อาจเป็นคำที่ไม่คุ้นหูนัก สำหรับ “โรควัยทองก่อนวัย” เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว อาการวัยทองจะเกิดขึ้นในผู้หญิงที่มีอายุโดยเฉลี่ยประมาณ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฮอร์โมนเพศอย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดระดับการผลิตไปจนถึงไม่เกิดการผลิตขึ้นอีก ส่งผลให้ประจำเดือนขาดและไข่ไม่ตก แต่ในวัยที่อายุต่ำกว่า 40 ปีแล้วมีอาการต่อไปนี้ มีความเสี่ยงว่าคุณกำลังเป็น “วัยทองก่อนวัย!!!”
- ประจำเดือนมาผิดปกติ
- ร้อนวูบวาบคล้ายคนเป็นไข้
- นอนไม่ค่อยหลับ
- น้ำหนักเพิ่ม
- หลงลืมบ่อย ๆ
- ไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียตลอด
- ช่องคลอดแห้ง
- ความต้องการทางเพศลดลง
อาการดังกล่าวจะคล้ายกับผู้เข้าสู่วัยทองปกติ แต่จะมีความรุนแรงกว่ามากเพราะเป็นการขาดฮอร์โมนแบบเฉียบพลัน และแม้ว่าสาเหตุของการเกิดโรควัยทองก่อนวัยจะยังไม่แน่ชัดนัก แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยที่มีอาการวัยทองก่อนวัยมักจะมีสาเหตุจาก
- ความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย
- กรรมพันธุ์
- มีโรคประจำตัว เช่น โรคไทรอยด์ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง
- มีประวัติการผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่
- ได้รับการฉายแสงหรือได้รับเคมีบำบัดจากการรักษาโรค
อาการวัยทองก่อนวัย สามารถสร้างความเสียหายและสร้างความเสี่ยงให้กับร่างกายของเราอย่างมาก เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากขึ้นแล้ว เมื่อร่างกายไม่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สร้างจากรังไข่ จะส่งผลให้กระดูกพรุน และสิ่งที่สำคัญมากคือเสี่ยงต่อการมีลูกยาก เพราะระดับฮอร์โมนที่ต่ำไม่สมดุล รังไข่จะเริ่มทำงานผิดปกติ ประจำเดือนแปรปรวน และไข่ไม่ค่อยตก
การเตรียมพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าร่างกายจะก้าวเข้าสู่ภาวะวัยทองก่อนวัยตอนไหน “การฝากไข่” จึงถือเป็นทางเลือกที่จะทำให้คุณผู้หญิงไม่ต้องกังวลว่าในอนาคตหากรังไข่เกิดความผิดปกติ จะมีโอกาสมีเจ้าตัวน้อยหรือไม่ เพราะ การฝากไข่คือการนำเซลล์ไข่ของฝ่ายหญิงมาเก็บแช่แข็งไว้ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ เมื่อพร้อมเป็นคุณแม่เมื่อไหร่ ก็สามารถนำเซลล์ไปละลายและปฏิสนธิต่อได้ทันที เพราะอนาคตคือผลจากการตัดสินใจในวันนี้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเราบ้าง ดังนั้น หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที
หากการฝากไข่คือการซื้อประกัน ผลตอบแทนที่คู่ควรที่สุดคือการที่ลูกน้อยเติบโตมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรงจากการวางแผนอนาคตสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ในวันนี้
วัยทอง (Menopause) คือ ภาวะที่สตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน โดยรังไข่จะหยุดสร้างฮอร์โมนเพศหญิงที่มีชื่อว่า เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ส่งผลให้ไม่มีประจำเดือน ถ้าประจำเดือนขาดหายไปครบ 1 ปี แสดงว่ารังไข่ได้หยุดทำงานแล้ว และถือว่าได้เข้าสู่วัยทองอย่างสมบูรณ์ โดยอายุเฉลี่ยที่ผู้หญิงไทยเข้าสู่วัยทองประมาณ 48-52 ปี
สังเกตอาการ “วัยทอง”
- อาการร้อนวูบวาบ (hot flush) โดยเฉพาะบริเวณลำตัวส่วนบน เช่น บริเวณหน้า คอ และอก มักเกิดอาการนานประมาณ 1-5 นาที ร่วมกับ อาการอื่น ได้แก่ เหงื่อออก หนาวสั่น วิตกกังวล หรือใจสั่นได้ อาการเหล่านี้อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และการนอนหลับยากขึ้นได้
- ช่องคลอดแห้ง ติดเชื้อและคันในช่องคลอด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
- โรคกระดูกพรุน
- โรคไขมันในเลือดสูงเพิ่ม โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันมากขึ้น เนื่องจากจากการขาดเอสโตรเจน เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนทำหน้าที่สำคัญในการลดไขมันไม่ดี( LDL)
- เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์
- ซึมเศร้า อารมณ์หงุดหงิด มีความวิตกกังวลง่าย
- ผิวหนังเหี่ยวแห้ง และบาง ขาดความยืดหยุ่น เป็นแผล และกระได้ง่าย
วัยทองรักษาได้หรือไม่?
- การรักษาโดยการให้ฮอร์โมนเพศหญิงทดแทน (hormone replacement therapy: HRT) ใช้เฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรงและไม่มีข้อห้ามใช้ฮอร์โมนเพศหญิงทดแทน
- กลุ่มยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศหญิง (non-hormonal treatment) ได้แก่ กลุ่มยารักษาโรคซึมเศร้า (antidepressant) เช่น ยากลุ่ม SSRIs และ SNRIs ยากลุ่ม selective estrogen receptor modulators (SERMS) ตัวอย่างยาได้แก่ tamoxifen, raloxifene เป็นต้น ยา tibolone และ androgen เป็นต้น
วิธีดูแลตนเองรับมือกับวัยทอง
1. อาหาร สตรีวัยทองควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ปลาตัวเล็ก ผักใบเขียว เป็นต้น แคลเซียมที่รับเข้าไปจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูกเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือดโดยงดอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และเลือกกินอาหารที่ย่อยง่าย
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ รำมวยจีน เต้นแอโรบิก เป็นต้น
3. ฝึกการควบคุมอารมณ์ให้มีความคิดในทางบวก และทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบาน
4. ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง
ตรวจเช็คความดันโลหิต
ตรวจเลือดหาระดับไขมัน
ตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูก
ตรวจหามะเร็งเต้านม (Mammography)
ตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density)
รวมทั้งการตรวจระดับของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับวัยทอง
5. ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณารับฮอร์โมนทดแทน ในกรณีที่สตรีวัยทองมีอาการต่างๆ มาก หรือตรวจพบความผิดปกติ เช่น กระดูกบาง หรือกระดูกพรุน และมีความจำเป็นจะต้องได้รับฮอร์โมนเพิ่มเติม แพทย์จะพิจารณาให้ฮอร์โมนทดแทนตามความเหมาะสม
ผลดีของฮอร์โมนทดแทน
ช่วยรักษาอาการต่างๆ ของภาวะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน อาการที่สำคัญได้แก่ อาการร้อนวูบวาบและลดการสูญเสียมวลกระดูก จึงช่วยป้องกันภาวะกระดูกบางและกระดูกพรุน นอกจากนี้ ยังรักษาอาการช่องคลอดแห้งที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน และช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ผลเสียของฮอร์โมนทดแทนที่อาจเกิดขึ้น
อาการข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ เช่น เลือดออกทางช่องคลอด คัดตึงเต้านม น้ำหนักเพิ่ม เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ขาบวม เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดดำอุดตัน และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ในปริมาณที่สูง และใช้ติดต่อกันนาน 10-15 ปี ซึ่งการใช้ฮอร์โมนทดแทนไม่ควรใช้ติดต่อนานเกิน 5 ปี
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมน
- ผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูก
- ผู้ที่เป็นโรคตับ
- ผู้ที่เกิดลิ่มเลือดที่เท้า
- ผู้ที่มีประจำเดือนผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเข้าสู่วัยทอง
และถ้าอาการเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ควรมาปรึกษาและตรวจสุขภาพวัยทองกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่เนิ่นๆ
เพื่อก้าวเข้าสู่วัยทองอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี