การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

            •    การวัดความอยู่ดีกินดี  เป็นการวัดโดยพิจารณาจากสถิติตัวเลขในด้านต่างๆ ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นอัตราการกระจุกตัวของประชากร อัตราอายุขัยของประชากร อัตราส่วนผู้ไม่รู้หนังสือต่อจำนวนประชากร อัตราการเพิ่มขึ้นของที่อยู่อาศัย การเพิ่มขึ้นของเครื่องรับส่งวิทยุโทรทัศน์ การใช้บริการไปรษณีย์ เป็นต้น

Show

    การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นการมุ่งเน้นให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คือมุ่งเน้นทำให้รายได้ประชาชาติหรือทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่กำหนดไว้เป็นที่ตั้ง โดยใช้กลไกราคาหรือระบบตลาดภายใต้การแข่งขันอย่างเสรีเป็นสำคัญ ซึ่งสามารถทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยประสบผลสำเร็จในด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชาชาติเป็นอย่างดี แต่ทางด้านการกระจายรายได้ให้เกิดความเสมอภาคทัดเทียมกันนั้นกลับล้มเหลวทั้งนี้ เพราะระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยมีลักษณะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์อย่างโดดเด่น การพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้กติกาการแข่งขันอย่างเสรีโดยไม่เลือกปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือบุคคลหรือภูมิภาคที่อ่อนแอกว่าเป็นพิเศษ จึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้นตามลำดับ

    Downloads

    Download data is not yet available.

    การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

    Downloads

    • PDF

    Issue

    Vol. 1 No. 2 (1996): ตุลาคม - ธันวาคม 2539

    Section

    Articles

    License

    All opinions and contents in the CMJE are the responsibility of the author(s). Chiang Mai University Journal of Economics reserves the copyright for all published materials.  Papers may not be reproduced in any form without the written permission from Chiang Mai University Journal of Economics.

    ข้อคิดเห็นที่ปรากฏและแสดงในเนื้อหาบทความต่างๆในวารสารเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียนบทความนั้นๆ มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆของวารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    บทความ เนื้อหา และข้อมูล ฯลฯ ในวารสารเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถือเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากวารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    เมื่อเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาอื่นๆ จึงตามมา ไม่ว่าจะเป็นการว่างงาน อาชญากรรม การฆ่าตัวตาย รวมไปถึงการเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย เมื่อรวมปัญหาหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน นักวิจัยจึงได้คาดการณ์ไว้ว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวนี้อาจทำให้ ‘คนจน’ ในโลกเพิ่มขึ้นกว่า 500 ล้านคน ชะลอเป้าหมาย ‘โลกที่ปลอดคนจน’ ที่องค์การสหประชาชาติตั้งไว้ว่าจะสำเร็จในปี ค.ศ.2030

    ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการลดความยากจนในช่วงปลายสิบปีที่ผ่านมา กระสุนหลักก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง (sustained growth) ผ่านนโยบายการผลิตเพื่อการส่งออก (export orientation) ขณะที่การทำเกษตรแบบดั้งเดิมก็ค่อยๆ ลดลงตามกาลเวลา

    ในช่วง 20–30 ปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างประเทศของไทยถูกขับเคลื่อนด้วยห่วงโซ่การผลิตข้ามชาติ (global value chains) ซึ่งเป็นรูปแบบและขบวนการผลิตสินค้าที่แทนที่จะผลิตทุกอย่างในประเทศเฉกเช่นที่ทำมา ก็แบ่งแยกออกเป็นงาน (slide/task) ย่อย ๆ และกระจายการผลิตไปในประเทศต่างๆ และนำมารวมกัน (final assembly) ใครถนัดผลิตอะไรก็ผลิตสินค้าชนิดนั้นไป GVCs ยังรวมถึงขั้นตอนของการออกแบบและพัฒนาสินค้า บรรจุภัณฑ์ และการขนส่ง

    สมมติว่าจะผลิตรถจักรยานสักหนึ่งคัน อานอาจจะผลิตในจีน เบรกทำในญี่ปุ่น ล้อผลิตในจีน และสุดท้ายมาประกอบกันที่ไต้หวัน สินค้าอุตสาหกรรมไทยที่เข้าร่วมใน GVCs ก็เช่น ฮาร์ดดิสก์ และชิ้นส่วนยานยนต์ (เชื่อหรือไม่ว่า ชิ้นส่วนเล็กๆ และถาดอาหารในเครื่องบินก็ถูกผลิตโดยบริษัทคนไทย) เศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 30 ล้านคน ทำรายได้เข้าประเทศเกือบปีละ 2 ล้านล้านบาท ต้นปี พ.ศ.2563 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2563 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 40 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยทะลุ 3 ล้านล้านบาท

    การค้าขายกับต่างชาติและการท่องเที่ยว

    ได้เปลี่ยนสภาพเศรษฐกิจและสังคมของไทยไปโดยสิ้นเชิง

    จากประเทศที่เรียกได้ว่ายากจนที่สุดในโลกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายมาเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกในช่วงปี พ.ศ.2531-2534 คนจนเกือบครึ่งค่อนประเทศก็ลดลงเหลือเพียงหยิบมือ ส่งผลชนชั้นกลางในไทยขยายใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น มีหน้ามีตาเทียบครอบครัวอำมาตย์

    แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ มรดกของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบไทยๆ ก็คือ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวย และการพัฒนาที่กระจุกอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาค (ซึ่งบ้างก็ว่า ความเหลื่อมล้ำทางภูมิภาคนี้เองที่เป็นชนวนให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง เสื้อเหลือง เสื้อแดง) จริงอยู่ที่สังคมไทยไม่มีวรรณะ ไม่มีแบ่งแย่งสีผิว แต่สุดท้าย ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจก็แบ่งแยกคนด้วยเงินในกระเป๋า ด้วยนามสกุล หรือด้วยที่จอดรถ supercar ในห้าง ที่เป็นหลักฐานชิ้นดีของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย (แน่นอนว่าข้อแก้ตัวเรื่องที่จอดรถ ก็คงหนีไม่พ้น เรื่องของความปลอดภัย ซึ่งก็แปลกประหลาดดีที่ความปลอดภัยมีค่าตามราคาของรถที่ใช้)

    การพัฒนาเศรษฐกิจแบบไทยๆ ที่คนยากจนลดลง แต่ในขณะเดียวกันความเหลื่อมล้ำก็เพิ่มขึ้นนี้ ก็มาสะดุดลงด้วยการระบาดของ COVID-19 ที่ไทยถือว่าได้รับผลกระทบถือ 2 เด้ง เด้งแรกคือ เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออก การส่งออกคิดเป็น 60% ของ GDP ในขณะที่โลกเข้าสู่ช่วง ‘deglobalisation’ ในช่วง COVID-19 กระแส protectionism ก็เบ่งบานทั่วโลก แต่ละประเทศปิดประตูการค้า หันมาพึ่งพาการผลิตของตัวเอง เด้งสองคือ การท่องเที่ยว การปิดน่านฟ้าและปิดพรมแดน ทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวหดหาย ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารต้องปิดตัว พนักงานก็ถูกปลดออก หรือที่ไร้ศีลธรรมที่สุดคงหนีไม่พ้น leave without pay ที่ก็ไม่รู้มีกฎหมายฉบับไหนรองรับให้ทำได้

    โจทย์สำคัญก็คือว่า แล้วจะทำอย่างไรให้กระบวนการลดความยากจน ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ทั้งที่ไม่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่มีรายได้จากการท่องเที่ยว และการค้าระหว่างประเทศชะลอตัว ความสัมพันธ์ระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความยากจน และความเหลื่อมล้ำนี้ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน ถ้าเศรษฐกิจมีการเติบโต และความเหลื่อมล้ำมันไม่ได้แย่มาก (ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า จริงๆ แล้ว การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นจริงๆ หรือเปล่า) ความยากจนก็ต้องลดลงเป็นธรรมชาติของมัน

    แต่ในช่วง COVID-19 ที่เศรษฐกิจจะไม่เติบโต (หรือติดลบด้วยซ้ำ) ความยากจนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น เว้นเสียแต่ว่า เราจะแก้ไขความเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน การลดความเหลื่อมล้ำจึงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการลดความยากจนในช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคือง รัฐบาลสามารถใช้โอกาสนี้ปฏิรูปโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทบทวนการลดหย่อนนับร้อยรายการที่เอื้อต่อเศรษฐีและผู้แสวงหากำไรในตลาดหุ้นที่ร่ำรวยอย่างฉาบฉวย แต่ไม่สร้างมูลค่า ไม่สร้างการจ้างงานในตลาดหุ้น หรือใช้โอกาสนี้ รื้อระบบการศึกษาและสาธารณสุข ให้คนจนเข้าถึงบริการของรัฐได้มากขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชนชั้นกลาง และทำให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้