การ สื่อสาร ที่ ดี คือ

เคยร่วมงานกับคนที่เก่งมาก ๆ แต่เราฟังเขาไม่เข้าใจไหมคะ? หรือเคยเจอคนที่ไม่ว่าเราจะสื่อสารอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจสักที เหล่านี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างบุคคล ที่เป็นมากกว่าแค่การฟัง และการพูด แต่การสื่อสารที่ดียังต้องทำให้เกิดผลสำเร็จตามสิ่งที่ผู้ส่งสารได้สื่อสารออกไปด้วย เช่นเดียวกันกับการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ เด็ก ๆ จำเป็น ต้องฝึกทักษะการฟัง เพื่อจับประเด็นสำคัญท่ามกลางองค์ความรู้ที่มีอยู่มากมายไม่จำกัด อีกทั้งยังต้องสื่อสารความรู้เหล่านั้นออกมาให้ผู้ฟังเข้าใจ ไม่ว่าจะด้วยการพูด หรือเขียน สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝน ซึ่งหากทำได้ ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้กับลูกได้ค่ะ

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพคืออะไร?

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คือการที่ผู้ส่งสาร สามารถสื่อความต้องการของตัวเองออกไปผ่านคำพูดหรือตัวหนังสือได้อย่างกระชับ ชัดเจน ตรงประเด็น เรียกความสนใจจากผู้รับสารให้หันมารับรู้สิ่งที่ตนกำลังสื่อสารและเข้าใจสิ่งที่สื่อออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน 

การปลูกฝังให้เด็ก ๆ มีทักษะการสื่อสารที่ดี ช่วยเปิดโอกาสการเรียนรู้ได้ไม่มีขีดจำกัด เด็ก ๆ ที่สื่อสารเป็น จะกล้าถามคำถาม และสามารถอธิบายความรู้ ความคิด ความรู้สึกของตนเองได้ ลดปัญหาความขัดแย้งอันเกิดจากความไม่เข้าใจ ทำให้ใช้ชีวิตได้ราบรื่นมากขึ้น

ฝึกทักษะการสื่อสารด้วยการฟัง

คน ๆ หนึ่งจะเป็นผู้พูดที่ดีได้ ต้องเริ่มจากการเป็นผู้ฟังที่ดีก่อนค่ะ บ่อยครั้งที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยการ “ได้ยิน” แต่ไม่ได้ “ฟัง” พ่อแม่ผู้ปกครองลองใช้วิธีเหล่านี้ฝึกทักษะการฟังของลูกค่ะ

  • อ่านหนังสือให้ลูกฟัง และถามคำถามจากหนังสือนั้นให้ลูกตอบ เป็นการฝึกจับประเด็นซึ่งเป็นทักษะสำคัญของการเป็นผู้ฟังที่ดี
  • ให้ลูกทวนสิ่งที่คุณเพิ่งบอกไป เพื่อประเมินว่าลูกฟังแล้วเข้าใจหรือไม่
  • ดูคลิปการบรรยายสั้น ๆ กับลูก เช่น Ted Talks เลือกเรื่องที่ลูกสนใจ แล้วลองถามเพื่อฟังความเข้าใจของลูก
  • ฟังเพื่อเข้าใจไม่ใช่ตอบโต้ บ่อยครั้งขณะที่เราฟังอีกฝ่ายสมองของเราอาจคิดประโยคที่จะโต้ตอบ และจดจ่ออยู่กับประโยคนั้น จนไม่ได้ “ฟัง” สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาให้ดีก่อน เช่น เมื่อลูกบอกว่า “วันนี้หนูไม่ได้ขึ้นรถโรงเรียน...........” ได้ยินเพียงแค่ประโยคเริ่มต้น ในสมองของคุณก็คิดคำตอบโต้ไว้แล้วว่า “แม่บอกแล้วว่าตื่นช้าก็ไปสายแน่ ๆ” ทั้งที่ประโยคต่อมาลูกอาจพูดว่า “.....เพราะว่ารถโรงเรียนเสียมารับไม่ได้” การฟังเพื่อโต้ตอบอาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิดได้ พ่อแม่ควรสอนเด็ก ๆ รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีในการฟังให้จบประโยค ก่อนเอ่ยคำตอบออกไป สร้างนิสัยฟังเพื่อฟัง ไม่ใช่ฟังเพื่อโต้ตอบ ก็จะช่วยลดความเข้าใจผิด ในการสื่อสารได้ 
  • หมั่นสังเกตว่าลูกมีกริยาอย่างไรขณะที่คุณพูด ตั้งใจ สบตา หรือว่าเอาแต่ก้มหน้า หากลูกมีท่าทีไม่สนใจ ควรบอกลูกด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงแต่อ่อนโยน ( Kind but Firm) ว่าแม่อยากให้ลูกตั้งใจฟัง และสบตาขณะที่แม่พูด รวมทั้งขณะที่ลูกกำลังสื่อสารกับคนอื่น ๆ ด้วย
  • เป็นผู้ฟังที่ดี สบตาขณะที่ลูกพูดคุยกับคุณ และโต้ตอบลูกด้วยความสนใจ ใส่ใจ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็ก ๆ

ฝึกทักษะการสื่อสารด้วยการพูด

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพได้ต้องอาศัยทั้งผู้ฟังที่ดี และผู้พูดที่ดีค่ะ ผู้พูดถือเป็นผู้ส่งสาร มีหน้าที่สร้างความเข้าใจ และความชัดเจนให้เกิดกับผู้ฟัง ซึ่งจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ก็ต่อเมื่อผู้ฟังเข้าใจตามวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร ได้โดยไม่มีความผิดพลาด ลองมาฝึกทักษะการพูดให้เด็ก ๆ กันดีกว่าค่ะ

  • เข้าใจวัตถุประสงค์การสื่อสาร ก่อนจะส่งสารออกมา ผู้พูดจำเป็นต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ในการสื่อสารของตัวเองก่อน เมื่อเข้าใจวัตถุประสงค์ของตัวเองชัดเจนแล้ว จึงคิดหาวิธีสื่อสารออกไปให้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น ซึ่งเด็ก ๆ อาจฝึกทักษะนี้ จากการแต่งเรื่องราวสั้น ๆ โดยอาจกำหนดโจทย์ต่าง ๆ เช่น ให้เล่าเรื่องที่ประทับใจเพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกดี หรือให้เขียนจดหมายเพื่อขอพ่อแม่ไปเที่ยว หรือเล่าเรื่องตลกที่ทำให้ผู้ฟังหัวเราะ 
  • เล่าชีวิตประจำวัน พ่อแม่ควรถามไถ่ชีวิตประจำวันของลูกเป็นประจำ และตั้งใจฟังลูกเล่า อย่าพูดแทรก หรือขัดจังหวะขณะเด็ก ๆ กำลังพูด หากสงสัย ควรรอให้ลูกพูดจบแล้วค่อยถาม 
  • หมั่นสังเกตการสื่อสารของลูกว่าสามารถเล่า และจัดลำดับเหตุการณ์ได้ดีเพียงใด เช่น หากเล่ากลับไปกลับมา คุณพ่อคุณแม่อาจใช้วิธีพูดทวน และช่วยเรียงลำดับเหตุการณ์ให้ถูกต้องเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูก เช่น  ลูก : วันนี้นึกว่าถูกทำโทษ เพราะว่าไปห้องปกครองมาค่ะ ตอนแรกเพื่อนบอก หนูเลยไปค่ะ แล้วหนูต้องตามเพื่อนอีกคนไปด้วย แต่ว่าไปช่วยงานครูค่ะ แม่ : ลูกหมายความว่า เพื่อนตามให้ลูกไปห้องปกครอง และต้องตามเพื่อนอีกคนไปด้วยกัน ตอนแรกนึกว่าถูกทำโทษแต่จริง ๆ คือไปช่วยงานครู แม่เข้าใจถูกไหมคะ
  • เขียนก่อนพูด หากรู้สึกว่าลูกมีปัญหาในการสื่อสารให้ตรงประเด็น อาจลองให้ลูกฝึกเขียนสิ่งที่จะพูดไว้ก่อน ค่อยๆ เรียบเรียง อ่านทวนให้ได้ใจความที่กระชับ ชัดเจน เพราะการเขียนเปิดโอกาสให้ผู้ส่งสารได้ทบทวนความคิด และกลั่นกรองออกมาได้ 

อย่างไรก็ตาม เด็ก ๆ แต่ละคนก็มีบุคลิกภาพ และความถนัดที่ต่างกันค่ะ เด็ก ๆ ที่พูดไม่เก่ง ก็อาจไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพ แต่พวกเขาอาจสื่อสารได้ดีกว่าผ่านการเขียน หรือกระทั่งในภาพวาด และเด็กบางส่วนก็อาจรับฟังได้ดี เมื่อผู้พูดสนทนาแบบตัวต่อตัว แต่อาจไม่ค่อยมีสมาธิในการฟัง หากต้องนั่งฟังบรรยายพร้อมกับคนหลาย ๆ คน สิ่งเหล่านี้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องใช้เวลาในการสังเกตพฤติกรรมของบุตรหลาน และเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมเพื่อที่จะดึกศักยภาพของพวกเขาออกมาให้ได้มากที่สุดค่ะ

หลัก 7 C’s of Communication คือรายการตรวจสอบ (checklist) ที่ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารและเพิ่มโอกาสให้ผู้รับข้อมูลได้เข้าใจข้อมูลตรงตามความตั้งใจของผู้สื่อสาร เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ได้ทั้งกับการสื่อสารด้วยวาจา

องค์ประกอบหรือคุณสมบัติ 7 ประการของการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย

1. ชัดเจน (Clear)
ในการสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูดหรือการเขียน ข้อมูลที่สื่อสารต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ชัดในเนื้อหาสาระ ใช้คำที่มีความหมายตรงตัว ไม่ต้องตีความจนอาจเกิดความเข้าใจผิด

2. ถูกต้อง (Correct)
ความถูกต้องของข้อมูล หมายถึงเป็นข้อเท็จจริง (fact) ตรวจสอบได้ สร้างความมั่นใจแก่ผู้รับข้อมูลว่าไม่ได้ถูกหลอกให้หลงเชื่อ
ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ถูกต้องทั้งไวยากรณ์และตัวสะกด

3. ครบถ้วน (Complete)
การสื่อสารควรเป็นการส่งข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ผู้รับข้อมูลควรทราบ ความครบถ้วนนี้จะต่างกันไปในแต่สถานการณ์ ไม่ตกหล่นเนื้อหาสาระที่สำคัญ เป็นข้อมูลที่สร้างแรงจูงใจ

4. หนักแน่นมีสาระ (Concrete)
ข้อมูลควรมีความจำเพาะเจาะจง หนักแน่น มีสาระ ไม่คลุมเครือหรือกว้างจนเกินไป มีข้อเท็จจริง ไม่ใช้คำที่ลดความน่าเชื่อถือ จำเพาะเจาะจงในประเด็นที่สื่อสาร มีความเป็นรูปธรรมในเรื่องที่สื่อสาร

5. กระชับ (Concise)
ข้อมูลควรกระชับ ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ ชูเนื้อหาสาระหลักได้ชัดเจน ไม่กล่าววนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก

6. สมเหตุสมผล (Coherent)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีตรรกะ มีความเป็นเหตุเป็นผล เชื่อมโยงและสอดคล้องสัมพันธ์กับประเด็นหลัก อสร้างมุมมองแนวคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับเพื่อให้ได้รับการตอบสนองที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี เน้นไปในสิ่งที่เป็นไปได้

7. มีมารยาท (Courteous)
ข้อมูลที่สื่อสารควรมีลักษณะที่เป็นมิตร เปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่มีประเด็นซ่อนเร้นหรือเหน็บแนมก้าวร้าว เลือกใช้คำพูดที่สุภาพ ให้เกียรติ ไม่นำอคติใด ๆ มาบิดเบือนข้อมูลให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง คำนึงถึงความคิดเห็น มุมมอง ทัศนคติ ของผู้รับข้อมูล ไม่หักหาญหรือฝืนความรู้สึกนึกคิดของผู้รับ ใช้คำในเชิงบวก

ที่มา www.drpiyanan.com

การสื่อสารที่ดีมีอะไรบ้าง

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คือการที่ผู้ส่งสาร สามารถสื่อความต้องการของตัวเองออกไปผ่านคำพูดหรือตัวหนังสือได้อย่างกระชับ ชัดเจน ตรงประเด็น เรียกความสนใจจากผู้รับสารให้หันมารับรู้สิ่งที่ตนกำลังสื่อสารและเข้าใจสิ่งที่สื่อออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน

การสื่อสารที่ดีมีประโยชน์อย่างไร

ข้อดีของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication).
ช่วยให้แก้ปัญหาต่างๆได้ง่ายขึ้น.
ช่วยให้เห็นวิถีทางในการแก้ไขเรื่องต่างๆ.
ปรับความเข้าใจผิดและลดโอกาสการเกิดความขัดแย้ง.
เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน.
สร้างปฏิสัมพันธ์เพิ่มขึ้นกับเพื่อร่วมงานและคนอื่นๆ.
สร้างความมั่นใจให้ตนเองและคนรอบข้าง.

ทักษะการสื่อสารที่สำคัญที่สุดคืออะไร

การฟังเป็นทักษะการสื่อสารที่สำคัญเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานคุณก็ควรเป็นผู้ฟังที่ดีอยู่เสมอ เพราะหากคุณไม่ฟังสิ่งที่ลูกค้าต้องการ การให้คำแนะนำหรือช่วยพวกเขาแก้ปัญหาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการทำโครงการต่างๆ ให้สำเร็จ หากไม่ฟังความคิดเห็นหรือแนวคิดของเพื่อนร่วมงาน การทำงานก็ ...

ตัวอย่างของการสื่อสาร มีอะไรบ้าง

แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. การสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) เช่น การสื่อสารผ่านสื่อ วิทยุ โทรทัศน์หนังสือพิมพ์ ฯลฯ 2. การสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) เช่น การพบปะพูดคุยกัน การพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ฯลฯ