรคการเมืองให้พัฒนาไปสู่ความเป็นสถาบันที่เชื่อมโยงประชาชนและสังคม การแก้ปัญหาคนจน และชนบทไทย ต้องเร่งรณรงค์รื้อถอนทุนนิยมบริโภคฟรี มาสู่ทุนนิยมพอเพียง พึ่งตัวเอง ลดช่วงว่างความแตกต่างในทุกด้าน เคารพความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค การแก้ปัญหาภาคใต้ต้องถือเป็นภารกิจใหญ่ โอกาสที่จะเสื่อมลงมีมาก แม้ฝ่ายก่อการร้ายเริ่มผิดพลาด แต่รัฐบาลก็ต้องดำเนินนโยบายคู่ขนาน นอกจากเปิดกว้างทางสังคม วัฒนธรรม และการเมือง เคารพสิทธิในการที่จะกำหนดสิทธิตัวเองแล้ว นโยบาย

ทางทหารต้องเข้มแข็งสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น ฉับไว ล้ำหน้าสถานการณ์ หรือลำดับของการก่อการร้ายไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ฮึกเหิม ลดทอนการขยายตัว เพิ่มความเชื่อมั่นของสังคมไทย

ขณะเดียวกัน ต้องทำความเข้าใจว่าคนไทยต้องปรับวิถีชีวิตตามสภาพความเสี่ยงใหม่ที่เกิดขึ้น ควรมีศูนย์ป้องกันวินาศภัย ที่มีภารกิจปฏิรูปยกเครื่องการข่าวของประเทศใหม่หมด รณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัว ตระหนักถึงภัยอย่างถูกต้อง จัดระบบวิธีการ การศึกษา และวิธีการป้องกันการก่อร้าย จัดทำเครือข่ายประชาชนอย่างไรก็ตาม ถึงจะวิจารณ์รัฐบาลเพียงใดก็อยากให้พล.อ.สุรยุทธ์ ทำงานผ่านไปด้วยดี จึงควรเจริญสติ สมาธิ ปัญญา เพ่งดูความเสียหายของประเทศในอนาคต มองข้ามพ้นกระพี้สู่แก่นธรรมว่า ผลเสียจากความผิดพลาดของรัฐบาลจะใหญ่หลวงเกินที่ พล.อ.สุรยุทธ์ แบกรับไหวได้ ควรเร่งปรับปรุงภาวะผู้นำ ก่อนจะสายเกินไป

"คนเริ่มมองรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่ต่างจากรัฐบาล เสนีย์-ชวน คือช้าแบบรัฐบาลชวน หลีกภัย และยุ่งเหยิงเป็นฤาษีเลี้ยงลิงแบบรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แต่รัฐบาลชุดนี้เป็น ฤาษีเลี้ยงเต่า ที่ต้วมเตี้ยมคนละทิศคนละทางไปหมด เพราะทั้ง ครม. สภานิติบัญญัติ องค์กรต่างๆล้วนเป็นเทคโนแครตสูงอายุ เชื่อไปคนละทางกัน หรือพูดอีกทางหนึ่งคือ การเมืองไทยเกิดอาการทหารฮึ่มๆ เพราะเป็นจำเลยแต่ไม่มีอำนาจแก้ไข คตส.ฮึดฮัด เพราะขยับตัวไม่ได้ดั่งตั้งใจ ส่วนรัฐบาล แหะๆ คิดว่าตัวเองมาช่วยเป็นรัฐบาลชั่วคราวให้แล้ว ซึ่งผลเสียเริ่มปรากฏแล้ว"

นายธีรยุทธขยายความว่า ผลเสียที่ปรากฏคือสังคมไทยเริ่มรวนเรและไปสู่ความขัดแย้งใหญ่อีกครั้ง เพราะความกริ่งเกรงเกรงใจรัฐบาลของคนเริ่มหายไป อีก 2-3 เดือนข้างหน้า จะเกิดข้อถกเถียงจากหลายฝ่ายอย่างเข้มข้น การที่พล.อ.สุรยุทธ์ไม่ก้าวมานำพาอำนาจต่างๆ ให้ถูกทาง ทำให้เกิดการทำงานผิดฝาผิดตัว ผิดหลักการ ผิดเป้าหมาย เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และเกิดผลเสียเชิงสถาบันของประเทศ เพราะถ้ารื้อล้างความชอบธรรมรัฐบาลทักษิณไม่ได้ ทหาร องค์กร สถาบันต่างๆ แม้แต่ศาล นักวิชาการ สื่อ จะเกรงกลัวต่อภัยของการถูกตามเช็คบิล การพูด คิด จะทำด้วยความโกรธ วิตก ลำเอียง ถ้าสถาบันต่างๆ ของประเทศเกิดอคติเช่นนี้ จะเป็นผลเสียร้ายแรงยิ่งกว่าระบอบการเมืองเสียหายอีกหลายเท่า ซึ่งเมื่อรัฐบาล คมช. องค์กร สถาบันต่าง ๆ ความชอบธรรมลดลง ร่างรัฐธรรมนูญ ผลการสอบสวนของ คตส.,ป.ป.ช. ก็จะลดความขลัง หรือความชอบธรรมลง สร้างปัญหาต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ต่อไป หากถึงขั้นเลวร้าย คมช.กับรัฐบาลขัดแย้งกันเอง จนนายกฯต้องลาออก เกิดปัญหาต้องแสวงหาผู้นำชุดใหม่มาแก้ปัญหาในเวลาที่สั้นลงไม่ใช่เรื่องง่าย และจะส่งผลลดระดับความชอบธรรมของประเทศในอนาคตอีก เลวร้ายสุด คือ กองทัพจะรู้สึกถูกกดดันรู้สึกว่าตัวเองเสียสละแต่ถูกกล่าวร้ายโจมตี จนบางส่วนขาดสติ ถือเป็นข้ออ้างในการสืบทอดอำนาจได้

อย่างไรก็ตาม การออกมาวิจารณ์รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งครั้งนี้ นายธีรยุทธ์ ยังคงสวมเสื้ออกั๊กไหมพรมสีน้ำตาลตัวเก่ง อีกทั้งกล่าวออกตัวในตอนแรกว่า การวิพากษ์วิจารณ์ของตนที่ผ่านมาทำในฐานะนักวิชาการที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เมื่อเวลาผ่านไป ก็ต่อสู้เพื่อสังคมด้วย หากคิดไปแล้วก็ถือว่าเป็นขิงแก่เหมือนกัน และสิ่งที่ต้องออกมาเสนอแนะ ก็ถือเป็นภารกิจต้องช่วยแก้ไขวิกฤติ เพราะวิกฤติที่เกิดขึ้นมันยังแก้ไขไม่หมด และคิดว่าจะกลายเป็นวิกฤติซ้ำขึ้นอีกครั้ง

นอกจากนั้น นายธีรยุทธยังได้วิเคราะห์ถึงปัญหาที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งที่น่าเป็นห่วงคือ ความความต่างของความคิดที่เกิดขึ้นในองค์กรอย่าง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร. ) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)รวมไปถึงรัฐบาลและ คมช. ซึ่งถ้าเกิดขึ้นอย่างรุนแรงก็จะเป็นปัญหาได้ อย่างไรก็ตามที่น่ากลัวที่สุดคือ ความต่างของกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มที่ล้มระบอบทักษิณในอดีต ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ตามระบอบประชาธิปไตยที่เป็นพลังสะสมมาจากหลักการรัฐประหารในช่วงแรก เพราะในช่วงแรกของการรัฐประหารมีการจำกัดเสรีภาพในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งพอผ่านพ้นช่วงนั้นทุก ๆ คนก็พยายามหวนกลับมาสู้ เพื่อเสรีภาพดังเดิม "การใช้เสรีภาพของกลุ่มสนับสนุน และกลุ่มต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ควรจะต้องอยู่ในกรอบยึดหลักเคารพสิทธิเสรีภาพซึ่งกันและกัน แต่ปัญหานี้จะแก้ได้คือ ระบบการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารให้กระจ่าง โดยถ้าองค์กรตรวจสอบมีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าในอดีตมีการกระทำทุจริตอย่างไร ก็ทำให้กลุ่มคนเลิกสนับสนุนคนที่โกง เพื่อให้พวกเขาคิดว่าจะอยู่กับคนโกงไม่ได้"นายธีรยุทธ กล่าว

เมื่อถามถึงความกังวลในการร่างรัฐธรรมนูญที่อาจจะไม่ผ่านประชามติจากประชาชน นายธีรยุทธ กล่าวว่า การทำประชามติไม่ใช่ประเด็นที่น่าเป็นห่วง เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับภาวะทางการเมือง ถ้าการเมืองราบรื่นประชามติก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้าการเมืองติดขัด ก็น่าจะมีปัญหา ซึ่งตนจะรวบรวมข้อมูลและแถลงข่าวในประเด็นนี้อีกครั้ง

เมื่อถามว่า ความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นกับรัฐบาลในอนาคตจะเป็นช่องว่างให้กลุ่มอำนาจเก่าที่หมดอำนาจไปแล้วกลับมามีอำนาจหรือเปล่า นายธีรยุทธ กล่าวว่า ภายใน 3-5 ปีนี้ กลุ่มอำนาจเก่าไม่มีทางกลับมาได้แน่นอน แต่ปัญหาภายในจะพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากสภาวะปัญหาได้ถูกสะสมอย่าเข้มข้น และแหลมคมจากวิกฤตทักษิณ เป็นเวลามากว่า 1 ปี ดังนั้นสิ่งที่น่ากังวลคือ ถ้ามีการเคลื่อนไหวของปัญหาอาจนำไปสู่วิกฤตศรัทธาข้างหน้าแต่ก็อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจรัฐบาล เพราะปัญหาเศรษฐกิจ ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชาแดนภาคใต้ มันสะสมมานานหลายรัฐบาล จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่สำหรับปัญหาคลื่นใต้น้ำที่เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ เชื่อว่าทาง ผบ.ตร.คนใหม่ก็น่าจะแก้ปัญหาได้ภายใน 2 เดือนเพื่อที่จะไม่ให้เกิดขึ้นอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการแถลงข่าวในครั้งนี้ได้มีนักข่าวพีทีวีมาร่วมทำข่าวเป็นครั้งแรกด้วยภายหลังจากที่มีการเปิดตัวสถานีไปเมือวันเสาร์ที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ได้มีสื่อมวลชนจำนวนมากเข้าไปถ่ายรูปรถเก๋งที่แปะสติ๊กเกอร์ของ พีทีวีด้วย

ด้านพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกรณีที่ นายธีรยุทธ ออกมาวิพากษ์รัฐบาลที่ทำงานล่าช้า ไม่เด็ดขาด ซึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ยินคำถามก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ และก็รีบเดินตรงไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับบ้านพัก โดยไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ในช่วงเวลา 17.30 น.นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยภริยา ร่วมเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทานเพลิงศพ จอมพลถนอม กิตติขจร ณเมรุหลวง หน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร