ดี เอ ช เอ คือ

เมื่อพูดถึง DHA หลายๆ คนมักจะนึกถึงสารอาหารสำคัญสำหรับการพัฒนาสมองและส่งเสริมพัฒนาการต่าง ๆ ของวัยเด็ก แต่แท้ที่จริงแล้วมนุษย์เรานั้นต้องการ DHA ในทุกช่วงวัย เพราะ DHA หรือ กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid) คือกรดไขมันจำเป็นในตระกูลกรดไขมันโอเมกา-3 ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทเกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้ รวมทั้งการมองเห็น นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อโภชนาการและสุขภาพของคนเรา เช่น ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล และไตรเอธิลกลีเซอรอล (Triethylglycerol) ในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน (lipoprotien) และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและหน้าที่ของเกล็ดเลือด

อย่างไรก็ตาม DHA, EPA และกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่กลับเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น พบมากในนมแม่ และในปลาทะเลน้ำเช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น และพบได้บ้างในเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ รวมถึงไข่ไก่ และแทบทุกระบบการทำงานภายในร่างกาย จำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากโอเมก้า 3 ทั้งนั้น อาทิเช่น

  • ระบบหลอดเลือดหัวใจ (ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน และ โรคอัมพาต)
  • ระบบประสาท (ช่วยเพิ่มความจำ)
  • สายตา (ช่วยในการมองเห็น)
  • ระบบภูมิคุ้มกัน (ลดอาการภูมิแพ้)
  • ระบบไหลเวียนโลหิต (ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล)
  • ระบบสืบพันธุ์
  • ระบบข้อกระดูก

โอเมก้า 3 แบ่งออกได้หลายชนิด ที่สำคัญกับร่างกายของเราคือ กรดไขมันดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid) และ กรดไขมันอีพีเอ (Eicosapentaenoic Acid: EPA) คือ กรดไขมันสายยาวที่สร้างจากกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid: ALA) ที่อยู่ภายในร่างกาย โดยกรดไลโนเลนิกจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดไขมันดีเอชเอและอีพีเอ ซึ่งเป็นกรดที่จำเป็นต่อโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง (Brain cell) และจอรับภาพในดวงตา (Retina) รวมถึงกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อไมอีลินรอบเส้นใยประสาท (myelinogenesis) ซึ่งช่วยในการถ่ายทอดข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท และการส่งสัญญาณแสงโดยเฉพาะในเยื่อหุ้มเซลล์สมองจะประกอบด้วย DHA ถึง 65 % ดังนั้น DHA จึงมีความสำคัญต่อการทำงานของสมองอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจบางชนิด อาการปวดข้อ การอักเสบและช่วยในด้านความจำ นับได้ว่าเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับทุกเพศทุกวัย จากเด็กตลอดจนผู้สูงอายุ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และทารก

ดี เอ ช เอ คือ

ประโยชน์ของ DHA ในแต่ละช่วงวัย

วัยทารก (Infant)

เป็นช่วงสำคัญที่สุดสำหรับพัฒนาการทางสมองของทารก ซึ่งการพัฒนาจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ถึง 3 ขวบแรกของชีวิต สมองของเด็กพัฒนาสูงสุดถึง 80 % เซลล์สมองจะขยายขนาด และมีการสร้างเครือข่ายเส้นใยประสาทอย่างรวดเร็ว เพื่อเชื่อมให้เกิดการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง ซึ่งน้ำหนักสมองจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งสารอาหารที่มีบทบาทมากในช่วงดังกล่าวก็คือ DHA ซึ่งความสำคัญของ DHA ในช่วงวัยนี้ก็คือ

  • ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมอง
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ และเพิ่มประสิทธิภาพของทักษะกระบวนความคิดของลูกน้อย
  • ส่งเสริมพัฒนาการในด้านจิตใจ
  • ส่งเสริมประสิทธิภาพการมองเห็น
  • ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายโดยกรดไขมันดีเอชเอ จะช่วยในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น

วัยเด็ก (Children)

วัยเด็ก คือวัยแห่งการเรียนรู้และการจดจำอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ด้านการสื่อสาร ภาษา หรือทักษะทางความคิดต่างๆ ดังนั้นการบำรุงและดูแลเป็นพิเศษจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งเด็กที่ได้รับ DHA ในปริมาณที่เพียงพอจะมีพัฒนาการที่ดีในเรื่องต่อไปนี้

  • มีการจดจำและการเรียนรู้ที่ดี(Cognitive Function)
  • มีการพัฒนาด้านการอ่าน และพฤติกรรมที่ดีขึ้น
  • ป้องกันการเกิดโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder; ADHA)

วัยผู้ใหญ่ (Adults) ตลอดจนผู้สูงอายุ

วัยผู้ใหญ่ วัยทำงาน จนถึงวัยสูงอายุ จัดเป็นช่วงวัยที่ต้องอาศัยการทำงานของสมองอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุพบว่าปริมาณของ DHA นั้นจะมีปริมาณที่ต่ำมาก ซึ่งอาจเสี่ยงต่อภาวะความจำเสื่อมในอนาคต ดังนั้นในการเสริมด้วย DHA จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมต่อการดูแลสมอง

  • ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้งในเรื่องของสมองและดวงตา ลดโอกาสการเกิดจอประสาทตาฝ่อตัวอักเสบ
  • ป้องกันภาวะความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease)
  • ป้องกันภาวะซึมเศร้า หงุดหงิด หรือไม่สบายใจ
  • ลดภาวะความเครียดจากการใช้ความคิด
  • DHA ช่วยลดการอักเสบช่วยฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ ลดอาการของโรคข้ออักเสบต่างๆ
  • ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ลดความดันโลหิต

หลายคนนิยมใช้อาหารเสริม DHA เพื่อบำรุงสุขภาพร่างกายหรือรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งแม้จะมีงานวิจัยบางส่วนชี้ว่าการกินอาหารเสริมชนิดนี้อาจช่วยช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคบางชนิด แต่การรับประทาน DHA มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยบางรายและอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ

ข้อควรระวังในการรับประทาน DHA

  • ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาความดันโลหิต เช่น ยาแคปโตพริล ยาอีนาลาพริล ยาลอซาร์แทน และยาวาลซาร์แทน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ DHA และให้ระมัดระวังในการใช้ เพราะอาจทำปฏิกิริยาต่อกันและส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำจนเกินไป
  • ผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยาวาร์ฟาริน ยาโคลพิโดเกรล ยาไดโคลฟีแนค และยานาพรอกเซน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ DHA และระมัดระวังในการใช้ เพราะอาจทำปฏิกิริยาต่อกันและเสี่ยงทำให้เกิดรอยช้ำหรือมีเลือดออกได้ง่าย
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ DHA เพราะอาหารเสริมชนิดนี้อาจส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
  • ก่อนเข้ารับการผ่าตัดต้องหยุดใช้อาหารเสริมกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งรวมถึง DHA เป็นเวลา 1 หรือ 2 สัปดาห์

ปริมาณความต้องการ DHA ที่ใช้โดยทั่วไปในแต่ละวัน

  • เด็ก อายุต่ำกว่า 2 ปี รับประทานปริมาณ 10-12 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ส่วนเด็กอายุ 2 ปี ขึ้นไปอาจรับประทานปริมาณไม่เกิน 250 มิลลิกรัม/วัน
  • หญิงที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร รับประทานอย่างน้อย 200 มิลลิกรัม หรือรับประทาน DHA ที่ผสมกับ EPA ในปริมาณ 300-900 มิลลิกรัม/วัน
  • ผู้ใหญ่รับประทานอย่างน้อย 250-500 มิลลิกรัม/วัน
  • ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความทรงจำหรือการรับรู้ รับประทานปริมาณ 500–1,700 มิลลิกรัม/วัน อาจช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง

ดี เอ ช เอ คือ

ใหม่! LISA DHA SHOT เครื่องดื่มโปรตีนนมพร้อมดื่ม ผสมน้ำมันปลาของไทยยูเนี่ยน ที่ให้ DHA 600 mg EPA 120 mg. Folate และ Vitamin B ที่มีส่วนช่วยในการทำงานเป็นไปตามปกติของสมองและระบบประสาท และมีส่วนช่วยในการมองเห็น นอกจากนั้นยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ