ความขัดแย้งระหว่างประเทศจีน สหรัฐ สาเหตุ

ข่าวเศรษฐกิจ7 ส.ค. 65 15:07น.2022-08-07

ความขัดแย้งระหว่างประเทศจีน สหรัฐ สาเหตุ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐกรณีไต้หวันจะส่งผลกระทบและพลิกผันธุรกิจอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ที่บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company-TSMC เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก โรงหล่อเซมิคอนดักเตอร์อิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน มีสัดส่วน 54% ในตลาดโลก มีโรงงานการผลิตส่วนหนึ่งอยู่ในจีน หากความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันย่ำแย่ลงอีก คาดว่า จะมีการลงทุนบางส่วนย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน

มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจล่าสุดของจีนที่เริ่มแบนสินค้าหลายอย่างจากไต้หวัน เช่น สินค้าประเภทอาหาร ผลไม้ และสินค้าจากการประมง แต่กลับไม่แตะต้องธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์เลย ปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2563 อยู่แล้ว จากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซ้ำด้วยการระบาดของโควิด-19 จนโรงงานหลายแห่งต้องปิดตัวลงจากการล็อกดาวน์ จนถึงตอนนี้แม้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่ฟื้นตัวเท่าไหร่นัก รายงานของ TrendForce (บริษัทวิจัยการตลาดชั้นนำของโลก) ที่เปิดเผยออกมาเมื่อปีที่แล้ว บริษัทในไต้หวันถือครองส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์รวม 63% และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 66% ในปีนี้ โดยมี TSMC เป็นหัวหอก ถือครองส่วนแบ่ง 54% ของทั้งโลก ส่วนอันดับรองลงมาคือ เกาหลีใต้ที่ 18% โดย 17% มาจาก Samsung หากปัญหาวิกฤตความสัมพันธ์บานปลายกลายเป็นภาวะสงครามในช่องแคบไต้หวัน ย่อมทำให้สินค้าไอทีมีโอกาสสูงที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่เซมิคอนดักเตอร์อาจหายไปค่อนหนึ่งของกำลังการผลิตทั่วโลก

นอกจากนี้ กลุ่มทุนข้ามชาติไต้หวันยังเข้าไปลงทุนในประเทศจีนจำนวนมาก และใช้ฐานการผลิตในจีนส่งออกไปทั่วโลก มีรายได้จากการส่งออกไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินบาทเท่ากับประมาณ 7.2 ล้านล้านบาทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไต้หวันนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 87% อัตราการขยายตัวการส่งออกไต้หวันเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

บริษัท Foxconn สัญชาติไต้หวัน ผู้ผลิตชิ้นส่วนมือถือและอุปกรณ์สื่อสาร เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ให้ APPLE มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในจีน ด้วยผลประโยชน์ผูกพันทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนระหว่างจีนและไต้หวัน คาดได้ว่าทั้งสองฝ่ายจะหลีกเลี่ยงสงครามและการปะทะกันทางการทหาร เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง กลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มทุนต่างๆ ย่อมกดดันให้รัฐบาลลดระดับความขัดแย้งลงมา ข้อมูลล่าสุดพบว่า ชาวจีนไต้หวันอาศัยอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ประมาณ 160,000 คนแต่มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ไต้หวันยังมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่อกลุ่มประเทศอาเซียนในระดับสูง โดยไต้หวันมีมูลค่าการส่งออกมายังอาเซียนประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ตลาดจีนและฮ่องกงคิดเป็น 42% ของมูลค่าส่งออกของไต้หวันเมื่อปีที่แล้ว การที่จีนประกาศห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการจากไต้หวัน โดยเฉพาะกลุ่มอาหารย่อมส่งผลต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อไต้หวันไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างโอกาสในการส่งออกของไทยและกลุ่มอาเซียนเพื่อชดเชยสินค้าบางส่วนจากไต้หวัน ขณะเดียวกันไต้หวันนำเข้าสินค้าจากจีนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 22% สินค้านำเข้าเหล่านี้อาจเกิดอุปสรรคทางการค้าได้จากวิฤตทางการเมืองล่าสุด กลายเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยและกลุ่มอาเซียนในกลุ่มสินค้านำเข้าทดแทนกันได้เช่นเดียวกัน

การสนับสนุนนโยบายจีนเดียวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยที่มีอยู่ขณะนี้ แต่ไทยควรรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษาและวัฒนธรรมกับไต้หวันเอาไว้ด้วย ขณะเดียวกันเพื่อประโยชน์ของประเทศไทย โดยหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทางการเมืองหรือความสัมพันธ์ใดๆ ที่ละเมิดต่อหลักการจีนเดียว ซึ่งรัฐบาลไทยได้ยึดถือมาอย่างต่อเนื่อง การละเมิดต่อหลักการดังกล่าวอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ ท่าทีของไทยต่อนโยบายการรวมประเทศหรือผนวกรวมไต้หวัน (สาธารณรัฐไต้หวัน) ของสาธารณรัฐประชาชานจีนนั้นต้องเกิดจากกระบวนทางสันติภาพ กระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนจีนไต้หวัน การบูรณาการทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมที่ใช้เวลายาวนานเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางทหารและสงครามใหญ่ ซึ่งนำมาสู่ผลกระทบใหญ่หลวงต่อผู้คนในภูมิภาคและมนุษยชาติโดยรวม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ส.ค. 65)

Tags: lifestyle, ขาดแคลนชิป, จีน, สหรัฐ, อนุสรณ์ ธรรมใจ, ไต้หวัน

ความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับจีนในตอนนี้ ดูห่างไกลจากคำว่า ‘พันธมิตร’ ทั้งการตั้งกำแพงภาษี การแบนสินค้าและบริการ การแบน Huawei บริษัทผู้นำด้าน 5G, การแบน TikTok แอปพลิเคชันขวัญใจชาวโลก และล่าสุด ก่อนลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี นายทรัมป์ยังประกาศแบนอีก 9 บริษัทสัญชาติจีน หนึ่งในนั้นคือ Xiaomi สหรัฐอเมริกามองว่านี่คือ ‘ภัยต่อความมั่นคงของชาติ’ แล้วอะไรที่ทำให้ทั้ง 2 ประเทศนี้ไม่ลงรอยกัน?

ก่อนที่เราจะไปหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้สหรัฐอเมริกากับจีนไม่ลงรอยกัน เราควรเริ่มต้นที่แนวคิดพื้นฐานของทั้ง 2 ประเทศกันก่อน

รศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล อดีตผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เล่าไว้ในรายการ “หนุ่ยทอล์กหนุ่ยโทร” เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ปีที่ผ่านมาว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจ ความรู้สึกของคนอเมริกันเริ่มมีความทะนงตนว่า พวกเขาเหนือกว่าชาติอื่น ๆ ในโลก ประกอบกับเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง และชัยชนะตกเป็นของฝ่ายทุนนิยม สหรัฐฯ ก็ยิ่งได้ใจขึ้นไปอีก และมีความพยายามวางตัวเองให้เป็นตำรวจโลก ทั้งสอดส่อง ดูแล และคอยยื่นมือเข้าไปในประเทศต่าง ๆ โดยมองว่าตนนั้นเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา จนกลายเป็นแนวคิดพื้นฐานว่า ‘โลกควรมีมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียว’ เพื่อตัดสินและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลก

รัสเซียและจีน มีแนวคิดพื้นฐานที่ต่างจากสหรัฐฯ ไปอย่างสิ้นเชิง โดยทั้งคู่มองว่า ‘โลกควรมีมหาอำนาจมากกว่าหนึ่ง’ เพื่อถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ไม่ให้ใครกุมชะตากรรมของโลกไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ทำไมมวยคู่เอกของโลกจึงไม่เป็นรัสเซียกับสหรัฐฯ ?

รศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ได้ให้คำตอบไว้ว่า เมื่อหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง ในช่วงปี 1990 รัสเซียตกอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหนัก ในขณะที่จีนเจริญเติบโตขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของเทคโนโลยี ทางสหรัฐฯ จึงมองว่าจีนคือคู่แข่งที่น่ากลัว

กลับมาที่ปัจจุบัน หลายคนอาจจะคิดว่า ดอนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่เพิ่งลาตำแหน่งไปหมาด ๆ เป็นคนจุดชนวนความขัดแย้งเหล่านี้หรือเปล่า ถ้าบอกว่าเป็นคนจุดชนวนคงไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่าเป็นคนเร่งกระบวนการ ก็คงไม่ใช่การพูดที่ผิดแต่อย่างใด ซึ่งกระบวนการที่ว่านั้นก็คือ การคงไว้ซึ่งการเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก

ในสมัยของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในช่วงนั้นเราจะเห็นได้ว่า สหรัฐฯ บุกเข้าไปในประเทศอิรักโดยให้เหตุผลทางด้านการรักษาความมั่นคง เนื่องจากสหรัฐฯ มองว่า ผู้ก่อการร้ายคือภัยคุกคามของสหรัฐฯ และภัยคุกคามของโลก ดังนั้นในฐานะตำรวจโลก สหรัฐฯ จะต้องจัดการเรื่องนี้ ซึ่งกว่าสงครามครั้งนี้จะสิ้นสุดลงได้ก็ล่วงเลยมาถึงสมัยของ บารัก โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ ที่หลายคนเชื่อว่าจะนำพาความสงบกลับคืนมา แต่ถ้ามองลึก ๆ เข้าไป นโยบายของบารัก โอบามาคือ การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ

ในปี 2009 ที่โอบามาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขามองว่าศัตรูของสหรัฐฯ ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายอีกต่อไปแล้ว แต่การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนต่างหากคือศัตรูที่แท้จริง หากสหรัฐฯ ไม่รีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมโลกนี้คงไม่อาจมีมหาอำนาจได้เพียงหนึ่งเดียวอีกต่อไป

สิ่งที่โอบามาทำคือ การสร้างกฎกติกาและจัดระเบียบโลกเรื่องการค้าการลงทุน โดยการทำข้อตกลงทางการค้า Trans-Pacific Partnership (TPP) ซึ่งเป็นการมาจับมือกับประเทศในแปซิฟิก และข้อตกลงทางการค้า Transatlantic Trade and Investment Partnership (TTIP) ซึ่งเป็นข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป หากเปิดแผนที่โลกดูจะเห็นได้ว่านี่คือการโดดเดียวจีนที่แท้จริง

ทีมงาน #beartai ได้มีโอกาสพูดคุยกับ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยอาจารย์ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ว่า แม้ว่าจะดักกันทุกทางขนาดนี้ โอบามาก็ไม่อาจสกัดกั้นการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีนได้ เนื่องจากข้อตกลงทางการค้าเหล่านั้น ต้องใช้เวลาหลายปีในการร่างข้อตกลง เงื่อนไข กฎระเบียบ ซึ่งกว่าจะมีผลบังคับใช้จริงจังก็อีกหลายปี ส่งผลให้ทันทีที่ ดอนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วงปลายปี 2017 เขาจึงรีบถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงทางการค้า TPP แล้วเดินหน้าประกาศสงครามการค้ากับจีนทันที!

ในปี 2018 กระสุนนัดแรกจึงพุ่งออกไปที่จีน โดยสหรัฐฯ สั่งขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% รวม 1,102 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และต่อจากนี้ยังมีการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนอีกหลายครั้ง รวมไปถึงมหกรรมการแบนจากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศแบน Huawei และ ZTE บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน รวมไปถึงสื่อโซเชียลมีเดียอย่าง WeChat, TikTok และล่าสุดก่อนอำลาตำแหน่ง ทรัมป์ยังประกาศแบนอีก 9 บริษัทสัญชาติจีน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Xiaomi โดยให้เหตุผลสุดคลาสสิกว่า นี่คือภัยต่อความมั่นคงของชาติ

แต่จีนก็ไม่ใช่ประเทศเล็ก ๆ ที่ใครจะมารังแกก็ได้ เพราะหลังการประกาศตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์ จีนก็ตอบโตทันควันด้วยมาตรการทางภาษี แถมดูจะเจ็บน้อยกว่าด้วย เนื่องจากจีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ น้อยกว่าที่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีน

อีกหนึ่งยุทธศาสตร์จีนใช้เพื่อขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก คือ One Belt One Road ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาหลัก ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง นำมาปัดฝุ่นเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2013 เพื่อเชื่อมต่อจีนกับประเทศต่าง ๆ ที่อยู่บนเส้นทางระหว่าง เช่น ยุโรปและประเทศในเอเชีย ถ้าโครงการนี้สำเร็จ มีโอกาสสูงมากที่จีนจะแซงสหรัฐฯ และขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกตัวจริง

ได้เห็นยุทธศาสตร์ทางด้านการค้าไปแล้ว คราวนี้มาดูฝั่งสงครามเทคโนโลยีกันบ้าง ในยุคสงครามเย็นที่ใช้กำลังอาวุธมาเป็นเครื่องต่อรอง แต่ในยุคนี้อาวุธที่ 2 ประเทศมหาอำนาจใช้ต่อรองกันคือ เทคโนโลยีและข้อมูล (Data)

Data is the New Oil คือประโยคที่สะท้อนให้เห็นว่า ข้อมูล (Data) คือทรัพยากรหลักในการผลักดันเศรษฐกิจยุคดิจิทัล สหรัฐฯ ผู้ซึ่งต้องการเป็นมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียว จึงไม่อาจยอมให้จีนปักธงชัยในเทคโนโลยีสำคัญอย่าง 5G, สมาร์ตโฟน หรือแพลตฟอร์มโซเซียลที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากได้

ความวุ่นวายเหล่านี้ดูเหมือนจะมีหนทางคลี่คลาย หลังนายโจ ไบเดน เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และได้เข้าพิธีสาบานตนไปเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา แต่ภายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี้ จีนได้ประกาศคว่ำบาตรชาวสหรัฐฯ 28 ราย ที่ได้ทำการละเมิดอธิปไตยของจีนอย่างร้ายแรง โดย 1 ในนั้นคือ นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า จีนได้ทำการล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งการกระทำของจีนในครั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่าเป็นการตอบโต้ทรัมป์ที่ประกาศแบน 9 บริษัทสัญชาติจีนก่อนอำลาตำแหน่ง มากกว่าเป็น ‘การรับน้อง’ นายไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่

นับจากนี้ เราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า สหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน จะจัดการความสัมพันธ์กับจีนอย่างไร ใครจะเป็นผู้ชนะ หรือว่าโลกไม่จำเป็นต้องมีมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียว?

See also

ความขัดแย้งระหว่างประเทศจีน สหรัฐ สาเหตุ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส