กระบวนการผลิตสินค้าชนิดหนึ่ง มีขั้นตอนการทำงานพร้อมทั้งเวลาในการทำงานแต่ละขั้นตอนดังต่อไปนี้ Show จงทำการสร้างไดอะแกรมแสดงความสัมพันธ์ลำดับก่อนหลัง (Precedence Diagram) ของการทำงานข้างต้น รอบเวลาการผลิต (Cycle Time ,Tc)ช่วงเวลาระหว่างงานแต่ละหน่วยจะออกจากสายการผลิต ในทางปฏิบัติจะเป็นค่าเวลาที่สูงที่สุดในการทำงานของสถานีงานใดสถานีงานหนึ่ง โดยคิดเทียบกับทุกสถานีงานในสายการผลิตนั้นๆ ดังรูป รูปแสดงการหารอบเวลาการผลิตในสายการผลิต แสดงเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ดังสมการ (1) Tc = Max Tsi …………….(1) เมื่อ Tsi แทนด้วยเวลางานของสถานีงาน i ค่าของรอบเวลาการผลิตนั้นมีประโยชน์อย่างมากสำหรับโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนงานการวางแผนการผลิต, การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการวางผังโรงงาน เวลางานของสถานีงาน (Workstation Process Time ,Tsi)เวลาที่ต้องใช้ในการทำงานในสถานีงาน โดยหาได้จากการนำเวลางานย่อยทั้งหมดในงานเดียวกันที่ทำในสถานีงานมารวมกัน และเวลางานของสถานีงานใดๆในสายการผลิตจะไม่มีค่าเวลามากกว่ารอบเวลาการผลิตของสายการผลิตนั้นๆ รูปแสดงเวลาของสถานีงานและรอบเวลาการผลิต รูปแสดงงานย่อยในสถานีงานของสายการผลิต แทคไทม์ (Takt Time ,Tk)แทคไทม์ คืออัตราเวลาที่ต้องการในการผลิตสินค้า 1 หน่วยเพื่อให้การผลิตสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ มีจุดประสงค์เพื่อทำให้การผลิตนั้นสอดคล้องกันกับปริมาณความต้องการของสินค้าในตลาด สูตรสำหรับการคำนวณหาค่าแทคไทมน์ เป็นดังสมการ (2) Tk = (ประสิทธิภาพสายการผลิต * เวลาการทำงาน) / ยอดการผลิตที่ต้องการ ……(2) จากความเข้าใจของรอบเวลาการผลิตและแทคไทม์ จะเห็นได้ว่า แทคไทม์นั้นหามาจากความต้องการของลูกค้า ส่วนรอบเวลาการผลิตนั้นหามาจากเวลาการผลิตในสายการผลิต ดังนั้นหากรอบเวลาการผลิตมีค่าสูงกว่าค่าแทคไทม์ที่กำหนด แสดงให้เห็นว่าโรงงานจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เป็นที่มาของการทำงานล่วงเวลาเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามกำหนดส่งของลูกค้า จะทำให้ค่าใช้จ่ายของทางโรงงานมีค่าสูงขึ้น ในการจัดสมดุลสายการผลิตจึงมีความจำเป็นในการนำค่าแทคไทม์มาเป็นตัวกำหนดในการคำนวณการจัดสมดุลสายการผลิต เพื่อให้สายการผลิตสามารถตอบสนองความต้องการสินค้าได้ แต่ในทางปฏิบัติอาจมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถนำผลลัพธ์ที่ได้จากการจัดสมดุลสายการผลิตไปใช้ได้ ทำให้ค่ารอบเวลาการผลิตมีค่าสูงกว่าค่าของแทคไทม์ หากเป็นเช่นนั้นวิศวกรหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องพยายามปรับปรุงสายการผลิตเพื่อลดเวลาของรอบเวลาการผลิตให้ลงมาน้อยกว่าหรือเท่ากับเวลาแทคไทม์ที่กำหนด เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการสินค้าของตลาดได้ รูปกราฟแท่งแสดงกรณีที่รอบเวลาการผลิตของสายการผลิตสูงกว่าเวลาแทคไทม์ จากภาพหากโรงงานแห่งนี้มีแทคไทม์อยู่ที่ 72 วินาที แสดงว่าใน 1 เดือนโรงงานต้องผลิตสินค้าให้ได้ 10,000 ตัวต่อเดือน (1 เดือนทำงาน 25 วัน และ 1 วันทำงาน 8 ชั่วโมง) แต่รอบเวลาการผลิตของสายการผลิตนี้อยู่ที่ 80 วินาที แสดงว่าโรงงานสามารถผลิตสินค้าได้จริงเป็นจำนวนเพียง 9,000 ตัวต่อเดือนเท่านั้น สรุปว่าโรงงานยังขาดสินค้าอีก 1,000 ตัวต่อเดือน หากทางโรงงานต้องการผลิตสินค้าให้ได้ตามกำหนด โรงงานจึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มการทำงานล่วงเวลา ซึ่งเป็นการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นจากค่าใช้จ่ายปกติ ตัวอย่างที่ 3 โรงงานแห่งหนึ่งมีการผลิตสินค้า C001 โดยผ่านสายการผลิต C อันประกอบด้วยสถานีงานทั้งหมด 5 สถานีงาน และมีรายละเอียดในการดำเนินการดังต่อไปนี้ หากในเดือนมกราคม มียอดการสั่งสินค้า C001 จำนวน 600 ชิ้น จงตอบคำถามดังต่อไปนี้
ข้อมูลเพิ่มเติม : โรงงานมีเวลาทำงานทั้งหมด 25 วันทำงาน แต่ละวันทำงาน 8 ชั่วโมง/วันทำงาน และและสิทธิภาพการผลิตของสายการผลิต C เป็น 90% วิธีทำ รอบเวลาการผลิตของสายการผลิต C หาได้จากสมการ Tc = Max Tsi ดังนั้นรอบเวลาการผลิตของสายการผลิต C ได้แก่ 20 นาที แทคไทม์สามารถหาได้จากสมการ Tk = (ประสิทธิภาพสายการผลิต * เวลาการทำงาน) / ยอดการผลิตที่ต้องการ โดย ประสิทธิภาพสายการผลิต = 0.90 เวลาการทำงาน = 60 * 8 * 25 = 1,200 นาที ยอดการผลิตที่ต้องการ = 600 ชิ้น ดังนั้น Tk = (0.90 * 1,200)/600 = 18 นาที/ชิ้น โรงงานไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้องการของลูกค้าเพราะ รอบเวลาการผลิตของสายการผลิต C มีค่ามากกว่าเวลาแทคไทม์ที่กำหนด (20 > 18) การหาจำนวนต่ำที่สุดของสถานีการผลิตที่ต้องการเมื่อมีการกำหนดงานย่อย และความสัมพันธ์ก่อนหลังของงานย่อยทุกงานแล้ว ขั้นตอนต่อไปในการจัดสมดุลสายการผลิตได้แก่ การคำนวณหาจำนวนต่ำที่สุดของสถานีการผลิตที่ต้องการ โดยสามารถคำนวณได้จากสมการ (3) จำนวนสถานีการผลิตต่ำที่สุด = {(เวลาทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตต่อหน่วย *ยอดการผลิตที่ต้องการ)/เวลาการทำงานที่มี } ……(3) จำนวนสถานีงานต่ำที่สุดนี้เป็นค่าทางทฤษฎี โดยส่วนมากเมื่อทำการจัดสมดุลสายการผลิตจะใช้จำนวนสถานีงานที่มากกว่าจำนวนสถานีงานต่ำที่สุด แต่จะไม่น้อยกว่าจำนวนสถานีงานต่ำที่สุด 3. กำหนดงานย่อยให้กับสถานีงานเป็นการกำหนดว่าในแต่ละสถานีงานจะต้องมีงานย่อยใดบ้าง โดยในการพิจารณากำหนดงานย่อยลงในสถานีงานจะต้องนำข้อจำกัดก่อนหลังของการทำงาน(พิจารณาได้จาก Precedence Diagram) และในการเลือกงานย่อยเข้าสถานีงานก็มีวิธีการเลือกได้หลายรูปแบบ กฎเกณฑ์ที่ใช้เป็นกฎเกณฑ์เชิงฮิวริสติกส์ และกฎที่นิยมใช้มีมากมายเช่น
โดยในการพิจารณาการขึ้นสถานีงานใหม่จะพิจารณาจากเวลารวมของงานย่อยในสถานีงานนั้นๆจะต้องไม่มากกว่าอัตราเวลาที่ต้องการในการผลิตสินค้า 1 หน่วย หากมากกว่าจะต้องทำการขึ้นสถานีงานใหม่ 4. การวัดผลงานในการจัดสมดุลสายการผลิตหน่วยวัดผลงานในการจัดสมดุลสายการผลิตมีด้วยกันหลายรูปแบบ ในที่นี้จะกล่าวถึงหน่วยวัดผลที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน 3 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่
ประสิทธิภาพสายการผลิต = ผลรวมประสิทธิภาพในสถานีงานทั้งหมด / จำนวนสถานีงานทั้งหมด
ประสิทธิภาพในสถานีงาน = ผลรวมเวลาการทำงานในสถานีงาน * 100 / รอบเวลาการผลิต Work Station Efficiency (%) = Flow Time in Work Station * 100 / Cycle Time
ตัววัดความสูญเปล่า คือเวลาสูญเปล่าอันเกิดจากการว่างงานของสถานีงาน ตัววัดความสูญเปล่ามักถูกใช้เป็นตัววัดความสมบูรณ์ของการจัดสายการผลิตในกรณีที่จัดสมดุลของสายการผลิตได้อย่างสมบูรณ์เวลางานที่แต่ละสถานีงานจะเท่ากับ รอบเวลาการผลิต และทุกสถานีงานต้องมีเวลางานเท่ากัน แต่ในทางปฏิบัตินั้นทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากข้อจำกัดในหลายๆด้าน Balance Delay = (nTc – Twc) / nTc ieProsoft โซลูชั่นครบวงจรด้านการบริหารการผลิตในอุตสาหกรรมบริษัท ไออี บิสซิเนส โซลูชั่น จำกัด (IEBS) เป็นผู้ให้บริการระบบซอฟแวร์ทางด้านการจัดการอุตสาหกรรม การวางแผนการผลิตโดยลงลึกไปจนถึงการจัดตารางการผลิต มาตรฐานการการทำงาน การจัดสมดุลการผลิต รวมไปถึงการบริหารจัดการคลังสินค้า ครอบคุลมการบริการในด้านต่างๆที่สำคัญต่อการนำระบบไปใช้ในภาคธุรกิจ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ดูแลตั้งแต่การติดตั้ง การให้ปรึกษา การนำไปใช้งานจริง (Implementation) รวมถึงการวิเคราะห์ผลลัพธ์ต่างๆ เราสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ยุค ดิจิทัล ด้วยเครื่องมือในกลุ่ม ieProsoft อาทิเช่น ieSmart WI, ieLineBalancing, ieInventory และ ieInventory ซึ่งซอฟแวร์ทั้งหมดนี้ เป็นตัวช่วยให้สามารถบริหารการจัดการผลิตได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มกำไรให้บริษัทได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน IEBS มีการให้บริการซอฟแวร์ทั้งแบบบริการผ่านซอฟต์แวร์แบบ สแตนด์อโลน (Stand-alone Software) ไปจนถึงชุดซอฟต์แวร์เต็มรูปแบบ (Full-Blown) แบบคลาวด์โซลูชั่น (Cloud Solution) ได้แก่
|