ทํา ไม่ ออก กํา ลังกา ย แล้ว หัวใจเต้นเร็ว

หลายคนมีอาการใจสั่น แล้วเกิดข้อสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอะไร บางคนมีความรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วมาก จะเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า ศูนย์หัวใจวิชัยเวช 24 ชั่วโมง รพ.วิชัยเวชฯ​หนองแขม ไขข้อสงสัยเรื่องนี้แบบเข้าใจง่าย ๆ

ทำความรู้จักหัวใจของคนเราก่อน
หัวใจของคนเราจะมีขนาดเท่ากำปั้น อยู่บริเวณช่องอก เยื้องไปทางด้านซ้ายเล็กน้อย มีหน้าที่ในการบีบตัว สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

อัตราการการเต้นของหัวใจ

  • หัวใจเต้น 60-100 ครั้งต่อนาที  : ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หัวใจเต้นเกิน 100 ครั้งต่อนาที : มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว
  • หัวใจเต้นเกิน 150 ครั้งต่อนาที : มีภาวะหัวใจเต้นเร็วมากเข้าขั้นอันตราย

สาเหตุของอาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็ว แบ่งออกเป็น

1. หัวใจเต้นเร็วเพราะหัวใจถูกกระตุ้น ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของไฟฟ้าหัวใจ เช่น อยู่ในภาวะตกใจ หรือไปออกกำลังกาย เสียเลือดมากจนซีด ขาดน้ำ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือเกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษ การดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งก็จะส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วได้

2. หัวใจเต้นเร็วเพราะระบบไฟฟ้าในหัวใจผิดปกติ แบ่งออกได้เป็น

  • จุดกำเนิดหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องบน Supraventricular Tachycardia หรือที่เรียกว่า SVT เกิดจากทางเดินของกระแสไฟฟ้าหัวใจเพิ่มขึ้นจากปกติ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรและไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วจากภาวะปกติ
  • จุดกำเนิดหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องล่าง Ventricular Tachycardia หรือที่เรียกว่า VT เกิดจากการมีจุดกำเนิดที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นในหัวใจห้องล่าง

ทำความรู้จักหัวใจเต้นเร็ว

หัวใจเต้นเร็วรูปแบบนี้จะมีลักษณะจำเพาะ โดยที่หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นมาอย่างฉับพลันจากภาวะปกติ เช่น จากที่หัวใจเต้น 80 ครั้งต่อนาทีอยู่ดี ๆ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 140 ครั้งต่อนาที ภายในเวลาชั่วพริบตา ทำให้รู้สึกถึงอาการใจสั่น และก็จะสามารถลดลงกลับมาอยู่ในภาวะปกติได้อย่างทันที ซึ่งระยะเวลาที่หัวใจเปลี่ยนจังหวะการเต้นอย่างฉับพลันขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ของแต่ละบุคคล

อาการหัวใจเต้นเร็ว แบ่งออกเป็น
1. อาการไม่รุนแรง อาการที่สามารถพบได้

  • ใจสั่นแบบทันทีทันใด
  • ใจหวิว
  • มึนงง
  • อาจมีอาการแน่นหน้าอก หรือจุกบริเวณลำคอ
  • มีอาการเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีและสามารถหายได้เอง

2. อาการแบบรุนแรง มีอาการหัวใจเต้นเร็วนานหลายนาที หรือหลายชั่วโมง บางรายมีอาการหน้ามืด เป็นลม หมดสติ หัวใจวาย หรือเสียชีวิตทันที

คือ อาการที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ โดยเกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ อาจเป็นการตอบสนองของร่างกายต่อความวิตกกังวล อาการไข้ เสียเลือดกะทันหัน หรือออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังกายมาก นอกจากนั้น อาจเกิดจากโรคหรือความผิดปกติในร่างกาย เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) หรือปอดบวม รวมไปถึงผลข้างเคียงจากอาหาร เครื่องดื่มและยารักษาโรค เช่น ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ทํา ไม่ ออก กํา ลังกา ย แล้ว หัวใจเต้นเร็ว

ในผู้ใหญ่อัตราการเต้นของหัวใจเมื่อเกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติจะอยู่ที่ 100 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจปกติจะอยู่ที่ประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที

หัวใจเต้นเร็วมี 3 ประเภทดังนี้

  • หัวใจเต้นเร็วที่เกิดในหัวใจห้องบน (Supraventricular Tachycardia) เกิดจากความผิดปกติหรือความผิดพลาดของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่หัวใจห้องบน ซึ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
  • หัวใจเต้นเร็วที่เกิดในหัวใจห้องล่าง (Ventricular Tachycardia) เกิดจากความผิดพลาดของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่หัวใจห้องล่าง ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น เมื่อหัวใจเต้นเร็วมากก็ทำให้ไม่สามารถสูบฉีดไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้
  • หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ (Sinus Tachycardia) จะเกิดขึ้นเมื่อส่วนการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจตามธรรมชาติของร่างกายได้ส่งคลื่นไฟฟ้าที่มีความเร็วกว่าปกติและทำให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ

อาการหัวใจเต้นเร็ว
ภาวะหัวใจเต้นเร็วอาจทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เนื้อเยื่อหรืออวัยวะในร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ อาจมีอาการต่าง ๆ เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก หายใจตื้น และหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือบางรายอาจมีอาการเฉพาะเวลาออกกำลังกายเท่านั้น

อาการหัวใจเต้นเร็ว โดยทั่วไปมักพบว่ามีอาการต่อไปนี้ เช่น

  • ใจสั่น หรือรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
  • หายใจหอบเหนื่อย
  • อ่อนล้า
  • เวียนศีรษะ หรือรู้สึกหวิว
  • กรณีที่ร้ายแรงอาจทำให้เป็นลมหมดสติเนื่องจากขาดออกซิเจน หรือนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นได้

อาการหัวใจเต้นเร็วที่มีสาเหตุจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น ผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) จะมีอาการเพิ่มเติมแตกต่างกันออกไป เช่น มีอาการทางระบบประสาท นอนไม่หลับ มีอาการสั่น เหงื่อออก หรือภาวะหัวใจเต้นเร็วที่มีสาเหตุมาจากโรคปอดหรือหัวใจ มักจะมีอาการ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจตื้น หรือวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น

สำหรับผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น แต่อาจถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram)

หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ตัว มีอาการหัวใจเต้นเร็วร่วมกับอาการหายใจติดขัด หรือเจ็บหน้าอกนานหลายนาที ควรรีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน หรือพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจขาดเลือดที่รุนแรงได้

สาเหตุของหัวใจเต้นเร็ว

ปกติหัวใจจะมีกลุ่มเซลล์หัวใจทำหน้าที่ส่งสัญญาณไฟฟ้า เพื่อทำให้ห้องหัวใจปั๊มเลือดทำงานได้ปกติ แต่การเกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติเป็นเพราะมีปัจจัยบางอย่างรบกวนการส่งสัญญาณไฟฟ้า โดยปัจจัยที่ไปรบกวนการส่งสัญญาณไฟฟ้า อาจเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้

  • ภาวะที่ทำให้หัวใจทำงานหนัก และเนื้อเยื่อหัวใจถูกทำลายจากโรคหัวใจ
  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)
  • ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
  • ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)
  • ความดันโลหิตต่ำหรือสูง
  • เป็นไข้
  • เสียความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเต้นของหัวใจ
  • ความเครียด วิตกกังวลหรือตกใจ
  • ออกกำลังกาย
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป
  • สูบบุหรี่
  • ใช้ยาเสพติดหรือสารกระตุ้นที่ผิดกฎหมาย เช่น โคเคน
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคบางชนิด

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดหัวใจเต้นเร็ว เช่น

  • มีประวัติของคนในครอบครัวที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติหรือเคยมีความผิดปกติการเต้นของหัวใจอื่น ๆ จะทำให้มีความเสี่ยงภาวะหัวใจเต้นเร็วเพิ่มขึ้น
  • อายุที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว 

การวินิจฉัยหัวใจเต้นเร็ว

การวินิจฉัยหัวใจเต้นเร็ว แพทย์จะเริ่มจากถามอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด สอบถามประวัติทางการแพทย์ในอดีตของผู้ป่วยและหาสาเหตุที่มีความเป็นได้ และตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมไปถึงจับชีพจร ตรวจดูจังหวะการเต้นของหัวใจ ฟังปอดหรือตรวจดูสัญญาณความผิดปกติของต่อมไทรอยด์หากสงสัยว่าเกิดภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกินไป เป็นต้น

แพทย์อาจตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่อไปนี้

  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นเร็ว ซึ่งจะช่วยให้แพทย์รู้ว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วยมีการทำงานอย่างไร  แพทย์อาจให้ใช้อุปกรณ์บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพา เพื่อให้ได้รายละเอียดที่มากขึ้น มีอยู่ 2 แบบ คือ เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง (Holter Monitor) และ Event Monitor ซึ่งจะบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดปกติในช่วงเวลาเป็นสัปดาห์หรืออาจเป็นเดือน
  • การตรวจทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ (Electrophysiological Test) แพทย์อาจใช้วิธีนี้เพื่อการวินิจฉัยที่ละเอียดยิ่งขึ้นหรือเพื่อให้สามารถระบุตำแหน่งของปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบหัวใจเป็นการตรวจที่ต้องใส่สายขนาดเล็กเข้าไปภายในหัวใจเพื่อบันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจ

การตรวจหัวใจด้วยการดูภาพ เพื่อตรวจสอบโครงสร้างที่อาจมีความผิดปกติ ซึ่งมีผลกระทบต่อการไหลเวียนโลหิตและนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นเร็ว การวินิจฉัยด้วยการดูภาพมีหลายวิธีด้วยกัน ได้แก่

  • การเอกซเรย์ทรวงหน้าอก ช่วยให้เห็นภาพนิ่งของปอดและหัวใจ ซึ่งอาจช่วยให้แพทย์เห็นความผิดปกติ เช่น อาการหัวใจโต
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram) เป็นการตรวจดูประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจด้วยการใช้การสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูง
  • การตรวจด้วยครื่องสนามแม่เหล็กแรงสูง (Magnetic Resonance Imaging: MRI) ช่วยตรวจหาความผิดปกติของการหมุนเวียนโลหิตในหัวใจและตรวจหาความผิดปกติของหัวใจอื่น ๆ
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography) ช่วยให้เห็นรายละเอียดของภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับแพทย์ในการหาความผิดปกติในหัวใจ
  • ตรวจด้วยการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram) เป็นวิธีที่ใช้เพื่อหาความผิดปกติหรือตรวจสอบการอุดกั้นของการไหลเวียนโลหิตในหลอดเลือดหัวใจ
  • การตรวจทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (Stress Test) เป็นการติดขั้วไฟฟ้าเพื่อบันทึกการทำงานของหัวใจไว้ที่บริเวณหน้าอกในระหว่างที่ให้ผู้ป่วยวิ่งบนลู่วิ่ง หรือให้รับประทานยาที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ซึ่งจะช่วยให้เห็นการทำงานของหัวใจเมื่อต้องใช้งานหนัก
  • การตรวจหัวใจด้วยเตียงปรับระดับ (Tilt Table Test) เป็นวิธีที่ช่วยให้แพทย์ประเมินและเข้าใจถึงภาวะหัวใจเต้นเร็วที่ทำให้เป็นลมหมดสติ ระหว่างการตรวจผู้ป่วยจะรับประทานยาที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วและนอนบนเตียงพิเศษเพื่อดูการตอบสนองของหัวใจและระบบประสาทเมื่อปรับระดับเตียง

นอกจากนี้ แพทย์ยังอาจตรวจเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยโรคประจำตัวที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและประเมินภาวะทางหัวใจหากมีข้อสงสัยอื่น ๆ เพิ่มเติม

การรักษาหัวใจเต้นเร็ว

การรักษาหัวใจเต้นเร็ว แพทย์จะเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไข้ โดยพิจารณาจากประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกายและการตรวจเพิ่มเติมอื่น ๆ ประกอบกัน ซึ่งแพทย์จะรักษาสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว พร้อมทั้งให้การรักษาเพื่อชะลอไม่ให้หัวใจเต้นเร็วมากเกินไป หรือป้องกันการเกิดหัวใจเต้นเร็วอีกในอนาคต และลดภาวะแทรกซ้อนให้เหลือน้อยที่สุด

การรักษาโรคประจำตัวที่เป็นสาเหตุของหัวใจเต้นเร็ว

แพทย์จะรักษาหัวใจเต้นเร็วผิดปกติตามสาเหตุ โดยรักษาที่ตัวโรคหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายโดยตรง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว เช่น รักษาภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) หรือควบคุมความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติ

การรักษาด้วยการชะลออัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง

  • การทำ Vagal Maneuvers เป็นวิธีที่แพทย์จะใช้ชะลออัตราการเต้นของหัวใจด้วยการกระตุ้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve) โดยจะให้ผู้ป่วยไอ นั่งยอง ๆ หรือนำถุงน้ำแข็งมาวางไว้บนใบหน้า
  • การรักษาด้วยยา แพทย์อาจให้ฉีดหรือรับประทานยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ
  • การช็อกหัวใจด้วยไฟฟ้า (Cardioversion) เป็นวิธีจะช่วยให้จังหวะการเต้นหัวใจกลับมาเป็นปกติได้ โดยอาจจะใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจแบบอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator: AED) หรือแบบแผ่นแปะที่บริเวณหน้าอก ซึ่งมักใช้ในภาวะฉุกเฉิน

การป้องกันการเกิดหัวใจเต้นเร็วในอนาคต

  • การจี้หัวใจ (Catheter Ablation) เป็นวิธีรักษาหัวใจเต้นเร็วผิดปกติด้วยการใช้สายสวนหัวใจผ่านทางหลอดเลือดที่บริเวณขาหนีบ แขนหรือคอ โดยแพทย์จะใช้สายสวนหัวใจนี้ตรวจหาความผิดปกติหรือหาจุดกำเนิดของหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากพบจึงจี้ทำลายบริเวณนั้น
  • การรักษาด้วยยา ช่วยป้องกันหัวใจเต้นเร็วผิดปกติได้เมื่อรับประทานยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นประจำ หรือแพทย์อาจให้ใช้ยาทางเลือกอื่น ๆ  เช่น เบต้า บล็อกเกอร์  และแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ โดยยาทั้ง 2 ชนิดนี้อาจใช้รวมกันกับยาต้านภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
  • การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ากระตุ้นให้อัตราการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ (Pacemaker) เป็นอุปกรณ์ที่จะฝังไว้ใต้ผิวหนังผู้ป่วย โดยอุปกรณ์นี้จะปล่อยคลื่นไฟฟ้าเพื่อช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วผิดปกติกลับมาเป็นปกติได้  
  • การฝังเครื่องกระตุกหัวใจ (Implantable Cardioverter) แพทย์จะแนะนำวิธีนี้สำหรับผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็วที่มีความรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต แพทย์จะฝังเครื่องดังกล่าวไว้ที่บริเวณหน้าอก โดยเครื่องจะตรวจสอบจังหวะการเต้นของหัวใจและหากพบว่าจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติก็จะส่งคลื่นไฟฟ้าที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ
  • การผ่าตัด เป็นวิธีที่แพทย์จะเลือกเมื่อการรักษาวิธีอื่น ๆ ไม่เกิดผลหรือมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อรักษาความผิดปกติของหัวใจประเภทต่าง ๆ และกรณีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ แพทย์จะผ่าตัดเพื่อทำลายเนื้อเยื่อที่เป็นจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจเต้นเร็ว

การป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็ว

ผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ มีโอกาสสูงที่จะเกิดลิ่มเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมอง โดยแพทย์อาจสั่งยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าว

นอกจากนั้น ผู้ป่วยต้องดูแลสุขภาพของตนเองด้วยการลดน้ำหนักและออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากโรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว

ภาวะแทรกซ้อนของหัวใจเต้นเร็ว

ภาวะแทรกซ้อนของหัวใจเต้นเร็วที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

  • มีอาการหน้ามืดหรือหมดสติบ่อยครั้ง
  • เกิดลิ่มเลือด (Blood Clots) ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดที่สำคัญ ซึ่งนำไปสู่โรคที่ร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดในสมองอุดตัน หรือโรคหัวใจ
  • หัวใจวาย (Heart Failure) เป็นภาวะที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ไม่เพียงพอ
  • เสียชีวิตกะทันหัน มักเกิดขึ้นกับภาวะหัวใจเต้นเร็วที่เกิดในหัวใจห้องล่าง (Ventricular Tachycardia) หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างสั่นพริ้ว (Ventricular Fibrillation)

การป้องกันหัวใจเต้นเร็ว

เนื่องจากการป้องกันการเกิดหัวใจเต้นเร็วเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นหัวใจเต้นเร็วจากโรคหัวใจ อย่างไรก็ตาม ยังพอมีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดหัวใจเต้นเร็วจากโรคหัวใจให้น้อยลงได้บ้าง ด้วยการดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง หรือปฎิบัติตนอย่างเหมาะสมตามแผนการรักษาของแพทย์ พร้อมทั้งหมั่นสังเกตอาการหรือความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

วิธีดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ทำได้ดังนี้

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผักและผลไม้ หรือธัญพืชต่าง ๆ
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะหากมีน้ำหนักตัวที่มากเกินจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจได้
  • ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตให้เป็นปกติ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างพอเหมาะ ซึ่งบางรายแพทย์อาจแนะนำให้เลิกดื่ม
  • ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนอย่างพอเหมาะ ไม่เกินวันละ 1-2 แก้ว
  • เลิกสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงยาเสพติดหรือสารกระตุ้นที่ผิดกฎหมาย
  • ระมัดระวังการใช้ยาบางชนิดที่ซื้อใช้เอง เช่น ยาแก้ไอหรือยาแก้ไข้ เพราะมีส่วนประกอบที่อาจไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็ว ควรปรึกษาแพทย์ว่าควรหลีกเลี่ยงยาชนิดใด
  • หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเครียด ซึ่งปัจจุบันมีวิธีผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดมากมาย เพื่อรับมือกับความเครียดในชีวิตประวันได้