จดหมาย ขอย ม อ ปกรณ ภาษา อ งกฤษ

พระยาพหลพลพยุหเสนาขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีชีวิตเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง เขาเป็นนายกรัฐมนตรีสามสมัย และลาออกจากตำแหน่งเมื่อรัฐบาลแพ้เสียงในสภา เป็นผู้นำคณะราษฎรที่เป็นที่ยอมรับของทุกสายช่วยประสานงานระหว่างฝ่ายพลเรือนและทหาร และมือสะอาด แม้มีโอกาสมากมายที่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวแต่ก็ไม่เคยฉกฉวยโอกาสเหล่านั้น ยามที่เขาถึงแก่อสัญกรรมพบว่าครอบครัวเขาไม่มีเงินพอจัดพิธีศพ และได้รับสมญานามว่า เชษฐบุรุษประชาธิปไตย

ปฐมวัย[แก้]

จดหมาย ขอย ม อ ปกรณ ภาษา อ งกฤษ
พจน์ พหลโยธิน ณ ประเทศเยอรมนี พ.ศ. 2448

พจน์ พหลโยธิน เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2430 ภูมิลำเนา ณ จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร) เป็นบุตรพระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม พหลโยธิน) ชาวไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว มหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มารดาเป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ ชื่อว่านางจับ ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ห้าของนายกิ่ม ภายหลังบิดาถึงแก่อนิจกรรม ท่านก็อยู่ภายใต้การอุปการะของพี่ชายต่างมารดาที่ชื่อนพ (ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาพหลโยธินรามนิทราภักดี)

เมื่ออายุราวแปดขวบ บิดาพาไปฝากเรียนกับขุนอนุกิจวัตร ครูใหญ่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลลัย (ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดพิชัยญาติ) ต่อมาในพ.ศ. 2444 พี่ชายที่เป็นทหารได้ฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก พจน์สอบได้อันดับหนึ่งในชั้นห้า จึงได้รับเลือกศึกษาวิชาทหารที่จักรวรรดิเยอรมันในปี พ.ศ. 2447 พจน์เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมนายร้อยในเมืองพ็อทซ์ดัมเป็นเวลาหนึ่งปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยปรัสเซียในกรุงเบอร์ลินอีกสองปี ซึ่งที่นี่ พจน์และนักเรียนไทยหลายคนได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับแฮร์มัน เกอริง กับฮิเดกิ โทโจ

ราชการทหาร[แก้]

เมื่อจบการศึกษาใน พ.ศ. 2453 พจน์เข้ารับราชการทหารนายสิบในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ของกองทัพเยอรมัน

ระหว่างนี้ได้รับยศร้อยตรีของสยามในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2454 และต่อมาในปีพ.ศ. 2455 พจน์เดินทางจากเยอรมนีไปศึกษาวิชาช่างแสงทหาร ณ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แต่กลับถูกเรียกตัวกลับก่อนเรียนจบ เนื่องจากนักเรียนทหารในเดนมาร์กเรียกร้องขึ้นเบี้ยหวัดจากกระทรวงกลาโหมสยาม กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทรงกริ้วและเรียกตัวนักเรียนทั้งหมดกลับ

เมื่อกลับมาถึงสยามในกลางปี พ.ศ. 2457 พจน์ได้เลื่อนเป็นร้อยโทและเข้าประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 จังหวัดราชบุรี ราวปี พ.ศ. 2459 ได้เป็นผู้บังคับการกองร้อยที่ 2 กรมทหารปืนใหญ่บางซื่อ ในปีถัดมาได้เป็นผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 9 จังหวัดฉะเชิงเทรา (ยศร้อยเอก) ปีถัดมาได้บรรดาศักดิ์เป็น หลวงสรายุทธ์สรสิทธิ์ ตำแหน่งผู้บังคับการทหารบกปืนใหญ่ที่ 2 จังหวัดพระนคร และในปีพ.ศ. 2462 ได้สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ทหารบก กระทรวงกลาโหม และได้รับมอบหมายให้เดินทางไปตรวจรับปืนใหญ่และดูกิจการทหารในจักรวรรดิญี่ปุ่น ปรากฏว่าพจน์ปฏิบัติงานได้ดีเยี่ยมจนได้รับพระราชทานตราตั้งจากจักรพรรดิไทโชเป็นเกียรติยศสำหรับตนเองและประเทศชาติ เมื่อกลับมาสยามได้เลื่อนเป็นพันตรี และเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งขึ้นตามลำดับ

พ.ศ. 2473 เขาเป็นตำแหน่งจเรทหารปืนใหญ่ในยศพันเอก มีหน้าที่ตรวจการและให้ความรู้แก่เหล่าทหารปืนใหญ่ในกรมกอง ในช่วงนี้เขาเห็นว่าบรรดาเสนาบดีและทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้านั้นต่างยึดความคิดตนเองเป็นใหญ่ ไม่คิดจะฟังความคิดเห็นของทหารสามัญชน เขาได้คัดค้านการปืนสโตร๊กบันของฝรั่งเศสเพราะเห็นว่าเป็นปืนเก่าล้าสมัย แต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้ากลับดีเห็นงามกับการซื้อปืนชนิดนี้

การปฏิวัติสยาม[แก้]

พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือร่วมกับพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนของการวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น พระยาพหลฯ รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้ฉลาดที่สุดในกลุ่ม จึงให้พระยาทรงสุรเดชเป็นผู้อำนวยการฝ่ายทหาร รับผิดชอบวางแผนก่อการทั้งหมด ส่วนตัวเขาจะขอเป็นเพียงผู้นำไปปฏิบัติ

ก่อนก่อการ พระยาพหลพลพยุหเสนาได้กล่าวกับภรรยาไว้ว่า "...การที่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ ก็มิได้แน่ใจว่าจะทำสำเร็จดอก มองเห็นข้างศีรษะจะหลุดจากบ่านั้นมากกว่า แต่ที่เห็นแน่ตระหนักในใจก็คือ ถ้าไม่เร่งรัดจัดเปลี่ยนระบอบการปกครองเสียในเวลานี้แล้ว ต่อไปภายหน้าบ้านเมืองก็คงจะประสบแต่ความหายนะถึงล่มจมลงไปเป็นแน่..." แล้วจึงออกจากบ้านไปพร้อมกับพระประศาสน์พิทยายุทธที่ขับรถมารับ มุ่งหน้าไปยังตำบลนัดพบ คือ บริเวณทางรถไฟสายเหนือตัดกับถนนประดิพัทธ์ ในเวลา 05.00 น. เพื่อสมทบกับกลุ่มของพระยาทรงสุรเดช พร้อมกับเหน็บปืนพกโคลต์รีวอลเวอร์ที่เอวเป็นอาวุธข้างกาย ก่อนที่จะเดินทางไปที่กรมทหารม้าที่ 1 เกียกกาย เพื่อลวงเอากำลังทหารและยุทโธปกรณ์มาใช้ในการปฏิวัติตามแผนของพระยาทรงสุรเดช ซึ่งที่คลังแสงภายในกรมทหารแห่งนี้ พระยาพหลฯ เป็นผู้ใช้คีมตัดเหล็กทำการตัดโซ่ที่คล้องประตูคลังแสง เพื่อขนกระสุนและปืนออกมา ระหว่างนี้ พระประศาสน์ฯ ตรงไปเอารถเกราะออกจากโรงรถทหารอย่างเร่งรีบ

เมื่อทหารทุกหน่วยมาพร้อมที่ลานพระบรมรูปแล้ว เวลาเจ็ดนาฬิกาเศษ พระยาพหลฯ เชิญนายทหารสัญญาบัตรมารายล้อม ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีข้อความภาษาเยอรมัน แต่อ่านออกมาเป็นภาษาไทยด้วยน้ำเสียงแตกพร่าว่า "บัดนี้คณะราษฎรอันประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ได้พร้อมใจกันเข้ายึดอำนาจการปกครองไว้แล้วโดยเด็ดขาด เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเยี่ยงนานาอารยประเทศทั้งหลาย..." จากนั้นจึงนำกำลังเข้ายึดพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นกองบัญชาการ การปฏิวัติสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยในเวลาราวเที่ยงวัน

บทบาททางการเมือง[แก้]

จดหมาย ขอย ม อ ปกรณ ภาษา อ งกฤษ
ผู้นำคณะราษฎร ประกอบไปด้วย หลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์, พระยาพหลพลพยุหเสนา, ปรีดี พนมยงค์

เมื่อท่านต้องรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ 2 ของประเทศ แทนที่พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ที่ถูกรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 การทำหน้าที่ของท่านไม่ราบรื่น เนื่องด้วยประสบกับปัญหาหลายด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง รวมทั้งการสงคราม ที่กำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ขึ้น ทำให้ท่านต้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันถึง 3 สมัย จากนั้นก็ลงจากตำแหน่ง แล้วเข้ามาเป็นรัฐมนตรีอีก 3 กระทรวง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในปี พ.ศ. 2477 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี พ.ศ. 2478 จากนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ผันผวนทางการเมือง ท่านก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมัยที่ 4 โดยนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ หลังจากนั้น ก่อนจะเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 5 วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 และลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 และยุติบทบาททางการเมืองไป ซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อมาก็คือหลวงพิบูลสงคราม นายทหารรุ่นน้องที่ท่านไว้ใจนั่นเอง

พระยาพหลพลพยุหเสนาได้รับพระราชทานวังปารุสกวัน จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นที่พำนัก แม้ถึงตอนที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ซึ่งท่านได้ใช้ที่นี่เป็นที่พำนักพักอาศัยตราบจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

พระยาพหลพลพยุหเสนา มีคติประจำใจว่า "ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชาย ต้องไว้ชื่อ" ชีวิตของท่านไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมายเลยแม้จะผ่านตำแหน่งสำคัญ ๆ มามากก็ตาม ใน พ.ศ. 2487 ระหว่างปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ในรัฐบาลพันตรีควง อภัยวงศ์ ที่ขึ้นมาแทนที่รัฐบาลของจอมพลแปลก ที่ได้ลาออกไปก่อนหน้านั้น เมื่อรัฐบาลมีมติปลด จอมพลแปลก ออกจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ (ปัจจุบันคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด) ก็ได้ขอให้ท่านรับตำแหน่งนี้เอาไว้ ทั้งที่ท่านประกาศไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแล้ว ประกอบกับร่างกายที่เป็นอัมพาตจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก แต่ท่านก็รับไว้ในที่สุด แม้จะปรารภว่าจะให้เป็นท่านเป็นแม่ทัพกล้วยปิ้งหรืออย่างไร อีกทั้งระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพันตรีควง ในช่วงนี้ เป็นที่หวาดวิตกว่า อาจมีรัฐประหาร ด้วยกำลังทหารจากจังหวัดลพบุรี ที่ยังให้การสนับสนุนจอมพลแปลกอยู่ เพื่อยุติภาวะอันนี้ พันตรีควง จึงตัดสินใจเดินทางไปพบจอมพลแปลกด้วยตัวเองถึงที่บ้านพักส่วนตัว ภายในศูนย์การทหารปืนใหญ่ จังหวัดลพบุรี หลังจากเจรจากันแล้ว จอมพลแปลกได้ยืนยันว่า ไม่มีความคิดเช่นนั้นเลย อีกทั้งยังมีความรักใคร่ พันตรีควง เสมือนเป็นน้องชายตนเอง ในการครั้งนี้ ด้วยความเป็นห่วงพันตรีควง พระยาพหลพลพยุหเสนาได้โทรศัพท์ไปสอบถามถึงบ้านพักของพันตรีควงถึง 2 ครั้ง เมื่อไม่ได้ความ ก็เดินทางออกจากวังปารุสกวันไปที่หลักสี่เพื่อรอคอยการกลับมาของพันตรีควงด้วยตนเอง ทั้งที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย

พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคอัมพาตเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2488 เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก แต่ด้วยความสามารถของนายแพทย์และด้วยกำลังใจอันเข้มแข็ง ท่านได้ต่อสู้โรคร้ายมาตลอดราว 2 ปีเศษ จนเมื่อเวลา 21.40 น. ของคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2490 ได้เกิดอาการหายใจลึกและสะท้อน ชีพจรอ่อน พูดไม่ได้ มีเสมหะในลำคอมาก ม่านตาไม่ขยาย อาการทรุดลงตามลำดับ จนถึงเวลา 3.05 น. ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ก็ได้ถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 59 ปี 322 วัน นายแพทย์พร้อมกันลงความเห็นว่าเส้นโลหิตในสมองได้แตกอีกเป็นครั้งที่ 2 จึงเป็นเหตุให้ถึงแก่อสัญกรรม ซึ่งงานศพของท่านทางครอบครัวไม่มีเงินเพียงพอที่จะจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ จนทางรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ต้องเข้ามารับอุปถัมภ์ จัดการงานพระราชทานเพลิงให้ท่านแทน ศพของพระยาพหลฯ ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วังปารุสกวันและพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นวัดที่ท่านอยู่จำศีลภาวนาเมื่อคราวอุปสมบท

อนุสรณ์[แก้]

ภายหลังการอสัญกรรม ได้มีการเปลี่ยนชื่อถนนตามนามสกุลของท่าน คือ ถนนพหลโยธิน และมีการสร้างโรงพยาบาลและใช้ชื่อเป็นการระลึกถึงท่าน คือ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ที่จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งท่านถือจากว่าจังหวัดกาญจนบุรีเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีสะพานพหลพลพยุหเสนา ในเทศบาลเมืองกาญจนบุรีและปัจจุบัน มีการสร้างพิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา อยู่ภายในศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธิน หมู่ที่ 7 ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของท่านมาก่อนในขณะเป็นผู้บังคับบัญชา ภายในรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ รูปปั้น ชุดเครื่องแบบ ตลอดจนรูปถ่าย จดหมายลายมือของท่าน และบัตรประจำตัว เพื่อเป็นแหล่งศึกษาชีวประวัติและเชิดชูเกียรติของท่าน ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัด

ครอบครัว[แก้]

พระยาพหลพลพยุหเสนา สมรสครั้งแรกกับ คุณหญิงพิศ แต่ไม่มีบุตร-ธิดาด้วยกัน ต่อมาได้สมรสครั้งที่สองกับบุญหลง ธนะโสภณ มีบุตร-ธิดา รวม 7 คน คือ

  1. นางสาวภาพร พหลพลพยุหเสนา
  2. นางพรจันทร์ ศรีพจนารถ
  3. พลตรี ชัยจุมพล พหลพลพยุหเสนา
  4. พันตรี พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา
  5. นางพจี พหลโยธิน สุทธินาค
  6. นางพวงแก้ว สาตรปรุง
  7. พันตำรวจโท พรหมธรมหัชชัย พหลพลพยุหเสนา

เกียรติยศ[แก้]

ยศทหาร[แก้]

  • 23 มกราคม พ.ศ. 2454: นายร้อยตรี
  • 11 สิงหาคม พ.ศ. 2457: นายร้อยโท
  • 2 กันยายน 2457 – โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมส่งสัญญาบัตรไปพระราชทาน
  • 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2459: นายร้อยเอก
  • 29 สิงหาคม 2460 – โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมส่งสัญญาบัตรยศทหารบกไปพระราชทาน
  • 21 เมษายน พ.ศ. 2462: นายพันตรี
  • 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2466: นายพันโท
  • 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2471: นายพันเอก
  • 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2480: นาวาเอก นาวาอากาศเอก
  • 1 เมษายน พ.ศ. 2482: พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี
  • 19 มิถุนายน พ.ศ. 2484: พลโท
  • 21 ธันวาคม พ.ศ. 2485: พลเอก
  • 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486: พลเรือเอก พลอากาศเอก

บรรดาศักดิ์[แก้]

  • 20 เมษายน พ.ศ. 2461: หลวงสรายุทธ์สรสิทธิ์
  • 6 สิงหาคม 2462 – โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมส่งสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ไปพระราชทาน
  • 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2467: พระสรายุทธ์สรสิทธิ์
  • 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474: พระยาพหลพลพยุหเสนา
  • 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2485: ประกาศยกเลิกบรรดาศักดิ์
  • 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488: คืนบรรดาศักดิ์ พระยาพหลพลพยุหเสนา

เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]

พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย[แก้]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ[แก้]

ตำแหน่งทางวิชาการ[แก้]

  • ศาสตราจารย์วิสามัญแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดูเพิ่ม[แก้]

  • ความเคลื่อนไหวสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม

อ้างอิง[แก้]

  • ↑ ส.พลายน้อย. พระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีผู้ซื่อสัตย์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2555. 137 หน้า. ISBN 9740208754
  • ↑ จรี เปรมศรีรัตน์. กำเนิดพรรคประชาธิปัตย์ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 : 61 ปีประชาธิปัตย์ยังอยู่ยั้งยืนยง. นนทบุรี : ใจกาย, 2552. 323 หน้า. ISBN 9789747046724
  • ↑ “เชษฐบุรุษ” พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) พ.ศ. 2430-90 ศิลปวัฒนธรรม. 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
  • "ประวัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-14. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
  • ↑ นเรศ นโรปกรณ์, 100 ปี พระยาพหลฯกรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2531), 17.
  • ย้อนราก “3 ทหารเสือ” คณะราษฎร ผลผลิตจากโรงเรียนนายร้อยเยอรมนี ศิลปะวัฒนธรรม. 25 มีนาคม พ.ศ. 2563
  • Judith A. Stowe: Siam Becomes Thailand. A Story of Intrigue. C. Hurst & Co., London 1991, ISBN 0-82481-393-6, S. 370.
  • แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่อง เลื่อนย้ายนายทหารรับราชการกับออกจากประจำการ (หน้า ๑๓๐๐) ราชกิจจานุเบกษา
  • แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่อง ย้ายนายทหารรับราชการ (หน้า ๓๖๓๘) ราชกิจจานุเบกษา
  • ↑ กุหลาบ สายประดิษฐ์, เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์บูรพาแดง, 2518)
  • 24 มิถุนายน (6) จากเดลินิวส์ โดย นรนิติ เศรษฐบุตร รศ.
  • ↑ หลอกทหารมาปฏิวัติ 2475 แผนการลวงของพระยาทรงสุรเดช ศิลปวัฒนธรรม. 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563
  • นายหนหวย. ทหารเรือปฏิวัติ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, พฤศจิกายน 2555 (พิมพ์ครั้งที่ 3). 124 หน้า. ISBN 9789740210252
  • หนังสือ 111ปี ฯพณฯ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เชษฐบุรุษ พิมพ์ครั้งที่1 กันยายน 2552 หน้าที่ 90-91
  • พิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา[ลิงก์เสีย]
  • พระราชทานยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา
  • ตั้งตำแหน่งยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา
  • รายวันส่งสัญญาบัตรยศนายทหารบกไปพระราชทาน
  • พระราชทานยศนายทหารบก ราชกิจจานุเบกษา. 4 มิถุนายน 2459
  • ส่งสัญญาบัตรยศทหารบกไปพระราชทาน
  • พระราชทานยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา. 27 เมษายน 2462
  • พระราชทานยศทหารและข้าราชการในกระทรวงกลาโหม ราชกิจจานุเบกษา. 20 พฤษภาคม 2466
  • พระราชทานยศ
  • ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง พระราชทานยศทหาร
  • ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง พระราชทานยศทหาร
  • พระราชทานยศทหาร เก็บถาวร 2018-07-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ราชกิจจานุเบกษา. 1 มกราคม 2486
  • พระราชทานยศทหาร เก็บถาวร 2018-07-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ราชกิจจานุเบกษา. 23 พฤศจิกายน 2486
  • "พระราชทานตั้งเลื่อนบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 35: 208. 28 เมษายน 2461. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-07-03. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2563.
  • ส่งสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ไปพระราชทาน
  • "พระราชทานบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 41 (ง): 1244. 20 กรกฎาคม 2467. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-09-27. สืบค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2559.
  • "พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 48 (ง): 3011. 15 พฤศจิกายน 2474. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-06-30. สืบค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2559.
  • "พระบรมราชโองการ ประกาศเรื่อง การยกเลิกบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 48 (33ก): 1089. 15 พฤษภาคม 2485. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-08-13. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2563. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๖๓๐, ๑๘ มีนาคม ๒๔๘๒