เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

สำหรับในบ้านเราถ้าให้มาบอกว่าถึงประเภทของยางรถยนต์นั้นคงจะยาก ส่วนใหญ่เราจะมาแบ่งเป็นประเภทการใช้งาน หรือประเภทรถกันเสียมากกว่า อย่างยางรถยนต์นั่ง ยางรถสปอร์ต ยางรถกระบะกับยางรถตู้ใช้เหมือนกันเพราะเน้นไปที่การบรรทุก หรือออกไปแนวเฉพาะกลุ่มประเภทยางออฟโรด เป็นต้น

หน้าที่หลักของยางรถยนต์ 4 ประการ ตั้งแต่รับน้ำหนักรถยนต์และบรรทุก ลดแรงกระแทกและสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ถ่ายทอดพลังงานขับเคลื่อนลงสู่พื้นถนน และทำให้รถเปลี่ยนทิศทางได้ตามต้องการ

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการคิดค้นและพัฒนายางรถยนต์ขึ้นมา ซึ่งได้วิวัฒนาการมาเรื่อย จนปัจจุบันยางรถยนต์มีโครงสร้างสำคัญ คือ เนื้อยางตัวนอกสุดสัมผัสถนน ชั้นต่อมาเป็นผ้าใบเสริมความแข็งแรง เข็มขัดรัดหน้ายาง และโครงยางที่ปัจจุบันหลักๆ จะแยกเป็นโครงยางเส้นลวด หรือที่เรียกว่ายางเรเดียล และอีกแบบเป็นโครงยางผ้าใบ แต่ปัจจุบันในรถยนต์นั่ง หรือปิกอัพ 1 ตัน จะเป็นยางเรเดียลกันหมดแล้ว และส่วนสุดท้ายเป็นขอบยาง

โครงสร้างยางเหล่านี้จะแยกผลิต และนำมารวมเป็นยางรถยนต์หนึ่งวง ในกระบวนการผลิตของโรงงาน ซึ่งคงต้องผ่าแบบหน้าตัดออกมาดูจึงจะเห็น แต่ที่ผู้ใช้รถจะเห็นและสัมผัสโดยตรง เป็นหน้ายางมีดอกยางแตกต่างกันไป หลักๆ จะมีเป็นแบบสมมาตร(Symmetrical) หน้ายางจะมีดอกยางที่เหมือนกัน แบบนี้จะทำให้รถมีความนุ่ม และสลับยางง่าย อีกแบบจะเป็นลักษณะไม่สมมาตร(Asymmetrical) ที่ดอกยางจะแตกต่างกัน เน้นการขับขี่ประสิทธิภาพเฉพาะ และยึดเกาะถนนเหมาะกับการเข้าโค้งความเร็วสูง และแบบกำหนดทิศทางการหมุน(Uni-direction) ดอกยางจะมีลักษณะหมุนหรือชี้ไปทิศทางเดียวกัน ทำให้มีการรีดน้ำ ควบคุมการทรงดี และขับขี่ความเร็วสูงได้ดี แต่จะยุ่งยากในการเปลี่ยน หรือสลับยาง ใส่ผิดทิศไม่ได้เพราะส่งผลต่อการขับขี่

สิ่งที่สังเกตเห็นอีกอย่างบนยางรถยนต์ เป็นตัวเลขและอักษรบนวงล้อด้านข้างเป็นสัญลักษณ์ วิธีการดู

ตัวอย่างเช่น 195/65 R 15 91V แบบนี้จะเป็นยางรถยนต์นั่งทั่วไป
– ความหมายของเลข 195 คือ ความกว้างของยาง(มม.),
– 65 เป็นอัตราส่วนขนาดยาง(65%) ของความกว้างยาง
– ตัว R เป็นโครงสร้างยางแบบเรเดียล( ถ้า – หมายถึงยางแบบผ้าใบ)
– เลข 15 เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ(นิ้ว)
– 91 เป็นดัชนีในการรับน้ำหนัก(615 กก./เส้น) และขีดจำกัดความเร็วสูงสุดของยาง(แต่ละอักษรจะมีความเร็วแตกต่าง ซึ่ง V = ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม.)

 

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

 

เมื่อรู้จักยางรถยนต์เบื้องต้นกันแล้ว บางคนอยากจะเปลี่ยนยางใหม่ หรือยางเก่าหมดอายุแล้ว และกำลังมองหายางใหม่มาแทน สิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกใช้ยางรถยนต์ ควรเลือกใช้ขนาดของยาง ชนิดโครงสร้างยาง ลักษณะดอกยาง และความลึกของร่องดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน ที่สำคัญรับน้ำหนักไม่น้อยกว่าเดิม ควรเลือกขนาดความกว้างของกระทะล้อ ให้เหมาะสมกับขนาดยาง สำหรับบางชนิดไม่ใช้ยางใน(Tubeless) เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ ควรเปลี่ยนวาล์วใหม่ด้วยทุกครั้ง

ในส่วนของการบำรุงรักษายางรถยนต์ ควรเช็คลมยางและเติมลมยางให้ถูกต้อง (ยางอะไหล่ให้ตรวจเช็คลมยางเช่นกัน และควรเติมลมยางมากกว่าอัตรากำหนด) ตามอัตราที่กำหนดเป็นประจำในขณะที่ยางเย็น ปกติจะมีแจ้งบอกขนาดยาง และอัตราลมยางล้อหน้า-หลังที่กำหนด โดยส่วนใหญ่หน่วยจะเป็นปอนด์ (PSI : ปอนด์/ตารางนิ้ว) แต่หากเติมลมยางหลังใช้งานควรเติมเพิ่มประมาณ 2 ปอนด์ เพื่อชดเชยความดันอากาศที่ขยายตัว จากการเกิดความร้อนของยางขณะวิ่ง

การที่ลมยางน้อยหรืออ่อนเกินไป จะทำให้ยางสึกบริเวณไหล่ยาง ทำให้โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้ และมีการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนหากเติมลมยางมากไป จะทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย จากพื้นที่การเกาะถนนลดลง โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อเกิดการกระแทก หรือถูกตำ จากการยึดหยุ่นได้น้อย อายุยางลดลง และความนุ่มนวลในขณะขับขี่ลดลง โดยลักษณะยางจะสึกบริเวณกลางหน้ายาง ซึ่งยางลมที่เหมาะสมหน้ายางจะมีการสึกสม่ำเสมอ แต่กรณีรถเก๋งที่ขับระยะทางไกลด้วยความเร็วสูง ให้เติมลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ เพื่อการคืนตัวของยางจะเร็วขึ้น และไม่เสียรูปทรงยาง ทำให้มีอายุการใช้งานนานด้วย

สำหรับกรณีที่เป็นยางใหม่ ให้เพิ่มความถี่ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ หรือในช่วง 3,000 กิโลเมตรแรก เนื่องจากโครงสร้างยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัว ทำให้ความดันลมยางลดลง และเพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว และแกนวาล์ว ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่และมีฝาปิดวาล์วตลอดเวลา

ทั้งนี้ควรมีการสลับตำแหน่งยาง เพื่อช่วยให้มีการสึกหรออย่างสม่ำเสมอเท่าๆ กัน โดยยางเรเดียลจะสลับทุกๆ ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร และยางผ้าใบจะประมาณ 5,000 กิโลเมตร และควรบำรุงรักษาระบบช่วงล่างของรถยนต์ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ และตรวจสอบศูนย์ล้อให้ได้มาตรฐานของรถยนต์ โดยวิธีตรวจสอบศูนย์ล้อด้วยตัวเอง ว่าเป็นปกติหรือไม่ สังเกตง่ายๆ เวลาเลี้ยว 90 องศา ให้ดูการคืนพวงมาลัยเป็นปกติหรือไม่ ถ้าต้องดึงพวงมาลัยช่วยคืน แสดงว่าศูนย์ล้อไม่ปกติ

เพราะเรารู้ว่าคุณรักรถมากแค่ไหน “รู้ใจ” จึงให้คุณเลือกซ่อมได้ตามอู่ซ่อมรถยนต์แนะนำของรู้ใจดอทคอม พร้อมรับประกันงานซ่อม นานสูงสุดถึง 12 เดือน คลิกเช็คเบี้ย! 

สำหรับในบทความนี้ เราก็จะไปว่ากันในเรื่องของ ‘ยาง’ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของตัวรถ ถึงแม้เครื่องยนต์จะมีแรงม้ามากมาย แต่ถ้ายางไม่ยึดเกาะถนน และไม่สามารถเอาม้าลงพื้นได้ ก็เท่ากับ ‘เปล่าประโยชน์’ …ถึงแม้ว่าจะใส่ช่วงล่างสุดเทพ แต่ถ้าหากว่ายางไม่สามารถตอบสนองได้อย่างทันที ก็เท่ากับ ‘เปล่าประโยชน์’ ...ถึงแม้ว่าจะใส่เบรกชุดละแสน แต่ถ้าหากว่ายางไม่สามารถสร้างแรงเสียดทานได้ ก็เท่ากับ ‘เปล่าประโยชน์’

เพราะฉะนั้นแล้ว ยางจึงถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของรถยนต์ ไม่เพียงแต่ในแง่ของสมรรถนะแต่เพียงเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย และในบทความนี้ เราก็จะไปว่ากันด้วยเรื่อง... ‘การเลือกใช้ยาง’ ไปดูกันว่า ‘ปัจจัย’ อะไรบ้างที่เราต้องคำนึงถึง? ...ยางแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานประเภทไหนบ้าง? รวมไปถึงองค์ประกอบและโครงสร้างของยาง...

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

ก่อนอื่น...เราลองไปศึกษาองค์ประกอบและข้อมูลสำคัญๆ ของยางกันก่อนครับ

ถ้าพูดถึงโครงสร้างยางแล้ว ยางรถยนต์ที่ใช้ในปัจจุบันนั้น จะประกอบไปด้วยยางธรรมดา (Bias) และยางเรเดียล (Radial) ว่าแต่ว่า...ยางทั้งสองแบบนี้ มีโครงสร้างต่างกันอย่างไรบ้าง เราลองไปอ่านรายละเอียดกันครับ

1. ยางธรรมดา

ยางธรรมดามีชั้นผ้าใบที่ไขว้สลับกันไปมา ทำให้มีหน้ายางมีความแข็งที่มากกว่า ส่งผลดีต่อการบังคับเลี้ยวในความเร็วต่ำ แต่เนื่องจากว่าหน้ายางที่แข็งนี่เอง ทำให้การขับขี่มีความกระด้างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยางมีอายุการใช้งานมากๆ

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

ซ้าย - โครงสร้างยางแบบธรรมดา

ขวา - โครงสร้างยางแบบเรเดียล

2. ยางเรเดียล

ยางเรเดียลน่าจะเป็นชื่อที่คุ้นหูพวกเราๆ มากกว่า เพราะในปัจจุบันนี้ ยางเรเดียลได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยโครงสร้างแล้ว ยางเรเดียลมีผ้าใบพร้อมลวดเหล็กพันรอบแนวเส้นรอบวง ช่วยเพิ่มความเสถียรในการขับที่ความเร็วสูง นอกจากนั้นแล้ว เนื่องจากว่ายางเรเดียลจะใช้ผ้าใบที่บางกว่า ทำให้หน้ายางมีความบาง สามารถระบายความร้อนได้ดีกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็มีความแข็งแรงที่มากกว่าด้วย

นอกจากโครงสร้างของยางแล้ว ความรู้อีกหนึ่งยางที่เราจะต้องรู้เกี่ยวกับยางรถยนต์ก็คือ ขนาดและวันที่ผลิต โดยตัวเลขเหล่านี้จะปรากฏอยู่ที่แก้มยาง ยกตัวอย่างเช่น 22/50/17 หมายถึงขนาดของยางที่มีหน้ากว้าง 225 มิลลิเมตร และมีความสูงแก้มยางเท่ากับ 225X50% = 112.5 มิลลิเมตร ส่วนตัวเลขสุดท้ายหมายถึงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ นั้นก็คือ 17 นิ้วนั่นเองครับ

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

นอกจากขนาดของยางแล้ว ตัวเลขอีกชุดหนึ่งที่เราต้องสังเกตก็คือ ปีที่ยางเส้นนั้นถูกผลิต โดยตัวเลขชุดนี้จะมีทั้งหมด 4 ตัว เลขสองตัวแรกหมายถึงสัปดาห์ ตัวเลขสองตัวหลังหมายถึงปีที่ผลิตนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น 1018 หมายถึงยางเส้นนั้น ผลิตในสัปดาห์ที่ 10 ของปี 2018 นั่นเอง

หลังจากเราได้ทราบข้อมูลเบื้องต้น รวมไปถึงโครงสร้างของยางแล้ว ...เราก็เริ่มไปเลือกยางกันเลยครับ โดยปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงนั้น ประกอบไปด้วยปัจจัยต่อไปนี้

ปัจจัยที่ 1 – ลักษณะการใช้งาน

สำหรับการเลือกซื้อยางรถยนต์นั้น ปัจจัยแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องของลักษณะการใช้งาน ถ้าหากว่าเป็นรถเก๋งขนาดเล็กที่เน้นใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นหลัก ก็ควรเลือกยางที่มีขนาดและคุณภาพเทียบเท่ากับยางโรงงานที่ติดรถมา หรือจะเน้นไปที่กลุ่มยางประหยัดน้ำมันก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน โดยยางในกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแรงยึดเกาะที่เพียงพอต่อการใช้งาน ทั้งการขับบนถนนแห้งและบนถนนเปียก นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเสียงดังรบกวนที่น้อยกว่าอีกด้วย

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

ยางบางรุ่น สามารถลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้

สำหรับกลุ่มสายสตรีท หรือสายเพอร์ฟอร์มานซ์ ที่อยากจะอัพเกรดสมรรถนะของตัวรถ รวมไปถึงมีการปรับแต่งช่วงล่างมาบางส่วนแล้ว ก็ต้องเล็งไปที่ยางสมรรถนะสูง ซึ่งสามารถให้แรงยึดเกาะที่มากกว่า ให้การตอบสนองที่มากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องแลกมากับความสามารถในการรีดน้ำที่แย่ลง รวมไปถึงอายุการใช้งานที่สั้นลงด้วย นอกจากนั้นแล้ว ยางสมรรถนะสูงเหล่านี้ ถ้าหากใช้ไประยะหนึ่งแล้ว จะมีเสียงดังรบกวนมากกว่ายางโดยทั่วไป

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของยางและการยึดเกาะ

(Lateral Force = ความสามารถในการสร้างแรงยึดเกาะ)

ปัจจัยที่ 2 – ขนาดของยาง

หลังจากที่เราได้ตัดสินใจเลือกประเภทการใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจัยที่ 2 ก็คือการเลือกขนาด สำหรับคนที่เน้นใช้งานในชีวิตประจำวัน ขับในเมืองที่ความเร็วต่ำ ขับไปทำงาน ขับไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน ...ก็ไม่ต้องคิดมากเลยครับ เลือกใช้ยางที่มีขนาดเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด การเลือกใช้ยางขนาดเท่ากับของเดิม จะช่วยตัดปัญหาเรื่องไมล์ความเร็วเพี้ยน, ปัญหายางติดซุ้ม (ใช้ยางหน้ากว้างกว่าปกติ), ปัญหาเรื่องความแข็งกระด้าง (ใช้ยางแก้มเตี้ยกว่าปกติ)

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

สำหรับกลุ่มสายสตรีท ซึ่งเอาคำว่า ‘สมรรถนะ’ มาเป็นตัวตัดสินนั้น ก็ต้องพิถีพิถันกันสักหน่อย โดยอาจจะใช้ยางหน้ากว้างขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับถนน ทำให้สามารถสร้างแรงยึดเกาะได้มากขึ้นนั่นเอง นอกจากนั้น การใช้ยางแก้มเตี้ย จะส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะการขับขี่ โดยจะทำให้รถสามารถตอบสนองต่อพวงมาลัยได้เร็วขึ้น ในทางตรงกันข้าม ยางแก้มเตี้ยจะทำให้รถมีความกระด้างมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ปัจจัยที่ 3 – ดอกยาง

หลังจากเลือกขนาดของยางแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่เราไม่ควรมองข้ามก็คือ ‘ดอกยาง’ โดยทั่วไปนั้น ดอกยางสามารถแบ่งตามทิศทางได้ทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้

1. ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง (Non-directional)

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง จะมีลายดอกยางฝั่งซ้าย-และ-ฝั่งขวาแบบ ‘สวนทางกัน’ ดอกยางประเภทนี้ สามารถสลับตำแหน่งได้แบบสี่ล้อเลยครับ เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะดอกยางประเภทนี้ จะมีหน้ายางที่นุ่มและมีเสียงที่ไม่ดังมาก อย่างไรก็ตาม ดอกยางแบบสองทิศทาง ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการขับแบบความเร็วสูง หรือการขับขี่ปาดไป-ปาดมา

2. ดอกยางแบบทิศทางเดียว (Directional)

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

ดอกยางแบบนี้ ถูกออกแบบให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ซึ่งที่แก้มยางจะมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนไว้อย่างชัดเจน ดอกยางประเภทนี้ สร้างแรงยึดเกาะได้ค่อนข้างสูง และมีความเสถียรมากกว่า เพิ่มความมั่นใจในการขับแบบความเร็วสูง

นอกจากนั้นแล้ว ข้อดีอีกอย่างของดอกยางประเภทนี้ก็คือ สามารถรีดน้ำได้ค่อนข้างเร็ว จึงเหมาะกับการขับขี่ในหน้าฝน แต่ข้อเสียก็คือว่า สามารถสลับยางได้เพียงจากหน้า-ไป-หลังเท่านั้น ไม่สามารถสลับจากซ้าย-ไป-ขวาได้ (เว้นเสียแต่ว่าจะถอดยาง จึงจะสามารถสลับยางได้ครบทุกล้อครับ)

3. ดอกยางแบบไม่สมมาตร (Asymmetric)

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือก ยัง ไง

ดอกยางแบบไม่สมมาตร จะมีลายดอกยางของฝั่งซ้าย-และ-ฝั่งขวา ที่ไม่เหมือนกัน โดยที่ดอกยางฝั่งใน มีหน้าที่หลักคือการรีดน้ำเพื่อป้องกันการเหินน้ำ (Aquaplaning) ส่วนดอกยางฝั่งนอกนั้น จะมีความแข็งที่มากกว่า ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะขณะเข้าโค้งแบบหนักๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถนนแห้ง ยางที่มีดอกไม่สมมาตรจะสามารถสร้างแรงยึดเกาะได้สูงมาก ดอกยางประเภทนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของสายเพอร์ฟอร์มานซ์

และนี่ก็คือปัจจัยและกระบวนการคร่าวๆ ในการเลือกซื้อยาง ซึ่งผมเชื่อว่า...น่าจะทำให้ท่านผู้อ่านสามารถเลือกยางที่ตรงตามต้องการ และถูกต้องตามประเภทการใช้งาน ซึ่งจะทำให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดนั่นเองครับ นอกจากนั้นแล้ว การเลือกใช้ยางอย่างถูกประเภท ยังช่วยเพิ่มอายุการใช้งาน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย