ประโยชน์ของสารเคมีทาง การเกษตร

องค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้เผยแพร่แผ่นพับนำเสนอประโยชน์ของการจัดการสารเคมีอย่างถูกต้องต่อภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาสังคม และได้แสดงถึงความเชื่อมโยงไปกับเป้าหมาย SDG และข้อตกลงพหุภาคีด้านด้านสิ่งแวดล้อม (MEAs) เกี่ยวกับสารเคมี แผ่นพับดังกล่าวมีชื่อเรื่องว่า “ประโยชน์จากการใช้ระบบการจัดการสารเคมีอย่างถูกต้อง” โดยแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับด้านต่างๆ ดังนี้ การจัดการสารเคมีอุตสาหกรรม สารกำจัดศัตรูพืช การป้องกัน เตรียมพร้อมและตอบสนองต่ออุบัติเหตุจากสารเคมี และการจัดตั้งทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTRs)

  • เป้าหมาย SDGs เฉพาะเจาะจงที่สามารถบรรลุได้ หากมีการบริหารจัดการสารเคมีอย่างถูกต้อง ดังนี้

          – เป้าหมาย 3.9 ลดจำนวนผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยจากสารเคมีอันตรายในอากาศ น้ำและมลพิษทางดิน  และการปนเปื้อน

          – เป้าหมาย 6.3 การปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยลดมลพิษ กำจัดการปล่อยทิ้งและลดการปล่อยสารเคมี และวัสดุที่เป็นอันตรายให้น้อยที่สุด

          – เป้าหมาย 9.4 การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน

          – เป้าหมาย 11.6 ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของเมือง

          – เป้าหมาย 12.4 บรรลุเป้าหมายการจัดการสารเคมีและของเสียอย่างถูกต้องที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • ประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดการสารเคมีอย่างถูกต้องต่อภาคส่วน 3 ภาค สรุปได้ดังนี้

ภาครัฐ

          1. ช่วยลดต้นทุนที่จะเกิดจากผลเสียของการใช้อย่างไม่ถูกต้อง เช่น ค่าใช้จ่ายทางด้านระบบสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมที่สูญเสียไป

          2. ทำให้เข้าใจและสามารถปรับกฎระเบียบตามสารเคมีใหม่ที่จะเข้าสู่ระบบได้อย่างทันท่วงที

          3. ส่งเสริมภาคลักษณ์ของประเทศและการเป็นที่ยอมรับในประชาคมโลก

ภาคอุตสาหกรรม

          1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากสามารถลดอุบัติเหตุ ลดการเจ็บป่วยและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ลูกจ้าง

          2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการด้านความปลอดภัย ลดการใช้ทรัพยากรและลดต้นทุนที่เกี่ยวเนื่องกับการประกันและการบำรุงรักษา

          3. ลดอุปสรรคในการเข้าไปยังตลาดใหม่และสร้างข้อได้เปรียบเชิงธุรกิจ

          4. ข้อได้เปรียบในการตอบสนองต่อความต้องการซื้อของผู้บริโภคที่คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยละเป็น  การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อบริษัทอีกด้วย

          5. ลดต้นทุนจากอุบัติเหตุที่จะต้องเกิดขึ้น หากจัดการสารเคมีอย่างไม่ถูกต้อง

          6. ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีผลต่อสังคมภาพรวมทั้งด้านสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม

ภาคประชาสังคม

          1. ได้รับความปลอดภัยที่มากขึ้น ทั้งในบทบาทของลูกจ้างและผู้บริโภค

          2. ทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความเสี่ยงที่มีอยู่และจะใช้อย่างไรถึงปลอดภัย

          3. มีสิทธิที่จะได้รู้ถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ของภาคอุตสาหกรรมและประเทศ

          4. เมื่อตระหนักอาจต้องการมีส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะ

          5. สุขภาพของประชาชนในสังคมโดยรวมดีขึ้น

          6. คุณภาพชีวิตและสิงแวดล้อมดีขึ้น

นอกจากนี้ยังชี้ถึงความก้าวหน้าและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามเป้าหมาย SDGs ด้วยทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) โดยระบุว่าตอนนี้ OECD กำลังสำรวจว่าข้อมูลที่ได้จาก PRTR จะสามารถนำมาวิเคราะห์และประเมินเพื่อเร่งให้สามารถนำไปสู่เป้าหมาย SDGs ที่เกี่ยวข้องได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นการจัดการสารเคมีอย่างถูกต้องยังช่วยให้การดำเนินการเป็นไปตามข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม (MEAs) ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่ได้มีการรับรองระหว่างปี 2528 (ค.ศ 1985) และ 2556 (ค.ศ. 2013) ได้แก่ อนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท อนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (POPs) อนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสําหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ (PIC) พิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน และอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยเรื่องการปกป้องชั้นโอโซน นอกจากนี้การจัดการสารเคมีอย่างถูกต้องยังช่วยในการด้านการดำเนินเชิงกลยุทธ์สอดคล้องกับการจัดการเคมีภัณฑ์ระหว่างประเทศ (SAICM) อีกด้วย

สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ใน : แผ่นพับข้อมูลประโยชน์ของการจัดการสารเคมีอย่างถูกต้อง

แหล่งที่มา : http://sdg.iisd.org/news/oecd-describes-benefits-of-implementing-a-chemical-management-system

ไม่ใช่เพียงความสะดวกสบาย การประหยัดเวลา และลดแรงงานในการทำการเกษตรเท่านั้นที่ทำให้เกษตรกรหันมาใช้สารเคมีในการดูแลพืชผลทางการเกษตรของตน แต่ยังทำเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการจับจ่ายซื้อผลผลิตที่สวยงามดูมีคุณภาพ สารเคมีจึงเข้ามาผูกพันกับวิถีเกษตรกรอย่างไม่ง่ายที่จะหลีกเลี่ยง

ตัวเอกของสารเคมีที่กำลังตกเป็นประเด็นร้อนระอุขณะนี้หนีไม่พ้นสารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย แห่งประเทศไทยมีมติไม่แบนด้วยอ้างว่าข้อมูลผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพอที่จะประกาศยกเลิก ในขณะที่กว่า 50 ประเทศทั่วโลกออกมาแบนสารเคมีทางการเกษตรดังกล่าว ด้วยเหตุผลโดยรวมเพื่อความห่วงใยต่อสุขภาพและปลอดภัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมของพวกเขา

อย่างไรก็ตามจากมุมมองของผู้ที่คลุกคลีอยู่กับชาวบ้านซึ่งประกอบอาชีพทางการเกษตรมายาวนานนั้น คุณยุทธนา เพชรนิล ผู้จัดการโครงการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนในผืนป่าตะวันตก แสดงความเห็นใจต่อเกษตรกรที่ไม่ใคร่มีทางให้เลือกนัก

 

ประโยชน์ของสารเคมีทาง การเกษตร

 

เกษตรกรต้องการพึ่งพาความสะดวก รวดเร็ว ลดการใช้แรงงาน กลายเป็นการเสพติดความสะดวกสบาย แต่จะไปโทษตัวเกษตรกรอย่างเดียวไม่ได้ ยกตัวอย่างชาวบ้านที่ทำไร่หมุนเวียนพอถึงฤดูกาลฟันและเผาไร่ แต่ช่วงที่ต้องเผานั้นกลับเป็่นช่วงเวลาเดียวกันกับมาตรการควบคุมไฟป่าของรัฐบาล แต่เมื่อพ้นช่วงเวลาห้ามเผาก็ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้ชาวบ้านถึงจะเผาก็ไม่ได้ผลแล้ว จึงหันไปพึ่งพาสารเคมียาฆ่าหญ้าในที่สุด

ภาระหน้าที่ที่หลายภาคส่วนต้องหันหน้าคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างผลกระทบต่อสุขภาพของตัวเกษตรกรและผู้บริโภค ที่ปรากฏข่าวโรคเนื้อเน่าที่อาจมีความเกี่ยวกับกับการใช้สารเคมีทางเกษตรที่สร้างความแคลงใจก็ดี รวมถึงโรคอื่นๆ เช่น ผลกระทบของสารเคมีที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางระบบประสาทบกพร่องของเด็กและทารก โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัลไซเมอร์ อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดมะเร็งหรือโรคพาร์กินสัน เป็นต้น

“ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมค่อนข้างชัดเจน” ผู้จัดการโครงการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนในผืนป่าตะวันตก บอกเล่าจากประสบการณ์ การสังเกต การเปลี่ยนผ่านของสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย “สารเคมีพวกนี้สุดท้ายมันไหลลงไปตามริมห้วย ผ่านแหล่งน้ำ แหล่งทรัพยากรต่างๆ ที่เคยมีคุณประโยชน์ ยกตัวอย่างโซนเมืองกาญจน์สมัยก่อนที่ยาฆ่าหญ้ายังไม่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านมีผักกูดที่ขึ้นตามริมห้วยเป็นแหล่งอาหารที่สามารถเก็บหากินได้ทั่วไป แต่ปัจจุบันเมื่อมีการใช้สารเคมีเหล่านี้เยอะขึ้น สารเคมีสะสมในระดับเข้มข้นมากๆ เข้า พืชท้องถิ่นก็ลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลาต่างๆ”

“จากที่ชาวบ้านเคยถ้อยทีถ้อยอาศัย ข้าวปลาหาเอาได้จากธรรมชาติแถวบ้าน ก็ผลัดเปลี่ยนไปบริโภคและพึ่งพารถกับข้าวมากขึ้น เลิกใส่ใจกับระบบนิเวศของลำน้ำ นี่เป็นผลมาจากการใช่สารเคมีทั้งยาฆ่าหญ้าและแมลง สารเคมีนี้ไหลลงสู่แหล่งน้ำ สุดท้ายแล้วสัตว์น้ำและพืชพรรณที่อุดมสมบูรณ์ก็ลดความหลากหลายลง เหลือไว้แต่ชนิดพันธุ์ที่ทนและสามารถปรับตัวได้ดีเท่านั้น ซึ่งอย่างผักกูดนั้นทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเราก็เข้าไปส่งเสริมให้เขาเก็บรักษาไว้ ไม่ให้ทิ้ง ไม่ให้ใช้ยา และเมื่อผลผลิตออกมากลายเป็นว่าทุกคนก็แย่งชิงกันใช้ กลายเป็นคนที่อนุรักษ์แทบไม่เหลือใช้ ก็เป็นการใช้ร่วมกันที่พื้นที่อื่นนั้นหมดไปแล้ว และอาจจะต้องหมดไปหากไม่ส่งเสริมการลดใช้สารเคมี”

สิ่งหนึ่งที่ควรพึงกระทำนั่นคือสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน รู้เท่าทันพิษภัยที่จะเกิดขึ้น

“ต้องสร้างความรู้ให้เกษตรกรถึงภัยที่แท้จริงของสารเคมีทางการเกษตรว่าสิ่งที่เขาเลือกนั้นต้องแลกมาด้วยสุขภาพของตัวอย่างอย่างไร และจะนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในอนาคตว่าคุ้มค่าหรือไม่ และสิ่งแวดล้อมที่เราจะสูญเสียหรือถูกทำลายไปด้วยวิวัฒนการของความสะดวกสบายจะเป็นอย่างไร”

 

ประโยชน์ของสารเคมีทาง การเกษตร

 

ด้านกิจกรรมโครงการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนในผืนป่าตะวันตก ยังคงดำเนินการผลักดันเกษตรกรหรือชาวบ้านให้ออกมาจากวงโคจรวิถีชีวิตที่พึ่งพาสารเคมีไปสู่การทำเกษตรอินทรีย์ โดยมีคนชาวบ้านในชุมชนเป็นต้นแบบโมเดลให้คนในชุมชนได้เรียนรู้และพัฒนาไปด้วยกัน

คุณยุทธนา เพชรนิล ชี้แจงว่า เรามีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนชุมชนหรือระบบนิเวศทั้งหมด จึงอาศัยแกนนำที่ถือเป็นผู้กล้าในการนำร่องเพื่อเป็นตัวอย่างว่าการเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นเกษตรอินทรีย์นั้นดีขึ้นจริงหรือไม่ เพราะเราไม่ได้บังคับว่าเขาต้องเชื่อ ต้องทำ หรือต้องให้ความร่วมมือ ชุมชนก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของบุคคลที่เริ่มเปลี่ยนและพลิกชีวิตมาทำการเกษตรอินทรีย์ด้วยตาตัวเองว่าเป็นอย่างไร ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านนั้นได้นำสมุนไพรอินทรีย์ไปต่อยอดและยกระดับต่างๆ มากมาย อาทิ ด้านการแพทย์แผนไทย ร้านนวดสมุนไพร รวมถึงการดูแลสุขภาพภายในชุมชนกันเองด้วยการจ่ายยาสมุนไพรง่ายๆ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามในการใช้สารเคมีทางการเกษตรนั้น สารพิษก็จะวนเวียนอยู่รอบตัวเรามิได้หายไปไหนไกล แวดล้อมทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค เนื่องการใช้สารเคมีที่ใช้ในการฉีดพ่นพืชผลทางเกษตร นอกจากจะส่งผลกระทบต่อตัวผู้ใช้เองแล้ว ผลผลิตที่นำมาจำหน่าย หรือบางส่วนกลายเป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ หรือการแทรกซึมผ่านสิ่งแวดล้อมก็ดี เราซึ่งเป็นผู้บริโภคทั้งพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์เหล่านั้นย่อมได้รับสารพิษดังกล่าวอยู่แล้ว การสะสมสารเหล่านั้นภายในร่างกายอาจก่อเกิดเป็นโรคภัยต่างๆ ท้ายที่สุดแล้วหากเรายังไม่ลดหรือเลิกการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายเกินค่ามาตรฐาน พวกเราหรือลูกหลายเองก็ไม่อาจหลีกหนีไปจากสารเคมีพ้น

ที่สุดแล้วปัญหาพืชผลและสารเคมีทางการเกษตร ชีวิตมนุษย์ในเรื่องของปากท้อง สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจนั้นล้วนเกี่ยวโยงและสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ผู้จัดการโครงการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนในผืนป่าตะวันตก กล่าวทิ้งท้ายว่า นี่เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องตัดสินใจว่าจะเลือกปกป้องอะไรอย่างไร