นางสาววริณศิญา พงษ์เกษ ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ Show กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนปทุมราชวงศา อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ สาระสำคัญ/ความคิดรวมยอดการใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อสื่อสารและ การทำ งานร่วมกัน การประเมินความ น่าเชื่อถือของข้อมูลและการเผยแพร่ ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ว 4.2 ป. 5/5 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มีมารยาท เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น แจ้งผู้เกี่ยวข้องเมื่อพบข้อมูลหรือบุคคลที่ไม่เหมาะสม 1. ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูล 2. ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล 3 ใฝ่เรียนรู้ มีวินัย การวัดผลและประเมินผล1 การตอบคำถามในแบบฝึกหัด 2 สังเกตทักษะทางการบวนการเทคโนโลยีขณะทำกิจกรรม 3 สังเกตคุณธรรมขณะทำกิจกรรม 6.1 ภัยคุกคามจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการป้องกันอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลและสารสนเทศจากทั่วโลก ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่ายและรวดเร็ว แต่ในทางกลับกันก็มีภัยคุกคามจากอินเทอร์เน็ตแฝงมาหลากหลายรูปแบบ ถ้าหากขาดความรอบคอบ หรือใช้งานอย่างไม่ระมัดระวัง ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อไม่ให้ถูกภัยคุกคามจนเกิดผลเสียตามมา 1. การคุกคามโดยใช้หลักจิตวิทยา เป็นการคุกคามที่ใช้หลักการแนวคิดเพื่อหลอกลวง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ เช่น ข้อมูลรหัสผ่าน ข้อมูลด้านการเงิน เป็นต้น ผู้คุกคามอาจใช้การจูงใจว่าจะได้รางวัลแต่ต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่เป็นการส่งรหัสผ่านไปให้ เป็นต้น ทั้งนี้นักเรียนสามารถป้องกันได้โดยใช้ความระมัดระวัง อย่าเชื่อใจบุคคลบนอินเทอร์เน็ต หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดหรือญาตพี่น้อง Phishing คือคำที่ใช้เรียกเทคนิคการหลอกลวงโดยใช้อีเมลหรือหน้าเว็บไซต์ปลอมเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล เช่น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือสร้างความเสียหายในด้านอื่น ๆ เช่น ด้านการเงิน 2. การคุกคามด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม บนอินเทอร์เน็ตมีทั้งข้อมูลที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม เพราะข้อมูลที่มีมากมายทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด ทั้งนี้นักเรียนควรใช้วิจารณญานในการเลือกรับหรือปฏิเสธข้อมูลที่ไม่เหมาะสมนั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่ไม่เหมาะสม เช่น แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง การยุยงให้เกิดความแตกแยก สื่อลามก การพนัน การกระทำที่ผิดกฎหมายและจริยธรรม 3. ภัยคุกคามด้วยโปรแกรมประสงค์ร้าย
ตรวจสอบจากสิ่งที่ผู้ใช้รู้ ได้แก่การตรวจสอบตัวตนผู้ใช้ว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ โดยตรวจสอบจากสิ่งที่ผู้ใช้งานรู้แต่เพียงผู้เดียว เช่น รหัสผ่าน ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมที่สุด เพราะสามารถยืนยันตัวตนได้ง่าย เพราะฉนั้นเราจึงต้องเก็บรักษารหัสผ่านไว้เป็นความลับที่เรารู้แต่เพียงผู้เดียว ตรวจสอบจากสิ่งที่ผู้ใช้มี ได้แก่การยืนยันตัวตนจากอุปกรณ์ที่ผู้ใช้มีอยู่ เช่น การส่งรหัสยืนยัน (OTP) ที่ส่งมาทางโทรศัพท์มือถือ การยืนยันด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น ตรวจสอบจากสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้ เป็นการตรวจสอบข้อมูลชีวมาตร (Biometrics) เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา ใบหน้า เสียง การตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัย
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย
6.2 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจรรยาบรรณที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตยึดถือไว้เพื่อปฏิบัติ 1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายหรือละเมิดสิทธิผู้อื่น 2. ไม่ก่อกวนผู้อื่น 3. ไม่สอดแนมหรือแก้ไขเปิดดูในแฟ้มของผู้อื่น ก่อนได้รับอนุญาต 4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร 5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ 6. ไม่คัดลอกโปรแกรมผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์ 7. ไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ 8. ไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน 9. คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมจากการกระทำของตน 10. ใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกามารยาท ลิขสิทธิ์ (Copyright) ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิทางกฎหมายที่กฎหมายของประเทศหนึ่ง ๆ สร้างขึ้นซึ่งให้สิทธิแต่ผู้เดียว ทำให้ผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ผู้ใช้หรือผู้ซื้อไม่สามารถนำไปเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถือสิทธิ์ได้ พจนานุกรม ฉบับราชบัญฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ได้ให้ความหมายว่า ลิขสิทธิ์ หมายถึง สิทธิทางวรรณกรรม ศิลปกรรม และประดิษฐกรรม ซึ่งผู้เป็นต้นคิดได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระรวงพาณิชย์ ได้ให้ความหมายว่า ลิขสิทธิ์ คือ สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ริเริ่ม โดยการใช้สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ และความอุตสาหะของตน ในการสร้างสรรค์ โดยไม่คัดลอกของผู้อื่น ผู้สร้างสรรค์จะได้รับความคุ้มครองทันทีโดยไม่ต้องจดทะเบียน สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons:CC) ครีเอทีฟคอมมอนส์ คือ ชุดสัญญาอนุญาตแบบเปิดกว้าง หรือสัญญาอนุญาตให้ใช้งานได้ตามข้อกำหนดสัญญาอนุญาต เนื่องจากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ที่มีลิขสิทธิ์อาจมีค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้ปิดโอกาสในการเรียนรู้ ครีเอทีฟคอมมอนส์ จึงพัฒนาสัญญาอนุญาตที่ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานและเผยแพร่ผลงาานภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ เพียงแต่ต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น อ้างอิงแหล่งที่มา ไม่ใช้เพื่อการค้า หรือคงต้นฉบับไว้ แต่เจ้าของผลงานยังเป็นผู้ถือครองสิทธิ์เช่นเดิม ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons) 1. วิกิพีเดีย (Wikipedia) เป็นเว็บไซต์สารานุกรมเสรี ที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งนี้ยังอนุญาตให้เพิ่มเติม แก้ไขข้อมูลได้อีกด้วย โดยสามารถเข้าใช้งานได้ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/ 2. เว็บไซต์ของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นสถาบันวิจัยเชิงนโยบาย เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร สามารถเข้าใช้งานได้ที่ https://tdri.or.th/ |