สีประจำเดือน ช่วยเตือนอะไรเราสาว ๆ เคยสงสัยกันหรือไม่ ว่าสีของประจำเดือน ในแต่ละเดือนนั้นช่วยเตือนอะไรเรา วันนี้นำมาฝากทุกคนแล้วสีแดงเข้ม : เป็นเลือดปกติที่ตกค้างอยู่ภายใน สีแดงสด : สุขภาพปกติดี แต่หากเป็นมากกว่า 7 วัน ควรปรึกษาแพทย์ สีชมพู : เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ มักเกิดกับผู้ออกกำลังกายอย่างหนักหรือมีภาวะซีด สีแดงอมส้ม : เลือดปนหนอง มีกลิ่นเหม็นอาจมีอาการติดเชื้อภายในช่องคลอด สีแดงปนเทา : หากมีอาการคันอาจติดเชื้อแบคทีเรีย สีน้ำตาล : เป็นปกติ หรืออาจเกิดจากภาวะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำ แต่หากมีกลิ่นเหม็นหรือคัน ควรปรึกษาแพทย์ สีดำ : มักพบในระยะประจำเดือนที่เพิ่งมาหรือกำลังจะหมด นอกจากเรื่องสีแล้วยังมีในเรื่องของปริมาณและอาการที่สาว ๆ ควรหมั่นสังเกตเป็นประจำ ปริมาณ : ในแต่ละรอบไม่ควรเกิน 80 ซีซี หรือสังเกตจากจำนวนผ้าอนามัยที่ใช้ หากผ้าอนามัยเปียกชุ่มและต้องเปลี่ยนทุก ๆ 2 – 3 ชั่วโมง ถือว่า ปกติ แต่หากต้องเปลี่ยนทุกชั่วโมง หรือมีประจำเดือนนานมากกว่า 8 วัน ถือว่า ผิดปกติ อาจเกิดการติดเชื้อได้ รวมถึงเลือดจาง ฮอร์โมนไม่สมดุล และในขณะเดียวกันถ้าประจำเดือนมาน้อยมาก ๆ รอบเดือน : ปกติแล้วควรมีระยะห่างกันประมาณ 28 วัน โดยที่บวกลบไม่เกิน 7 วัน ซึ่งในแต่ละรอบควรมาเวลาใกล้เคียงกัน หากประจำเดือนขาดบ่อย ๆ หรือมาถี่กว่าปกติ อาจแสดงถึงระดับฮอร์โมนในร่างกายที่ไม่สมดุล หรืออาจเกิดโรคภายในอวัยวะสืบพันธุ์ อาการปวดท้อง : เป็นอาการที่พบได้ปกติทุกครั้งที่มีประจำเดือน เนื่องจากเกิดการหลั่งของสารโพรสตาแกลนดิน ซึ่งมีผลทำให้กล้อมเนื้อบีบตัวและหดเกร็ง คล้ายภาวะเจ็บปวดขณะที่คลอดบุตร แต่หากหลั่งสารมากเกินไป จะทำให้รู้สึกปวดรุนแรง หรืออาจมีอาการคลื่นไส้และท้องเสียร่วมด้วย แต่หากเป็นบ่อยอาจตั้งข้อสังเกตได้ว่าเยื่อบุมดลูกเจริญผิดปกติ หรือมีเนื้องอกในมดลูก ทั้งนี้ในเรื่องของปริมาณ, รอบเดือน, อาการปวดท้อง หากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์ทันที หนูจะท้องไหมคะลุงหมอ ? คือ..เลือดล้างหน้าเด็ก หรือ ประจำเดือน? เป็นคำถามที่น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลายๆคน แต่อาจไม่รู้ ทำให้แก้ปัญหาได้ช้า คำถาม 6: ลุงหมอคะ ปกติประจำเดือนมาวันที่ 30 แต่เมื่อวานมาเป็นเลือดสีดำ แล้ววันที่ 1 ก็หยุดไป หนูจะท้องรึเปล่าคะ? คำตอบ 6: เมื่อวานเป็นวันที่ 29 เธอมีเลือดออกมาแค่ 2 วัน ลักษณะสีออกเข้มจนดูเป็นสีดำ แล้วเลือดออกเล็กน้อยหยุดไปอย่างเร็ว ดูตามประวัติ “น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะท้อง” นะครับ คือ อาจเป็น “เลือดล้างหน้าเด็ก” ก็ได้ มาฟังกันต่อไปว่ามันหมายถึงอะไร เกิดได้ยังไง ต่างกับประจำเดือนอย่างไร จะยืนยันอย่างไร ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก” ทางแพทย์มีศัพท์เฉพาะว่า “Implantation bleeding” คือเลือดที่ออกจากการฝังตัวของตัวอ่อนที่โพรงมดลูก ผู้หญิงที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอทุกๆ 28 วัน จะมีการตกไข่ในช่วงประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน (นับจากการมีประจำเดือนวันแรก) เมื่อมีเพศสัมพันธ์กัน ไข่ถูกผสมกับตัวอสุจิแล้วมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นที่ท่อนำไข่ ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 12-24 ชั่วโมงหลังไข่ตก
หลังจากนั้นไข่ที่ถูกผสมแล้ว (Zygote) จะเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนเรื่อยๆ (Blastocyst) และเดินทางต่อไปยังมดลูกเพื่อฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก จากการฝังตัวนี้เอง ในบางครั้งอาจทำให้มีหลอดเลือดเล็กๆในผนังมดลูกแตกจึงทำให้มีเลือดออกมาทางช่องคลอดได้ ซึ่งจะเกิดหลังตกไข่ประมาณ 6-12 วัน ขณะที่ประจำเดือนจะเกิดขึ้น 14 วันหลังจากไข่ตก สองเหตุการณ์นี้ คือเลือดประจำเดือนและเลือดล้างหน้าเด็กเกิดช่วงเวลาใกล้เคียงกันทำให้เกิดความสับสนได้ เลือดล้างหน้าเด็ก จะเกิดขึ้นในการตั้งครรภ์เพียงประมาณ 1 ใน 3 หรือเพียงร้อยละ 30 ผู้หญิงที่ตั้งท้องครั้งแรกมีความเป็นไปได้ที่จะมีเลือดล้างหน้าเด็ก มากกว่าตั้งท้องครั้งหลังๆ เนื่องจากเคยมีการฝังตัวของตัวอ่อนมาก่อนแล้ว เลือดล้างหน้าเด็กมีความแตกต่างกับเลือดประจำเดือน ทำให้พอจะแยกแยะจากกันได้ 4 อย่างที่เห็นได้ชัดดังนี้
มีข้อสังเกตุจากอาการอื่นๆ ที่มีร่วมด้วย ขณะมีเลือดล้างหน้าเด็ก คือ จากคำถามที่ 6 นี้ การมีเลือดออกกะปริดกะปรอยในวันที่ใกล้กับวันที่จะเป็นประจำเดือนเพียง 1 วัน ก็จะยิ่งทำให้สับสน ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ ต้องตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ จากเรื่องเลือดล้างหน้าเด็ก ลุงหมอมีข้อแนะนำที่สำคัญดังต่อไปนี้คือ
ดังนั้น ผู้หญิงที่ยังไม่มั่นใจว่าจะเป็นประจำเดือนหรือจะเป็นเลือดล้างหน้าเด็ก ควรจะรอประมาณ1 สัปดาห์หลังมีเลือดออกวันแรกเพื่อจะตรวจปัสสาวะทดสอบการตั้งครรภ์จะได้ผลตรวจที่แน่นอนกว่าครับ |