Line iphone 4s vdo call กล ม ไม ได

คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ iOS ของ Apple อย่าง iPhone, iPad และ Mac คือความสามารถในการตั้งค่าวิดีโอแชทแบบเห็นหน้ายินเสียงกันและกันอย่างรวดเร็วและง่ายดายด้วยแอปพลิเคชัน FaceTime ที่ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้ใช้ FaceTime คนอื่น ๆ แบบตัวต่อตัวโดยการแตะรายการในรายชื่อผู้ติดต่อของคุณ

Apple Inc. เป็นผู้พัฒนาแอป FaceTime ด้วยมาตรฐานแบบเปิดซึ่งหมายความว่าในทางเทคนิค FaceTime สามารถใช้งานได้ในหลายแพลตฟอร์มและผู้ผลิตรายอื่นสามารถใช้ประโยชน์จากโปรโตคอลของ FaceTime ได้ แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว FaceTime ยังคงมีให้บริการสำหรับผู้ใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ Apple เท่านั้น โดยเฉพาะบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ iOS ที่มีกล้องหน้าและคอมพิวเตอร์Mac ทุกเครื่องที่ติดตั้งกล้อง ทั้ง FaceTime, FaceTime Audio เวอร์ชันเสียง พร้อมใช้งานบนอุปกรณ์ iOSทุกรุ่นที่รองรับ iOS 10.0 หรือใหม่กว่านั้น และ Mac ทุกเครื่องที่มีกล้องหน้าที่ใช้ Mac OS X 10.9.2 และใหม่กว่า ซึ่งเห็นได้ชัดว่า Apple พยายามสนับสนุนให้ผู้ใช้ทุกคนใช้ซอฟต์แวร์นี้สำหรับวิดีโอแชท แม้ว่าพวกเขาจะสามารถพูดคุยกับอุปกรณ์ หรือผู้ใช้ Mac เครื่องอื่นด้วยก็ตาม

คุณสมบัติอื่น ๆ บางอย่างใน FaceTime คือมุมมองของภาพ ด้วยคุณสมบัตินี้คุณสามารถดูได้อย่างชัดเจนว่าคู่สนทนาของคุณกำลังทำอะไรอยู่ในขณะคุยกัน และคุณยังสามารถใช้กล้องหน้าหรือกล้องหลังบนอุปกรณ์ของคุณ รวมทั้งเปลี่ยนระหว่างมุมมองแนวนอนและแนวตั้งได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ FaceTime ยังสามารถรองรับแฮงเอาท์วิดีโอความละเอียดสูงได้โดยกล้องความละเอียดสูง (สูงสุด 720p) บนอุปกรณ์ของคุณ

การใช้ FaceTimeไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

มีหลายคนสงสัยว่าการใช้งาน facetime เสียเงินไหม? แอปพลิเคชัน facetime นี้ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการโทรหรือเชื่อมต่อ และถูกติดตั้งบนอุปกรณ์ iOS ของ Apple ที่มีกล้อง สิ่งเดียวที่ Apple ต้องการเพื่อให้คุณสามารถใช้แอป FaceTime บน iPad, iPhone หรือ iPod Touch และ Mac ของคุณได้คือ Apple ID ในขณะที่ Apple ID ลงทะเบียนเพื่อให้คุณใช้จ่ายเงินที่ iTunes Store แต่การตั้งค่าในแอปนี้จะไม่มีค่าใช้จ่าย

เดิม FaceTime ทำงานผ่านการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย Wi-Fi เท่านั้น โดยกำหนดให้บุคคลที่ปลายสายทั้งสองฝ่ายมีบริการอินเทอร์เน็ตของตนเอง หากต้องการใช้ FaceTime ที่สำนักงานหรือที่บ้านคุณต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตซึ่งคุณหรือ บริษัท ของคุณต้องจ่ายค่าอินเตอร์เน็ต หากคุณสามารถค้นหาการเชื่อมต่อ Wi-Fi ฟรี เช่นเดียวกับในสถานที่สาธารณะหลายแห่ง คุณก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ FaceTime

หลังจากการเปิดตัว iPhone 4S และ iPad รุ่นที่สาม Apple ได้ริเริ่มจัดโครงสร้าง FaceTime ให้ใช้การเชื่อมต่อข้อมูลเซลลูลาร์หากไม่มีการเชื่อมต่อ Wi-Fi เนื่องจากแผนบริการเซลลูลาร์จำนวนมากมีขีดจำกัดข้อมูลของคุณอาจต้องจ่ายเงินเติมอินเตอร์เน็ตสำหรับการใช้งานหากคุณใช้ FaceTime เป็นประจำ ซึ่งมีการทดสอบของบุคคลที่สามที่จัดทำโดย AnandTech ระบุว่าแอปใช้ Bandwidthไม่เกิน 150 kbps วิธีนี้ใช้ได้กับการแชทแบบ FaceTime ที่ใช้เวลาประมาณ 14 หรือ 15 ชั่วโมง 1GB

หากคุณเลือกใช้ฮอตสปอตส่วนตัวหรือแผนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถือสมาร์ทโฟนเพื่อรองรับการใช้งาน FaceTime คุณจะยังคงต้องเสียค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ต แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแผนบริการเซลลูลาร์ของคุณ แต่คุณต้องเสียค่าใช้จ่ายบางส่วน เนื่องจาก FaceTime มีรายงานว่ามีพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างต่ำกว่าแอปพลิเคชันวิดีโอแชทอื่น ๆ จึงใช้งานได้น้อยกว่าเครื่องมือคู่แข่ง อีกอย่าง FaceTime สามารถโทรหาได้เฉพาะผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple เท่านั้น

การเปิดใช้งาน FaceTime

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าคุณอาจถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเพื่อเปิดใช้งานบริการ FaceTime ซึ่งต้องถามคุณก่อนว่าได้ทำการเปิดใช้ FaceTime บนอุปกรณ์ของคุณแล้วหรือไม่? และมีวิธีการเปิดใช้ยังไง? โดยวิธีการตรวจสอบและเปิดใช้งานก็ง่ายมากๆ แม้ว่าจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ของคุณ ซึ่งคุณสามารถทำได้ได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. เปิดใช้งาน FaceTime บน iPhone, iPad หรือ iPod touch
  2. เปิดการตั้งค่า
  3. ไปที่ FaceTime

ตรวจสอบว่าแท็บนั้นเป็นสีเขียวหรือไม่ หากไม่ใช่นั้นหมายความว่ายังไม่ถูกเปิดใช้งาน แต่ถ้าจะเปิดใช้งานคุณต้องเตรียมหมายเลขโทรศัพท์และ Apple ID ของคุณที่เชื่อมโยงกับบัญชีและบริการ FaceTime และ iMessage

เผยแพร่: 23 มิ.ย. 2555 13:09 โดย: MGR Online

กลายเป็นคำถามคาใจผู้บริโภคไม่น้อย เมื่อปรากฏว่าระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพาของแอปเปิล"iOS 6" เวอร์ชันล่าสุดกลับมาพร้อมคุณสมบัติหลายอย่างที่มีอยู่แล้วในระบบปฏิบัติการ Android 4.0 ซึ่งทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน ในวันที่ iOS 6 ยังไม่พร้อมลงตลาดเช่นนี้ ผู้บริโภคจึงเริ่มข้องใจว่าควรจะรอซื้อ iPhone รุ่นต่อไปที่มาพร้อม iOS 6 ฉบับสมบูรณ์ หรือว่าควรซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่มาพร้อม Android 4.0 ตอนนี้เลย?

เพื่อหาคำตอบนี้ คุณสมบัติใหม่ใน iOS 6 ซึ่งแอปเปิลเพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมาจึงถูกนำมาเปรียบเทียบว่าตรงกับคุณสมบัติใดบ้างที่ Android 4.0 มีอยู่แล้ว โดยบางคุณสมบัติถูกแฟนแอนดรอยด์ตราหน้าว่าเป็นสิ่งที่แอนดรอยด์มีมานานแล้วหลายปี คุณสมบัติแรกคือ Turn by turn driving direction หรือระบบนำทางบนแผนที่ชนิดเลี้ยวต่อเลี้ยว ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า iOS 6 จะมาพร้อมระบบแจ้งสภาพจราจรแบบเรียลไทม์และระบบนำทางแบบ Turn-by-turn ของบริษัททอมทอม (TomTom) โดยจะสามารถทำงานร่วมกับ Siri โปรแกรมสั่งการค้นหาข้อมูลด้วยเสียงใน iPhone

จุดนี้สาวกกูเกิลล้อว่าผู้ใช้แอนดรอยด์ทุกรุ่นสามารถใช้ระบบนำทางเลี้ยวต่อเลี้ยวได้แล้ว แต่แอปเปิลกลับจำกัดให้ใช้งานได้เฉพาะบน iPhone 4S และ iPad 2 ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของชาวออนไลน์ เพราะทุกคนสามารถไขว่คว้าหาแอปพลิเคชันนำทางเลี้ยวต่อเลี้ยวนี้จากนักพัฒนารายอื่นได้อยู่แล้ว

ความสามารถอื่นๆของระบบแผนที่ใน iOS 6 ยังถูกปรามาสว่ามีมานานแล้วในระบบแผนที่ของแอนดรอยด์เช่น ระบบแผนที่ 3 มิติ ขณะเดียวกัน ระบบแผนที่ของกูเกิลยังเหนือกว่าเรื่องข้อมูลการเดินเท้าและระบบขนส่งมวลชนในท้องถิ่น แถมกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สามารถใช้งานขณะออฟไลน์ได้

คุณสมบัติที่ 2 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวใน iOS 6 แต่มีแล้วในแอนดรอยด์คือ Unique account signature การเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถมีลายเซ็นต์ในอีเมลได้หลากหลายเพื่อใช้บนอีเมลที่มีจุดประสงค์ต่างกัน เช่น ลายเซ็นต์สำหรับอีเมลงาน และลายเซ็นต์สำหรับอีเมลส่วนตัว จุดนี้แอปฯ Gmail นั้นมีคุณสมบัตินี้อยู่แล้ว เช่นเดียวกับแอปฯอีเมลสำหรับผู้ใช้แอนดรอยด์อย่าง IMAP และ K-9 Mail ก็ล้วนรองรับคุณสมบัตินี้ คุณสมบัติที่ 3 คือ System-wide Facebook and Twitter integration หรือการผสานรวม iOS 6 เข้ากับบริการเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์แบบเป็นเนื้อเดียว เพราะในแอนดรอยด์ หากผู้ใช้ติดตั้งแอปฯทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กลงในอุปกรณ์ ปุ่มทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กจะปรากฏใน default share menu อัตโนมัติเพื่อให้ผู้ใช้แตะเพื่อแบ่งปันภาพที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องออกจากหน้าคอนเทนต์นั้นเพื่อไปเปิดแอปฯให้เสียเวลา จุดนี้เป็นคุณสมบัติที่ผู้ใช้แอนดรอยด์ใช้กันมานานแล้ว

คุณสมบัติที่ 4 คือการเปิดให้ผู้ใช้ iOS 6 สามารถสร้าง VIP List หรือกล่องรับอีเมลจากคนสำคัญที่ผู้ใช้กรองเฉพาะอีเมลจากคนที่ต้องการอ่านเท่านั้น คุณสมบัตินี้ล้วนเป็นการไล่ตามแอนดรอยด์เช่นเดียวกับการเปิดให้ผู้ใช้แทรกรูปภาพและวิดีโอในหน้ากล่อง Mail ของผู้ให้บริการอีเมล (จากเดิมที่ผู้ใช้ iOS ต้องเข้าที่แอปฯเพื่อเปิดชมรูปก่อนจึงจะสร้างอีเมลได้) สำหรับคุณสมบัติใหม่ใน iOS 6 ที่ยังไม่มีใน Android 4.0 แต่ก็สามารถทำให้มีใช้งานได้ทันทีด้วยการดาวน์โหลดแอปฯแอนดรอยด์นั้นได้แก่คุณสมบัติอย่าง Do Not Disturb and Reply with Message คุณสมบัตินี้แอปเปิลต้องการให้ผู้ใช้ iOS 6 สามารถเลือกปิดการแจ้งเตือนหรือ notification ทุกบริการที่มีบนสมาร์ทโฟน ทำนองเดียวกับการติดป้ายห้ามรบกวนหรือ Do Not Disturb หน้าห้องพัก โดยคุณสมบัตินี้จะทำงานคู่กับฟังก์ชัน Reply with Message ซึ่งผู้ใช้ iOS 6 จะสามารถตอบสาย missed calls ด้วยข้อความ SMS ให้ปลายสายรู้ว่าเจ้าของเครื่องไม่ว่างรับสาย

คุณสมบัตินี้ผู้ใช้แอนดรอยด์ล้วนหาได้จากแอปฯ ประเภท dialer ซึ่งเป็นโปรแกรมเสริมที่อาสาเพิ่มคุณสมบัติด้านการต่อสายโทรศัพท์ให้กับแอนดรอยด์ เช่นแอปฯอย่าง Auto SMS หรือ AutoReply ก็ทำให้ผู้ใช้แอนดรอยด์สามารถส่ง SMS ตอบกลับอัตโนมัติเพื่อแจ้งผู้ติดต่อว่าไม่ว่าง เป็นต้น จุดนี้ผู้ผลิตแอนดรอยด์บางรายยังติดตั้งแอปฯลักษณะนี้ซึ่งตัวเองพัฒนาเองมาให้ตั้งแต่โรงงาน (pre-load) ทั้งหมดยังไม่เคยมีบนอุปกรณ์ iOS

สำหรับคุณสมบัติดาวรุ่งอย่าง Passbook แอปฯที่แอปเปิลพัฒนามาให้ผู้ใช้มีศูนย์กลางจัดการสมบัติส่วนตัวอย่างตั๋วโดยสารเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ (boarding pass), บัตรของขวัญ (gift card), ข้อมูลการเดินทาง รวมถึงตั๋วโดยสารขนส่งมวลชนต่างๆ แม้แอปเปิลจะการันตีว่าแอปฯนี้จะสามารถอัปเดตข้อมูลการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่นหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลประตูขึ้นเครื่องบิน ตั๋วที่เก็บใน Passbook จะอัปเดทตัวเองด้วยพร้อมแจ้งเตือนผ่าน Notifications แต่ทั้งหมดกลับถูกมองว่าไม่มีอะไรใหม่บน Android

จริงอยู่ที่ชาวแอนดรอยด์จะไม่มีแอปฯชนิด all-in-one ที่สามารถทำงานตามคุณสมบัติของ Passbook ได้ครบในแอปฯเดียว แต่วันนี้บางแอปฯเปิดให้บริการแก่ชาวแอนดรอยด์แล้วในคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกัน เช่น แอปฯ TripIt สำหรับจัดการตั๋วโดยสารออนไลน์, Key Ring สำหรับการจัดการบัตรของขวัญ และ Fandango และ Flixster สำหรับจัดการตั๋วชมคอนเสิร์ตและงานอีเวนต์ต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ Siri ซึ่งแอปเปิลการันตีว่าได้พัฒนาขึ้นมากบน iOS 6 โดยเพิ่มความสามารถให้ผู้ใช้ส่งเสียงเพื่อเปิดแอปฯใดๆก็ได้ จุดนี้สาวกแอนดรอยด์บอกว่าแอปฯอย่าง Vlingo ซึ่งเป็นผู้พัฒนาฟังก์ชัน S Voice บนสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S III นั้นก็สามารถทำงานได้ใกล้เคียง

Vlingo เป็นแอปฯบนแอนดรอยด์ที่ให้บริการฟรี ผู้ใช้สามารถส่งข้อความ SMS ด้วยเสียง, ค้นหาข้อมูลด้วยเสียง, สั่งโทร.ออกด้วยเสียง รวมถึงการเปิดฯ ด้วยเสียง ขณะเดียวกัน แอปฯผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Assistant และ Jeannie ก็ล้วนมีแผนพัฒนาความสามารถให้ไม่แพ้ Siri ด้วยการอ่านข้อมูลคะแนนการแข่งขันกีฬา รวมถึงข้องมูลการรีวิวร้านอาหารสถานที่ท่องเที่ยวของ Yelp ได้ ซึ่งแผนพัฒนาเหล่านี้อาจแล้วเสร็จในวันก่อนที่ iOS 6 จะพร้อมเปิดให้ลูกค้าแอปเปิลทั่วไปดาวน์โหลดก็ได้

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยในต่างประเทศมองว่าแม้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์โดยเฉพาะเวอร์ชัน 4.0 หรือที่เรียกกันว่า Ice Cream Sandwich (ICS) นั้นจะมีคุณสมบัติบางส่วนตรงกับ iOS 6 ซึ่งกำลังจะคลอดอย่างเป็นทางการในปีนี้ แต่การใช้งานคุณสมบัติเหล่านี้บนแอนดรอยด์ก็ยังพบปัญหาเช่นกัน จุดนี้ทอม เฮนเดอร์สัน (Tom Henderson) นักวิจัยจากสถาบัน ExtremeLabs มองว่าความน่าเชื่อถือของการตอบรับต่อคุณสมบัติใหม่ในผู้บริโภคจากมุมผู้ใช้ iOS และ Android นั้นต่างกัน โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือและความกังวลเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ซึ่ง iOS นั้นเหนือกว่า Android อย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันแอนดรอยด์เวอร์ชัน ICS นั้นยังเป็นเวอร์ชันระบบปฏิบัติการที่ไม่แพร่หลาย และมีสัดส่วนการใช้งานเพียง 7.1% ของผู้ใช้แอนดรอยด์ทั่วโลกในขณะนี้

แถมผู้ใช้งานแอนดรอยด์จำนวนมากยังต้องพบกับปัญหาไม่สามารถอัปเดทอุปกรณ์แอนดรอยด์เป็นเวอร์ชันใหม่ได้ ซึ่งแม้คนไอทีจะพูดง่ายๆว่าให้ “ROOT เครื่อง” แต่ในมุมของผู้บริโภคนั้นอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายอย่างที่เข้าใจ

ทั้งหมดนี้ทำให้แอนดรอยด์ถูกมองว่าเป็นรองในการยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้เมื่อเทียบกับ iOS โดยเฉพาะในภาพรวมซึ่งทำให้การประกาศคุณสมบัติใหม่ใน iOS 6 สร้างความตื่นเต้นให้ชาวโลกได้มากกว่า

และหากย้อนกลับไปตอบคำถามในย่อหน้าแรก ทางเลือกของผู้บริโภคที่ต้องการสมาร์ทโฟนใหม่ล่าสุดในวันนี้มี 2 ทาง หนึ่งคือซื้ออุปกรณ์แอนดรอยด์ไปพร้อมกับไล่ดาวน์โหลดแอปฯที่กล่าวข้างต้น ก็จะสามารถใช้งานคุณสมบัติใหม่บางส่วนของ iOS 6 ได้ก่อนใคร ส่วนอีกทางคือรอเวลาอีก 4 เดือน (หรือมากกว่านั้น) เพื่อรอชมว่า iPhone รุ่นใหม่พร้อม iOS 6 ฉบับเต็มนั้นจะน่าประทับใจเพียงไร ซึ่งคนที่ไม่รีบ ทางที่ 2 คือทางเลือกที่ดีที่สุด

ส่วนคนที่มี Android ICS ในครอบครองขณะนี้ ขอแนะนำให้ไล่เสิร์ชชื่อแอปฯดังกล่าวให้ครบ เพื่อรับประสบการณ์ที่เหนือกว่าก่อนลูกค้าแอปเปิล