โรคติดเชื้อทางผิวหนังที่มีลักษณะผื่นเป็นตุ่มน้ำใส ปวดร้อน แสบ คัน คนส่วนใฟญ่จะนึกถึงโรคเริม งูสวัด และอีสุกอีใส ซึ่งแต่ละโรคก็มีรายละเอียดของโรคที่แตกต่างกัน เช่น โรคทั้งสามชนิดเกิดจากไวรัสในกลุ่ม Herpes Family ซึ่งจริงๆแบ่งย่อยได้หลายชนิด เช่น Herpes simplex virus-1 (HHV-1), Herpes simplex virus-2 (HSV-2), Varicella zoster (VZV), Epstein-Barr virus (EBV), Cytomegalovirus (CMV), Roseolovirus, HHV-7, HHV-8 โดยโรคเริมจะเกิดจาก HSV-1 และ HSV-2 ส่วนงูสวัดและอีสุกอีใสเกิดจาก VZV เป็นต้น Show
โรคเริม (Herpes) คืออะไร?เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) โดยเชื้อไวรัสเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
โดยเชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิดนี้จะก่อให้เกิดอาการ เริมที่ปาก (Herpes Simplex) และเริมที่อวัยวะเพศ (Gential Herpes) และสามารถติดต่อกันระหว่างคนสู่คนได้โดยผ่านทางการสัมผัสอย่างใกล้ชิด ทางน้ำลาย น้ำเหลือง หรือผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ โรคงูสวัด (Herpes Zoster, Shingles) คืออะไร?เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคสุกใส เชื้อไวรัสนี้เมื่อเริ่มเข้าสู่ร่างกายทั้งจากการหายใจ หรือการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง จะทำให้เป็นโรคสุกใส เมื่อหายจากโรคนี้แล้ว เชื้อจะไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลานานหลายปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ และเมื่อเวลาที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ เช่น อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน เชื้อที่แฝงตัวอยู่ก็จะแบ่งตัว เพิ่มจำนวนทำให้เส้นประสาทอักเสบ เกิดการปวดตามแนวเส้น ประสาท และปล่อยเชื้อไวรัสออกมาที่ผิวหนังตามแนวเส้น ประสาท โรคอีสุกอีใส (Chickenpox) คืออะไร?เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus) หรือ Human herpes virus type3 ที่เป็นเชื้อชนิดเดียวกันที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด เป็นโรคที่เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ผ่านทางการสัมผัสกับแผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคโดยตรงผ่านทางละอองของระบบทางเดินหายใจ อาทิเช่น ทางการจามไอ ทางน้ำลาย สำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส หรือไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อน ในปัจจุบันมีวัคซีนอีสุกอีใสที่ช่วยป้องกันเด็กจากการเป็นอีสุกอีใส ลักษณะผื่นที่เกิดขึ้นของแต่ละโรค
อาการของแต่ละโรค
การติดต่อของแต่ละโรค
การรักษาของแต่ละโรคโรคเริมปัจจุบันยังคงเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายสนิทได้ ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วการรักษาโรคเริมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
โรคงูสวัดให้ยาลดปวดตามอาการ และใช้ยาต้านไวรัสภายใน 72 ชั่วโมงจะช่วยลดรอยแดงได้ ยาฆ่าเชื้อไวรัสหลักๆมีสามตัวคือ Acyclovir, Famcyclovir และ Valacyclovir หลังจากรอยโรคหายแล้วผู้ป่วยบางรายจะมีภาวะ Post-herpetic neuralgia คืออาการปวดจากเส้นประสาทที่ถูกทำลายซึ่งอาจเป็นนานเป็นเดือนถึงปี การรักษานิยมใช้ยาแก้ปวดปลายประสาท เช่น Gabapentin, Pregabalin เป็นต้น โรคอีสุกอีใสผู้ป่วยที่สุขภาพแข็งแรงและอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลตนเองได้ที่บ้าน แต่ในรายที่อาการรุนแรง เป็นเด็กเล็ก สตรีตั้งครรภ์ หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำควรไปพบแพทย์ เพื่อการรักษาได้อย่างถูกต้องและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง โดยการใช้ยาลดไข้ paracetamol ใช้ยาแก้คันในกลุ่ม Antihistamine หรือคาลาไมน์ ใช้ยาต้านไวรัส Acyclovir หรือ Valacyclovir หากมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงและในกรณีติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังให้ใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย การป้องกันของแต่ละโรคโรคเริมวิธีการป้องกันเริมที่ดีที่สุด ก็คือการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดเชื้อทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ของใช้ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงอย่างการหอมแก้ม และการจูบ นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยด้วยการใช้ถุงยางอนามัยก็สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ได้ สำหรับผู้ป่วยที่เคยมีการติดเชื้อมาก่อนแล้ว ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเนื่องจากเชื้อไวรัสจะโจมตีร่างกายเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ถ้าหากมีสุขภาพที่แข็งแรงก็จะช่วยให้การติดเชื้อลดลงได้ โรคงูสวัดการสัมผัสตุ่มน้ำหรือแผลของผู้ป่วยงูสวัดอาจทำให้ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเกิดเป็นโรคสุกใสได้ ดังนั้นควรแยกข้าวของเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดตัว ที่นอน ของผู้ป่วยโรคงูสวัดกับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเป็นโรคงูสวัดแบบแพร่กระจาย สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ทางการหายใจ ดังนั้นควรแยกผู้ป่วย ไม่ใกล้ชิดกับผู้ที่ไม่เคยเป็นโรค เด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดแล้ว โดยสามารถลด โอกาสการเกิดโรคงูสวัด หรือหากว่าเกิดการติดเชื้อจะสามารถลดความรุนแรงของอาการงูสวัดและอาการปวดหลังการติดเชื้อ แนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี โรคอีสุกอีใสการป้องกันที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย คือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนจำนวน 2 เข็ม โดยเริ่มฉีดเข็มแรกได้ตั้งแต่อายุประมาณ 1 ปี (12-15 เดือน) และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี สำหรับผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคมาก่อนจะต้องมีการฉีดวัคซีนจำนวน 2 เข็มเช่นเดียวกัน โดยให้ฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ 2 ห่างกันประมาณ 28 วัน ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคและลดความรุนแรงของโรคลงได้มากถึงประมาณ 90% แต่ในกรณีสตรีมีครรภ์หรือหรือมีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ อาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ จึงควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีน คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวโรคเริม โรคงูสวัด และโรคอีสุกอีใส
ผู้ที่เคยเป็นโรคเริมแล้ว จะมีโอกาส เป็นซ้ำในตำแหน่งเดิมได้บ่อย และสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดซ้ำ คือภาวะเครียด มีภูมิต้านทานร่างกายต่ำลง พักผ่อนไม่เพียงพอ อ่อนเพลีย ขาดสารอาหาร วิตกกังวล หากหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ความถี่ของการเป็นโรคเริมจะน้อยลง
สามารถเป็นได้อีก เพราะเมื่อใดที่ร่างกายอยู่ในสภาวะอ่อนแอหรือภูมิต้านทานต่ำ ก็มีโอกาสที่จะเป็นงูสวัดซ้ำได้อีก เพราะเชื้อไวรัสไม่ได้หายไปไหน แต่ซ่อนตัวอยู่ในปมประสาททั่วร่างกายของเราไปตลอดชีวิต
โรคอีสุกอีใสโดยทั่วไปเป็นแล้วมักไม่กลับเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งหากติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นตลอดชีวิต โดยพบว่าในคนที่มีภูมิต้านทานปกติสามารถเป็นโรคอีสุกอีใสครั้งที่สองได้ แต่อาการมักไม่รุนแรงและไม่ค่อยเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่มีโรคประจำตัวต้องกินยากดภูมิหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถเป็นซ้ำได้บ่อยกว่า
ฉีดได้ แม้โรคงูสวัด และโรคอีสุกอีใสจะเกิดจากเชื้อไวรัสเดียวกัน แต่วัคซีนงูสวัดมีความเข้มข้นกว่าวัคซีนอีสุกอีใสถึง 14 เท่า ดังนั้นถึงแม้ วัคซีนทั้งสองชนิดจะป้องกันเชื้อไรวัสเดียวกันแต่ไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้ อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ติดต่อเรา |