การพัฒนาเศรษฐกิจความหมาย ของการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจ หมายถึง การทำให้รายได้ที่แท้จริงต่อคนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น เวลานาน เพื่อทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และ สังคม โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้ 1)
เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อท าให้มีสินค้าและบริการมากขึ้นหรือทำ ให้รายได้ที่แท้จริงต่อคนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขรายได้ที่แบ่งประเทศพัฒนากับด้อยพัฒนามีดังนี้ 2. ประเทศกึ่งพัฒนา ( Semi-Developed Nation) มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี 600 ดอลล่าร์ขึ้นไป 3. ประเทศพัฒนาแล้ว ( Developed Nation) ประชากรมีรายได้ต่อคนสูงกว่า 1,500 ดอลล่าร์ต่อคนต่อปีขึ้นไป ความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ วัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาเศรษฐศาสตร์ แผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้อยพัฒนา มีวัตถุประสงค์กว้าง ๆ 4 ประการ ดังนี้คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ดังนี้ เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา ส่วนที่ 2. คุณลักษณะ ส่วนที่ 3. คำนิยาม ส่วนที่ 4. เงื่อนไข ส่วนที่ 5. แนวทางปฏิบัติ / ผลที่คาดว่าจะได้รับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคือ เอกสารด้านนโยบายสาธารณะที ใช้ในการกำาหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ (ตั้งแต่แผนฉบับที 1) และสังคม (ตั้งแต่แผนฉบับที 2เป็นต้นมา) ร่วมกันของประเทศไทย โดยได้ประกาศใช้ฉบับแรกเมื่อ พ.ศ.2504 และมีการประกาศใช้เรือยมาจนกระทั่งถึงแผน 10 ในปจจุบันประเทศไทยมีแนวคิดด้านการจัดทำาแผนพัฒนาขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกในสมัย แรกเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยใน พ.ศ.2475 คณะราษฎร์โดยหลวงประดิษฐมนูญธรรม (ปรีดีพนมยงค์) ได้นำาเสนอแผนที่มีชื่อว่า “เค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ” แต่ประสบปญหาความขัดแย้งด้านแนวคิดของแผนที่มีลักษณะการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบของรัฐสังคมนิยม จึงทำาให้แผนดังกล่าวไม่ได้รับความสนใจแต่ประการใดในปีพ.ศ.2493 รัฐบาลได้จัดตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติเพื่อทำาหน้าที่ในการเป็นที่ปรึกษาให้แก่รัฐบาลในเรี่องเศรษฐกิจการคลัง และมีคณะกรรมการดำาเนินการทำาผังเศรษฐกิจ ซึ่งทำาหน้าที่วางกรอบโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวถือเป็นคณะทำางานหลักของสภาเศรษฐกิจในปีพ.ศ.2504 รัฐบาลของจอมพลสฤษดิธนะรัชต์ได้มีการจัดทำาแผนพัฒนาเศรษฐกิจระดับชาติโดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติเป็นผู้วางแผน โดยธนาคารโลกได้ส่งผู้เชียวชาญเข้ามาให้การช่วยเหลือทางวิชาการในการกำาหนดแผนดังกล่าว ลักษณะสำาคัญที่ทำให้แผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับดังกล่าวมีความเป็นพิเศษคือ การวางระบบความสัมพันธ์ของแผน เช่น ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนี้“โดยที สภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติได้พิจารณากำาหนดจุดหมาย นโยบาย แผนการและโครงการพัฒนาการเศรษฐกิจเพื่อวางแผนการส่วนรวมสำาหรับระยะเวลาหนึ่ง และได้วางแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติระหว่างระยะเวลา พ.ศ.2504 ถึง พ.ศ.2506 และถึง พ.ศ. 2509 ...”จากแผนดังกล่าวทำาให้ประเทศไทยมีลักษณะเศรษฐกิจแบบผสม (Mix Economy) โดยที่มีหลักการทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีพร้อมกับการที่รัฐเข้ามามีบทบาทในการวางแผนเพื่อกำาหนดเปาหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน พร้อมกันนี้รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนบทบาทของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติให้มีบทบาทในการเป็นหน่วยงานกลางในการกำาหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ และได้เปลี่ยนชี่อเป็น “สำานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ” ใน พ.ศ.2502 ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศยกเลิกระบบตะกร้าเงินตราต่างประเทศ (Basket of currency) และหันไปใช้นโยบายการลอยตัวค่าเงิน (A money float) ค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ได้ลดลงร้อยละ 15-20 และได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจขอภูมิภาคเอเชียทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มอาเซียน (ค่าเงินของประเทศไทยจะแข็งกว่าหลายประเทศเมือมูลค่าของเงินประเทศไทยลดลง ทำให้จำนวนเงินของประเทศเพื่อบ้านในระบบแลกเปลี่ยนได้รับผลกระทบ)ก่อนที่ประเทศไทยจะประกาศลอยตัวค่าเงินในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ประเทศไทย ได้เปิดเสรีทางการเงินในปี 2536 ซึ่งในขณะนั้น ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Pegged exchange system) ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยในประเทศอยู่ใน อัตราสูงทำให้ดึงดูดเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ในเวลาต่อมาเงินบาทมีค่าสูงกว่าความเป็นจริง (Overvalued) และที่สำคัญตะกร้าเงินตราต่างประเทศของประเทศไทยประกอบด้วยเงินดอลล่าร์ สหรัฐอเมริกา สูงถึงร้อยละ 80 ส่งผลให้สภาพคล่องภายในประเทศมีสูงมาก ดอกเบี้ยเงินฝาก เงินกู้สูง (เกินความเป็นจริง) มีผู้กู้เอามาทำธุรกิจเป็นจำนวนมาก ที่เป็นตัวเอก คือ ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน บ้านจัดสรร การเติบโต ของเศรษฐกิจอยู่ในลักษณะของการใช้จ่ายเงินจากทุนที่ไหลเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมิได้เติบโตจากรายได้ การลงทุน ที่แท้จริง ซึ่งเรียกกันว่าเป็นการเติบโตแบบฟองสบู่ และเมื่อต่างชาติถอนเงินทุนกลับ เศรษฐกิจของประเทศไทย ก็ล้มลงอย่างหมดท่าและที่ปรากฏชัดมองเห็นได้คือ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมหาศาล 1. การจัดทำงบประมาณประจำปี ไม่เกินดุล (ทำขาดดุล) เพื่อเป็นการไม่ให้รัฐบาลผลิตธนบัตรมาใช้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อ 2. การจัดทำงบประมาณต้องจัดตามความสำคัญก่อน-หลัง
โดยไม่มีอิทธิพลของการเมืองเข้าแทรกแซง (เป็นการลดบทบาทของรัฐในการกำหนดนโยบาย) จากเงื่อนไขในจดหมายแสดงเจตจำนงค์ของ IMF ที่ทำกับรัฐบาลที่ปกครองในขณะนั้น สถานการณ์ของประเทศยิ่งทรุดหนัก เพราะเงื่อนไขดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อทุนต่างชาติในการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามามีส่วนร่วมที่สำคัญนอกจาก IMF ยังมีธนาคารโลก (World Bank) องค์กรการค้าโลก (WTO) ความเสียหายพอสรุปได้ดังต่อไปนี้ 1. การเปิดเสรี การยกเลิก Quota ภาษีศุลกากร ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าของประเทศพัฒนาแล้วเข้ามาตีตลาดภายในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ทำให้เราไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่พัฒนาได้
และเราไม่มีโอกาสที่จะไล่ตามเทคโนโลยีของประเทศเหล่านั้นได้ การว่างงานส่งผลต่อความเครียด สังคมชุมชนระหว่างประเทศ (International society) นั้นจะประกอบไปด้วย รัฐชาติ (Nation State) องค์กรพัฒนาเอกชน (Non Governmental Organization)องค์การและหน่วยงานของรัฐ(Governmental Organization) องค์กรที่เป็นสากลทั้งองค์การเฉพาะด้านเช่น ASEAN OPEC APEC EU WTO หรือองค์กรทั่วไป เช่น UN ซึ่งองค์กรต่างๆเหล่านี้จะเข้ามาบทบาทในเวที สังคมชุมชนระหว่างประเทศ เพื่อดำเนินนโยบายต่างๆของตนเอง แต่บทบาทของรัฐชาตินั้นถือได้ว่าสำคัญมากที่อาจจะก่อให้เกิดสันติภาพและสงครามได้มากกว่าองค์กรอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น เพราะรัฐในฐานะรัฐเอกราชการเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย(Final Arbiter) ในการที่จะนำรัฐเข้าสู่สงคราม หรือสร้างพันธมิตรกับรัฐอื่น อันนำซึ่งสันติภาพ ความมั่งคั่งและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ในสังคมชุมชนระหว่างประเทศ (International society) จะมีลักษณะเด่นๆอยู่หลายประการในการ เช่นในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐจะมีทั้งความร่วมมือ(Cooperation) ความประนีประนอม(Compromise) หรือความขัดแย้ง(Conflict) ความสัมพันธ์จะเป็นในรูปแบบใดนั้นมีผลประโยชน์ของชาติ(Nation Interest) เป็นตัวแปรที่สำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์ ถ้ารัฐสองรัฐหรือหลายรัฐมีผลประโยชน์ร่วมกันแล้วก็จะอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นไม่มีความขัดแย้งจะสามารถตกลงกันได้อย่างดี เช่น องค์การอาเซียน(ASEAN) มีการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นแม้บางครั้งจะมีการขัดแย้งกันบ้าง แต่ถ้าผลประโยชน์ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันก็อาจถึงกับต้องเกิดสงครามก็ได้ เช่น กรณีความขัดแย้งระหว่างบอสเนียกับเฮอร์เชโกวินนา หรือกรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับเชคชเนีย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์เป็นตัวกำหนดว่าจะมีความสัมพันธ์กันออกมาในรูปแบบใดความขัดแย้งหรือความร่วมมือ แต่ความขัดแย้งนั้นใน ในเวทีสังคมชุมชนระหว่างประเทศจะเป็นปรากฎการที่เกิดขึ้นเป็นประจำอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าความขัดแย้งกันไม่จำเป็นจะต้องก่อให้เกิดสงครามได้เสมอไปขึ้นอยู่กับว่าเรื่องที่ขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องใด ถ้าเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือการขัดแย้งในเรื่องการค้า(Trade conflict ) ก็อาจจะไม่ถึงกับต้องเกิดสงครามเช่น ไทยขัดแย้งกับสหรัฐอเมริการในเรื่อง ภาษีท่อเหล็ก ภาษียาสูบหรือกฎหมายลิขสิทธิ์ทางปัญญา หรือก่อกรณีที่จีนขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งขัดแย้งในเรื่องการละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์ทางปัญญา ซึ่งถ้าแก้ไขก็ตกลงกันได้ ด้วยวิธีการต่อรองประนีประนอมกัน(Compromise) แล้วก็จะสมารถอยู่ร่วมกันได้ (Co-existence) แล้วก็สามารถเกิดสันติภาพได้ สาเหตุของความขัดแย้งจะมาจากพื้นฐานของผลประโยชน์ นโยบายต่างประเทศ นั่นจะกำหนดและดำเนินในแง่มุมที่เป็นจริงและเพื่อผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก คงจะไม่มีผู้นำของประเทศใดที่ก้าวขึ้นมาสู่เวทีการเมืองระหว่างประเทศในสังคมชุมชนระหว่างประเทศแล้วบอกว่าไม่ต้องการผลประโยชน์ ทุกประเทศต้องการผลประโยชน์ของชาติตนเป็นหลักทั้งนั้น คำกล่าวที่สามารถยืนยันความหมายนี้ได้ก็เช่น จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนที่หนึ่งของ สหรัฐอเมริการ นายอเล็กซานเดอร์ แฮมิงตัน รัฐมนตรีคลังคนแรกรวมทั้งนายเจมส์ เมดิสัน กล่าวว่า “อย่าเข้าใจผิดว่าการที่สหรัฐอเมริกาทำความดีเอื้อเฟื้อนั้นสหรัฐอเมริกาจะเป็นนักบุญแต่การกระทำของสหรัฐอเมริกาเป็นการกระทำเพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเอง” มาถึงตรงนี้เราจะต้องตระหนักว่าไม่มีรัฐใดในสังคมชุมชนระหว่างประเทศที่ต้องการให้ประเทศอื่นเจริญก้าวหน้าและรัฐของตนเองตกต่ำ
*เศรษฐกิจภายในประเทศ - การสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ที่ผ่านมากระแสการพัฒนาของกระแสหลัก
ทำให้แรงงานที่เป็นวัยหนุ่มสาว ทิ้งชุมชนทิ้งชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่ นครหลวงเพื่อทำงานด้านแรงงาน ทำให้ชุมชนชนบทขาดการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพ เมื่อเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ในภาคเกษตรในชุมชนได้รับผลกระทบน้อยมาก การส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งจึงเป็นวิธีการที่จะแก้ไขปัญหาที่จะทำให้ประเทศอยู่รอดได้ เช่น |