การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยลดความอ้วนหรือทำให้มีกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่ทำให้สุขภาพปอดแข็งแรงได้ เวลาที่ออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น และปอดก็จะทำงานหนักขึ้น ร่างกายจึงต้องการออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงมากขึ้นเช่นกัน ปอดจึงนำออกซิเจนไปตามส่วนต่างๆ แล้วกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา และนั่นก็คือการบริหารการทำงานของปอดนั่นเอง Show
3.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำลายปอด ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันให้ห่างไกลจากปัจจัยที่ทำลายปอด หรือส่งผลกระทบต่อระบบภูมิต้านทานโดยตรง โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพปอดเรื้อรังมากกว่าคนที่ไม่สูบ เช่น โรคปอดอักเสบ โรคถุงลมปอดโป่งพอง โรคปอดบวม โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง ฯลฯ รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงในโรคติดเชื้อในปอด เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้กลไกป้องกันการติดเชื้อของปอดลดลง รวมไปถึงควรหลีกเลี่ยงการสูดดมกลิ่นควันรถยนต์และมลภาวะ ซึ่งเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่จะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย หากสูดดมเป็นระยะเวลานาน อาจมีความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งปอดได้ 4.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18-64 ปี ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละประมาณ 7-9 ชั่วโมง เพื่อให้อวัยวะสำคัญได้ทำงานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการนอนหลับเกี่ยวข้องกับการทำงานของต่อมไร้ท่อและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คนที่อดนอนหรือนอนดึกติดต่อกันเป็นเวลานาน มักมีปัญหาด้านสุขภาพและสภาพจิตใจ ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคลดลง เจ็บป่วยได้ง่าย รู้สึกอ่อนเพลียในเวลากลางวัน และอาจเกิดปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจได้อีกด้วย 5.ดื่มน้ำให้ปอดชุ่มชื้น การดื่มน้ำเปล่าสะอาดถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยเรื่องระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย เราจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือประมาณวันละ 6-8 แก้ว เนื่องจากน้ำจะช่วยบำรุงปอดให้ชุ่มชื้น ทำให้ปอดไม่แห้ง เพราะหากปอดแห้งจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองในปอด เมื่อปอดขาดน้ำและมีอุณหภูมิสูง ก็มักทำให้ปอดติดเชื้อได้ง่าย ส่งผลให้ภูมิต้านทานตก มีอาการหิวน้ำ ไอแห้ง ๆ มีไข้ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจในเวลาต่อมาได้เช่นกัน 6.รักษาปอดให้อบอุ่นอยู่เสมอ หากอยู่ในสถานที่มีอากาศหนาวเย็น ควรสวมเสื้อผ้าหนา ๆ หรือห่มผ้าให้มิดชิด เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ปอดอยู่เสมอ เนื่องจากเมื่ออากาศแห้งและเย็นจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ปอดของเราระคายเคือง อาจส่งผลให้เกิดอาการไอ หายใจหอบ เหนื่อยง่าย บางครั้งอาจมีเสียงหวีดขณะหายใจ หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจเป็นปวดบวม ปอดชื้น และปอดติดเชื้อ จนมีอาการทางระบบหายใจที่รุนแรงมากขึ้น การทำให้ปอดอบอุ่นอยู่เสมอจึงถือเป็นวิธีดูแลปอดให้แข็งแรงที่ไม่ควรมองข้าม 7.หายใจเข้า-ออกแบบลึก ๆ กระบวนการหายใจจำเป็นต้องพึ่งพาปอดเป็นหลัก เนื่องจากเมื่อหายใจเข้า จะนำออกซิเจนเข้าไปในปอดและเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อหายใจออก ปอดก็จะเป็นการนำคาร์บอนไดออกไซด์ขับออกจากร่างกาย โดยสามารถช่วยดูแลปอดให้แข็งแรงได้ในทุกวัน ผ่านการฝึกหายใจเข้า-ออกแบบลึก ๆ อย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง เพื่อบริหารปอด กระบังลม และกล้ามเนื้อทรวงอก เนื่องจากการสูดลมหายใจเข้า-ออกลึก ๆ จะทำให้ปอดได้ขยายตัวอย่างเต็มที่ ส่งผลให้หายใจได้สะดวกขึ้นนั่นเอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดขึ้นได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะเบาหวานประเภทที่ 1 แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปได้เช่นกัน เมื่อมีอาการ ควรรีบรับประทานอาหารหวาน ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงการ จนเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำคืออะไรภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือ 3.9 มิลลิโมลต่อลิตรในผู้ป่วยเบาหวาน หรือต่ำกว่า 55 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือ 3.1 มิลลิโมลต่อลิตรในคนทั่วไป เมื่อมีอาการ ควรรีบรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มหวาน ๆ ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ อาการน้ำตาลในเลือดต่ำสัญญาณและอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่
หากอาการแย่ลง การทำงานของร่างกายอาจไม่ประสานกัน สูญเสียความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน มองเห็นหรือพูดไม่ชัด เวลากลางคืนอาจนอนหลับไม่สนิท ฝันร้าย เหงื่อออกมาก ตื่นขึ้นมาไม่สดชื่นหรือมึนงง สาเหตุที่น้ำตาลในเลือดต่ำน้ำตาลในเลือดต่ำในผู้ป่วยเบาหวานเหตุการณ์เหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
น้ำตาลในเลือดต่ำในคนทั่วไปภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำแบ่งออกเป็นได้ 2 ประเภท นั่นคือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังรับประทานอาหารและภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากการอดอาหาร
ควรพบแพทย์เมื่อไรควรพบแพทย์ทันทีในกรณีดังต่อไปนี้
ภาวะแทรกซ้อนเมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อวัยวะล้มเหลว สมองถูกทำลายถาวร โคม่า และแม้กระทั่งเสียชีวิต การตรวจวินิจฉัยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำการตรวจวินิจฉัยสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน สามารถใช้เครื่องตรวจน้ำตาล เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือดโดยการเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว โดยสามารถตั้งให้เครื่องตรวจน้ำตาลช่วยเตือนเวลาที่น้ำตาลอาจจะตกได้ เช่น เวลานอนหรือขับรถ การตรวจวินิจฉัยสำหรับคนทั่วไป แพทย์จะทำการตรวจน้ำตาลในเลือดทุก 2-3 ชั่วโมง และอาจทำการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายเพิ่มเติมเพื่อดูว่าภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมีสาเหตุมาจากเนื้องอกหรือไม่ สำหรับผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังรับประทานอาหาร แพทย์จะทำการตรวจ Mixed-Meal Tolerance Test (MMTT) โดยให้ผู้เข้ารับการรักษาดื่มเครื่องดื่มชนิดพิเศษเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและให้ร่างกายผลิตอินซูลิน จากนั้นจะทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอีกหลายครั้งในอีก 5 ชั่วโมงต่อมา การรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระยะไม่รุนแรงหรือปานกลางสำหรับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระยะไม่รุนแรงหรือปานกลาง สามารถทำการรักษาตามกฎ “15-15 rule” ซึ่งแนะนำโดยองค์กรโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา (the American Diabetes Association)
ตัวอย่างอาหารคาร์โบไฮเดรตออกฤทธ์เร็วในปริมาณ 15 กรัม
หากไม่มีเครื่องตรวจระดับน้ำตาล ให้ปฏิบัติตามกฎ 15-15 จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรงหากพบผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และหมดสติ หรือมึนงง ไม่ควรให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารใด ๆ เพราะอาจทำให้สำลักได้ แล้วฉีดฮอร์โมนกลูคากอน ซึ่งมีทั้งในรูปแบบยาพ่นเข้าโพรงจมูกและยาฉีด เพื่อกระตุ้นให้ตับปล่อยกลูโคสที่กักเก็บไว้ โดยควรอ่านเอกสารกำกับยาก่อนใช้ หลังให้ยา 5 - 15 นาที ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวและอาจรู้สึกคลื่นไส้ หากผู้ป่วยนอนราบอยู่ให้จับนอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลัก การป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดต่ำ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักเกิดขึ้นบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน หากไม่ได้รับการรักษา อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต การรู้จักสังเกตุอาการและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสามารถช่วยป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระดับรุนแรงได้ |